สวัสดีครับ เพื่อนสมาชิกทุกๆท่าน

ผมแอบอ่านรีวิวท่องเที่ยวและโรงแรมจากเพื่อนสมาชิกในห้องBlue planetอยู่หลายปี ได้ความรู้และแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวจากท่านมามากมาย อยากถือโอกาสนี้ขอบพระคุณเจ้าของรีวิวทุกท่านครับ

สำหรับผมเพิ่งมีโอกาสไปแวะเที่ยวเชียงใหม่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยไปพักที่โรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ล ดาราเทวี ซึ่งผมเห็นว่าเป็นโรงแรมที่สวยเอามากๆและอาจะเป็นที่สนใจของหลายๆท่านอยู่ แม้เป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แต่ก็มีโอกาสเก็บภาพมาฝากในหลายๆมุมมอง จึงถือโอกาสนี้ทำรีวิวตอบแทนเพื่อนสมาชิกบ้าง ในฐานะมือใหม่หัดรีวิวโรงแรมอาจมีข้อผิดพลาดด้านเนื้อหาหรือการบรรยาย ต้องขอความกรุณาท่านผู้อ่านช่วยกันชี้แนะแก้ไขด้วยครับ

โรงแรมแห่งนี้ได้รับการvoteจากนิตยาสารTravel and leisure ให้เป็นโรงแรมรีสอร์ตอันดับ1ของโลก ด้านการบริการ (ในขณะที่Oriental Bangkokได้รางวัลcity hotelอันดับ1ของโลก) เป็นที่น่าภาคภูมิใจของคนไทย

ไปเที่ยวดาราเทวีด้วยกันเลยครับ : ))

ก่อนอื่นต้องเรียนทุกท่านว่า แรงบันดาลใจในการมาพักโรงแรมแห่งนี้ของผม

ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านไปซักหน่อย

เรื่องมีอยู่ว่า ผมเป็นคนชอบทานของหวานมากๆ โดยเฉพาะมาการูน

เชฟที่ทำของหวานโปรดของผมชื่อเชฟฟาบริซ เคยอยู่แมนดารินโอเรียนเต็ลเชียงใหม่มากว่า7ปี ก่อนจะมาอยู่แมนดารินโอเรียนเต็ลกรุงเทพฯ ก่อนจะย้ายออกจากประเทศไทย

ขนมที่เชฟฟาบริซทำสำหรับผมแล้วอร่อยเข้าขั้นเสพติด เมื่อเชฟฟาบริซ
ออกจากประเทศไทยไปแล้ว ขนมที่โอเรียนเต็ลกรุงเทพฯเริ่มรสชาติเปลี่ยนไป แต่ผมได้ยินเพื่อนๆที่เชียงใหม่มารีวิวยั่วน้ำลายอยู่เสมอๆว่า ของหวาน โดยเฉพาะมาการูนที่เชียงใหม่ยังเด็ด ยังอร่อยเหมือนเดิม แถมราคาถูกกว่ากรุงเทพฯครึ่งต่อครึ่ง

ผมเดินทางมาเชียงใหม่เมื่อสองเดือนที่แล้ว เพื่อตั้งใจมาทานขนมโดยเฉพาะ
จากทานขนมที่เค้กช็อป ก็อยากลองเข้าไปทานอาหารฝรั่งเศส พอเข้าไปในโรงแรมเท่านั้นแหละ ผมเกิดอาการ ว๊าววว ปากค้าง นี่มันโรงแรมหรือวังโบราณกันแน่เนี่ย จึงหมายมั่นปั้นมือว่า ครั้งหน้าที่มาเชียงใหม่ จะมาพักที่นี่ให้ได้

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมมีเวลาว่าง1วัน จึงไม่พลาดโอกาสจะมาพักที่นี่ครับ

อย่างไรก็ตาม สิ่งแรกที่ดึงดูดผมมาที่โรงแรมแห่งนี้คือ ขนมแสนอร่อย
ที่Oriental shop ครับ

