กระทู้นี้แตกประเด็นมาจาก http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10904584/E10904584.html

วันนี้มีเวลา เลยมาเขียนต่อให้จบในส่วนของไอซ์แลนด์ที่ยังเหลืออีก 3 วันครับ

ก่อนอื่นเรามาดูประวัติศาสตร์ของไอซ์แลนด์กันนิดนึง

ชนกลุ่มแรกที่เข้ามาอาศัยอยู่ในไอซ์แลนด์เชื่อกันว่าเป็นนักบวชชาวไอริช ซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไอซ์แลนด์ในพุทธศตวรรษที่ 14 และย้ายออกไปก่อนชาวไวกิงเข้ามา พวกไวกิงเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไอซ์แลนด์ในปี พ.ศ. 1417 การตั้งถิ่นฐานในไอซ์แลนด์ถูกบันทึกในหนังสือการตั้งถิ่นฐาน (Landnámabók) จากหนังสือนี้ โดยระบุว่า Ingólfur Arnarson เป็นผู้ตั้งถิ่นฐานคนแรก และตามมาด้วยชาวไวกิงอีกจำนวนหนึ่งในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 1417 ถึง 1473 ชื่อส่วนหนึ่งในหนังสือเล่มนี้เป็นชื่อชาวเคลติก และได้กล่าวถึงการนำทาสชาวเคลติกเข้ามาด้วย ภายในปี พ.ศ. 1473 ไอซ์แลนด์ได้เขียนรัฐธรรมนูญ และก่อตั้งอัลทิงกิ (Alþingi) ซึ่งเป็นรัฐสภาขึ้น ใช้อำนาจนิติบัญญัติและตุลาการ เป็นศูนย์กลางของรัฐอิสระไอซ์แลนด์ ไอซ์แลนด์รับคริสต์ศาสนาในปี พ.ศ. 1543

ไอซ์แลนด์เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในช่วง พ.ศ. 1763 ถึง 1805 ส่งผลทำให้ไอซ์แลนด์ถูกผนวกไปอยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์นอร์เวย์ในปี พ.ศ. 1805และต่อมา กษัตริย์เดนมาร์ก หลังจากที่นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์กรวมกันภายใต้สหภาพคาลมาร์ กษัตริย์เดนมาร์กประกาศคริสต์ศาสนานิกายลูเทอรันเป็นศาสนาของอาณาจักรประมาณปี พ.ศ. 2093 ส่งผลมาถึงการยึดทรัพย์ของโบสถ์โรมันคาทอลิกในไอซ์แลนด์ และบิชอปคาทอลิกคนสุดท้ายถูกตัดหัว

เดนมาร์กควบคุมการค้าในไอซ์แลนด์ในปี พ.ศ. 2145 ระหว่าง พ.ศ. 2250 ถึง พ.ศ. 2252 เกิดโรคฝีดาษระบาด ทำให้ประชากรลดลงจาก 50 000 เหลือเพียงราว 35 000 คน ในปี พ.ศ. 2326 ถึง พ.ศ. 2328 เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายอย่างมากอีก จากเหตุภูเขาไฟระเบิดและภาวะขาดแคลนอาหาร

ไอซ์แลนด์อยู่ภายใต้การปกครองของเดนมาร์กหลังการแยกตัวของสหภาพเดนมาร์ก-นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ได้รัฐธรรมนูญใหม่ในปี พ.ศ. 2417 ปีที่เฉลิมฉลองหนึ่งสหัสวรรษการตั้งถิ่นฐานในไอซ์แลนด์ รัฐธรรมนูญใหม่นี้ให้ไอซ์แลนด์มีอำนาจในกิจการภายใน

มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้งในปี พ.ศ. 2447 ซึ่งให้อำนาจปกครองตัวเองกับไอซ์แลนด์ ไอซ์แลนด์ได้เป็นรัฐเอกราชในปี พ.ศ. 2461 โดยมีพระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์กเป็นประมุข โดยไอซ์แลนด์ยังให้เดนมาร์กจัดการกิจการต่างประเทศและการป้องกันประเทศให้

หลังจากเยอรมนียึดครองเดนมาร์กในปี พ.ศ. 2483 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อัลทิงกิจึงตัดสินใจบริหารการต่างประเทศเองและประกาศนโยบายเป็นกลาง แต่ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครองในเวลาต่อมา โดยเริ่มต้นเป็นกองทัพสหราชอาณาจักร และต่อมาเป็นกองทัพสหรัฐอเมริกา ฝ่ายสัมพันธมิตรคงกองกำลังในไอซ์แลนด์จนกระทั่งจบสงคราม

