วันนี้จะมาทำความรู้จักโบสถ์ที่ถ่ายเมื่อคืนกันซักนิดนึงครับ

Hallgrímskirkja ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (ไอซ์แลนด์: Hallgrímskirkja) เป็นโบสถ์ ในกรุงเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ มีความสูง 74.5 เมตร เป็นอาคารที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไอซ์แลนด์ โบสถ์แห่งนี้ตั้งชื่อตามชื่อของ ฮัลล์กรีมูร์ เพทูร์สซอน กวีและนักบวชชาวไอซ์แลนด์ ฮัลล์กรีมสคิร์คยา ตามศัพท์แปลว่า โบสถ์ของฮัลล์กรีมูร์

Hallgrímskirkja (Lutheran church), Reykjavík, Iceland.

The Hallgrímskirkja (Icelandic: "church of Hallgrímur") is a Lutheran (Church of Iceland) parish church in Reykjavík, Iceland. At 74.5 metres (244 ft), it is the largest church in Iceland and the sixth tallest architectural structure in Iceland after Longwave radio mast Hellissandur, the radio masts of US Navy at Grindavík, Eiðar longwave transmitter and Smáratorg tower. The church is named after the Icelandic poet and clergyman Hallgrímur Pétursson (1614 to 1674), author of the Passion Hymns.

State Architect Guðjón Samúelsson's design of the church was commissioned in 1937. He is said to have designed it to resemble the basalt lava flows of Iceland's landscape. It took 38 years to build the church. Construction work began in 1945 and ended in 1986, the landmark tower being completed long before the church's actual completion. The crypt beneath the choir was consecrated in 1948, the steeple and wings were completed in 1974. The nave was consecrated in 1986. Situated in the centre of Reykjavík, it is one of the city's best-known landmarks and is visible throughout the city. It is similar in style to the expressionist architecture of Grundtvig's Church of Copenhagen, Denmark, completed in 1926.

The church houses a large pipe organ by the German organ builder Johannes Klais of Bonn. It has mechanical action, four manuals and pedal, 102 ranks, 72 stops and 5275 pipes. It is 15 metres tall and weighs 25 tons. Its construction was finished in December 1992. It has been recorded by Christopher Herrick in his Organ Fireworks VII CD.

The church is also used as an observation tower. An observer can take a lift up to the viewing deck and view Reykjavík and the surrounding mountains. The statue of explorer Leif Eriksson (1929-32) by Alexander Stirling Calder in front of the church predates its construction. It was a gift from the United States in honor of the 1930 Alþingi Millennial Festival, commemorating the 1000th anniversary of Iceland's parliament at Þingvellir in 930 AD.

In 2008, the church underwent a major restoration of the main tower, and was covered in scaffolding. In late 2009, restoration was completed and the scaffolding was removed.

ภาพและข้อมูลจาก Wikipedia, the free encyclopedia http://en.wikipedia.org/wiki/Hallgr%C3%ADmskirkja

Leif Ericsson

รูปปั้นของนักสำรวจชื่อเลฟ เอริกสัน (Leif Ericsson) สร้างเพื่อระลึกถึงนักสำรวจชาวไอซ์แลนด์ซึ่งเป็นผู้ค้นพบทวีปยุโรป และ ทวีปอเมริกาเหนือ

This is an Icelandic name. The last name is a patronymic, not a family name; this person is properly referred to by the given name Leif, Leifr or Leifur.

Statue of Leif near the Minnesota State Capitol in St. Paul
Born 970
Iceland
Died 1020 (aged 49–50)
Unknown
Nationality Norse
Occupation Explorer
Known for Discovering Vinland (A part of North America; possibly Newfoundland)

Leif Ericson ( /ˈleɪf/ layf or /ˈliːf/ leef; Old Norse: Leifr Eiríksson; c. 970 – c. 1020) was a Norse explorer who is regarded as the first European to land in North America (excluding Greenland), nearly 500 years before Christopher Columbus. According to the Sagas of Icelanders, he established a Norse settlement at Vinland, which has been tentatively identified with the L'Anse aux Meadows Norse site on the northern tip of the island of Newfoundland in Newfoundland and Labrador, Canada.

