ตอนที่ 1 Roma - Vaticano - Siena - Pisa - Firenze
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10936767/E10936767.html

กลับมาเจอกันอีกครั้งใน ตอนที่ 2 นะครับ สำหรับทริปฮันนีมูนยุโรป 1 เดือน ที่ผมและภรรยาจัดกันเอง ระหว่าง 11 มี.ค. - 10 เม.ย. 54 ที่ผ่านมา จากความเดิมในภาคแรกที่ตะลุยเที่ยวกรุงโรม วาติกัน ดูบอลโรมดาร์บี้ ต่อด้วย เซียน่า, ปิซ่า และ ฟลอเรนซ์ ผ่านไปทั้งหมด 8 วันแล้ว มาถึงในตอนนี้จะเป็นช่วงที่อยู่ใน ริมินี่, ซาน มาริโน่, โบโลญญ่า และ เวนิซ ครับ

จากแผนผังทริปทั้งหมด ผมยังเหลือเวลาอีกราวๆ 3 สัปดาห์ฺ ต้องผ่าน สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรีย และ เยอรมัน กว่าจะไปถึงปลายทางที่ มิวนิค ที่เห็นว่าอยู่ใน อิตาลี เยอะ จริงๆทีแรก ผมตั้งใจจะมาแค่ อิตาลี ประเทศเดียวครับ เป็นความชอบส่วนตัว จะใช้เวลา 2 อาทิตย์กว่าๆ แต่มันมาเปลี่ยนเอาใหม่หมดตอนได้เวลาเพิ่มเป็น 1 เดือนนี่เอง ติดตามชมต่อกันได้เลยครับ

ผมนั่งรถไฟระยะยาวเลยจาก ฟลอเรนซ์ ปลายทางอยู่ที่เมือง ริมินี่ เมืองท่าฝั่งตะวันออกของ อิตาลี โดยต้องแวะไปเปลี่ยนขบวนที่ โบโลญญ่า ก่อน

ระหว่างทางรถก็โล่งเหมือนกับทุกๆเส้นที่ผ่านมา ยังสงสัยอยู่ว่าการรถไฟที่นี่ ขาดทุนป่นปี้ไหมเนี่ย

ผ่านเมือง เชเซน่า ครับ อากาศกำลังดีเลย 21 องศา เริ่มอุ่นขึ้นหน่อยแล้ว

ใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 3 ชั่วโมง ประมาณบ่าย 3 ผมก็มาถึง ริมินี่ ครับ แบบว่าเมื่อยสุดๆ

วิวจากที่พักใน ริมินี่ ครับ เมืองนี้ติดทะเล อาเดรียติก เลย เปลี่ยนบรรยากาศสูดกลิ่นทะเลหน่อย

ฝั่งตรงข้ามเป็นผับใหญ่เสียด้วย ดึกๆแอบย่องมาดีไหมนะ เหอๆ

แม้เป็นช่วงเย็นๆแล้ว แต่ผมไม่อยากปล่อยเวลาทิ้ง ดังนั้นเลยชวนภรรยา เดินเที่ยวในเมือง ริมินี่ เลย

จากภาพนี้คือ Arco di Augusto ประตูเข้าสู่ใจกลางเมืองครับ

ยามเย็นที่ Piazza Tre Martiri จะมีครอบครัวพ่อแม่ลูก หรือผู้สูงอายุ มาเดินเล่นชมเมืองกัน

ด้านหน้าของ Teatro Galli ที่ Piazza Cavour จัตุรัสใจกลางเมือง ริมินี่

ปิดท้ายด้วย Ponte di Tiberio สะพานสมัยโรมันโบราณ อายุมากกว่า 2,000 ปี เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองเช่นกัน

ไม่น่าเชื่อว่าใช้เวลาไม่นานก็เที่ยวในตัวเมืองเก่าได้ครบ พรุ่งนี้จะวางโปรแกรมออกนอก อิตาลี ชั่วคราวล่ะครับ

จะออกนอก อิตาลี ชั่วคราวยังไง ในเมื่อ ริมินี่ ก็อยู่กลางประเทศ ....

ที่ผมจะไปคือ ประเทศ ซาน มาริโน่ ครับ เป็นประเทศเอกราชเล็กๆ ตั้งอยู่ห่างจาก ริมินี่ ราวๆ 15 กิโลเมตร

การเดินทางที่ง่ายและสะดวกที่สุดคือนั่งรถบัส แต่ปัญหาคือหาป้ายรถยากครับ เพราะเป็นของบริษัทเอกชน และเคานเตอร์ของรถบัสท้องถิ่น รวมถึงร้านค้าย่านนั้นแทบจะไม่ให้ความร่วมมือเลย ติดแต่ป้ายว่า “ไม่มีตั๋วไป ซาน มาริโน่” อย่างเดียว

หลังจากเดินควานหาหน้าสถานีรถไฟอยู่สักพัก ก็เจอป้ายรถจนได้ ที่เห็นในภาพ คนขายตั๋วคือคุณป้าผมขาว หิ้วกระเป๋าเล็กๆมาใบนึง คนซื้อก็คอยมุงกัน ส่วนผมได้ตั๋วเรียบร้อยแล้ว อิอิ

เมื่อนึกถึง ซาน มาริโน่ คุณนึกถึงอะไร ........

