ณ ความสูงที่เท่าไหร่ไม่แน่ชัด แต่ที่รู้ชัดๆคือความหนาว ยิ่งเดินก็ยิ่งหนาว แต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะมีเป้าหมายสำคัญต้องพิชิต
งานนี้ต้องอดทนกันสักหน่อย เพราะมีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ รางวัลที่คุ้มค่ากำลังรอคอยเราอยู่เบื้องหน้านี้แหละ เอ้า...สู้ๆ!!
ครั้งที่แล้วทิ้งท้ายไว้ตรงที่ความน่ารักของเจ้าลิงสามตัวแห่งวัดโทโชกุ ห่างกันไม่ไกล เดินหมุนตัวหันกลับมาก็เจอ
ฝั่งตรงข้ามกันนั้นมีศาลาที่ชื่อว่า Kami-Jinko 上神庫 หลังจากที่มีการบูรณะใหม่สวยสดงดงาม
ภายในไม่สามารถเข้าไปชมได้ เนื่องจากปัจจุบันใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์และเครื่องแต่งกายต่างๆ
ที่เอาไว้ใช้ในงานเทศกาลประจำปีของทางศาลเจ้า สิ่งที่ควรชม ณ จุดนี้นั้นคือ งานจิตรกรรมของศาลา
[14 ส.ค. 54 08:29:05
]
โดยเฉพาะทางฝั่งทิศใต้ (ฝั่งที่หันหน้ามาหาเรา) จะเห็นงานสลักชิ้นสำคัญอีกหนึ่งชิ้น จากทั้งหมด 3 ชิ้น
งานชิ้นแรกที่ชมไปแล้วคือ "ลิงแสนรู้" อีกชิ้นหนึ่งคือ "ช้างและสิงโต" ที่หันหน้าชนกันบริเวณใต้หลังคา
โดยตัวช้างนั้นเป็นงานฝีมือของศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างมากของญี่ปุ่นในสมัยเอโดะ คือ Kano Tan-yu
โดยที่เขาไม่เคยเห็นช้างตัวจริงมาก่อนในชีวิต ผลงานนี้มีชื่อว่า Sozo-no-zo 想像の象 หมายความว่า ช้างในจินตนาการ
[14 ส.ค. 54 08:29:36
]
ฝั่งตรงข้ามคือ หอเก็บพระคัมภีร์ของศาลเจ้าหรือ Kyōzō 経蔵
บริเวณรอบๆมีโคมไฟหินตั้งเรียงราย โดยที่ในอดีตขุนศึกทั่วแผ่นดินสร้างถวายเป็นสัญลักษณ์ อุทิศให้กับท่านโชกุนโทกุกาวะผู้ล่วงลับ
[14 ส.ค. 54 08:30:16
]
ชำระล้างร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ก่อนที่รางน้ำศักดิ์สิทธิ์ Omizuya 御水舎 เป็นน้ำที่มาจากหุบเขาธรรมชาติของนิคโก้
กว่าจะเข้าไปถึงตัววัดจริงๆก็มีอะไรให้เราได้ชมกันตลอดทางเลย พอหมดตรงนี้ก็จะพบกับโทริอิอีกหนึ่งจุด
Kara-do Torii เป็นโทริอิแห่งแรกที่ทำมาจากทองสัมฤทธิ์ โดยมีฐานเป็นงานแกะสลักรูปดอกบัวตามแบบของจีน
[14 ส.ค. 54 08:30:38
]
พ้นจากโทริอิทองแดงก็จะเจอกับประตูทางเข้าที่ยิ่งใหญ่อลังการ ประตูนี้มีชื่อว่า Yomei-mon 陽明門 แปลว่าประตูแห่งแสงสว่าง
และมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Higurashino-mon 日暮らしの門 หมายความว่า ประตูแห่งพระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตก
คือต้องการจะสื่อว่าเป็นความงดงามของประตูนี้ สามารถใช้เวลามองพินิจพิจารณาและชื่นชมได้ตลอดทั้งวัน
[14 ส.ค. 54 08:31:00
]
จริงๆแล้วคำว่า Yomei-mon นั้นมีที่มาจากชื่อของประตูหนึ่งใน 12 ประตูของพระราชวังเกียวโต
ด้วยความวิจิตรของลวดลายและจิตรกรรมบนประตูนี้ ทำให้ผู้คนไม่สามารถที่จะหยุดชื่นชมความงามของมันได้เลยจริงๆ
และที่สำคัญมีงานศิลป์มากกว่า 500 ชิ้นรวบรวมอยู่บนประตูที่มีความสูง 11.1 เมตรแห่งนี้
[14 ส.ค. 54 08:32:18
]
ทางด้านซ้ายและขวาของ Yomei-mon มีรูปปั้นของผู้มีอิทธิพลอย่างมากในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นทั้งสองท่าน
คือ Hideyoshi Toyotomi และ Yoritomo Minamoto โดยจะถือธนูอยู่ที่มือทั้งสององค์
[14 ส.ค. 54 08:32:36
]