It is believed that Leif was born about AD 970 in Iceland, the son of Erik Thorvaldsson, known as Erik the Red (Old Norse: Eiríkr inn rauði), a Norse explorer from Western Norway, an outlaw and himself the son of an outlaw, Thorvald Asvaldsson. Leif's mother was Thjodhild (Þjóðhildr). Erik the Red founded two Norse colonies in Greenland, the Western Settlement and the Eastern Settlement, as he named them. In both Eiríks saga rauða and Landnáma, Leif's father is said to have met and married Leif's mother Thjodhild in Iceland; the site of Leif's birth is not known.

Leif Ericson had two brothers, Thorvald and Thorsteinn, and one half sister, Freydís. He married a woman named Thorgunna, and they had one son, Thorkell Leifsson.

ภาพและข้อมูลจาก Wikipedia, the free encyclopedia http://en.wikipedia.org/wiki/Leif_Eriksson

แผนการเดินทางวันที่ 9 พ.ค. 54 Rekyjavik-Puffin-Crack-Blue lagoon

ตื่นเช้าท่องอินเทอร์เน็ต ที่นี่ฟรีครับ (ช่วงหน้าหนาวของไอซ์แลนด์ ที่พักส่วนใหญ่จะให้ใช้ฟรี) เพื่อหาข้อมูลรอยแยกเปลือกโลกจากกระทู้รีวิวเก่าๆ ที่มีคนถ่ายเอาไว้ เปรียบเทียบยังงัยก็ไม่เหมือนกับที่ Pingvellir เลยหาจุดใน Google Maps ที่แท้อยู่ระหว่างเมือง Keflavik กับ Rekyjavik ใกล้ๆ กับ Blue Lagoon ซึ่งจะไปเย็นนี้พอดี จึงตั้งใจจะไปสำรวจอีกเป็นครั้งที่สาม

ลงไปที่ชั้น 1 เป็นบุฟเฟต์ อาหารดีทีเดียว อร่อยและถูกจริงๆ มีนักธุรกิจมาพักที่นี่ด้วย

เช็คเอาท์เสร็จแล้ว ออกไปถ่ายรูปในเมืองกัน ตอนแรกเมฆดำมา

ซักพักเมฆฝนเริ่มลอยไป ฟ้าเริ่มใสแล้ว โชคดีจริงๆ

..

..

..

ภาพถ่ายในเมืองจะคล้ายๆ กับ Queenstown และ Chirstchurch ประเทศนิวซีแลนด์

..

..

..

..

..

..

ที่นี่ก็เหมือนประเทศอื่นๆ ของประเทศที่พัฒนาแล้ว คือ รถจะหยุดทันทีที่คนเหยียบลงไปบนทางม้าลาย บางครั้งผมลงไปถ่ายรูปเขาก็ยังหยุด ต้องขอโทษขอโพยไป เพราะเขาไม่ยอมขับออกไปซักกะที

รถแท็กซี่ของที่นี่ครับ คุ้นๆ โลโก้ยี่ห้อรถมั๊ยครับ

นี่ก็ด้วย

ในที่สุดก็เจอท่าเรือ เพราะจุดหมายในวันนี้คือนั่งเรือไปดูนกพัฟฟิน

เรือล่าปลาวาฬขึ้นมาซ่อมบำรุง มีขนาดใหญ่มาก อยากระเบิดมันทิ้งไปเลยจริงๆ

เรือจอดกันเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ดูแล้วยังน้อยกว่าที่นิวซีแลนด์

เจอแล้ว ซุ้มขายตั๋วไปดูนกพัฟฟิน แต่ยังไม่เปิด

เดินต่อไปไม่ห่างกันเท่าไหร่ มีอีกบริษัทนึงชื่อ Puffin Express เปิดอยู่

ทางไปที่จอดเรือ แต่ตอนนี้ประมาณ 11 โมง เรือจะออกประมาณเที่ยง เผอิญต้องรอนานหน่อยเพราะมีกรุ๊ปนักเรียนจองไปดูรอบก่อนหน้าเรา

เดินกลับไปหาอะไรกินและถ่ายรูปเล่น

ร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ที่ได้ข้อมูลมาจากกระทู้รีวิวว่าเป็นร้านที่อร่อยและราคาไม่แพง แต่คนเยอะมาก อีกอย่างกลัวว่าจะเมาเรือ ค่อยกลับมากินละกัน