บางคนนึกถึง ทีมฟุตบอลสมันน้อยแห่งยุโรป ที่มักจะโดนคู่แข่งต้อนตืออยู่ประจำ ขณะที่บางคนนึกถึง ฟอร์มูล่าวัน ซาน มาริโน่ กรังปรีซ์ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆมันก็แข่งที่ อิตาลี นั่นแหล่ะ ไม่ได้แข่งใน ซาน มาริโน่ เสียหน่อย และปัจจุบันก็หลุดไปจากผังปฏิทินแข่ง F1 มาหลายปีแล้ว

เอาล่ะ ผมกำลังจะเข้าสู่ดินแดนนี้เป็นครั้งแรก มองจากรถบัส สะพานคล้ายๆเสากระโดงเรือนั่นเองครับ ถึงแล้ว พรหมแดน อิตาลี – ซาน มาริโน่

ไม่มีด่านอะไรกั้นทั้งสิ้นครับ เห็นธงชาติ ซาน มาริโน่ ปลิวไสว บอกเอกลักษณ์ความเป็นชาติเอกราช

ป้ายทะเบียนรถของ ซาน มาริโน่ ครับ เห็นมีวิ่งกันประปรายใน ริมินี่ เหมือนกัน

ไปตะลุยยุโรปด้วยคนนะครับ ^^

บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไม ใน อิตาลี ถึงได้มีประเทศเล็กๆอย่าง ซาน มาริโน่ ฝังตัวอยู่ตรงนี้ได้ เหตุผลก็เพราะในอดีตที่ อิตาลี มีการรวบรวมชาติจากแต่ละแคว้น ซึ่งต่างก็มีฐานะเป็นรัฐเอกราช ให้มารวมเป็นดินแดนเดียวกัน มีเพียง ซาน มาริโน่ ที่ไม่ขอรวมด้วย เพราะยึดมั่นในอธิปไตยของตนที่มีมายาวนาน และทาง อิตาลี เอง ก็ไม่ได้คิดรุกราน เพราะในอดีต ซาน มาริโน่ ที่มีภูมิประเทศเป็นที่สูง เคยช่วยเหลือดินแดนต่างๆไว้ให้หลบภัยยามสงครามนั่นเอง

รถบัสกำลังวิ่งไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ มีเคเบิ้ลคาร์ บริการนักท่องเที่ยวด้วยครับ

เอาล่ะ รถบัสจอดส่งเราแค่ตรงนี้ นอกกำแพงเมือง ที่เหลือต้องเดินเอาแล้ว

หากไม่ใช้ลิฟท์ จะเดินขึ้นไปด้านบน ต้องมาขึ้นที่บันไดนี้ อาร์ตมากๆ

ป้ายบอกทางไปยังจุดสำคัญ ประเทศนี้ใช้ภาษาอิตาเลียน และเงินยูโร เหมือนกับ อิตาลี เลยครับ

ด้านหน้าประตู San Francesco ซึ่งเป็นประตูเข้าเมือง จะมีเจ้าหน้าที่ (น่าจะตำรวจ) คอยบอกทางเข้า

ตามรายทางที่ลาดชันสูงขึ้น จะมีร้านอาหาร และร้านค้าปลอดภาษี อยู่ตลอดครับ ราคาถูกกว่าใน อิตาลี พอสมควร

ร้านอาหารนี้ใช้หุ่นสวมชุดฟุตบอลทีมชาติ ซาน มาริโน่ เรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยว แต่เห็นราคาแล้วหนาวเลย เหอๆ

พิพิธภัณฑ์แห่งรัฐของ ซาน มาริโน่ ครับ

ด้านในจัดแสดงถึงเรื่องราว ประวัติศาสตร์การก่อตั้งชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เปิดให้เข้าชมฟรีครับ

เดินต่อมาอีกไม่ไกลก็ถึงจัตุรัสใจกลางเมือง Piazza della Liberta มีอาคารชื่อ Palazzo Pubblico ซึ่งถือเป็นอาคารสำคัญที่สุดของประเทศเลย เพราะนอกจากจะเป็นศาลาว่าการเมืองแล้ว ยังเป็นที่ทำการรัฐบาล และเป็นรัฐสภาด้วย ด้านหน้าจะมีรูปปั้น เทพีเสรีภาพ แห่ง ซาน มาริโน่ เป็นสัญลักษณ์คู่กันกับตัวอาคาร

ไปเที่ยวด้วยคนครับ

หนึ่งในของที่ระลึกครับ สินค้าที่วางเยอะ ที่ผมไม่ได้ถ่ายภาพมา จะเป็นพวกเหรียญยูโร ที่ผลิตใน ซาน มาริโน่ ถือเป็นของหายากมากๆ

ภาพนี้ได้เห็นบ่อยๆในโปสการ์ดของ ซาน มาริโน่ ครับ เป็นปราสาทหอคอยชื่อ Guaita หรือ "หอคอยแรก" เป็นหอคอยที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุด ในบรรดา "หอคอยทั้งสาม" แห่ง ซาน มาริโน่

