About Rekjavik

Reykjavik is by far the largest community in Iceland, with a population of about 200,000. Including the neighbouring towns, the capital area has a total population of about 170,000, which is about 60% of Iceland’s population of 300,000 people.

Iceland was settled by Norwegian and Celtic immigrants during the late 9th and 10th centuries A.D. According to the medieval Book of Settlements, Ingolfur Arnarson – the first settler of Iceland – built his farm on the peninsula where Reykjavik stands today. The place was named Reykjavik – “Smoky Bay” - after the columns of steam that rose from the hot springs in the area and made such a profound impression on the original settlers.

Many centuries later, around the middle of the 18th century, a small town started to grow around the farm of Reykjavik, thanks to Royal Treasurer Skuli Magnusson, known as the Father of Reykjavik, who established wool workshops at Reykjavik as part of his efforts to modernise the Icelandic economy. This led to the beginnings of urban development at Reykjavik. Reykjavik received its town charter in 1786.

The Icelandic parliament, Althingi, was founded in 930 AD at Thingvellir in the southwest. In 1798 the Althingi was abolished, but in 1845 it was re-established in Reykjavik, where the country’s government and administration were now located. In due course, when Iceland won Home Rule and then independence from Danish rule, Reykjavik became the capital of Iceland. With the rapid economic progress of the 20th century, Reykjavik grew steadily, but developed especially fast in the second half of the century.
For a living view of Reykjavik's past, visit the open-air Reykjavik City Museum- Arbaejarsafn, located in the eastern part of the capital. The newly opened and innovative Reykjavik 871 +/-2 Settlement Exhibition, located on Adalstraeti in the city centre, allows visitors to view the recently discovered, oldest settlement ruins in Reykjavik and Iceland (possibly those of Ingolfur Arnarson or his descendents), featuring an original Viking age longhouse

ข้อมูลจาก http://www.visitreykjavik.is/desktopdefault.aspx/tabid-147/

แผนการเดินทางวันนี้ 8 พ.ค. 54 Solheimahjaleiga-Skogafoss-Skokalanfoss-Gullfoss-Pingvellir-Reykjavik

ตื่นเช้า กินข้าวเช้า เก็บของขึ้นรถ แล้วออกมาสูดอากาศยามเช้า

คอกเลี้ยงม้าโพนี

ฝูงแพะครับ ตัวผู้เขาใหญ่ระวังตัวมาก จ้องพวกเราตลอดเวลา

ร้านอาหารของเจ้าของที่พัก

เดินทางเพื่อไปดูกลาเซียร์ให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ เจอป้ายเดินแทร็ก

เห็นไกลๆ Myrdalsjokull

เจออุปสรรคเป็นทางน้ำขวาง และหินกรวดก้อนใหญ่ เห็นถ้ารถแวนของเราจะไปไม่ไหว เจอข้อมูลจะเข้าไปได้ต้องขับรถ 4x4

ดูทางสิ ถอยดีกว่า ทางกลับรถก็ยังแคบเลย กว่าจะไปต่อได้ต้องหาที่กลับรถไกลมาก

ออกเดินทางต่อไปยังน้ำตกใหญ่ที่นักท่องเที่ยวต้องแวะชม

ดูขนาดของน้ำตกเทียบกับขนาดของคนสิครับว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน และความสูงขนาดนี้ทำให้น้ำที่ตกลงมากลายเป็นละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วพื้นที่เลยครับ

มีทางเดินขึ้นไปชมวิวด้านบน ดูขนาดของคนสิครับ เล็กมากเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ

ยืนอยู่หน้าบันไดที่จะขึ้นไปชมวิวด้านบน หันมาทางซ้ายเห็นม่านหมอกของละอองน้ำ เกิดเป็นรุ้งกินน้ำ

มองขึ้นไป อืม ใช้ได้เลย ความสูงนะครับ ไม่ใช่ผู้หญิงเสื้อสีส้ม

มองลงมาขึ้นมาสูงมากแล้ว แต่กว่าจะขึ้นมาได้เกือบ 15 นาที เสื้อหนาวที่ใส่ทำให้เหงื่อแตกเต็มตัว ต่างจาก 9 วันที่ผ่านมา ต้องใส่เสื้อหนาว 2 ชั้นเลยทีเดียว