ไอซ์แลนด์ประกาศเป็น สาธารณรัฐในปี พ.ศ. 2487 มี สเวน ปีเยิร์นสซอน (Sveinn Björnsson) เป็นประธาธิบดีคนแรก ไอซ์แลนด์เป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้งขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจยุโรป (ปัจจุบันคือองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) และนาโต ไอซ์แลนด์ทำข้อตกลงทางกองทัพกับสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2494 โดยให้สหรัฐตั้งฐานทัพในไอซ์แลนด์ ซึ่งคงอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2549 ไอซ์แลนด์เกิดความขัดแย้งหลายครั้งกับสหราชอาณาจักรในเรื่องการขยายน่านน้ำประมงของไอซ์แลนด์ในช่วงปี พ.ศ. 2501 2515 และ 2521 รู้จักกันในชื่อสงครามปลาคอด (Þorskastríðin; Cod War) ไอซ์แลนด์เข้าร่วมสมาคมการค้าเสรียุโรปและเป็นสมาชิกก่อตั้งของเขตเศรษฐกิจยุโรป

รอชมค่า

แผนการเดินทางวันที่ 6 พ.ค. 54 Dimmuborgiพ-Eastfjord ขับไปทางตะวันออก เกือบ 500 กิโลเมตรเหมือนเดิมครับ ตื่นเช้ามา หมาก็มาชวนเล่น แต่เราเปิดให้เข้ามาในบ้าน ก็เลยมานั่งรอของกินแทน

@K.MoLLy_yuhu ยินดีครับ

ทานข้าวเช้าเสร็จ ออกไปถ่ายรูปเก็บตกหน่อย เพราะเช้านี้แดดดีมาก

วิวภูเขาสูงที่เป็นสีดำ สลับกับทิวเขาทอดยาวที่ยังมีหิมะปกคลุม ตัดกับพื้นหญ้าริมทะเลสาบ Myvatn

ระหว่างเก็บของขึ้นรถ แขกที่พักหลังอื่น 2 คน ผู้ชายจำไม่ได้ว่าเป็นคนชาติไหนแต่ทำงานที่ฝรั่งเศส ส่วนแฟนเป็นลูกครึ่งไทยฝรั่งเศส เดินมาถามว่าเป็นคนไทยใช่มั๊ย สงสัยว่ารู้ได้งัย มีตาทิพย์หรือเปล่า ที่แท้บอกว่า เห็นถุงคาร์ฟูเป็นภาษาไทย พอบอกว่าจะไปเที่ยวฝรั่งเศสเลยเข้ามาคุยในบ้านพักและเขียนแนะนำที่เที่ยวให้

ออกเดินทางจากที่พักด้วยถนนสาย 1 ซึ่งเป็นทางที่กลับจาก Dettifoss

ตามไปเที่ยวด้วยคนครับ

@K.tonkok ยินดีครับ

หาดทรายดำตลอดแนวชายฝั่ง

บางช่วงที่เป็นปากน้ำเป็นหาดทรายดำกว้าง

ตามมาเที่ยวด้วยคน ผมพึ่งกลับมาจากไอซ์แลนด์ กับสแกนฯครับ

ชอบไอซ์แลนด์มากๆ คงต้องหาเวลากลับไปอีกแน่ๆ กรีนแลนด์ก็สวยแปลกตาดี

เลย Grimsta  ลมแรงมากจนบังคับรถลำบากและไม่กล้าลงจากรถ หลังจากนั้นฝนก็ตกจนได้

@K.MedicinePath สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ และอย่าลืมรีวิวของคุณหมอด้วยนะครับ

วิวข้างทางระหว่างฝนตก มีหิมะที่ยังละลายไม่หมด

ระหว่างทางเจอน้ำตกเล็กๆ

สวยไปอีกแบบครับ

ข้างหน้าแล้ว จุดเริ่มต้นของ Eastfjord

..

ตามไปเที่ยวด้วยคนครับ

@K.noiwanwannoi ยินดีครับ

แวะ i ที่เมืองข้างหน้านิดนึง เจ้าหน้าที่แนะนำให้แวะไปดูหมู่บ้านชาวประมง จำชื่อเมืองไม่ได้ครับ มีแต่ป้าย

ภูมิประเทศสวยดีนะคะ  มีน้ำตกเล็กๆด้วย

เมืองนี้ค่อนข้างใหญ่ครับ

แวะถ่ายภาพที่จุดชมวิว

สวยมากครับ  ไปเที่ยวด้วยครับ

วิวติดกันด้านซ้าย เป็นเขาหินแปลกดีครับ

มีโรงงานขนาดใหญ่ แต่เห็นเมฆฝนมาจึงไม่กล้าออกไปถ่ายรูป ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังจุดหมาย จึงต้องขับย้อนกลับไปทางเดิม