ที่กำแพงทั้งสองฝั่งแกะสลักเป็นลายต้นไม้และนกยูง วิจิตรตระการตา
จากคุณ : Bird Freedom
[14 ส.ค. 54 08:33:06
]
ด้านในทั้งสองฝั่งเป็นรูปปั้นสิงโตสีทองตนหนึ่งเป็นสีน้ำเงินและอีกตนเป็นสีเขียว
ที่บริเวณหลังคานั้นมีรูปปั้นและรูปแกะสลักของสัตว์ในจินตนาการต่างๆมากมาย
ไม่ว่าจะเป็น นกกะเรียน ไก่ฟ้า เสือ สิงโต และ โดยเฉพาะสัตว์ในตำนานของจีนอย่างมังกร
และบริเวณเพดานมีภาพเขียนฝีมือของ Kano Tan-yu เป็นภาพมังกรที่กำลังบินขึ้นฟ้า และ ภาพมังกรที่บินลงมาสู่พื้น
โดนสื่อความหมายว่าเป็น การลงมาจากสวรรค์และกลับสู่สวรรค์
[14 ส.ค. 54 08:34:34
]
ส่วนเสาหลักของทั้งสองฝั่งนั้นก็แกะสลักไว้อย่างสวยงามและทาด้วยสีเทาขาว
สามารถไปลูบเพื่อความเป็นสิริมงคลได้ หากสังเกตดีๆ จะมีฝั่งหนึ่งที่ลวดลายบนเสานั้นจะสลับกลับหัวกับเสาอีกฝั่งหนึ่ง
[14 ส.ค. 54 08:35:01
]
พ้นจากประตูนี้ทางด้านซ้ายมือจะเห็นศาลาที่มีชื่อเรียกว่า Shinyo-sha 神輿舎
หรือแปลว่าศาลาที่มีไว้เก็บ ศาลเจ้าเคลื่อนที่ หรือเรียกว่า Mikoshi 神輿
[14 ส.ค. 54 08:36:37
]
โดยในแต่ละปีจะมีการนำศาลเจ้าเคลื่อนที่ (มีทั้งหมด 3 ตัว) ออกมาใช้สำหรับแห่ในงานเทศกาลปีละสองครั้ง
โดยแต่ละอันนั้นสร้างขึ้นสำหรับผู้นำสามท่านคือ Hideyoshi Toyotomi, Yoritomo Minamoto และ Ieyasu Tokugawa
[14 ส.ค. 54 08:37:32
]
ตรงด้านหน้าจะเป็นอีกประตูหนึ่งที่มีความสำคัญแต่ขนาดเล็กกว่า ประตูสีขาวนี้มีชื่อว่า Kara-mon 唐門
สร้างขึ้นเมื่อปี 1636 มีความสูง 3 เมตร มีลวดลายการแกะสลักแบบจีนที่สวยงามไม้แพ้กัน
ถึงแม้จะมีขนาดเล็กและมีงานแกะสลักมากถึง 611 ชิ้นเลยทีเดียว
[14 ส.ค. 54 08:38:18
]
ผ่านจากประตูนี้เข้าไปจะเป็นหอสวดมนต์หรือเรียกว่า Haiden 拝殿 ซึ่งไม่สามารถเข้าจากทางด้านหน้าโดยตรงได้
เนื่องจากมีขนาดเล็กจึงต้องอ้อมไปทางด้านข้างและต้องฝากรองเท้าไว้ที่ลอคเกอร์ก่อนเข้าไปด้านใน
ด้านในอากาศยิ่งหนาวยะเยือกด้วยเหตุที่สร้างมาจากไม้ทำให้เก็บความเย็นเข้าไป หนาวจนแทบทนไม่ไหวเลย สั่นหงึกๆๆ
ส่วนด้านในบริเวณหอหลักหรือเรียกว่า Honden 本殿 ไม่สามารถเข้าไปชมได้ และที่สำคัญบริเวณทั้งหมดนี้ห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด
[14 ส.ค. 54 08:38:52
]
จากตรงจุดนี้สามารถเข้าไปชมงานศิลปะชิ้นที่สามคือ ไม้แกะสลักแมวหลับ ที่มีชื่อว่า Nemuri-neko 眠り猫
ผลงานของช่างแกะสลักไม้ที่มีชื่อเสียงมากในสมัยเอโดะชื่อว่า Hidari Jingoro 左甚五郎
คำว่า Hidari 左 นั้นแปลว่าซ้าย เป็นฉายาที่ใช้เรียกกับชื่อเนื่องจากเป็นคนถนัดมือซ้ายนั่นเอง
[14 ส.ค. 54 08:39:07
]
โดยสร้างผลงานแกะสลักไว้มากมายโดยเฉพาะตามวัดและศาลเจ้าที่สำคัญต่างๆ โดยเจ้าตัวเป็นคนที่รักแมวมาก
และเคยเก็บตัวเงียบๆเพื่อขัดเกลาความรู้และเทคนิคของเขาในงานปั้นและแกะสลักเพื่อทำให้ผลงานรูปแมวนั้นให้เสมือนจริงที่สุด
และสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบในอิริยาบถต่างๆ
[14 ส.ค. 54 08:39:25
]
Nemuri-neko หรือ Sleeping cat นั้นถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนิคโก้ และเป็นจิตวิญญาณของท่านอิเอยาสุ
ผู้ที่เปรียบเสมือนกับเทพเจ้าแห่งการเยียวยารักษา เนื่องจากท่านนั้นเป็นผู้ที่นำการรักษาโรคด้วยยาและการบำรุงร่างกายหล่อเลี้ยงจิตใจ