ภาพถ่าย 180 องศา เริ่มจากด้านขวาก่อนครับ

ต่อด้วยส่วนกลางซึ่งเป็นที่จอดรถ

และพื้นที่ว่างซึ่งเป็นถนนทางเข้า พอมาถึงจุดนี้ เอ ทำไมไม่ถ่ายภาพแบบพาโนรามาไปเลยให้สิ้นเรื่อง พอถ่ายเข้าจริงๆ ทำยังงัยก็ได้ภาพที่สัดส่วนไม่สมดุล เลยไม่เอาดีกว่า

ขึ้นไปถึงด้านบนสุดของน้ำตกแล้ว มองลึกเข้าไปที่แท้เป็นธารน้ำสายยาว

ยืนติดกับน้ำตกเลย น่ากลัวมาก แต่มีรั้วกั้นไว้เพื่อความปลอดภัยครับ

ละอองน้ำกระจายเต็มไปหมดครับ ถึงขนาดทำให้กล้องบนมือถือผมแฮงก์ไปเลย

คุณแฟนเรียกให้ลงได้แล้ว เลยถ่ายรูปซะหน่อย

มองลงไป ความสูง 60 เมตรทำให้เสียววูบเลยครับ

ลงมาถึงพื้นดินซะที ก่อนกลับคุณแฟนขอซะหน่อย

รอจนพวกต่างประเทศสารพัดชาติ ขึ้นรถบัสกลับไปจนหมด เลยได้รูปที่ไม่ได้คนซะที

ก่อนจากอีกซักรูป

ออกเดินทางต่อ เอ๊ะ ข้างหน้ามีอะไรน่ะ นั่งท่องเที่ยวลงมาจากรถบัสเต็มไปหมด แวะจอดดู มีหมามาต้อนรับ เจ้าของหมาเป็นผู้หญิงสวย ขับรถวอลโว่สีแดงมาขายโปสเตอร์ครับ *-*

ดูป้าย นี่เองภูเขาไฟที่ระเบิดเมื่อปี 53 จนทำให้ต้องปิดเที่ยวบินไปหลายวัน และทำให้นักท่องเที่ยวหลายแสนคน รวมทั้งแฟนผมและครอบครัวของแฟนที่ติดอยู่ที่อิตาลีด้วย

และที่สำคัญภูเขาไฟแห่งนี้เอง ที่ทำให้แฟนผมต้องการมาเยือนไอซ์แลนด์ให้ได้ Eyja Fjalla Jokull

เป็นตากล้องมานาน ขอบ้างละกัน

ให้คุณแฟนมาถ่ายคู่กับภูเขาไฟคู่กรณีซะหน่อย โพสต์ท่าซะตรูอายเลย

ผู้หญิงขับวอลโว่กับหมาเมื่อกี๊ อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเหตุการณ์ตอนภูเขาไฟระเบิด อยู่ตรงข้ามกัน มาเป็นหน้าม้าขายโปสเตอร์รูปตอนที่ภูเขาไฟเริ่มปะทุ แต่ไม่ได้ซื้อเลยทำเองซะ หุหุ

ขับรถมาซักพักเดียวก็เจอแล้วครับ ได้ข้อมูลมาว่าเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วยครับ

ซักพักเจอม้าโพนี น่าจะตัวผู้เดินตามหลังตัวเมีย (เหมือนคน)

แถวนี้ม้าโพนีเยอะ ขอถ่ายรูปหน่อยนะ

สีดำ

แล้วก็สีขาว

สีน้ำตาลตัวนี้เท่ห์ดีครับ เสียดายขนไม่สวย

ขับรถไปซักพักเจอน้ำตก น้ำน้อยไปหน่อย

อันนี้ยิ่งน้อยเข้าไปอีก

ขับรถมาได้ซักพักมีป้ายบอกว่ามีน้ำตกข้างหน้า 2 แห่งคือ Seljalandsfoss และ Gljufurarfoss แต่หาน้ำตกที่สองไม่เจอเลยเข้าไปเฉพาะน้ำตก Seljalandsfoss

ภาพที่ผมถ่ายตอนช่วงปลายหน้าหนาว

หากใครต้องการดูรูปหน้าร้อนที่สวยกว่ามาก สามารถไปดูรูปของคุณหมอ MedicinePath จากกระทู้ E10848830 - http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10853099/E10853099.html