ตามมาชมโรงแรมสวยๆ ครับ

ส่วนนี้คือบริเวณหน้าโรงแรมครับ conceptของโรงแรมนี้

คือทำเหมือนเมืองโบราณ มีตลาด มีวัด มีบ้านเป็นหลังๆ มีหอสมุด มีศาลากลาง(Lobby) มีทุ่งนา สวนผักผลไม้ หมู่บ้านวัฒนธรรม ค่ายมวย ดังนั้นตรงทางเข้าเมื่อเข้ามาในบริเวณโรงแรมแล้ว

ส่วนหน้าจะเป็นบริเวณที่เรียกว่า กาดดารา สำหรับช็อปปิง ทานเค้ก ทานชา
รวมถึงบริเวณของร้านอาหารจีนFujian และร้านอาหารไทยLe grand Lanna

ส่วนโรงแรมชั้นในจึงอยู่ด้านหลังประตูเมืองและกำแพงสีขาว

จากตรงประตูเมืองหน้าโรงแรมเข้าไปที่Lobby จะมีรถbuggy ลักษณะคล้ายรถกอล์ฟน่ะครับ คอยรับส่ง แต่ส่วนใหญ่แขกก็ชอบขึ้นรถม้า ดูแปลกดี

ผมแวะออกมาซื้อมาการูนเข้าไปทาน ก่อนเข้าไปเช็คอิน

นั่งรถม้าเข้าไปด้วยกันนะคร้าบบ

หลังจากเข้ามาด้านใน จึงได้รู้ว่าโรงแรมนี้ใหญ่เอามากๆ

พื้นที่ร่วม160ไร่ เป็นเหมือนอาณาจักรลานนา ไทย พม่า มีศิลปะเก่าๆซ่อนอยู่ในเมืองแห่งนี้เต็มไปหมด

ผมจึงขอนั่งรถม้าชมรอบๆโรงแรมซักรอบ ก่อนไปLobby

บริเวณโรงแรมร่มรื่นเอามากๆ แม้แดดจะร้อนเปรี้ยง แต่กลับรู้สึกสดชื่นด้วยแมกไม้เขียวขจีตลอดทาง

ห้องพักในโรงแรมนี้มีสองแบบ คือแบบVilla เป็นบ้านไม้สักทองเป็นหลังๆ
ที่นี่จะเน้นการนำศิลปะ สถาปัตยกรรมแบบเก่าๆกลับมา แต่ใส่เทคโนโลยีระดับไฮๆเข้าไปในความเก่านั้น ท่านจะเห็นบ้านเรือนไทยแบบเหนือ แต่ด้านในมีลำโพงBoss มีระบบปรับอากาศ ปรับความชื้นที่ทันสมัย รวมถึงรีโมตอันเดียวcontrolความสว่างของบ้านได้ทั้งหลัง อ่างน้ำวน ผมว่าเป็นอะไรที่เป็นเอกลักษณ์เอามากๆ เพราะโรงแรมตึกใหญ่ๆมีเกลื่อนโลก

แต่โรงแรมแบบนี้มีประเทศเดียวในโลกคือ Thailandและผมคิดว่าไม่มีวันที่ใครจะมาcopyไปสร้างเลียนแบบได้

แผนที่ของโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ลดาราเทวี

ซึ่งจุดแรกที่ผมจะพาทุกท่านไปชมต่อจากนี้คือบริเวณ main lobbyและสระว่ายน้ำ Colonial poolตรงด้านบนซ้ายครับ

โหวแค่เห็น แผนที่โรงแรมก็อ้าปากค้างแล้วค่ะ

รอชมๆ

เห็นMain lobbyอยู่ลิบๆ เด๋วเข้าไปพร้อมๆกันเลยนะคร้าบ

ค่าเสียหายคงน่าดูชม^^

ส่วนนี้เป็นLobbyครับ

ตรงด้านข้างสองด้านที่เป็นสีขาวๆ จริงๆเป็นทางวิ่งของรถที่สามารถเข้ามาส่งด้านบนlobbyได้ แต่ผมอยากเดินเที่ยว เลยนั่งรถม้าเข้ามาลงตรงลานหน้าLobbyแล้วเดินขึ้นไปครับ