ส่วนอีก 2 หอคอยชื่อ Cesta หรือหอคอยที่สอง และ Montale หรือหอคอยที่สาม แต่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวชมแค่ 2 หอแรกเท่านั้นครับ สามารถซื้อตั๋วได้พร้อมกัน แต่ร่างกายต้องฟิตพอสมควรเลยครับ กว่าผมจะขึ้นไปพิชิตได้ทั้ง 2 หอก็แทบหมดแรงทีเดียว

ระหว่างทางเดินไปยังตัวปราสาทหอคอย ก็มีจุดชมวิวเป็นระยะๆ

มีคนมาเช่าที่เปิดร้านขายของบนนี้ด้วย ร้านนี้เน้นลูกค้าคอกีฬาครับ

โห... มีเสื้อป๋าด้วย ... แหงล่ะ คนเค้าดัง อิอิ

เสื้อพวกนี้ไม่ใช่ของแท้นะครับ เป็นพวก Replica หรือเสื้อเชียร์ ที่อิตาลี มีขายเยอะมากๆ ทั่วประเทศ คือทำมาให้ดูออกเลยว่าไม่ใช่ของแท้ ตั้งใจมั่วโลโก้ ต่างจากบ้านเรา ก็อปเกรด A เนียนสุดๆ เรื่องนี้พี่ไทย อันดับ 1 ครับ

ศิลปินวาดภาพคนเป็นการ์ตูนครับ ทีแรกเค้าไม่มีลูกค้าเลย ผมกับภรรยาเดินผ่าน เห็นซุ้มผลงานแล้วสนใจ ไปเรียกตามถึงในบ้านให้มาช่วยวาด ค่าบริการ ถ้าจำไม่ผิด 5 ยูโร

หลังจากนั้นมีแต่นักท่องเที่ยวมายืนมอง และเค้าก็ได้ลูกค้าต่อจากผมเป็นกอบเป็นกำเลยครับ กลายเป็นตัวนำโชคไปเลย

หลังจากเที่ยวปราสาทหอคอย ก็เดินกลับลงมาเที่ยวด้านล่างบ้าง ที่ ซาน มาริโน่ จะมีพิพิธภัณฑ์เยอะมากๆ ทั้งเรื่องตำนานลึกลับน่ากลัว หรือพวกเครื่องทรมานนักโทษก็ยังมี

ภาพนี้เป็นภายในพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง หรือ Museo delle Cere ครับ สองผู้นำอื้อฉาว ฮิตเลอร์ และ มุสโสลินี

จริงๆมันไม่ควรจะน่ากลัว แต่ทำไมผมกลัวไม่รู้ บอกไม่ถูกว่ากลัวเพราะบรรยากาศ หรือเพราะหุ่นหน้าไม่เหมือนของจริง อันไหนมากกว่ากัน

ที่ผมสนใจคือหุ่นกลุ่มนี้ครับ เรียกว่า Capitani Reggenti พอจะแปลคร่าวๆได้ว่า เป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ มาจากการเลือกตั้งนะครับ น่าจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซาน มาริโน่ ที่ไม่เหมือนชาติใด

แอบตามมาเที่ยวจากตอนแรกครับ


อยากไปเวนิซมากๆ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปกับเค้าบ้างไหมน้อออ

อีกพิพิธภัณฑ์หนึ่ง อันนี้ดูจะน่าสนใจกว่าครับ Museo delle Curiosita จะมาแนว Ripley’s Believe It or Not! ที่ พัทยา บ้านเรา

มีการรวบรวมของแปลกทั้งบุคคลและสิ่งของ เห็นทางเข้าแคบๆแบบนี้ ข้างในกว้างมากครับ มีหลายชั้น

ใกล้จะหมดวันแล้วครับ ผมก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ก่อนปิดท้ายที่ มหาวิหารแห่ง ซาน มาริโน่

ได้เวลานั่งรถบัสกลับล่ะครับ ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีโอกาสกลับมาเยือนดินแดนนี้อีก แม้มีเวลาเที่ยวแค่วันเดียว แต่ก็เป็น 1 วันที่ประทับใจมาก

กลับถึงหน้าสถานีรถไฟ ริมินี่ แล้วครับ จากภาพนี่เป็นรถบัสคันที่ผมกับภรรยานั่งมา

ยังต้องรอต่อรถเมล์อีก กว่าจะถึงที่พักแทบสลบทีเดียว

รุ่งเช้า ได้เวลาเปลี่ยนเมืองอีกครั้ง ค่ำนี้ผมต้องเข้า เวนิซ ดังนั้นมีอีกเมืองที่สามารถแวะเที่ยวได้สะดวกคือ โบโลญญ่า นั่นเอง

มาถึงสถานีราว 10 โมงกว่าๆ พอมีเวลาเที่ยวได้พอสมควรล่ะ

ออกมาจากสถานีรถไฟ ก็ต้องหาทางเข้าเมือง (แบบมั่วๆ) ก่อนเลย ตรงนี้คือประตู Galliera ครับ

เดินไปตามถนน dell’Indipendenza ถนนสายหลักจากสถานีรถไฟ มุ่งเข้าตัวเมือง .....

