เช้าขึ้นมา check out ลากกระเป๋าแถดๆๆไปนั่งรถไฟฟ้า ลงสถานีจงฮว๋าเหมิน เดินอีกหน่อยไปสถานีรถไฟหนานจิงใต้ เพื่อนั่งหัวจรวดไปซูโจวค่ะ
ที่จริงเค้ามีเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ แต่กลัวซื้อผิด เลยไปยืนเข้าแถวซื้อตั๋วจากเจ้าหน้าที่ ตอนซื้อตั๋ว ตอนโชว์พาสปอร์ตด้วยค่ะ
อ่อ ก.ค.ที่เกิดเรื่องรถไฟชนกันตกรางในจีน ไม่ใช่รถไฟหัวจรวดค่ะ แต่เป็นรถไฟด่วนที่เรียกว่าต้งเชอ(動車)
ที่จริงจากหนานจิงไปซูโจว ถ้านั่งหัวจรวดก็ประมาณชั่วโมงนึง ถ้านั่งต้งเชอก็สองชั่วโมง ที่หนานจิงขึ้นที่สถานีเดียวกัน แต่ไปซูโจวปุ๊บ หัวจรวดจอดไกลแรด
วันที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10969168/E10969168.html
วันที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10973542/E10973542.html
วันที่ 5 http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10991443/E10991443.html
[24 ส.ค. 54 22:23:18
]
แน่ใจว่าบันไดเลื่อนในสถานีรถไฟเรอะ โอ้ววววว
จากคุณ : สมิงสาวปากตะไกร
[24 ส.ค. 54 22:27:53
]
ห้องโถงสถานีรถไฟ อลังการงานสร้างได้อีก
จากคุณ : สมิงสาวปากตะไกร
[24 ส.ค. 54 22:29:31
]
การคมนาคมสุดแสนไฮโซ
จากคุณ : สมิงสาวปากตะไกร
[24 ส.ค. 54 22:30:05
]
หลับ 1 ชั่วโมงก็มาถึงสถานีซูโจวค่ะ
แต่สถานีอยู่ไกลจากตัวเมืองมากถึงมากที่สุด สถานีล้อมรอบไปด้วย...ทุ่งหญ้า
หลังจากเอ๋อ เหวอพักใหญ่ ซื้อได้แผนที่ซูโจวพร้อมถามทางจากศูนย์นักท่องเที่ยว ได้ความว่า จะเข้าเมือง ไม่แท๊กซี่ก็รถเมล์ ก็เลยรอรถเมล์ที่ป้ายกัน ค่ารถคนละ 2 หยวนเหมือนเดิม
[24 ส.ค. 54 22:34:25
]
ถึงแล้ว ซูโจว
จากคุณ : สมิงสาวปากตะไกร
[24 ส.ค. 54 22:36:55
]
นั่งรถเมล์ไปลงสถานีรถในเมือง ต่อรถเมล์อีกสายเพื่อไปที่พัก "หมิงหันถัง"
กว่าจะเสร็จก็บ่าย2 หิวมากกกก เลยออกหากินในชีหลี่ซันถัง(七里山塘) ที่เที่ยวที่ห่างจากที่พัก10ก้าวได้
มื้อบ่ายฝากท้องที่ร้านนี้ค่ะ
[24 ส.ค. 54 22:44:58
]
ชีหลี่ซันถังขอผ่านไปก่อน ทานเสร็จ พวกดิฉันรีบไปที่หู่ชิว(虎丘)หรือเขาเนินเสือ(The Tiger Hill) ที่เที่ยวที่ต้องใช้เวลาพอสมควร ค่าเข้าคนละ 60 หยวน นั่งรถเมล์ไปค่ะ