เดินเข้าไปด้านหลังของน้ำตกได้ครับ

หาจุดถ่ายรูปที่น้ำไม่กระเซ็นใส่เลนส์กล้อง

วิวจุดนี้สวยมาก

ทางเดินเต็มไปด้วยละอองน้ำและเฉอะแฉะ ต้องระวังมากเพราะใส่รองเท้าผ้าใบที่มีรูปที่พื้นทั้งผมทั้งแฟน

เดินมาถึงกลางน้ำตก ขอซะหน่อย

ทางเดินลง มีไม้ทำเป็นทางเดินให้แต่ไม่ได้ถ่ายเพราะเลอะดินโคลนเต็มไปหมด

ขับมาไกลพอสมควร เจอปั้มน้ำมัน แวะซะหน่อยเพื่อเข้าห้องน้ำและล้างรถ ลมแรงมากจนน้ำกระจาย

เกรงใจปั้ม และต้องการน้ำตาล เลยซื้อไอติมกิน

ขับผ่านเมือง Selfoss เพื่อไปดูน้ำพุร้อน Geysir แต่ไม่ได้แวะชมอะไรในเมืองเลย เพราะขับรถอ้อมมาก ทำให้เสียเวลาไปค่อนข้างเยอะ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เจอป้ายว่ามีทางลัดแต่ทางจะไม่ได้ลาดยาง เกิดกลัวขึ้นมาเลยยอมอ้อม แต่ปรากฎว่าทำให้เสียเวลาเป็นชั่วโมง

ขอแนะนำเมือง Selfoss ซักเล็กน้อย

ข้อมูลจาก http://www.exploreiceland.is/destinations/south_iceland/selfoss/

Selfoss is the centre of communications and services in South Iceland. With a population of over four thousand, and only 50km from Iceland's biggest market area, Selfoss has much to offer. It is far enough away from the stresses and strains of city life, yet so close that travelling to the city to work or to use services is not a problem. The town is growing fast; the local population has been rising much faster than the national average.

The business life in Selfoss is known for its stability, and many employers have chosen Selfoss for this reason. In the past ten years, there has been a constant rise in the number of businesses and service companies in Selfoss.

Selfoss is the communications centre of the South. In addition to the Ring Road, Iceland's main highway, that runs through the town, roads lead from Selfoss in all directions.

Selfoss is an ideal touring centre for visitors in the South, as many of the attractions of South Iceland are in easy reach of the town.

อยู่ดีๆ เพิ่งนึกออก ถ่ายรูปแบงก์ของไอซ์แลนด์ซะหน่อย สกุล Kronur

ระหว่างทาง เจอ Kerio เป็นปล่องภูเขาไฟที่มีน้ำสีเขียวอยู่ภายใน

ภูเขาไฟนี้ดับสนิทแล้ว จึงมีคนลงไปว่ายน้ำด้วยเพราะมีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด แต่ลมแรงมาก กลัวจะกลับขึ้นมาไม่ไหว

ออกเดินทางต่อ ซักพักเห็นอาคารที่มีควันของไอน้ำลอยขึ้นมา และรถบัสเต็มไปหมด น่าจะใช่ Geysir

ใช่แล้ว Geysir นั่นเอง

ด้านหน้าทางเข้าน้ำพุขนาดใหญ่ มีน้ำพุจิ๋วให้เห็น แต่น้ำไม่พุ่งนะครับ

พอเข้าไปได้ซักพัก น้ำพุร้อนทำงานพอดี

ยังไม่หนำ เดินเข้าไปใกล้ๆ คนเต็มไปหมด ทั้งนั่ง ทั้งยืน ถือกล้องรอจังหวะน้ำพุร้อนพุ่งขึ้นมา

เมื่อเห็นน้ำเริ่มลดลงไปในบ่อ แสดงว่าน้ำพุร้อนกำลังจะพุ่ง เลยได้ภาพเริ่มต้น

หลังจากนั้น

สุดท้ายคนหายไปหมด

บริเวณด้านในจะมีบ่อน้ำร้อน แต่น้ำไม่พุ่งอีกหลายบ่อ และมีนั่งรถยักษ์ขับชมบริเวณด้านในด้วย ซึ่งจะมีไกด์คอยแนะนำ

..

..