อนุสาวรีย์ จูเซ็ปเป้ การิบัลดี้ เห็นกันได้ทั่ว อิตาลี ครับ คนนี้เค้าฮีโร่ตัวจริงของพี่เลี่ยน

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ครับ เดินมาตลอดทางเงียบมากๆ มาเจอกลุ่มคนกระจุกกันอยู่ตรงตลาดนัดนี่เอง

มาถึงใจกลางเมืองแล้วครับ Piazza Maggiore

ตึกที่เห็นนี้คือ Palazzo d'Accursio เคยเป็นศาลาว่าการเก่าของเมือง เพิ่งเลิกใช้ไปเมื่อปลายปี 2008 นี้เอง

ใกล้ๆกันยังมีจัตุรัสอีกแห่งชื่อ Piazza Nettuno มีน้ำพุ Nettuno หรือ น้ำพุเทพเจ้าเนปจูน เทพองค์เดียวกับที่อยู่กลาง น้ำพุเทรวี่ ที่ โรม ครับ

ด้านหน้าของพระราชวัง Podesta ในอดีตเคยใช้เป็นที่ทำการของเทศบาลเมือง และเคยใช้เป็นโรงภาพยนตร์ด้วย ตึกนี้มีอายุมากกว่า 800 ปีแล้วครับ เก่าแก่มากๆ

หลังมื้อเที่ยง ยังมีเวลาเหลืออีกพอสมควร ผมก็นึกอะไรบางอย่างออก ว่าแล้วก็ทำเป็นเนียน กางแผนที่ ชวนภรรยาเดินเล่นสำรวจเมือง ลัดเลาะไปตามถนน แต่จริงๆแล้วเป็นทางไปยังสนาม Renato Dall’Ara ของทีม โบโลญญ่า ครับ แห่ะๆ

ทีแรกภรรยาไม่รู้ พอเดินไปเรื่อยๆจนเห็นแฟนบอล โบโลญญ่า เดินจับกลุ่มไปมา ถึงได้รู้แกว ก็วันนี้เป็นวันอาทิตย์ และ โบโลญญ่า เอง ก็มีโปรแกรมแข่งในบ้านพอดี ผมเลยอยากไปสัมผัสบรรยากาศแฟนบอลที่หน้าสนามสักหน่อย

ที่นี่แหล่ะครับ ร้านประจำของแฟนบอล โบโลญญ่า เค้า ....

เดินๆอยู่ เห็นรถบัสทีม โบโลญญ่า วิ่งผ่านหน้าไปด้วยครับ มัวแต่มองนักเตะ เลยถ่ายภาพไม่ทัน แฟนบอลก็ร้องทัก ปรบมือให้กับขวัญใจของพวกเค้าด้วย เอาล่ะ ถึงสนามแล้ว

ที่นี่เหมือนกับ โรม เลย ถ้ามีเกมแข่งขัน จะปิดถนนด้านหน้าทั้งสาย เพื่อให้แฟนบอลได้เดินเข้าสนามได้สะดวก ตำรวจก็ทำงานกันง่ายขึ้นด้วย


เกมวันนี้ โบโลญญ่า จะเปิดบ้านเจอ เจนัว ครับ ผมก็เพิ่งรู้ชื่อทีมเยือนจากหนังสือโปรแกรมที่แจกฟรีหน้าสนามนี่เอง

คู่หนุ่มสาว สาวก โบโลญญ่า พันธุ์แท้ ......

ตู้ขายตั๋วครับ เอ่อ ... บอกตรงๆว่าเหมือนซุ้มมือปืนเลย คลาสสิคจริงๆ

เดินผ่านด้านหน้าสนามแข่งครับ .....

แฟนบอลที่มีตั๋วแล้ว เริ่มทยอยเข้าสนาม

ตอนนี้เพิ่งบ่ายสองนิดๆ อีกเกือบชั่วโมงก่อนแข่ง ผมเริ่มดูนาฬิกาไปมา เอาไงดี จะชวนภรรยาดู กัลโช่ อีกสักเกมดีไหม ทั้งที่รู้ว่ายังไงก็ดูไม่จบเกมแน่ เพราะต้องไปขึ้นรถไฟก่อน 5 โมง เอาแค่ครึ่งแรกก็พอแล้วกลับ ....

แต่คิดไปคิดมา ก็เปลี่ยนใจ มาฮันนีมูนกัน ให้เวลาเค้าดีกว่า เพราะผมก็ได้ดู โรมดาร์บี้ ไปแล้ว ไม่อยากเห็นเค้าเจอควันบุหรี่ด้วย

คิดได้แบบนั้น ก็เลยเดินเก็บภาพบรรยากาศรอบๆสนาม

ระหว่างนั้นมีเรื่องหนึ่งที่ประทับใจแฟนๆที่นี่ คือผมกับภรรยาถือกล้องถ่ายกันเอง แฟนบอล โบโลญญ่า คนนึงเห็นเข้า นอกจากเสนอตัวมาช่วยถ่ายภาพให้ ยังเอาหมวกมาให้ยืมใส่ด้วย ใจดีจริงๆ

เอาล่ะ เดินกลับเข้าตัวเมืองอีกครั้ง อืมม์ ....