เบื้องหลังการสร้างโรงแรมนี้ค่อนข้างยาว โดยเฉพาะทุนสร้างกว่า3000ล้านบาท ไม้สักทองยักษ์หลายร้อยต้นที่ขนมาใช้สร้างVillaแต่ละหลัง รวมถึงช่างทางเหนือ ช่างศิลปจากพม่า โรงแรมแห่งนี้เคยถูกต่อต้านอย่างหนัก เนื่องจากทะลึ่งไปเอาแบบวัดบ้าง วังบ้างมาใช้สร้างโรงแรม ดูง่ายๆ เด๋วห้องพักที่ผมจะพาท่านไปชม ท่านที่เคยไปชมพระที่นั่งต่างๆในกทม.อาจคุ้นๆแบบบ้าง

แต่สุดท้าย โรงแรมนี้ก็กลายเป็นความภาคภูมิใจทางวัฒนธรรมของคนไทยครับ โดยเฉพาะเวลาชาวต่างชาติเข้ามาอ้าปากค้าง แล้วกลับไปvoteให้โรงแรมนี้เป็น Best resort in the world

บันไดทางขึ้นสู่lobbyครับ ผมว่าเจ้าของโรงแรมนี้ต้องนอกจากรวยแล้วต้องลูกบ้าเยอะด้วย ตอนที่ผมมาโรงแรมนี้ครั้งแรก ผมมีความรู้สึกเหมือนผมอยู่ในDisney landแบบล้านนา

ช่วงที่ผมไปเชียงใหม่ฟ้าครึ้มๆ ฝกตกปรอยๆทั้งวัน

จากตรงหน้าLobby หันไปมองด้านซ้ายพร้อมๆกันครับ

ทายซิ ตรงห้องใต้หลังคาหลายๆชั้นนี่คืออะไร













เฉลย ห้องน้ำครับ = =

ในความเห็นผม ผมว่าเป็นห้องน้ำที่โคดจะอลังการงานสร้างและเป็นเอกลักษณ์นะครับ แต่ท่านที่คิดมากคงคิดว่าเฮ้ย ทำไมเอาแบบหลังคาวัดทางเหนือมาใช้ทำหลังคาห้องน้ำ

อย่างไรก็ตาม เด๋วผมพาไปชมด้านในกันครับ

อลังการดีแท้ ขนมน่าทานมากๆครับ ^ ^

ตามไปด้วย ครับ
เคยตามอยู่ห้อง ก้นครัว พักหนึ่ง ล่ะ ฮิ๊ว ๆ

จุดนี้จะเป็นจุดที่เราเดินเข้าไปเช็คอินกันครับ

นี่เป็นการมาพักที่นี่ครั้งแรกของผม

ตามสไตล์ของโรงแรมในเครือแมนดาริน โอเรียนเต็ล
ที่เดินเข้าไปเสนอหน้าปุ๊บ ก็ทักชื่อผมได้ทันที

"คุณบาสใช่มั๊ยคะ"

สร้างความประหลาดใจพอสมควร ผมได้ยินมาว่าโรงแรมในเครือนี้มีการส่งต่อข้อมูลของแขกกัน อาจจะเกิดจากจุดนี้ ผมเคยไปพักที่แมนดารินโอเรียนทอลสิงคโปร์หลายครั้ง และไปทานข้าวที่โอเรียนเต็ลกรุงเทพฯเป็นประจำ

ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ : ) ไปเที่ยวด้วยกันเลยยย


พนักงานเชิญไปนั่งตรงเพื่อรอเซ็นเอกสารการเข้าพัก ระหว่างนั้นก็มีสร้อยดอกมะลิมาคล้องคอเป็นการต้อนรับ รู้สึกเหมือนนักร้องลูกทุ่งยังไงอยู่ครับ

welcome drink เป็นน้ำมะตูม
มาพร้อมผ้าเย็นกลิ่นยูคาลิปตัส

การเช็คอินรวดเร็วมากๆ คือแค่เซ็นชื่อแกร็กเดียวทุกอย่างจบ

อาจเพราะผมให้ข้อมูลทุกอย่างโดยการจองผ่านe-mailเรียบร้อยแล้ว ทางโรงแรมก็พิมพ์ทุกอย่างไว้รอ เหลือตรงลายเซ็นผมไว้ให้เซ็น