และจิตวิญญาณเพื่อขจัดความเจ็บป่วยโรคร้ายต่างๆให้หายไป และนอกจากนี้ยังสื่อความหมายถึงความสงบสุขอีกด้วย
แมวหลับอย่างสบายใจแบบนี้ก็คงสื่อว่าไม่มีอันตรายใดๆเข้ามาใกล้ๆแล้วละ
[14 ส.ค. 54 08:39:53
]
จากตรงนี้ผ่านประตู Sakashi ta-mon 坂下門 เพื่อเข้าไปสู่บริเวณศาลเจ้าด้านใน Okusha 奥社
ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานของท่านอิเอยาสุโดยจะต้องเดินขึ้นบันไดหิน 200 ขั้นจนไปถึงโทริอิหิน Ishi-Dorii 石鳥居
[14 ส.ค. 54 08:40:33
]
ก่อนที่จะเข้าไปด้านใน สังเกตที่พื้นด้านข้างบันไดทั้งสองฝั่งจะเห็นว่ามีรูปปั้นครึ่งสุนัขครึ่งสิงโตหรือเรียกว่า Koma-Inu 狛犬
คอยปกปักรักษาศาลเจ้าของชินโต โดยรูปปั้นนี้ได้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับผู้คอยติดตามรับใช้ท่านโชกุนอิเอะยาสึ
[14 ส.ค. 54 08:41:04
]
และต้องเดินผ่านประตู ด้านหน้าสุสานก่อนถึงจะเข้าไปด้านใน โดยมี Treasure Tower ที่เป็นที่ฝังพระศพของท่านโชกุนเอาไว้ด้านใต้
จากคุณ : Bird Freedom
[14 ส.ค. 54 08:41:50
]
หลังจากนั้นเราจึงเดินทางต่อไปที่เป้าหมายที่สามคือ ศาลเจ้า Futarasan 二荒山神社 ที่นี่เป็นเป้าหมายหลักอีกหนึ่งแห่ง
และเป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าชินโตที่สำคัญ ชื่อของวัดตั้งขึ้นมากจากชื่อเขาฟูตาระซัน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เขานันไท"
สร้างขึ้นเมื่อปี 767 โดยท่านโชนิน สำหรับสักการะเทพเจ้า 3 องค์คือ
เทพเจ้าผู้สร้าง Ōkuninushi, เทพธิดาแห่งแสงสว่าง Tagori-hime และ เทพเจ้าสายฟ้า Aji-suki-taka-hikone
[14 ส.ค. 54 08:42:47
]
นอกจากนั้นศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นสถานที่เก็บรักษาดาบสองเล่มที่จัดว่าเป็นสมบัติแห่งชาติของญี่ปุ่น
และที่สำคัญคือ สะพานศักดิ์สิทธิ์ซังเคียว ที่ข้ามแม่น้ำไดยะก็เป็นส่วนหนึ่งของศาลเจ้าแห่งนี้ด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้นตั้งแต่สมัยก่อนศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อภูเขาศักดิสิทธิ์ทั้งสามแห่งของนิคโก้นั่นคือ
Mt. Nantai (男体山 2,486 m), Mt. Nyoho (女峰山 2,483 m) และ Mt. Taro (太郎山 2,367 m)
[14 ส.ค. 54 08:43:00
]
ทางเดินเข้าศาลเจ้ามีชื่อว่า Kami-shinmichi 上新道 เป็นทางเดินเชื่อมระหว่างศาลเจ้าโทโชกุและศาลเจ้าฟูตาระซัน
โดยจะมีโคมหิมตั้งเรียงรายตามทางเดิน และจะพบกับเสาหินที่สลักชื่อของศาลเจ้าเอาไว้ที่ด้านหน้าซุ้มประตูทางเข้า
[14 ส.ค. 54 08:44:08
]
ที่มีชื่อว่า Ro-mon 楼門 ประตูจีนสีแดง และถัดเข้าไปเป็นโทริอิด้านหน้าศาลเจ้า
มาถึงตรงนี้มีสาวๆชาวญี่ปุ่นมาขอให้พวกเราถ่ายรูปให้ก้อทักทายตามประสา
พอเค้ารู้ว่าเราพูดภาษาญี่ปุ่นได้ก็ตื่นเต้นดีใจใหญ่ แล้วก็มาถ่ายรูปพวกเราให้ด้วยเป็นการตอบแทน น่ารักจริงๆ
[14 ส.ค. 54 08:44:35
]
ภายในบริเวณศาลเจ้าจะมีหอสวดมนต์อยู่ตรงกลางที่เรียกว่า Haiden และมีหอหลักอยู่ถัดกันคือ Honden
จากคุณ : Bird Freedom
[14 ส.ค. 54 08:45:02
]
มุมอื่นๆภายในวัด
จากคุณ : Bird Freedom
[14 ส.ค. 54 08:45:45
]
บรรยากาศรอบๆ
จากคุณ : Bird Freedom
[14 ส.ค. 54 08:46:18
]
บรรยากาศรอบๆ
จากคุณ : Bird Freedom
[14 ส.ค. 54 08:46:37
]
และที่ใกล้ๆกันจะมีโคมจีน Bake-doro (Ghost Lantern) ที่ทำจากทองแดงที่ล้อมรอบไปด้วยรั้วสีแดงอยู่ สร้างขึ้นเมื่อปี 1292