ตัดเรื่องฟุตบอลไป ..... วันอาทิตย์ นี่มันเงียบสงบดีจริงๆแฮะ

ยังดีที่ร้านค้าบางแห่งเปิด เลยแวะช็อปปิ้งนิดหน่อย

ผมชอบป้ายนี้ของ Benetton นะ ไอเดียเก๋ดี แต่ทำเอาเข้าใจผิดนึกว่า Benetton มาจาก โบโลญญ่า ถามที่ร้านเค้าเลยรู้ว่าจริงๆมันมาจากเมือง เตรวิโซ่ ต่างหาก

เดินออกมาเจอ หอคอยคู่แห่ง โบโลญญ่า สัญลักษณ์ อันดับ 1 ของเมือง

หอคอยด้านซ้ายที่เตี้ยกว่า ชื่อ Garisenda ส่วนอีกหอทางขวาชื่อ Asinelli ทั้งสองหอคอย ดูมุมนี้ เหมือนไม่มีอะไรแปลก แต่ความจริงแล้ว ทั้งสองหอ มีลักษณะเอียงทั้งคู่ครับ

เรื่อยเปื่อยด้วยคนค่ะ

มีเวลาเหลืออีกราวๆชั่วโมง ก่อนไปสถานีรถไฟ ไม่มีไอเดียจะไปไหนแล้ว อยู่ๆความคิดก็แวบมาในหัวครับ เมืองนี้ยังมีสถานที่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอีกแห่ง นั่นคือ มหาวิทยาลัยโบโลญญ่า นั่นเอง ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1088 หรือราวๆ 923 ปีมาแล้ว และยังคงเปิดทำการสอนถึงปัจจุบัน

ไหนๆผมมาถึงถิ่นแล้ว เลยขอไปสัมผัสบรรยากาศหน่อย เดินอย่างเดียวครับ ลัดเลาะไปตามถนน Zamboni ทีแรกนึกว่าจะมีคนเยอะ แต่กลับเงียบเชียบมากๆ คงเพราะเป็นวันอาทิตย์ด้วยมั้ง นักศึกษาไม่มา อยู่บ้านกันหมด

เดินผ่านเขตมหาวิทยาลัยไปจนถึงสุดถนน Zamboni จนเห็นประตู San Donato ก็ถือว่าพอแล้วสำหรับวันนี้

ผมหารถเมล์แถวๆนั้นนั่งไปสถานีรถไฟ ที่จริงๆก็อยู่ไม่ไกลมาก แต่มันเดินไม่ไหวแล้ว อำลา โบโลญญ่า แล้วครับ

การเดินทางอันยาวนาน นำไปสู่การงีบหลับเอาแรง ผมตื่นขึ้นมาฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว

รถไฟกำลังวิ่งข้ามสะพาน Liberta เข้าสู่เกาะ เวนิซ ครับ .....

มองออกไปทางขวา เลนของรถยนต์จะถูกแยกออกจากรางรถไฟไปที่ Piazzale Roma ท่าจอดรถของเกาะ

รถจะจอดได้ถึงแค่นี้ เพราะมันไม่มีถนนให้วิ่งแล้ว มีแต่คลอง ....

ส่วนผม พอลงจากรถไฟ ก็เข้าที่พัก แล้วออกมาหาอะไรกิน มื้อนี้ขอโซ้ย สปาเก็ตตี้ซีฟู้ด อีกครั้ง

กำลังดูเมนูมึนๆอยู่ เห็นโต๊ะข้างๆเค้าสั่ง แล้วยั่วน้ำลายมาก เลยขอตาม และคงเป็นเพราะหิวจัดจนตาลายด้วย รสชาติจึงอร่อยสุดยอดเลยครับ

ตื่นเช้าขึ้นมา ก็เริ่มเดินสำรวจ เวนิซ ก่อน เริ่มจากร้านขายพิซซ่า ใกล้ๆที่พัก ....

ตลาดขายผลไม้ครับ ผู้คนแห่มาซื้อกันเยอะทีเดียว

สีสันที่ขาดไม่ได้เลยของ เวนิซ คือหน้ากากหลากหลายรูปแบบ หน้ากากพวกนี้จะใช้กันในงาน คาร์นิวัล ของเมือง ที่จัดกันทุกปี อย่างปี 2011 นี้ ก็เพิ่งจัดไปช่วงปลายเดือน กุมภาฯ ถึงต้น มีนาฯ ที่ผ่านมา

เห็นคลองแล้วครับ ต้องนั่งเรือเล่นเสียหน่อย .......

เวนิซ หรือภาษาท้องถิ่นคือ เวเนเซีย (Venezia) เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า โรแมนติก ที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง เป็นขาประจำสำหรับคู่ฮันนีมูนเลยครับ มันคลาสสิคตรงการใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนเมืองไหนในโลก

เรือกอนโดล่า สัญลักษณ์ของ เวนิซ จอดเรียงรายตามท่าเรือ .....