การเที่ยวในซูโจวด้วยตัวเอง ถ้าไม่เดิน ก็นั่งรถเมล์ หรือไม่ก็ขี่จักรยานค่ะ
ถามว่าจักรยานจะหายมั๊ย ตามสไตล์เมืองจีน ตอบว่าไม่หายค่ะ เพราะจักรยานที่ให้เช่ามันจะเด่นมาก (คนซูโจวเค้าบอกมา)
ส่วนจะหาเช่าได้ที่ไหน ได้ยินว่าแถวท่ารถและแถวพิพิธภัณฑ์มีให้เช่าค่ะ วันละ5หยวน10หยวน
ระหว่างทางจากที่ขายตั๋วของหู่ชิวไปประตูทางเข้า ผ่านซุ้มไกด์ไม่ฟรี
รูปนี้ระหว่างทางจากที่ขายตั๋วไปประตูทางเข้าค่ะ
[24 ส.ค. 54 22:53:57
]
ไปเที่ยวซูโจวด้วยคนครับ
จากคุณ : เล็กทาโร่
[24 ส.ค. 54 22:56:58
]
คิดถึง ซูโจวครับ ... ได้แวะไปย่าน ซานถังเปล่าครับ เมืองริมน้ำ เหมือนโจวจวง แต่มันแค่เล็กกว่าครับ
จากคุณ : ติง ซ่าน เปิ่น
[24 ส.ค. 54 23:09:08
]
คิดถึงเมืองจีนจังเลย
ตามชมต่อนะคะ
[25 ส.ค. 54 00:10:38
]
ชอบมากๆๆค่ะ
จากคุณ : จิบเบียร์ริมหาด
[25 ส.ค. 54 11:39:59
]
อยากให้สถานีรถไฟฟ้าสยามมีบันไดเลื่อนเยอะๆแบบนี้จังค่ะ
[25 ส.ค. 54 21:52:24
]
น่าเที่ยวจังตามไปด้วยคนนะคะ :D ท่าทางเขาเนินเสือ น่าจะสวยน่าดูเชียว
จากคุณ : ลุงหนวด & ต้นอ้อ
[27 ส.ค. 54 20:16:04
]
ซุ้มตรวจตั๋วอยู่ห่างจากซุ้มขายตัว เอ๊ย ซุ้มขายตั๋วประมาณ300เมตร
พอเดินผ่านซุ่มปุ๊ป ไก่สาวก็กระโดดออกมาปั๊ป พร้อมถามว่า หนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั๊ย เอ๊ย...ไม่ใช่อีกละ
ไก่สาวถามว่า ...ให้ฟรีเอามั๊ยคะ
พวกเราจะไปปฏิเสธน้ำใจของไก่สาวได้เยี่ยงไร นำเที่ยวให้ฟรีก็เอาสิคะ
ตอนหลัง ไก่สาวบอกว่า พวกเราเดินมาตอนรอบของชีพอดี ที่จริงที่เที่ยวเกือบทุกแห่งในซูโจวจะมีบริการไกด์ๆฟรีเป็นรอบๆ ถ้าสนใจก็รอไปพร้อมไกด์ได้
[27 ส.ค. 54 20:49:37
]
เห็นเฉือรึยังค้า เป็นเฉือฉีเหลืองล่วย
มาถึงเนินเสือ ไม่มี:-)็แปลกล่ะ
ที่เห็นเป็นหางนั้นคือหอเอนปิซ่าแห่งซูโจวค่ะ
หอเหลืองๆนี้คือหอคานหัก(The Broken Beam Temple 斷梁殿) ...สาธุ
ที่ได้ชื่อว่าหอคานหัก ก็เพราะเป็นหอที่ใช้คาน2แท่งมาประกบกัน เจอกันตรงกลางพอดี ไม่ได้เกี่ยวกับการหาผัวใดๆทั้งสิ้น
[27 ส.ค. 54 20:59:11
]
ถัดมา เยื้องไปทางซ้าย เป็นที่พักแบบจีน
ที่นี่ผิดกับบ้านจีนทั่วๆไปตรงที่...ไม่มีประตูหลัง...
จึงไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของไม้ป่าเดียวกันเท่าไหร่นัก(เกี่ยวมั๊ยเนี่ย)
[27 ส.ค. 54 21:05:50
]
ถัดมา เป็นบ่อน้ำจืดของที่นี่ เรียกว่า ฮันฮันเฉวียน(憨憨泉 Han Han Spring)
ชื่อน่ารักดี เอาไปตั้งชื่อลูกได้...น้องฮันฮัน
เนื่องจากวัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา หาน้ำจืดค่อนข้างลำบาก วันหนึ่ง มีเณรน้อยรูปนึงบอกว่าจะขุดบ่อหาน้ำ หลวงจีนเฒ่าเลยบอกว่า ถ้าขุดเจอ อาตมาจะเป็นคางคกมาเฝ้าบ่อให้เลยเอ้า แล้วปรากฏว่า เณรน้อยก็ขุดเจอน้ำจริงๆ หลวงจีนเฒ่าเลยต้องนั่งเฝ้าบ่อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หาคางคกเจอกันมั๊ยเอ่ย (แอบมีเกมส์ photo hunt)
[27 ส.ค. 54 21:13:36
]
ถัดมาก็เป็น หินลองกระบี่ (試劍石 The Sword-Testing Stone)
รอยกระบี่อย่างงี้ แสดงว่ากระบี่คบกริบปริ๊บๆ
เอ๊ะ แล้วใครมาลองกระบี่ ก็"ฟูไช"น่ะซี้...ถามได้
"ฟูไช"(夫差) คืออ๋ององค์ที่25แห่งรัฐอู๋ ในยุคชุนชิว เมื่อซักประมาณ400กว่าปีก่อนคริสตกาล ครั้งหนึ่งฟูไชได้สั่งให้กันเจียง(乾將)และมั่วเสีย(莫邪) สองสามีภรรยานักตีกระบี่ หลอมกระบี่อันดับหนึ่งขึ้นมาโดยให้เวลา100วัน สองผัวเมียก็ตี(กระบี่)กันใหญ่
ผ่านไป3เดือน กระบี่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จ ตัวภรรยาก็เลยกระโดดลงไปในเตาหลอม กลายเป็นควันสีเขียว ได้ออกมาเป็นกระบี่คู่สองผัวเมีย กันเจียงรีบเอาไปถวายฟูไช โดยยื่นกระบี่ตัวเมียให้ ฟูไชลองกระบี่ ตวัดสับชั๊วะ หินก็แยกอย่างที่เห็น
กำลังจะหันไปตวัดสับกันเจียงมั่ง เพื่อไม่ให้ไปสร้างกระบี่อื่นอีก แต่กันเจียงรู้ทัน ชักกระบี่ตัวผู้ออกมา กระบี่กลายร่างเป็นมังกรเขียว ให้กันเจียงขี่หนีไป (เอ๊ะ...ใช่ที่มาของคำว่าชักดาบป่ะเนี่ย)
[27 ส.ค. 54 21:41:52
]
เดินไปอีกหน่อย จะเจอ หินท้อ(石桃) ลูกท้อสวรรค์ที่เห้งเจียขโมยมา แล้วหล่นลงมายังโลกมนุษย์ แล้วกลายเป็นหิน
จากคุณ : สมิงสาวปากตะไกร
[27 ส.ค. 54 21:44:18
]
อ่อ ลืมบอกไปว่า เนินเสือ แห่งนี้ อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์มากว่า 2500 ปีแล้วนะคะ
อันนี้ หมอนหิน ค่ะ
ไก่สาวเล่าอะไรมา จำไม่ค่อยได้แล้ว ประมาณว่าเคยมีจอหงวนคนนึงชอบมานั่งอ่านหนังสือบนนี้ อ่านจนสอบเป็นบัณฑิตได้ ดังนั้น ถ้าเราไปนอนหนุนหมอน เราก็จะฉลาดเหมือนจอหงวน ...อิอิ (เหมือนกับนอนเอาหนังสือปิดหน้า คงสอบได้หรอก)
ในเรื่องสามยิ้มพิมพ์ใจ (三笑) (โบราณน่าดู) พระเอกของเรื่อง ถังปั๋วหู่ ไปปิ๊งๆกับ ชิวเซียง นางเอกของเรา ณ วัดแห่งนี้
ครั้งแรกที่ชิวเซียงยิ้มให้ คือในโบสถ์พระพุทธรูป
ครั้งที่สองที่ชิวเซียงยิ้ม ก็ตรงนี้แหล่ะค่ะ หินหมอน (เอ๊ะ...เริ่มงงว่าควรจะเรียก หินหมอน หรือ หมอนหิน ดี เรียกมากเดี๋ยวจะกลายเป็น ฮีมอย ติดเรทอีก อ๊ากกกส์)
ถังปั๋วหู่มาดักรอชิวเซียงตรงหินหมอน โดยแกล้งทำเป็นเอาหมวกปิดหน้า แล้วอยู่ดีๆก็มีลมพัดหมวกปลิว ถังปั๋วหู่วิ่งเก็บหมวกให้วุ่นวาย ชิวเซียงเดินมาเห็น เลยแอบยิ้มขำๆอยู่ตรงนั้นนี่เอง
ตอนนี้อัปป้าฟัง ท่าทางจะชอบมาก (สงสัยเป็นแฟนพันธุ์แท้ถังปั๋วหู่) แต่พอเอาเข้าจริงๆ ไก่สาวเราบอกว่า สามยิ้มพิมพ์ใจเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ถังปั๋วหู่กับชิวเซียงเกิดห่างกันร้อยกว่าปี นิยายเรื่องนี้จึงเป็นไปไม่ได้ และที่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ก็เพราะชิวเซียงเกิดก่อนถังปั๋วหู่ร้อยกว่าปี(เอง)!!!