การเดินทางไปห้องพัก เนื่องจากโรงแรมใหญ่มากเป็นเมืองขนาดย่อม
จึงมีรถbuggyคอยรับส่งตามจุดต่างๆ แทบจะเรียกได้ว่าจะไปไหนไม่เกินสามนาทีก็มีรถมารับ พนักกงานก็นำกระเป๋า ซึ่งวันที่ไปพักผมตั้งใจไปไล่ทานขนมในโรงแรม มีเวลาแค่คืนเดียว เลยของไม่เยอะ แบกเป้ไปใบเดียว รถพร้อมเป้ผมก็รอไปส่งผมที่ห้องเรียบร้อย

ระหว่างนั้นผมก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

ตรงนี้ด้านหลังของlobby เป็นห้องอาหารAkaligo แขกของโรงแรมจะมาทานอาหารเช้ากันที่นี่ ขณะที่บุฟเฟต์แบบsunday brunch ที่หลายๆคนร่ำลือกันก็เสิร์ฟที่ห้องอาหารนี้ครับ

ด้านซ้ายของLobby เหมือนจะใช้เป็นอาคารสำนักงานของทางโรงแรมครับ

แล้วด้านขวาล่ะ? ตอนนี้จากตรงกลางLobbyผมหันขวาแล้วถ่ายรูป

เด๋วเราเดินลงไปดูกันว่ามีอะไร

ด้านขวาของLobby ถัดออกไปจากห้องอาหารAkaligo

ท่านจะพบอาคารห้องพักแบบColonial suit (ซึ่งเป็นห้องพักแบบธรรมดาที่สุดของที่นี่)

ระหว่างอาคารColonial suit กับLobby จะมีสระว่ายน้ำ ที่เรียกว่าColonial pool

เคยได้ยินบ่อยแต่ไม่เคยไปซักที สวยจริงๆครับ ^^

เดินข้ามไปตรงอาคารห้องพักแล้วถ่ายภาพกลับมาทางLobby

ในความเห็นผม เป็นสระว่ายน้ำที่ARTมากๆแห่งหนึ่งที่เคยเห็นทีเดียว

งามแต๊ ๆ เจ้า

ตรงนี้เป็นสระเด็กครับ เป็นสระน้ำวน เป็นน้ำอุ่นด้วย

ช่วงดึกๆ เปิดไฟแล้วสวยมากมาย

ตามมาดูโรงแรมหรูด้วยคน ราคาเท่าไหร่เนี่ย

ได้เวลาอันสมควรหลังจากเดินเล่นซนรอบๆLobby ก็เกิดความเกรงใจรถbuggyที่มารออยู่ได้ซักพัก

จึงพร้อมจะเดินไปห้องพักซักที

แต่แวะเข้าห้องน้ำที่มีหลังคาเป็นหลังคาวัดทางเหนือหลายๆชั้นตรงLobbyก่อน ก็อีกนั่นแหละครับ เป็นห้องน้ำที่ตกแต่งได้แนวมากๆ

มีเก้าอี้ให้นั่งพักเอาเรื่องก่อนปลดทุกข์ด้วย

ข้อสังเกตอีกอย่างของที่นี่คือ จะใช้หลังคาสูงเกือบทั้งโรงแรม ตั้งแต่ห้องพัก ห้องประชุม ยันห้องอาหาร

ปกติชอบรีวิวครูบาสในห้องก้นครัวมากๆเลยค่ะ ขนมน่าทานมากๆ วันนี้ดีใจ

จังเลยครูบาสมารีวิวในห้องบลูด้วย แถมยังเป็นสถานที่สวยๆแบบ Mandarin

Oriental Dhara Dhevi รอชมนะคะ

อลังการมัก

รถbuggyรอรับตรงหน้าlobby แล้วอ้อมมาส่งตรงด้านหลังอาคารcolonial ในภาพที่25 จริงๆอาคารcolonialนี่มี4อาคารกระจายไปด้านหลังโรงแรม