เอาล่ะ ได้เวลาขึ้นฝั่ง พิชิตหอคอยอีกครั้งแล้ว ที่เห็นหอสูงๆนี้คือ หอระฆัง San Marco

ภรรยาผมไม่บ่นสักคำ เพราะมันมี ลิฟท์ ข้างในนั่นเอง

ขึ้นมาดูวิวจากด้านบน มองลงไปที่ Piazza San Marco เห็นคนตัวเท่ามด

อีกมุมครับ อยู่ข้างบนได้ไม่นานก็ต้องรีบลง เพราะลมแรงมากๆ อากาศบนนี้เวลาลมพัดมา ผมว่าติดลบได้เลยนะ

เวลาลงลิฟท์ คนจะแน่นมากๆ คือแย่งกันลงเพื่อหนีความหนาวบนนั้นครับ ผมกับภรรยามารอก่อนคิวแรก เลยไม่มีปัญหา เห็นวัยรุ่นสาวคนนึงที่โดนเจ้าหน้าที่กั้นไว้ตอนลิฟท์เต็มพอดี ถึงกับต้องเอ่ย Please... กันเลยทีเดียว ประมาณว่า ขอไปอีกคนได้ไหม จะแข็งตายอยู่แล้ว แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมครับ เค้าเน้นเรื่องความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก

ลงมาเดินเล่นด้านล่าง เจอช็อป Ferrari ด้วย มีคนให้ความสนใจกันเยอะ

ส่วนใหญ่ทุกสายตาจับจ้องไปที่ รถแข่งฟอร์มูล่าวัน ตัวเป็นๆที่นำมาโชว์ ......

มีป้ายติดว่าถ่ายภาพได้ แต่ห้ามถ่ายวิดีโอครับ

หลังจากช็อปกันพอหอมปากหอมคอ ได้เวลาเที่ยวจุดสำคัญแล้ว

เริ่มจากมหาวิหาร San Marco หนึ่งในสัญลักษณ์ของ เวนิซ

Palazzo Ducale หรือ พระราชวังดอจ วังของเจ้าผู้ครองนคร เวนิซ ในอดีต ภายในอลังการมากๆ

ปิดท้ายวันนี้ ผมเซอร์ไพรซ์ภรรยา ด้วยการแอบไปติดต่อกะลาสี เรือกอนโดล่า .....

มารู้ตัวอีกที ผมก็พาลงเรือเรียบร้อยแล้ว อิอิ ..... ผมเองก็เพิ่งเคยนั่งครั้งแรกนี่แหล่ะ

เรือกอนโดล่า ออกจากท่าที่ Piazza San Marco แล้วครับ

ก่อนที่กะลาสีจะพายลัดเลาะไปตามลำคลองแคบๆ

ช่วงนี้อากาศยังหนาวอยู่ ถ้าเป็นหน้าร้อน จะได้เห็นกะลาสีใส่ชุดลายขาว-ดำ มาดหนุ่มเวเนเชี่ยน มาตอน มีนาฯ ก็จะเห็นแต่เสื้อกันหนาวล่ะครับ

เอาล่ะ เรือออกจากคลองเล็กๆ มาสู่คลองใหญ่ หรือ Canal Grande แล้ว

วิวในฝันเลยครับ ......

ที่เห็นนี้คือสะพาน Rialto สะพานที่มีชื่อเสียงที่สุดใน เวนิซ ........

ด้านในจะมีร้านค้าต่างๆเหมือนกับ Ponte Vecchio ที่ ฟลอเรนซ์ ครับ

ช่วงที่เรือกำลังจะลอดผ่านสะพาน เรือกอนโดล่าลำไหนผ่านมา จะถูกนักท่องเที่ยวถ่ายภาพกันไม่อั้นเลย เพราะไม่ได้ผ่านกันถี่ๆ

เจอแบบนี้ ผมกับภรรยาก็เขินเหมือนกันนะ

ภาพอีกฝั่งครับ สวยงามไม่แพ้กัน

ล่องเรือกอนโดล่า ชมบรรยากาศ เวนิซ มาเกือบๆชั่วโมง ก็จบทริปที่ผมตกลงกับกะลาสีไว้

กลับมาที่จุดเดิมตรง Piazza San Marco ครับ

เดินเล่นแถวๆนั้นปิดท้าย แม้เป็นช่วงเย็นแล้ว ก็ยังสวยงามอยู่เสมอ .....

วันต่อมา นั่งเรือออกไปดูเกาะอื่นๆบ้าง จุดหมายแรกคือเกาะ Murano

ระหว่างทางผ่าน เกาะ San Michele สุสานประจำเมืองครับ ในอดีตเคยใช้เป็นคุกขังนักโทษมาก่อน

ถึงเกาะ Murano แล้วครับ .....

กาะนี้มีชื่อเสียงด้านเครื่องแก้ว มีโรงงานเป่าแก้วอยู่เต็มไปหมด จริงๆจุดเริ่มมาจากที่ ช่างทำแก้ว อพยพจาก เวนิซ มาเกาะนี้กันแทบจะทั้งหมด เพราะกลัวความเสี่ยงเรื่องไฟไหม้ นับถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา 720 ปีพอดีครับ ส่วนโรงงานเป่าแก้ว ที่เก่าแก่ที่สุด ที่ยังคงเปิดอยู่ ก็มีอายุได้ 145 ปีแล้ว

ประติมากรรมแก้วแบบโมเดิร์น ตัดกับหอระฆังแบบโบราณ ความอาร์ตที่ลงตัว

ออกจาก Murano ผมแวะไปยังอีกเกาะหนึ่งที่ชื่อคล้ายๆกัน คือ Burano

เกาะนี้มีชื่อเสียงจากการที่บรรดาบ้านแต่ละหลัง จะทาสีสลับกัน เป็นสีสันเรียงยาวแบบนี้แหล่ะครับ