ว่ากันว่าเป็นโคมที่สร้างขึ้นเพื่อกักขังปีศาจที่ออกมาทำร้ายชาวบ้านในสมัยก่อนและถูกปราบโดยซามูไร
และขังไว้ในโคมแห่งนี้เพื่อไม่ให้ออกมาแผลงฤทธิ์ได้อีก สังเกตดีๆจะเห็นเป็นรอยดาบที่ว่ากันว่าเป็นรอยดาบของซามูไรท่านนี้นี่แหละ
[14 ส.ค. 54 08:46:57
]
หลังจากนั้น พวกเราหยุดแวะเล่นเกมส์โยนห่วงกัน
จริงๆแล้วห่วงที่ว่าเป็นห่วงเชือกศักดิ์สิทธิ์ของทางศาลเจ้ามีชื่อเรียกว่า Undameshi-wanage 運試し輪投げ
มีความหมายว่าการโยนห่วงเสี่ยงโชคนั่นเอง ถ้าหากสามารถโยนได้ครบสามห่วงหรือแค่เพียงห่วงเดียวก็จะพบกับความโชคดี
พวกเราไม่มีใครโยนครบทั้งสามห่วงเลย แต่อย่างน้อยก็โชคดีละน่า เพราะโยนลงคนละห่วงแน่ะ
[14 ส.ค. 54 08:47:26
]
ถ้าหากใครอยากสมหวังในความรักต้องมาทางนี้ ใกล้ๆกันนั้นจะมีทางเข้าศาลเจ้า En-musubi-jinjya 縁結び神社
ซึ่งเป็นศาลเจ้าเล็กๆที่ว่ากันว่า สามารถขอพรเพื่อให้สมหวังในความรัก หาคู่ครอง และการแต่งงาน
ด้านในมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่เรียกว่า Go-shinboku 御神木 ที่เขียนไว้ว่ามีอายุกว่า 700 ปีและมีความสูงกว่า 60 เมตร
ถัดมาเป็นศาลเจ้า Hoyu-jinjya 朋友神社 ศาลเจ้าแห่งสหายและมิตรภาพ
แวะกราบสักการะเพื่อความเป็นมิตรกับเพื่อนๆที่รักของพวกเราเพื่อที่ว่าจะได้อยู่ด้วยกันฮาๆแบบนี้ตลอดไป
[14 ส.ค. 54 08:48:09
]
ถ้าหากได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วๆ ให้หันซ้ายหันขวามองหาน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ Futara Reisen 二荒霊泉
ที่จะนำพาความเยาว์วัยและปัญญามาให้ผู้ที่ศรัทธาและดื่มน้ำพุธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
น้ำใสสะอาดบริสุทธิ์ลงมาจากเขา รับรองดื่มได้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงห้ามโยนเหรียญลงไปในบ่อน้ำพุแห่งนี้ ไม่อย่างงั้นมันก็จะเปรอะเปื้อนได้
[14 ส.ค. 54 08:48:30
]
นอกจาก นี้จุดอื่นๆที่น่าสนใจก็จะมี Shinyo-sha 神輿舎 ไว้สำหรับเก็บรักษา Mikoshi
ว่ากันว่าศาลาหลังนี้เป็นหลังดั้งเดิมที่เก่าที่สุดในนิคโก้ที่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
(คาดว่าหลังอื่นที่เก่าๆมากคงพุพังตามอายุจนต้องสร้างใหม่ไปแล้ว)
[14 ส.ค. 54 08:49:04
]
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรารีบเดินจ้ำๆต่อไปที่วัด Rinnō-ji Taiyū-in 輪王寺大猷院
ชื่อของวัดนั้นตั้งเพื่อเป็นเกียรติแด่ท่านโชกุนโทกุกาวะ อิเอะยาสึ โดยที่ท่านได้กล่าวคำพูดหนึ่งไว้ก่อนสิ้นลมหายใจว่า
"I will serve for Ieyasu even after I die." เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 1651 ดังนั้นท่านโชกุนโทกุกาวะรุ่นที่สี่
คือโชกุนอิเอะซึนะ จึงสืบต่อเจตนารมย์และได้โปรดสร้างวัดแห่งนี้ในปี 1652 และแล้วเสร็จในเดือน เม.ย.ปี 165
[14 ส.ค. 54 08:49:58
]
โดยระหว่างการก่อสร้างนั้นท่านโชกุนได้เกิดความลังเล และตัดสินใจที่จะไม่ลอกเลียนรูปแบบการก่อสร้างตามแบบของวัดโทโชกุ
ดังนั้นจึงสังเกตได้เห็นถึงความแตกต่างโดยที่วัดโทโชกุนั้นจะมีสีพื้นฐานคือสีขาวและสีทองโดยล้อมกรอบสีดำ
แต่ในขณะที่วัดไทยูอิน มีสีพื้นฐานคือสีทองและสีดำโดยล้อมรอบเป็นสีแดง โดยทำเลที่ตั้งนั้นจะหันหน้าเข้าหาวัดโทโชกุ