ลุงคนนี้ ไม่มีข้อมูลครับ

ห้องแบบนี้ ก็ไม่มีข้อมูลครับ เพราะไม่กล้าเข้าไปดู เดี๋ยวไปเข้าที่บริษัททัวร์ดีกว่าน่าจะสะอาดกว่ากันเยอะ

จะเดินข้ามถนน แต่ปุ่มกดไม่มี

มีรถไฟด้วย

สองคนนี้น่าจะเป็นชาวประมง มองหาปลา

ใกล้เวลาเรือออกแล้ว เดินกลับไปที่บริษัททัวร์ มีรถของบริษัทไปรับลูกทัวร์มาเพิ่ม อืมทัวร์ไม่ยกเลิกแล้วเพราะอากาศดีและมีคนเยอะ

ไปลงเรือกันดีกว่า ลำใหญ่ไปดูปลาวาฬ ลำเล็กเป็นของพวกเรา - -" จะเมาเรือมั๊ยเนี้ยะ

ระหว่างเดินไปขึ้นเรือ ได้ยินคนที่เพิ่งกลับขึ้นมาพูดกันว่า ไม่เห็นปลาวาฬเลย ไม่รู้จะได้เงินคืนบางส่วนหรือไม่ ทำให้รู้สึกดีที่ตอนไปดูปลาวาฬแล้วไม่เห็นเจ้าตัวใหญ่

นั่งเรือออกจากฝั่งไปพักใหญ่ๆ เริ่มเห็นนกพัฟฟินแล้ว ตัวเล็กๆ

พยายามซูมก็ได้แค่นี้ ลุงไกด์บอกว่าเรือไม่สามารถเข้าไปใกล้ๆ ได้ เพราะจะไปรบกวนนก ต้องอยู่ห่างๆ

แต่ลุงไกด์บอกว่ามีทัวร์ไปเกาะที่ไปนอนค้างสำหรับไปดูพัพฟินด้วย ได้ยินหนุ่มทีมงานทัวร์บนเรือบอกว่าพัพฟินที่ลอยอยู่ใกล้ที่สุดชื่อโทนี่ เชื่อง เป็นแบบให้ตลอด

นกพันธุ์นี้กระพือปีกถี่ 30-40 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่ได้เข้าใกล้จริงๆ แล้วโฟกัสตัวมัน ถ่ายยากมาก

วนรอบๆ เกาะ ก็ได้รูปแค่นี้ พอดีกล้องใหญ่แบตหมด เมื่อคืนไม่ได้ชาร์จมา

เลยมานั่งดีกว่า ไม่ใช่เพราะเซ็งครับ แต่เพราะเริ่มมีการมึนๆ คล้ายๆ เมาเรือ

ระหว่างนั่งเรือกลับเห็นหนังสือรูปนกพัฟฟิน ก็เลยเปิดดู

แผนที่แสดงจุดที่มีนกพัฟฟิน แต่ที่พยายามไปเสาะหากลับไม่พบเลย เพราะช่วงนี้นกพวกนี้ยังไม่พร้อม ไม่ใช่ครับ ยังไม่กลับมา

อืม รูปถ่ายชัดๆ เอาวะ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องด้วยกล ในเมื่อถ่ายด้วยกล้องเราไม่เห็น ก็อาศัยเล่มนี้แหล่ะ

ไม่อายแล้ววุ้ย

โดดเดี่ยวผู้น่ารัก

มันทำรังกันยังไงกันนะ

นกกางปีกในน้ำ

นั่นไง มีนกอัลบาทรอสปากเทาอยู่ที่นี่ด้วยจริงๆ เหมือนกับที่ไกด์ตอนไปดูนกอัลบาทรอสที่นิวซีแลนด์บอกเอาไว้เลย

นกพัฟฟินจับคู่

วางไข่

ฟักลูกน้อย

ลูกนกตัวใหญ่เท่าแม่ แต่ขนยังเป็นสีเทา

โรแมนติกซะไม่มี

ไหนๆ ก็ตอนจบแล้ว ความรู้เพิ่มเติมอีกซักนิดเกี่ยวกับนกพัฟฟิน

Puffins are any of three small species of auk (or alcids) in the bird genus Fratercula with a brightly coloured beak during the breeding season. These are pelagic seabirds that feed primarily by diving in the water. They breed in large colonies on coastal cliffs or offshore islands, nesting in crevices among rocks or in burrows in the soil.

Two species, the Tufted Puffin and Horned Puffin, are found in the North Pacific Ocean, while the Atlantic Puffin is found in the North Atlantic Ocean.