แต่ไม่ใช่ว่านึกอยากจะทาสีไหน ก็ทาได้ตามใจชอบนะครับ ต้องผ่านการอนุมัติความเหมาะสมจากเจ้าหน้าที่ด้วย

อากาศที่ Burano ตอนนี้อยู่ที่ 14 องศา ผมว่ากำลังดีเลย แต่ในเครื่องวัด เค้าว่า 18-20 กำลังสบายๆ และ 20-30 ดีต่อพืช

เออ .... ผมก็เพิ่งรู้แฮะ มาที่นี่ได้ความรู้เพิ่มเติมไปด้วย ดีจัง

ได้เวลากลับ เวนิซ แล้วครับ ท่าเรือที่ Burano นี่ โมเดิร์นมากกว่าที่ผมคิดเยอะเลย

ระหว่างที่นั่งเรือกลับ ภรรยาอยู่ๆก็ถามผมว่าที่ เวนิซ นี่มีสนามฟุตบอลไหม ผมก็บอกว่ามีสิ และทีแรกคิดจะไปด้วย แต่เพราะเธอมัวแต่เพลินที่ Burano นี่แหล่ะ เลยพลาดรอบเรือ ต้องกลับเลทไปจนค่ำ เลยต้องยกเลิก อิอิ

เพราะทางกลับระหว่าง Burano ไปยัง เวนิซ จะผ่านท่าเรือ Sant'Elena มีสนามชื่อ Pierluigi Penzo ของทีม เวเนเซีย ตั้งอยู่พอดี น่าจะเป็นสนามเดียวในยุโรปเลยมั้ง ที่นักฟุตบอลอาชีพต้องลงเรือมาแข่ง

เมื่อเวลาไม่พอ ก็ต้องขอบาย ถ้าอนาคตมีโอกาสได้กลับมา เวนิซ อีก ผมคงไม่พลาดแวะชมแน่ๆ

กว่าเรือจะถึงสะพาน Rialto ฟ้าก็มืดสนิท แต่ก็สวยไปอีกแบบ เอาล่ะ หาอะไรกินดีกว่า

มื้อส่งท้ายที่ เวนิซ ยังคงเป็นพาสต้า เหมือนเดิม แต่เป็นครั้งแรกที่ขอลองเส้นหมึกดำ ก็อร่อยไม่ต่างกัน

มาที่นี่ผมรู้สึกว่าหาร้านอาหารเอเชียนี่ยากมากๆ ความที่ไม่ได้เช็คไปก่อนด้วย เจอร้านอาหารจีนใกล้ๆสถานีรถไฟ ก็ไปกินมา 3 รอบแล้วอ่ะ ใครจะมาอย่าลืมเช็คเรื่องนี้นะครับ เดี๋ยวจะลงเอยเหมือนผม เหอๆ

จบแล้วครับ สำหรับตอนที่ 2 ของทริปเรื่อยเปื่อย แล้วพบกันอีกครั้งในตอนที่ 3 Verona - Genova นะครับ ขอขอบคุณทุกๆท่านสำหรับการติดตามครับ

คุณ แมลงภู่บนหูกระต่าย, คุณ bscza
ขอบคุณที่แวะเข้ามาชมครับ ตามกันต่อไปเรื่อยๆนะครับ

คุณ เล็กทาโร่
ขอบคุณที่ตามมาเที่ยวกันต่อครับ

คุณ Coffee Blended
ให้ อิตาลี เป็นประเทศแรกในลิสต์เดินทางทริปหน้าเลยนะครับ รับรองว่า เวนิซ ไม่ทำให้ผิดหวังแน่ๆ

ตามไปเที่ยวด้วยคนค่ะ..
ปราสาทหอคอย Guaita สวยมากๆ ถ้าได้มีโอกาสไปคงต้องลองขึ้นไปหน่อย
วาดภาพคนเป็นการ์ตูนแค่ 5 ยูโร..ถูกมากๆค่ะ ที่อื่นแพงกว่านี้เยอะ (- -")
Shop Ferrari เริ่ดมากค่ะ..Venice โรแมนติกที่สุด..

เป็น Trip ที่ถ่ายภาพมาจุใจมากค่ะ ขอบคุณสำหรับภาพสวยๆนะคะ

นั่งรถเฟอร์รารี่ที่ไว้แข่ง F1 มาเลยด้วยความรวดเร็วครับ 5555


เวนิซ เป็นเมืองที่สวยงามเคล้ากลิ่นอายด้วยความโรแมนติกจริงๆครับ

ภาพสวยมากครับ
ขอบคุณที่นำมาฝากนะครับพี่

ชอบนั่งรถไฟของประเทศแถบนี้ที่สุดใน 3 โลก 5555++ ส่วนมากถ้าไม่ใช่ช่วงเร่งรีบ ก็จะโล่งงงงงงงงงงง  จนงงว่าไม่เจ๊งเหรออย่างไร


ชอบคลองน้ำเหมือนกัน มองแล้วก็คิดถึงคลองแสนแสบขวัญเรียม ทำไมมันช่างต่างกันแบบนี้ ฮือๆๆๆ


ขอบคณบรรยากาศสวยๆ ค่ะ อยากกอดทะเล กอดเมือง กอดรถไฟ  ^^

อยากไปเวนิส อยากไปเวนิสสสสสสสสสส

อยากไปโบโลญญ่าด้วย จะไปกินแฮม จะไปกินแฮมมมมมมมมม

@  ตามตอนนี้มาเพื่อซานมาริโน่เลยครับ .. ยังไม่เคยไป
    ผมว่าไม่เรื่อยเปื่อยนะครับ อ่านแล้วได้สาระเยอะดี ..
    กระตุ้นต่อมอยากไปแถบนี้ได้มากเลยครับ ..