แสดงให้เห็นว่า ท่านโชกุนอิเอะซึนะนั้นมีความเคารพและจงรักภักดีต่อท่านโชกุนอิเอะยาสึเป็นอย่างมาก
[14 ส.ค. 54 08:50:43
]
ประตูจีนที่ตั้งตระหว่านต้อนรับเราอยู่ที่เบื้องหน้านั้นมีชื่อว่า Niō-mon 仁王門
หากเห็นชื่อนี้เมื่อไหร่ต้องนึกถึงยักษ์คู่ (ไม่ใช่ไอติมยักคู่สมัยก่อนนะ) สองตนที่ตั้งอยู่ทั้งสองด้านของฝั่งประตู
[14 ส.ค. 54 08:51:00
]
ต้องชำระร่างกายและจิตใจให้สะอาดที่ซุ้มสีดำทอง Omizuya ก่อน และก็มุ่งหน้าเข้าสู่ด้านในวัดกันเลย
จากคุณ : Bird Freedom
[14 ส.ค. 54 08:52:03
]
ประตูที่อยู่ด้านหน้าวัดมีชื่อว่า Niten-mon 二天門 มีความหมายว่าประตูแห่งเทพเจ้าทั้งสอง เทพเจ้าทั้งสององค์ที่ว่านี้คือ
Jikoku-ten 持国天 เทพผู้ปกปักรักษาทางทิศตะวันออก และ Komoku-ten 広目天 เทพผู้ปกปักรักษาทางทิศตะวันออก
[14 ส.ค. 54 08:53:14
]
ก่อนมาถึงประตูก็ต้องขึ้นบันได้ พอพ้นประตูมาก็ต้องขึ้นบันได้อีก แถมอากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ
ขาก็พาลจะไม่มีแรง แต่ไหนๆมาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุดกันหน่อยละ ฮึบๆ
[14 ส.ค. 54 08:53:28
]
ระหว่างทางที่ขึ้นก็จะเห็นเป็นสวนกว้างๆทั้งหมดนี้เป็นบริเวณของสวน Jinkai-teien 人界庭園 มีโคมหินตั้งเรียงรายเต็มบริเวณสวน
จากคุณ : Bird Freedom
[14 ส.ค. 54 08:53:48
]
จนกระทั้งมาถึงหอระฆังหรือเรียกว่า Shōrō 鐘楼 ที่ดูยังไงก็ไม่เหมือน
นี่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้นะเนี่ยว่าด้านในมีระฆังอยู่ และเราก็มาถึงประตูเข้าในตัววัดกันจริงๆซักที
[14 ส.ค. 54 08:54:47
]
ว่าไปแล้วที่วัดนี้มียักษ์ที่คอยปกปักรักษาคุ้มครองเยอะมาก เพราะที่ประตูนี้มีชื่อเรียกว่า Yasha-mon 夜叉門
จากคุณ : Bird Freedom
[14 ส.ค. 54 08:56:06
]
มีความหมายว่าประตูแห่งเทพอสูรสตรี มีความสง่างามมาก
สมกับที่ท่านโชกุนอิเอะซึนะ ตั้งใจบรรจงสร้างออกมาเพื่อถวายแด่ท่านโชกุนอิเอะยาสึที่ล่วงลับไป
[14 ส.ค. 54 08:58:34
]
บริเวณด้านนอกของประตู มีสององค์คือ สีแดงและสีเขียว และด้านในประตูคือองค์สีน้ำเงินและสีขาว
จากคุณ : Bird Freedom
[14 ส.ค. 54 08:59:31
]
มองยังไงก็มองไม่ออกว่าจะแยกแยะความเป็นชายหรือหญิงได้ เพราะทุกตนก็ไม่ได้มีหน้าอกหรือใส่เสื้อผ้ามิดชิดกว่าตนอื่น
แต่ที่สังเกตได้ชัดที่สุดน่าจะเป็นองค์สีขาวที่ ท่าทางและการวางมือนั้นจะดูออกเป็นสตรีเป็นพิเศษ
[14 ส.ค. 54 09:00:44
]
ด้านในวัดมีเพียงหอหลักๆเท่านั้นคือ หอสวดมนต์ Haiden และ หอหลัก Honden ที่ไว้สำหรับทำพิธีต่างๆ
นอกจากบริเวณนี้ก็ไม่สามารถเข้าไปชมได้แล้ว เพราะด้านในนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สงวนไว้และไม่เปิดให้เข้าไปสักการะที่ด้านในได้
[14 ส.ค. 54 09:01:44
]
บริเวณที่ว่านี้จะอยู่หลังประตู Koka-mon 皇嘉門 หมายความว่า ประตูแห่งความมงคลอันศักดิ์สิทธิ์
จากคุณ : Bird Freedom
[14 ส.ค. 54 09:02:33
]
ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งในการพิชิต World Heritage Site เกือบทั้งหมด
ที่บอกว่าเกือบเพราะยังมีเป้าหมายสำคัญท้ายสุดที่ ถ้าไม่ได้ไปที่นี่ถือว่าไม่ได้มานิคโก้
แต่ตอนนี้ท้องเริ่มหิวแล้วเพราะเลยเที่ยงมานานละ คงต้องหาอะไรอร่อยๆแบบสไตล์นิคโก้แท้ๆลงท้องซักหน่อย