All puffin species have predominantly black or black and white plumage, a stocky build, and large beaks. They shed the colourful outer parts of their bills after the breeding season, leaving a smaller and duller beak. Their short wings are adapted for swimming with a flying technique under water. In the air, they beat their wings rapidly (up to 400 times per minute) in swift flight, often flying low over the ocean's surface.

ข้อมูลจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Puffin

Harpa Reykjavik Concert Hall and Conference Center กำลังซ่อมบำรุงอยู่

สถาปัตยกรรมเรือนี้ เป็นแลนด์มาร์กนึงริมท่าเรือ เดินไกลพอสมควรกว่าจะเจอ

เดินกลับไปที่จอดรถ หิวมาก เลยแวะกินอะไรหน่อย

เมนูและราคา

นกน่ารักจังค่ะ

จอดรถใกล้กับโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา เลยเข้าไปถ่ายรูปด้านในหน่อย

เรียบๆ ครับ ต่างจากในยุโรป

แวะเข้าห้องน้ำและเติมน้ำดื่มหน่อยนึง

เติมน้ำมันก่อนออกเดินทางไปยังเมือง Keflavik เพื่อไปดูรอยแยกเปลือกโลก แช่น้ำร้อนที่ Blue Lagoon และพักที่ B&B Guesthouse ใกล้ๆ สนามบิน

ผมอายขอปิดหน้าละกัน ส่วนน้องแฟนถามว่าคาดหน้าทำไม ไม่สวยเลย มั่นใจ จัดไป

มุ่งหน้าไปยังรอยแยกของเปลือกโลกตามที่เห็นในเว็บพันธุ์ทิพย์ที่อยู่ระหว่างทางไปเคฟลาวิกเป็นครั้งที่สาม

ตอนแรกหลงเข้าหมู่บ้านก่อนแล้วแวะจอดถามบ้านคนที่เลี้ยงหมาเต็มไปหมด ได้ความว่าต้องขับต่ออีก 7 กม. และตอนนี้เราอยู่ฝั่งอเมริกา

ซะหน่อยนึง ไม่ได้ค่าโฆษณา
Nokia N8 - Ovi Maps - Offline Mode ไม่ต้องใช้ซิม ใช้แต่สัญญาณ GPS

ถึงแล้ว ทางเข้าแคบนิดนึง และขับรถมาเร็วมาก รถเกือบตกข้างทาง เสียววูบเลย

ขับเข้าไปที่จอดรถ

ทางเดินมีรอยแยก

ใช่รอยแยกเปลือกโลกหรือเปล่าเนี้ยะ

คุณแฟนกับน้องแฟนยืนถ่ายป้ายอะไรบนสะพาน ต้องไปดู

ใช่แล้ว จุดที่เรายืนเป็นจุดกึ่งกลางระหว่าง แผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ กับ แผ่นเปลือกโลกยูเรเซียน

..

..

..

ลักษณะทางธรณีวิทยา

หินโค้งมน น่าจะมาจากลมที่แรงมากๆ ในบริเวณนี้ อีกทั้งเป็นพื้นที่โล่งกว้างมาก

..

ถ่ายคุณแฟนบ้าง ส่วนน้องแฟนกลับไปรอที่รถเพราะหนาวมาก

ขอเป็นส่วนหนึ่งของกึ่งกลางเปลือกโลก ดินก็ดำ หน้าดำด้วยเลย

กระโดดซะหน่อย ก่อนกลับ หุหุ

เย็นมากแล้ว รีบกลับ จะได้ไปแช่น้ำร้อนที่ Blue Lagoon ระหว่างทางตั้งแผนที่ Ovi Maps ไป Blue Lagoon ดันให้กลับเข้าเมืองไปก่อน ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ไม่ไกลจากรอยแยกเปลือกโลก ไม่เป็นไรถึงจะเปลืองน้ำมันเพราะไปกลับเกือบ 40 กิโล แต่จะได้เอาของไปเก็บก่อน

ที่พักเดิมที่มาพักวันแรกที่มาถึง

ห้องนอนใหญ่กว่าคืนแรก

ห้องน้ำก็ใหญ่กว่าคืนแรก สวยกว่าด้วย

ทางเดินไปห้องนอนคืนแรก และสุดทางโน่นคือห้องน้ำที่ใช้คืนแรก เพราะติดกับห้องนอนเลยในคืนนั้น