ขอบคุณมากเลยครับ...อิจฉาจัง...เที่ยวกันเป็นเดือน

เห็นแล้วอยากไปสัมผัสที่เวนิสบ้างจังครับ เป็นเมืองในยุโรปที่อยากไปมากสุดเลย อยากไปนั่งเรือกอนโดร่ามาก

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ

เหมือนได้เดินเที่ยวตามคุณ il giallorossi เลยค่ะ
น่าสนใจมากๆเลย  อยากไปจริงๆ  คงจะมีความสุขน่าดู

 รูปสวยมาก ๆ ขอบคุณสำหรับรีวิวตอนที่ 2ค่ะ 

ตามมาเที่ยวเมืองโปรด..บาโลญญ่ากับเวนิซค่ะ

น่าเที่ยวจังครับ

ตามมาเที่ยวต่อด้วยครับ
เวนิส เมืองในฝันอีกแห่งที่ต้องไปสักครั้งครับ
ทริปปีหน้าครับ

ขอบคุณรีวิวสวยๆค่ะ

คุณ save the last dance for me
ขอบคุณที่ตามมาเที่ยวครับ การพิชิตปราสาท จริงๆแล้วน่าจะสนุกมากกว่าเหนื่อย เพียงแต่ผมไม่ค่อยออกกำลังกาย มันเลยหอบกิน ส่วนภาพการ์ตูน ไปถามภรรยาก็จำได้ว่า 5 ยูโร น่าจะชัวร์แล้วครับ

คุณ P.S. i love you
ขอบคุณที่ตามมาชมนะครับ ยืนยันว่า เวนิซ สวยและโรแมนติกที่สุดจริงๆ

คุณ Campusman, คุณ สาวหน้าใส, คุณ Us-Sama Iland
ขอบคุณที่แวะมาชมครับ บอกตรงๆว่าผมไม่เป็นเรื่องเล่นกล้องเลย แทบจะพึ่ง AI กล้องตลอด ของจริงสวยกว่าในภาพเยอะเลยครับ

คุณ cat_on_a_hot_tin_roof_
ขอบคุณนะครับ ผมเองก็หลงเสน่ห์รถไฟที่นี่มากเช่นกัน และก็ชอบขบวนโล่งๆด้วย ได้อารมณ์โรแมนติกไปอีกแบบครับ

คุณ ha-meow
ขอบคุณที่ตามมาครับ เสียดายมากๆที่ผมไม่มีโอกาสกินแฮมที่ โบโลญญ่า เพราะเวลามีไม่มาก
ว่าแต่ ถ้าว่างรบกวนตาม คุณป้าหนอน มาด้วยนะครับ เดี๋ยวจะขาดตอน อิอิ

คุณ MRBIG173
ขอบคุณที่ติดตามต่อครับ ซาน มาริโน่ เป็นประเทศที่น่าสนใจสำหรับผมมานานแล้วครับ มีโอกาสทริปนี้เลยบุ๊คไว้ก่อนเลยว่าต้องมาให้ได้ แล้วก็ไำม่ผิดหวังจริงๆ

คุณ mordek1
ขอบคุณที่แวะมาชมครับ เป็นโชคดีของผมด้วยที่เคลียร์ตัวเองได้ ไม่ได้แพลนทีแรกว่าจะมาเป็นเดือนครับ

คุณ Destiny-Boy
ขอบคุณที่ตามมาเที่ยวต่อครับ กะลาสีกอนโดล่า รอคุณอยู่นะครับ เจรจาต่อรองกันดีๆ อาจได้ราคาพิเศษ แถมมีบทเพลงขับกล่อมให้ฟังด้วย

คุณ Red-Rose-14Feb
ขอบคุณที่เดินตามทริปนี้ครับ ถ้าได้ดูตอนแรกแล้ว คงต้องเตรียมกำลังขาให้พร้อมด้วย เพราะผมออแนวโรคจิต มีหอคอยอะไร จ้องจะปีนขึ้นหมดเลย

คุณ ป้าฟู
ขอบคุณครับ หวังว่าจะช่วยให้หายคิดถึง โบโลญญ่า กับ เวนิซ ได้นะครับ

คุณ luis suarez11
ขอบคุณที่แวะมาชมครับ

คุณ ฟองสบู่
ขอบคุณที่เข้ามาชมครับ รับรองว่า เวนิซ โดนใจคุณไม่แพ้ยุโรปตะวันออกแน่ๆ

ไปติดตามเรื่อยเปื่อยกันต่อใน ภาค 3 Verona - Genova เลยนะครับ

http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11000509/E11000509.html