แต่ผมrequestห้องบนอาคารที่ติดสระว่ายน้ำ

คือด้วยความที่ผมมาคนเดียว จะให้ผมไปพักห้องแบบVilla กลางป่า แน่นอน มันเป็นส่วนตัว แต่การไปพักคนเดียว ท่ามกลางโรงแรมที่รวมของเก่า ไม้สักทองเก่า พระเก่า มาแปะๆต่อๆกัน ผมก็เกรงจะนอนๆอยู่ในบ้านเรือนไทยอยู่คนเดียวแล้วดึกๆจะมีคุณยายห่มสไบมาร่ายรำอยู่ริมหน้าต่าง เกรงจะพบบริการที่เหนือความคาดหมายแบบนี้

เลยเลือกมาพักห้องใกล้ๆlobbyมีเจ้าหน้าที่อยู่ข้างๆไว้อุ่นใจกว่า

จุดที่สร้างความประทับใจตั้งแต่เริ่มแรก นอกจากพนักงานทุกคนที่lobbyจะจำชื่อผมได้ในการมาพักครั้งแรกแล้ว คนขับรถก็ยังเรียกชื่อเล่นผมทุกครั้ง ตั้งแต่มารับไปส่งห้องครั้งแรก จนวันสุดท้าย ถือเป็นการรักษาbrandการบริการแบบโอเรียนเต็ลได้เป็นอย่างดี

ด้านหลังอาคารColonial ที่ผมพักครับ

รถbuggyมาส่งผมตรงนี้ พนักงานก็พาผมแนะนำสถานที่ พร้อมแจกแผนที่โรงแรม

โถงตรงชั้น1 จะเห็นว่าหลังคาสูงเอามากๆ

แล้วก็บรรยากาศการตกแต่งคล้ายๆพระที่นั่งหลายๆแห่ง
บางท่านอาจจะมองว่าคล้ายศาลากลางของเชียงใหม่

คือช่วงร.5 จะมีอาคารสไตล์Colonialให้เห็นมาก แล้วค่อยๆเลือนหายไป


ห้องพักผมอยู่ชั้นสองครับ

การเดินขึ้นไปชั้นบน แม้จะแค่ชั้นเดียว แต่ด้วยความที่เป็นอาคารหลังคาสูงเช่นนี้ ก็ทำเอาลิ้นห้อยได้เหมือนกันครับ โชคดีที่มีลิฟท์แบบคลาสสิกอยู่ด้วย

พอขึ้นมาชั้นสอง ระหว่างทางเดินไปห้อง จะค่อยๆพบว่า โรงแรมนี้ร่มรื่นเอามากๆ ถึงแดดจะเปรี้ยงปร้างแต่บรรดาเขียวๆของต้นไม้ ทำให้รู้สึกไม่ร้อนเลย

เดินเข้าไปชมห้องพักแบบColonial suit ซึ่งเป็นห้องพักแบบธรรมดาที่สุดของที่นี่ พูดง่ายๆว่าถูกสุดนั่นเองครับ แต่ผมว่า การมาพักท่านเดียวหรือสองท่าน ห้องแบบนี้ก็โอเคมากๆแล้ว ในความเห็นผม พอๆกับห้องสูทระดับสูงสุดของโรงแรม5ดาวทั่วๆไปทีเดียวครับ

พอเดินเข้ามา ด้านขวามือของผม (ไม่ปรากฏในภาพ) จะเป็นตู้เก็บรองเท้า และห้องน้ำเล็กๆ สำหรับรับแขก ด้านซ้ายเป็นที่วางร่ม มีร่มให้สองคัน สีเหลือง..และสีแดง

เดินตรงไปอีกนิด ด้านขวามือจะเป็นตู้เย็น เครื่องชงชากาแฟ อุปกรณ์ การรับประทานอาหารต่างๆ

และพอตรงไปสุด จะเป็นห้องรับแขก เดินออกจากห้องรับแขกจะเป็นระเบียงที่มองเห็นสระว่ายน้ำและLobbyครับ