ระหว่างรอเพื่อจะไป Blue Lagoon อยากซักผ้ามาก จึงให้น้องแฟนถามป้าเจ้าของเกสต์เฮาส์ให้ แกบอกให้เอาผ้ามาเลย ซักแยกผ้าสีดำ ผ้าสีอ่อนให้ ไม่คิดตังค์ด้วย ส่วนลุงที่มาเปิดบ้านให้ก่อนนี้จำหน้าพวกเราได้ด้วยและถามว่าเราเคยมาที่นี่แล้วใช่ไหม

ออกเดินทางดีกว่า ใกล้ค่ำแล้ว เดี๋ยว Blue Lagoon จะปิดไม่ให้เข้าซะก่อน

วิวข้างทางเหมือนเดิม แต่ 10 วันให้หลัง หิมะและน้ำแข็งละลายหมดแล้ว ถ้าเทียบกับวันแรกที่เดินทาง จะเห็นหิมะขาวโพลนไปหมด

ถนนดี เหยียบเต็มที่

เห็นป้ายไกลๆ น่าจะเป็นป้ายบอกทางไป Blue Lagoon

ขับไปทางที่ป้ายบอกเทียบกับแผนที่

ถนนตัดเลี่ยงเขา

เห็นอาคารเหมือนโรงงาน ไม่น่าใช่ Blue Lagoon แต่ Ovi Maps บอกว่าตรงนั้นแหล่ะ

อ้าว โรงงานพลังงานไอน้ำนี่นา ไม่ใช่ Blue Lagoon

ขับกลับทางเดิม ไปอ้อมโรงงานเพื่อไปดูป้าย

ป้ายบอกทาง ที่แท้โรงงานนั้นมีทางเชื่อมต่อมายัง Blue Lagoon ไม่น่าอ้อมเลยเรา Ovi Maps อุตส่าห์บอกว่าใช่ ดันไม่เชื่อ เพราะก่อนหน้านี้ดันหลอกให้กลับเข้าเมืองก่อนทั้งๆ ที่อยู่ห่างกับจุดเชื่อมต่อของแผ่นเปลือกโลกนิดเดียวเอง

ถึงแล้วครับ

รถมาจอดเต็มลานจอดรถเลย ลมแรงมาก และอากาศก็เย็นมา ใส่กางเกงบางและแตะมาซะด้วย

ป้ายบอกเวลาเปิดและปิด

ทางเดินเข้าไป

หน้าออฟฟิศ

ด้านข้างมีบ่อน้ำร้อนด้วย ไม่กล้าจุ่ม

วิวสวยจริงๆ นี่ถ้ามีแดดคงสวยกว่านี้

รักษาธรรมชาติไว้จริงๆ

นักท่องเที่ยวไปยืนถ่ายรูป สงสัยความร้อนของน้ำทำให้ช่วยคลายหนาวได้

เข้าไปด้านในดีกว่า เคาน์เตอร์จ่ายตังก์

จ่ายตังก์เสร็จ จะได้สายรัดข้อมูลสีฟ้ามาคล้องมือ สายคล้องนี้ทันสมัยมากเพราะเป็นบัตรผ่านประตู เป็นกุญแจล็อคเกอร์ สายคล้องมือนี้จะเป็นตัวบันทึกด้วยว่าเราดื่มกินอะไรที่นี่หรือเปล่า เดี๋ยวจะไปคิดตังค์ข้างนอก ลืมถ่ายรูปไว้

ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแบ่งโซนชายและหญิง แต่ทั้ง 2 โซนแก้ผ้ากันเห็นๆ ที่แท้ฝรั่งก็ไม่เท่าไหร่ ผมปล้ำอยู่กับสายคล้องข้อมูลอยู่นาน เปิดล็อกเกอร์ไม่ได้ซะที ฝรั่งที่แก้ผ้าอยู่อุตส่าห์สละเวลาใส่เสื้อผ้ามาสอนวิธีเปิดให้ น่าจะเป็นชิปแบบ RFID

อาบน้ำแล้ววิ่งลงลากูนอย่างเร็วเพราะหนาว น้ำในบ่อไม่อุ่นเท่าที่คิด และร้อนเป็นจุดๆ ไม่สม่ำเสมอ จริงๆ จะมีบ่อน้ำอุ่นในอาคารให้เดินผ่านออกมาด้านนอก แต่ไม่รู้วิธี เลยวิ่งดุ่ยๆ ออกมาด้านนอกเลย