วิวเขาตรงข้ามชายฝั่งทะเล สวยงาม แปลกตาดีครับ และมีนกเยอะมาก แต่ไม่มีนกพัฟฟิน

ระหว่างขับเข้าใกล้เมือง เผอิญเหยียบเพลินไปหน่อย เห็นสัญญาณไฟเตือนความเร็วแสดงความเร็วที่เกินกว่ากำหนด และเห็นไฟแฟลช โอว ช็อกไปเลย แต่จนถึงวันนี้ก็ไม่มีใบสั่งมา แสดงว่าเป็นเพียงสัญญาณเตือนเท่านั้น

ขับต่อไปเรื่อยๆ เพื่อไปลอดอุโมงค์ เนื่องจากแผนที่ในหนังสือระบุไว้ว่า หากขับเลียบชายฝั่ง ทางจะค่อนข้างขรุขระ และจะต้องใช้เวลามาก

ภาพถ่ายในอุโมงค์  อุโมงค์นี้เป็นถนนสองเลนครับ

ออกจากอุโมงค์ได้ซักพัก เจอบ้านของเกษตรกรแถวๆ นั้น อยู่หลังเดียวโดดๆ

ภูเขาแปลกๆ ครับ

วิวชายฝั่ง

ซักพักถึงบ้านที่มีหินสวยๆ ให้ชม

ช่วงที่ไปไม่มีใครเข้าชมครับ เพราะเย็นแล้ว

ขับผ่านเมือง ป้ายสัญลักษณ์แสดงว่ามีเมืองอยู่ข้างหน้า

ภาพชายหาดและทรายสีดำเทา

เจอฝูงแกะ แสดงว่าเป็นพื้นที่ของเกษตรกร

บ้านอยู่ติดเขาและมีน้ำตกสายเล็กๆ ด้วยครับ

เริ่มเข้าใกล้กลุ่มธารน้ำแข็งในเขตอุทยานแห่งชาติ Vatnajokull แล้วครับ

ตอนที่ไป เมฆฝนยังเยอะอยู่ ทำให้ภาพที่ได้เป็นอย่างที่เห็น

..

จริงๆ มีทางให้ขับรถเข้าไปได้ แต่ต้องเป็นรถ 4x4 อีกทั้งอากาศเป็นแบบนี้ ทำได้เพียงถ่ายภาพเก็บไว้

บริเวณนี้ก็คือจุดที่ภูเขาไฟระเบิดในเดือนเมษายน 2553 และที่เพิ่งระเบิดเมื่อกลางปีที่ผ่านมานี้เองครับ

ภูเขาลูกนี้สวยแปลกตามากครับ

ตกหล่นไปจุดนึงครับ Langabud Museum ตั้งอยู่ที่เมือง Djupivogur เป็นทั้งท่าเรือ พิพิธภัณฑ์ และ i จะถึงก่อนธารน้ำแข็งครับ

กว่า 12 ชั่วโมง เกือบ 500 กิโลเมตร ในที่สุดก็ขับมาถึงที่พัก Guesthouse Hali ครับ

บ้านพักครับ ตอนนี้ก็ประมาณ 2 ทุ่มครับ ทำให้อยากอาบน้ำกินข้าวมาก

ด้านในห้องรับแขกครับ มีห้องพักหลายห้อง มีห้องน้ำรวม 2 ห้อง ไม่มีผ้าเช็ดตัวให้ ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งที่นี่เป็นที่พักที่แพงที่สุดในทริปครับ

ห้องน้ำสะอาดดี

ห้องนอน

เตียงที่ผมนอน

ห้องครัวครับ ที่สุดท้ายที่มานั่งรอ

หลังจากกินอิ่มแล้ว มีกลุ่มครอบครัวชาวอเมริกันเข้ามาครับ สงสัยไปกินข้าวที่ตึกหน้า พี่แกดันเล่นเปียโน เพราะมากจนต้องรอให้เล่นจบจึงเข้านอนได้

สี่ทุ่มแล้ว เข้านอนดีกว่า เหนื่อยมาก พรุ่งนี้จะได้ไปดูธารน้ำแข็ง

สวัสดีค่ะ ลิลลี่ตามมาชมรีวิวสวยๆอีกเช่นเคยนะคะ  

ตามมาชมตอน 7 จ๊ะ ^^

บ้านพักบรรยากาศดีจังครับ วิวนอกห้องพักก็สวยอีกด้วย

ไปเที่ยวกันต่อครับ

โอย โอย โอย กิเลสเริ่มครอบงำ

อยากไปอีกแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ

ตามมาเที่ยวไอซ์แลนด์ในหน้าหนาวต่อค่า ^^

คห.46 คือที่ที่เราได้มีโอกาสไปแวะหม่ำๆอ่ะค่ะ ด้านหน้าทะเล ด้านหลังภูเขา เป็นอีกที่ที่ถ่ายรูปออกมาสวยมากๆเลย