สีน้ำร้อนในบ่อสวยมาก

บ่อนี้น้ำใสมาก

อยากจะลองจุ่มดูว่าร้อนแค่ไหน เห็นป้ายแล้วไม่เอาดีกว่า

มีป้ายห้ามโยนเหรียญเงินใส่ลงไปในบ่อน้ำพุร้อนด้วย

ก่อนเดินทางกลับ แวะเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกเพื่อเข้าห้องน้ำ และแวะถามพนักงานในร้านว่าจะไปดูรอยแยกเปลือกโลกได้ที่ไหน พนักงานในร้านบอกว่าต้องไปที่ Pingvellir

เอาก็เอา ไปอีกครั้งเพราะวันแรกของการเดินทางแวะไปแล้วฝนตก วันนี้แดดเปรี้ยงน่าจะสวยกว่าเดิม

ระหว่างทางแวะน้ำตก Gullfoss ที่มีชื่อเสียงของไอซ์แลนด์ ป้ายบอกสถานที่จางมาก มองอะไรไม่เห็นเลย สงสัยโดนทั้งน้ำ แดด และลม

ขอแนะนำน้ำตก Gullfoss ซักเล็กน้อย เพราะมีประวัติว่าเกษตรกรชื่อโทมัสและลูกสาวพยายามปกป้องพื้นที่แห่งนี้เอาไว้จากการถูกนายทุนต่างชาติมาขอซื้อจนในที่สุดก็ตกเป็นสมบัติของชาติ

ข้อมูลจาก http://enjoyiceland.is/Places/All_Regions/Attractions/Natural_wonders/38/default.aspx

Gullfoss, (“Golden falls”) in the river Hvítá, one of the most beautiful waterfalls in Iceland and a favourite with tourists. It falls 32 m in two cascades. The canyon below the falls is 2,500 m long and 70 m deep, a magnificent sight. Gullfoss is state property. An information centre is located near the falls.

Pjaxi, a dell in the canyon not far below Gullfoss. Birch-bushes and rich vegetation. The name is probably derived from the Latin word pax, meaning peace.

Brattholt, a farm to which part of Gullfoss used to belong. Well-known because of the struggle of the farmer Tómas Tómasson (1845-1926) and his daughter Sigríður Tómasdóttir (1871-1957) to prevent Gullfoss being sold to foreign buyers. A statue of Sigríður by Gullfoss commemorates her victory.

How to get there:
Take road no. 1 from Reykjavík. Just before you arrive at Selfoss take exit to road no. 35 to Geysir. Gullfoss is about 70 km from that exit.

ลมแรงมาก จนละอองน้ำตกกระจายมาถึงจุดที่ถ่ายรูปเลย

ขอเป็นนายแบบริมน้ำตกซะหน่อย ไม่คาดหน้าเพราะแว่นสายตาที่ใส่ปรับสีเป็นแว่นกันแดดแล้ว คุ้มจริงๆ ที่จ่าย 3500 บาทค่าเลนส์สำหรับสายตายาว อิอิ

แผ่นหินบริเวณน้ำตกจะลื่นนิดนึง เดินต้องระวังมากๆ

เดินกลับต้องปิดเลนส์กล้อง เพราะลมแรงมากจนละอองน้ำกระจายมาถึงทางเดิน

ก่อนกลับคุณแฟนขอโพสต์ท่าอีกซักรูป

มีรูปที่เห็นชัดว่าน้ำกระจายแค่ไหน

ขับออกมาซักพักมีจุดชมวิวอีกแห่ง

..

..

..

ขับต่อไปยัง Pingvellir เพื่อไปดูรอยแยกเปลือกโลก

ถ่ายรูปอย่างเดียว ทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นรอยแยกเปลือกโลกที่หาอยู่หรือไม่

..

..

..

..

..

ป้ายแสดงสถานะเป็นมรดกโลก

..

ประวัติของที่แห่งนี้

..

..

..

ธรรมชาติสวยงามและยิ่งใหญ่จริงๆค่ะ  ขอบคุณที่พาเที่ยวนะคะ

เดินทางต่อเพื่อไปยังเมืองเรกยาวิก เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์

ภาพเมืองจากระยะไกล

..