ออกจากบริเวณวัดจะมีทางเดินลาดลง เดินตามทางไปเรื่อยๆก็จะเป็นชุมชนเล็กๆส่วนมากเป็นร้านค้าและร้านอาหาร
เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้หยุดพักเลือกซื้อของฝากและหาอาหารอร่อยๆทานกัน
[14 ส.ค. 54 09:02:50
]
เมนูที่เราเลือกกัน เป็นเมนูที่เห็นมาจากป้ายระหว่างทางเดินลง น่ากินมาก เราเลยไปดูหน้าตาของจริง
และก็เข้าไปในร้านสั่งกันโดยไม่รีรอ เจ้าของร้านออกมาทักทายและชักชวนเราเข้าร้านอย่างน่ารักอัธยาศัยดี
เมนูนี้ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นเมนูสำหรับคนรักสุขภาพ เจ้าของร้านโฆษณาไว้อย่างนี้ และรับประกันความอร่อยอีกต่างหาก
เมนูนี้มีชื่อเรียกว่า Yuba-don ゆば丼 ข้าวราดหน้าเต้าหู้แผ่นทรงเครื่อง (แปลเป็นประมาณนี้แล้วกัน)
เป็นเมนูขึ้นชื่อของเมืองนิคโก้มาแล้วต้องชิมให้ได้ อ้อ...ลืมบอกชื่อร้าน ร้านนี้มีชื่อว่า Maruhide まるひで
[14 ส.ค. 54 09:03:14
]
จากที่มองจากภาพที่ป้ายโฆษณาหน้าร้านแล้ว สีสันหน้าตาน่าทานจนได้กลิ่นของความอร่อยโชยมาแต่ไกล
พวกเราสั่งเมนูเดียวกันคือ Yuba-don Set ราคา 1,370 เยน โดยเสิร์พร้อมกับ Yuba-nabe ゆば鍋
หม้อยูบะร้อนที่เป็นซุปต้มยูบะ และ เครื่องเคียง Yuba-toge ゆば刺 ตามสไตล์อาหารชุดของญี่ปุ่น
ข้าวหน้ายูบะนั้นราดหน้าด้วยซอสเหนียวที่ปรุงรสและคลุกเคล้ากันอย่างดีกับยูบะและผักหลากหลายชนิดที่ไม่เคยเจอที่ไหน
รสชาติอร่อยอย่างที่เจ้าของร้านพูดไว้จริงๆ กินกันเกลี้ยงไม่มีเหลือสงสัยเพราะบวกกับพลังหิวด้วย
[14 ส.ค. 54 09:03:57
]
ลองดูรายละเอียดได้ที่นี่ เขียนแนะนำเอาไว้อย่างละเอียด
http://plaza.rakuten.co.jp/akairokujaku/diary/200812240000/
แถมประโยคเด็ดทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า Yuba wa Yuba dane! (ゆばはゆばダネ!) แปลว่า ยูบะก็คือยูบะละเนอะ
เผลอแป้บเดียวก็เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็นแล้ว พวกเราจึงรีบจรลีออกจากร้าน
หลังจากนั่งชิลล์กินขนมเค้กชื่อดังของนิคโก้รสชาเขียวที่ทางร้านมีขาย แถมให้บัตรส่วนลดมาด้วย
[14 ส.ค. 54 09:04:09
]
จุดหมายต่อไปที่พวกเรากำลังจะไปนั้นสามารถเดินไปได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องนั่งรถบัส
เพราะพวกเราอยากจะซึมซับบรรยากาศธรรมชาติแสนบริสุทธิ์ของที่นี่ อากาศก็ดี
เหมือนกับปรับตัวกับสภาพอากาศได้แล้ว จนไม่รู้สึกหนาวทรมานเท่าตอนแรก
ที่สำคัญวิวข้างทางนั้นเป็นลำธารน้ำใส แค่ได้ยินเสียงน้ำความสุขก็ล้นปรี่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
[14 ส.ค. 54 09:04:31
]
เดินลัดเลาะตามทางขึ้นไปเรื่อยก็จะพบกับจุดหมายแห่งสุดท้ายของเรานั่นคือ สะพานศักดิสิทธิ์ Shinkyō 神橋
ขอเล่าความเปิ่นของตัวเองหน่อย จริงๆแล้วสะพานแห่งนี้ถือเป็นสะพานหน้าด่านของบรรดาวัดและศาลเจ้าทั้งปวงที่เราเที่ยวกันมา
แต่กลายเป็นว่าเราเที่ยวกันแบบ Backward กันซะอย่างนั้น มิน่าละทำไมถึงไม่เห็นพวกกลุ่มที่เจอกันตั้งแต่นอนนั่งรถขามา
[14 ส.ค. 54 09:06:19
]
สะพานชินเคียวขึ้นชื่อว่าเป็นมรดกอันล้ำค่าของญี่ปุ่นและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น "มรดกโลก" ในเดือนธันวาคมปี 1999
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าสะพานแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของศาลเจ้าฟูตาระซัง
มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Yamasuge-no-jabashi 山管の蛇橋 แปลว่า Snake Bridge with a Sedge
[14 ส.ค. 54 09:07:24
]
สะพานชินเคียวนั้นเป็นสะพานชักหรือสะพานไม้แบบยกข้ามช่องเขาที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น
และเป็นหนึ่งในสามสะพานที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย
(อีกสองสะพานที่ว่านี้คือ KIntai-kyō ที่จังหวัดยะมะงุจิ และ Saru-hashi ที่จังหวัดยะมะนะฌิ)
มีความยาว 28 เมตร, กว้าง 7.4 เมตร และอยู่สูงจากแม่น้ำ Daiya 大谷川 10.6 เมตร
โดยฉาบด้วยสีแดงชาดและฝั่งตรงข้ามส่วนของด้านล่างนั้นฉาบเป็นสีดำ และมีฐานที่สร้างจากหิน
[14 ส.ค. 54 09:07:42
]
ต้นกำเนิดของการสร้างสะพานแห่งนี้ไม่แน่ชัด แต่ได้มีการสร้างใหม่ในปี 1636
แต่หลังจากปี 1973 ก็ไม่ได้เปิดให้สาธารณชนสามารถขึ้นไปเดินบนสะพานได้ จนกระทั่งมีการบูรณะครั้งใหญ่
ที่ใช้เวลาในการบูรณะยาวนานถึง 8 ปี ตั้งแต่ปี 1997 ถึง 2005 และใช้งบประมาณมากถึง 800 ล้านเยน
ในปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดแล้ว โดยที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม 300 เยน
เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 9.00-17.00 และถึงแค่ 4 โมงเย็นในช่วงฤดูหนาว
[14 ส.ค. 54 09:08:18
]
หลังจากชมสะพานกันอิ่มจุใจแล้วก็ได้เวลากลับ ใกล้ๆกันนั้นมีร้านขายของฝากด้วย
ถ้าใครยังไม่ได้ซื้อแวะซื้อที่นี่ก็ได้และมีป้ายรถบัสอยู่ก็สามารถนั่งรถบัสกลับไปลงที่สถานีเดิม คือ Tōbu Nikkō
รอแป้บเดียวรถบัสก็มา พวกเราก็พร้อมโบกมืออำลาเมืองที่แสนสวยงามรายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้
[14 ส.ค. 54 09:09:30
]
เมื่อถึงสถานี เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาขึ้นรถไฟ เลยแวะหาอะไรกินเล่นกันหน่อย เพราะมีคุณป้าหน้าตาใจดี
ตะโกนเรียกพวกเราว่าให้เข้าไปช่วยอุดหนุนแกหน่อย ว่าแล้วก็เลยแวะเข้าไปดู พอเห็นเป็นขนมมันจูทอด ก็เลยถามว่ามีใส้อะไรบ้าง
ทอดร้อนๆกำลังน่าทาน ก็อดคิดไม่ได้ว่านี่ก็จะ 5 โมงเย็นแล้ว ขนมมันจูยังทอดร้อนๆวางเรียงกันอยู่เต็มเลย
คุณป้าจะขายหมดรึเปล่านะวันนี้ สรุปแล้วอุดหนุนคุณป้ามาสองชิ้นแบ่งกันกิน และ ขอบอกว่าอร่อยมากจริงๆ
[14 ส.ค. 54 09:10:04
]
หลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน เมื่อขึ้นรถไฟปุ้บก็นอนหลับพักผ่อนกันเลย ใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมงก็กลับมาถึงอาซะคุซะ
เลยแวะถ่ายรูปโคมแดงที่หน้าวัดเซนโซจิกันอีกรอบ เพราะว่ายังไม่เคยมีรูปที่นี่ตอนกลางคืนเก็บเอาไว้เลย
ร้านรวงต่างๆที่นากามิเซะโดริก็ปิดกันเกือบหมดแล้ว คงถึงเวลาที่ต้องกลับไปพักผ่อนกันบ้างแล้วละ
[14 ส.ค. 54 09:10:35
]
เป็นยังไงกันบ้าง เที่ยวกันอิ่มจุใจรึเปล่าครับ ขอบคุณทุกคนนะครับที่เข้ามาอ่าน
ยังคงมีอีกหลายเมืองมาฝากกัน แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะครับกับ
นกน้อยพาเที่ยว
สนอ่านตอนอื่นๆได้ที่นี่
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=birdfreedom&month=12-08-2011&group=1&gblog=28
[14 ส.ค. 54 09:11:30
]
@ ตามชมต่อจากตอนที่แล้วครับ ..