[27 ส.ค. 54 22:03:45
]
ต่อมาคือ สุสานเจินเหนียง (The Tomb of Zhenniang)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แม่นางเจินเหนียง ได้หนีภัยสงครามจนมาถึงซูโจวแห่งนี้ และได้ทำงานอยู่ในหอนางโลม แต่ไม่ได้ขายตัว
มีคุณชายเมียมากคนหนึ่ง มาชอบเจินเหนียง เลยคิดจะแต่งเจินเหนียงเข้าบ้าน เจินเหนียงไม่ยอมเป็นเมียน้อยใคร ยอมตายดีกว่า ก็เลยฆ่าตัวตาย คุณชายเสียใจมาก เลยสร้างสุสานแห่งนี้เพื่อระลึกถึงเจินเหนียง
[27 ส.ค. 54 22:08:07
]
นี่เรายังไม่ได้หลุดออกมาจากเนินเสือเลยนะคะ
รูปนี้คือ ลานพันคน (The 1000 Men's Rock) ลานแบบนี้...ชอบบบบ
ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะเป็นลานธรรมชาติที่กว้างมาก จนคนสามารถยืนบนลานนี้ได้เป็นพันคน เพื่อฟังเทศน์ฟังธรรม
ลายหินบนลานนี้จะมีสีแดงเป็นปื้นๆ เค้าลือกันว่าเป็นรอยเลือดของคนมากมายที่ถูกฆ่า แต่ที่จริงแล้วเป็นสีธรรมชาติของหิน
ตอนฟังไก่สาวเล่าแรกๆก็ตกใจ แล้วก็รู้สึกผ่อนคลายตอนที่ไก่บอกว่าเป็นแค่สีของหิน แต่แล้วก็ต้องตกใจอีก ตอนที่ไก่สาวเล่าว่า
"ลานแห่งนี้เคยมีคนมากมายถูกฆ่าตาย ดังนั้นเลยต้องสร้างเสาพระขึ้นมาเพื่อสะกดวิญญาณ"...ง่า
[27 ส.ค. 54 22:17:47
]
ส่วนเก๋งจีนด้านซ้ายมือนี้เชื่อว่าโป๊ยเซียน2ใน8องค์เคยเหาะมาเดินหมากรุกกันที่นี่
แต่เก๋งนี้สร้างใหม่เลียนแบบของเก่าค่ะ
[27 ส.ค. 54 22:19:55
]
โอย เยอะได้อีก (ดิฉันประทับใจที่นี่มากค่ะ)
รูปนี้คือคำว่า เนินเสือ และ สระกระบี่ ค่ะ
มีทางเข้าวงโค้งอยู่ข้างๆด้วย
[27 ส.ค. 54 22:22:00
]
ถึงแล้ว แต่ยังไม่ถึงที่สุด สระกระบี่ ค่ะ
รูปทรงของสระ หน้ากว้างแล้วค่อยๆแคบลง เหมือนกระบี่มาฟันฉับ
มองไปด้านบนมีสะพานที่คนเดินไปเดินมา สรุปแล้ว เรายังต้องไปต่ออีกค่ะ
[27 ส.ค. 54 22:27:53
]
อันนี้เป็นรูตักน้ำบนสะพานค่ะ ด้านล่างเป็นสระกระบี่ เป็นรูสำหรับพระตักน้ำค่ะ
จากคุณ : สมิงสาวปากตะไกร