ขับไปทางภัตตาคาร Perlan ซึ่งมีชื่อเสียงมาก เมื่อก่อนเป็นที่เก็บน้ำของเมือง แต่ในปัจจุบันเป็นภัตตาคารหรูอยู่บนที่ราบสูงของเมือง ไม่กล้าเข้าไปเพราะมีแต่คนใส่ชุดราตรีเดินเข้าไป

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่มครึ่งของไอซ์แลนด์ แต่แดดยังแรงอยู่

รูปปั้นที่อยู่ใกล้ๆ กัน

มองลงไป เมืองใหญ่มาก

มองไปทางขวา

ขับรถต่อไปยังที่พัก Capital Inn ต้องใช้ Nokia Ovi Map และแผนที่ที่พักช่วยกันจนในที่สุดก็เจอ คุณแฟนเธอจำได้ว่าอยู่ตรงไหนเพราะดูจากเว็บไซต์ของโรงแรม

ที่นี่ราคาไม่แพงมาก ห้องนอนใช้ได้ มีผ้าเช็ดตัวให้ด้วย ห้องน้ำเป็นแบบรวม มีครัวและตู้เย็นอยู่ชั้นใต้ดิน เหมือน YHA เลย

เตียงนอน

ครัว

อาบน้ำเสร็จไปเดินเล่นในเมืองและหาอะไรกิน โบสถ์ Hallgrímskirkja ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงของเรกยาวิก

..

พระอาทิตย์กำลังตก

เวลาตอนนี้ 3 ทุ่มครึ่ง เดินมาด้านหน้าของโบสถ์ แสงเปลี่ยนไปเลย

บรรยากาศในเมือง

Harpa Reykjavik Concert Hall and Conference Center

..

..

..

หิวมาก เดินหาร้านอาหารที่ราคาไม่สูงมาก สะดุดตากับร้านนี้คิดว่าดูลูกทุ่งดีไม่น่าจะแพง ราคาพิซซ่า Lobster แค่สองพันกว่าโครน่า อืม ตกลงเอาร้านนี้เดินนำหน้าไม่สนใจใครแล้ว

สไตล์การจัดการกึ่งยุโรปกึ่งอเมริกัน มีป้ายเขียนบอกให้นักท่องเที่ยวหาที่นั่งได้เลยแล้วพนักงานจะตามมารับออร์เดอร์

พนักงานเดินตัวปลิวเลย จะเรียกมาสั่งอาหารซะหน่อย

พิซซ่ากุ้ง Lobster

จำชื่อไม่ได้ แต่คล้ายๆ เคบัพ

แฟนบอกว่าเนื้อแกะ เนื้อแกะ ก็ เนื้อแกะ

เบียร์ไวกิ้งคนละแก้ว เสียตังก์ แต่น้ำเปล่าฟรี

บิลเก็บตังก์

กินเสร็จประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ เดินกลับไปที่จอดรถเพื่อกลับที่พัก

วิวค่ำคืนสวยมาก

ลากันด้วยภาพของโบสถ์ Hallgrímskirkja ยามดึก

พรุ่งนี้จะมาต่อในตอนสุดท้ายครับ (9th May Rekyjavik-Puffin-Crack-Blue lagoon)

เข้ามาเที่ยว   ธรรมชาติดูยิ่งใหญ่ตระการตามากค่ะ  ^_^

เกาะล้อมาเที่ยวด้วยค่ะ แต่ละวันขับรถทางไกลน่าดูเลยนะคะเนี่ย
มองไปมันโล่งๆๆๆ

So Beautiful.....


Very good experience and holiday....
Thank you for lovely pics...

ไปชมวันสุดท้ายของการท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์กันครับ

ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ

น่าเที่ยวมากมาย :)

ตามมาดูค่า ได้เที่ยวหลายที่มากๆ สวยงามมากค่าาา ^^

นายแบบ *73 เท่ห์มากค่ะ  

ม้าสายพันธุ์ไอซแลนด์ไม่ได้เรียกม้าโพนีนะคะ ม้าโพนีคือลูกม้าค่ะ แต่ม้าไอซแลนด์จะเป็นสายพันธุ์เฉพาะซึ่งจะตัวเล็ก แต่แข็งแรงและทนกับสภาพอากาศ และภูมิประเทศค่ะ และที่เห็นว่าขนไม่สวยเพราะบางตัวเขา
กำลังผลัดขนสำหรับหน้าร้อนค่ะ :)