จากคุณ : MRBIG173
[14 ส.ค. 54 10:30:44
]
ละเอียดดีจัง
ขอบคุณสำหรับการรีวิวค่ะ
[14 ส.ค. 54 10:50:37
]
ขอบคุณมากนะคะได้ความรู้อย่างมาก
รอตอนต่อไปค่ะ
[14 ส.ค. 54 12:04:22
]
สวยมากครับ ขอบคุณกับรีวิวดีๆครับ
จากคุณ : เล็กทาโร่
[14 ส.ค. 54 14:04:01
]
แอบเข้าไปอ่านในบล็อคมาบ้างแล้ว
ขอมาขอบคุณในนี้ละกันนะคะ
[14 ส.ค. 54 15:21:29
]
ขอบคุณสำหรับรีวิว+ข้อมูลมากครับ
จากคุณ : Destiny-Boy
[14 ส.ค. 54 18:04:23
]
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ข้อมูลแน่นมากๆเลย
จากคุณ : glamorousbuild
[14 ส.ค. 54 18:17:10
]
ตามดูจนจบสองกระทู้ ข้อมูลเกี่ยวกับ nikko ละเอียดดีมากๆ ครับ เหมาะสำหรับคนขี้เกียจแปลภาษาอังกฤษอย่างผม >_<"
รวมถึงกระทู้ก่อนๆ หน้านี้ด้วย เกร็ดความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับสถานที่มีมากถึงมาที่สุดทีเดียว ^_^
แต่ผมดูๆ แล้วก็งงๆ ว่าไปกี่ครั้ง !!! ดูไปแรกๆ กระทู้แรก รูปแรกก็ว่าเป็นหน้าร้อน(ฝน) ดูไปก็เห็นไปหน้าหนาว ดูไปดูมาก็เห็นรูปหน้าร้อน ต้นไม่เขียวครึ้ม ???
ผมเห็นหลายกระทู้แล้วเป็นแบบนี้ เอาเป็นว่าถ้ารูปไหนไม่ได้ถ่ายเอง เอามาจากใน net ก็แจ้งให้ทราบหรือให้เครดิตเค้าสักหน่อยว่ารูปมาจากของใครใน net จะได้ไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ใครเค้า รวมถึงเป็นการให้เกียรติคนที่เค้าถ่ายรูปนั้นด้วยนะครับ ถ้ารูปนั้นไม่แจ้งชื่อเจ้าของไว้ก็ครวบอกว่าได้มาจากเวปไหน *_*'
หรือถ้าไปหลายครั้ง และเป็นรูปของคุณเองทั้งหมด ผมก็ขออภัยไว้ ณ ตรงนี้ล่วงหน้าครับ ^_^
[15 ส.ค. 54 08:19:35
]
ตอบคุณ SkyBox
รูปส่วนใหญ่มาจากกล้องผมเองครับ แต่บางทีต้องการใช้รูปประกอบเพิ่มในเรื่องที่เล่า จึงมีการยืมภาพมาจากที่อื่นด้วย
เอาเป็นว่า คราวหน้าจะไม่ลืมให้เครดิตเจ้าของภาพนะครับ ขอบคุณครับที่บอก
[15 ส.ค. 54 13:58:20
]
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านติดตามนะครับ
ทั้งคุณ MRBIG173, Sun-Dong, สวยด้วยแสง-แรงด้วยสี, เล็กทาโร่, ฮิโนเดะ, Destiny-Boy, glamorousbuild, SkyBox
[15 ส.ค. 54 14:00:47
]
ตามมาชมรีวิวอีกค่ะ
[15 ส.ค. 54 17:11:21
]
..
ตื่นตาตื่นใจเช่นเคยครับ
..
[16 ส.ค. 54 10:45:07
]
ชอบความรู้ที่สอดแทรกใน review ค่ะ ^^
จากคุณ : ก่วยก๊วยตาลสด
[29 ส.ค. 54 15:26:49
]
ขอบคุณทุกคนมากนะครับ เป็นกำลังใจชั้นยอดเลย :)
จากคุณ : Bird Freedom
[5 ก.ย. 54 11:04:10
]
ขอบคุณสำหรับรีวิวดี ๆ ได้ความรู้เยอะมาก ๆ เลยครับ
จากคุณ : Fox_Silver
[14 ก.ย. 54 21:35:38
]