จากภาพ39# ขวาหันพร้อมกัน จะพบห้องน้ำเล็กๆ

มีอ่างล้างมือและtoilet
มีสบู่กลิ่นตะใคร้ที่สปาที่นี่ทำเองวางไว้ให้ แล้วก็ผ้าเช็ดมือ

ปาด ขอตามติดมาชมด้วยคนจ้า

ว่าแต่คุณบาส ไม่สนบริการเสริมของทางรร.หรอค้า เผื่อจะเก็บรูปไว้เป็นที่ระทึก อิอิ

เดินตามบาสมานะครับ
จากประตูห้อง เดินผ่านห้องน้ำแขกทางด้านขวา

แดนตรงมาอีกนิด หันมาทางขวา

จะพบเคาเตอร์เครื่องดื่ม ด้านใต้จะเป็นตู้เย็น มินิบาร์ เครื่องแก้ว ชาว ช้อน เครื่องชงกาแฟ เครื่องชงชา แล้วก็มีชาคุณภาพสูงหลายๆแบบให้ทาน น้ำเปล่าในห้องมีประมาณ8ขวดได้วางอยู่ทุกมุมของห้อง

ดูเหมือนจะมีคนเตรียมอะไรไว้ต้อนรับผมด้วย!!

รอชมต่อนะครับ
น่าสนใจมากๆ

เรื่องรู้ใจแขกล่ะ ไม่มีใครเกินที่นี่ครับ

ผมคิดว่าคงมีคนส่งข้อมูลเกี่ยวกับผมว่าผมชอบทานเค้กเอามากๆ หรือทางโรงแรมใช้เมลล์ผมsearchก็ไม่ทราบ แต่เป็น Wow ดังๆ
เวลาที่เข้ามาห้องแล้วมีเค้กโปรดทั้ง6ชิ้นเป็นcomplementary welcome cake และไวน์แดงฝรั่งเศส ไว้ต้อนรับเข้าห้อง เป็นเซอร์ไพรซ์ที่ประทับใจมากๆสำหรับการมาครั้งแรกครับ

ส่วนด้านขวาเป็นกระติกน้ำแข็ง

ตามมาชมที่พักสวยๆครับ

Complementary wine แล้วก็จดหมายที่เขียนด้วยลายมือถึงผม

ฉบับนี้จากเชฟโดมินิก Executive chefของโรงแรม ซึ่งครั้งที่แล้วผมแว๊บมาทานร้านอาหารในนี้แต่ไม่ได้พักที่นี่ เชฟโดมินิกเลยชวนว่าครั้งหน้ามาพักที่นี่เลยสิ แล้วก็ให้นามบัตร

ตอนผมจองอะไรเรียบร้อยก็เมล์ไปบอกเชฟว่า รอบนี้ผมจะมาพักที่นี่

เชฟโดมินิกเลยเขียนจดหมายด้วยลายมือใส่ซองไว้ต้อนรับ

ประทับใจมากๆครับ เป็นtouchเล็กๆที่ทำให้ผมยิ้มแก้มปริตอนเปิดซองจดหมายอ่าน

สวยมาก  หรูมาก ๆ  ค่ะ

Complementary welcome cakes

โรงแรมนี้ได้รับการจัดอันดับเป็นโรงแรมที่บริการดีที่สุดในโลก
แซงหน้าโอเรียนเต็ลกรุงเทพต้นตำรับด้วยซ้ำ ดูจากจุดนี้ก็เหมาะอยู่ครับ

เพราะว่า เป็นSurpriseมากๆที่เค้กต้อนรับทุกชิ้นเป็นของโปรดผมทั้งหมดเลย
เป็นเค้กที่ผมเคยสั่งทานในshop และซื้อกลับบ้าน ตอนมาทานในshopครั้งที่แล้ว!!!