[27 ส.ค. 54 22:38:27
]
ลานชมเมืองค่ะ เมื่อยืนจากจุดนี้ จะเห็นตัวเมืองซูโจวในมุมกว้าง ซึ่งในตัวเมืองจะไม่มีตึกสูงเลย เพราะกลางเมืองมีเจดีย์เป่ยซื่อถ่า(北寺塔) ตึกในเมืองจะสร้างสูงกว่าเจดีย์ไม่ได้ ตึกสูงเลยไปอยู่รอบนอกหมดค่ะ
จากคุณ : สมิงสาวปากตะไกร
[27 ส.ค. 54 22:43:03
]
ไฮไลท์ของวัดแห่งนี้ก็คือ แต่นแตนแต๊น เจดีย์เอน นะเอง
จากคุณ : สมิงสาวปากตะไกร
[27 ส.ค. 54 22:46:08
]
จบจากเนินเสือ ย้อนกลับลงมาทางเดิม เจอแท๊กซี่ป้ายดำ ถามว่าไปไหน เราก็บอกว่าไปที่ที่มีร้านอาหารเยอะๆ แท๊กซี่บอก ได้เลย 10 หยวน รอตรงนี้นะ เดี๋ยวไปเอารถมา
พวกเราก็ว่าง่ายดีเนอะ รถมาก็ขึ้น ฝนจะตกด้วยแหล่ะ ตอนอยู่ในรถ แท๊กซี่ถามว่าอยากซื้อผ้าไหมมั๊ย พวกเราก็ไม่ค่อยสนใจ แท๊กซ๊่เลยขอร้องให้ช่วยไปหน่อย เพราะเค้าจะได้ค่าหัว คนละ 5 หยวนมั๊ง ไม่ซื้อก็ได้ เป็นร้านไหมของรัฐบาล
หลังจากเดินในร้านไหมอย่างรวดเร็ว แท๊กซี่ก็พาเราไปส่งถึงจุดหมายจริงๆ และเราก็ได้เลือกทานข้าวเย็นร้านนี้ค่า
[27 ส.ค. 54 22:57:25
]
ที่จริงเราอยากหาอาหารซูโจวทานกัน แต่แถวนั้นไม่มีเลย มีแต่ร้านอาหารทะเล เจอร้านนี้ที่ไม่ใช่ ก็เลยเอา
ตอนสั่งยังงงๆว่าร้านนี้เค้ากินกันยังไง เลยสั่งหม้อร้อนมา 2 หม้อ หม้อนี้คือขาหมู
[27 ส.ค. 54 22:59:37
]
และหม้อนี้ ซี่โครงหมู
ซึ่งพอเรากินหมด เจ้าของร้านก็จะเทน้ำแกงลงไปในหม้อดินนี้ให้ ซึ่งแม้เนื้อหมูจะหมด แต่ก็ยังมีน้ำซอสอยู่ เราก็แค่สั่งผักสั่งเนื้อเพิ่ม หม้อนี้ก็ได้กลายร่างเป็นหม้อชาบูไป
ปรากฏว่า3คนยังล่อเนื้อแพะไปอีก3กล่อง ผักต่างหาก
[27 ส.ค. 54 23:00:09
]
ราตรีนี้ยังอีกยาว
เนื่องจากขี้เกียจไปเดินที่อื่นแล้ว พวกเราก็เลยกลับไปข้างๆที่พักเที่ยวต่อ ซึ่งก็คือ ชีหลี่ซันถัง(七里山塘) นั่นเอง
[27 ส.ค. 54 23:07:11
]
จัดให้อีกรูป ชอบมาก colour of night เนี่ย
จากคุณ : สมิงสาวปากตะไกร
[27 ส.ค. 54 23:11:28
]