ตามกลุ่มนักท่องเที่ยวคนอื่นไปควัก Silica mud สีขาวคล้ายกาวลาเท็กซ์จากถังริมสระมาพอกหน้ากันเพราะเขาว่าดี ช่วยบำรุงผิวพรรณของใบหน้า เลยพอกใหญ่เลย และเจ้าหน้าที่จะเอามาเติมเรื่อยๆ

ข้อมูลมีบอกข้างบ่อน้ำร้อน

..

..

น้ำในสระไม่ค่อยลึกและเป็นน้ำเค็มทำให้ว่ายง่าย มีจุดที่ทำเป็นน้ำตกแต่ว่าน้ำแรงเกินไป ห้องอบไอน้ำพอใช้ได้ มีถ้ำด้วย

หันไปดูนาฬิกา ใกล้เวลาปิดบ่อน้ำร้อนแล้ว

มีการ์ดเฝ้าโดยเดินไปรอบๆ พื้นที่

หมดเวลาแล้วอาบน้ำ หลังจากนั้นออกมาถ่ายวิวด้านนอกก่อนกลับ

เห็นกันชัดๆ เลยว่าใกล้กับโรงงานเมื่อกี๊ที่หลงเข้าไป

ระหว่างรอคุณผู้หญิงเปลี่ยนเสื้อผ้า ถ่ายภัตตาคารด้านใน

ร้านขายของที่ระลึก ราคาแพงเอาเรื่อง

จากนั้นมุ่งหน้าไปคืนรถ แวะเติมน้ำมันใกล้ร้าน Blue Car Rental คราวนี้ใช้ทั้งบัตรและใช้เงินสด

พอดีมีเครื่องรับเงินสดอยู่ใกล้ๆ ปล้ำกับเครื่องอยู่หลายนานเพราะว่าแบ็งค์ยับ

เจอพนักงานร้าน Blue Car Rental คนเดิมมาเจอเราที่หน้าปั๊มน้ำมันพอดี เขาใช้รถคันเดิมนี้มาส่งที่ B&B ระหว่างทางก็โม้อีกว่าเคยไปเมืองไทยเดือนนึง แถมบอกว่าที่ไอซ์แลนด์ทางเหนือมีหมีขั้วโลกด้วย

หลังจากมาถึงที่พัก ก็เก็บผ้าที่ซักเสร็จแล้วในเครื่องซักผ้า แยกผ้าสีและผ้าขาวคนละเครื่องด้วย เอามาตากที่ฮีตเตอร์ใหญ่ที่ห้องไม่รู้ผ้าจะแห้งไหมแต่พยายามสุดฤทธิ์ ประกอบกับเปิดหน้าต่างด้วยทำให้ห้องร้อนชื้นไปหมด

น้องแฟนอาสาทำอาหารค่ำให้กิน

สำรวจอาหารเช้า (ฟรี) ในตู้เย็นว่ามีพร้อมหรือไม่ เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อไปสนามบิน

รุ่งเช้าวันที่ 10 พ.ค. 54 เดินทางสู่กรุงปารีส ดินแดนในฝันของใครหลายๆ คน แต่มีกระทู้รีวิวเยอะมากแล้ว จึงขอจบรีวิวไอซ์แลนด์ไว้เพียงเท่านี้ครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมครับ

-จบบริบูรณ์-

ขอบคุณมากครับ

ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ

ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณสำหรับรีวิวที่ผ่านมาทุกตอนมากครับ

นก Puffins หน้าตาแปลกๆ แต่ก็น่ารักมากๆ เลยค่ะ ^^

ขอบคุณที่พาไปเที่ยวทั่วไอซ์แลนด์นะคะ ตั้งแต่กลับมายังคิดถึงไอส์แลนด์อยู่เลยค่ะ ยิ่งมาชมกระทู้รีวิวยิ่งทำให้เราอยากไปเที่ยวอีกอ่ะค่า ^^

ขอบคุณสำหรับรีวิวคะ

กว่าจะมีตังค์ มีเวลาไปเที่ยวไอซ์แลนด์ นิ
กระทู้นี้เค๊ายังเก็บไว้อยู่ไหมเนี๊ญะ