ทั้งมาการูนคาราเมล Orchardเค้ก Berry treatเค้ก ฯลฯ

เรื่องเค้กต้อนรับนี่ ผมตั้งสมมุติฐานสองข้อ

ข้อแรก จากเชฟโดมินิกทราบว่าผมชอบทานเค้ก

ข้อสอง นำข้อมูลความชอบผม มาจากโอเรียนเต็ลกรุงเทพฯ

เพราะอย่างรอบที่แล้ว ผมไปพักที่Oriental สิงคโปร์ ก็มีของหวานมาต้อนรับ!! ซึ่งผมมั่นใจว่า ได้ข้อมูลเรื่องผมชอบของหวานมาจากโอเรียนทอลกรุงเทพฯชัวร์ๆ

อันนี้เป็นsurpirse welcomeของMandarin Oriental Singaporeครับ
เปรียบเทียบกันดู ^^

สวยงามอลังการมากๆเลยค่ะ

ขนมน่าทานทั้งนั้นเลย ^^

ภาพที่ผมถ่ายมาออกจากไม่ยุติธรรมกับความสวยงามคลาสสิก
ของห้องพักColonial suitของโรงแรมนัก เนื่องด้วยว่าผมถ่ายรูปไม่เป็น ^^

อย่างไรก็ตาม จะพยายามบรรยายประกอบสุดความสามารถนะครับ

ความรู้สึกเมื่อเดินเข้ามา รู้สึกเป็นห้องที่โอ่อ่า อาจด้วยหลังคาสูง
ดูสะอาดสว่าง สบายตา มีเปิดเพลงไทยเหนือคลอ

แล้วก็มีพนักงานแอบมาจุดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นตะไคร้หอมหวนทั่วห้อง

อีกจุดที่ผมคิดว่าเจ๋งมากๆคือ แต่ละpartของsuit จะมีthermostatic controller เป็นตัวควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น ของแต่ละห้อง คือเผื่อวันดีคืนดีอยากจะปรับให้ห้องน้ำ40องศา ห้องนอน5องศา ห้องรับแขก12องศาอะไรอย่างเงี้ยครับ

ภาพจะดูออกแนวเป็นห้องเก่าๆ ตอนผมดูในเวบก่อนมาก็รู้สึกไม่น่าพัก ต้องร้อนแน่ๆ แต่เข้ามาแล้วรู้สึกเย็นสบาย แต่ไม่หนาว ผมเคยอ่านเจอว่า โรงแรมเครือนี้จะออกแบบไม่ให้ทิศทางลมของแอร์พัดโดนตัวแขก แต่จะให้ไหลไปข้างๆ แล้วก็เสียงของแอร์ต้องเบามากๆ

ด้านซ้ายเป็นห้องนั่งเล่น ด้านขวาเป็นห้องนอนครับ

ตรงนี้เป็นส่วนของห้องรับแขกครับ

บังเอิญไม่ได้ถ่ายแบบเต็มๆมา ขออนุญาตนำมาจากเวบโรงแรม

ห้องผมเป็นลักษณะนี้เป๊ะ ต่างกันที่ในภาพเป็นชั้น1 ของผมอยู่ชั้นสอง เดินออกไปมีระเบียง : )

ในตู้ที่ท่านเห็นด้านขวา เป็นตู้ทีวี29นิ้ว เครื่องเสียงแล้วก็ดีวีดีเป็นทีวีจอแบนแต่ไม่ใช้แบบพลาสมา เจ้าของโรงแรมให้เหตุผลว่า พยายามจะทำให้ได้บรรยากาศคลาสสิกที่สุด ทีวีพลาสมา ไม่เข้ากับบรรยากาศแบบColonial!!

บนโต๊ะรับแขก มีผลไม้ต้อนรับอีกชุดหนึ่ง
แล้วก็ซองจดหมายจ่าถึงผม ซองนี้จากGeneral manager ชื่อGreg Liddell

พาทุกท่านเดินทะลุห้องรับแขกก่อนออกไปด้านนอก

จะมีประตูสองชั้น ประตูมุ้งลวดด้านใน กับประตูด้านนอก

คาดว่าประตูมุ้งลวดเอาไว้รับลมหนาวตอนหน้าหนาวสามารถเปิดประตูด้านนอก ปิดไว้แต่ประตูมุ้งลวด

เดินออกจากห้องรับแขกไประเบียงด้านนอก จะมีเก้าอี้กับโต๊ะนั่งเล่น
มองออกไปเห็นวิวสระว่ายน้ำและLobbyที่ผมพาท่านชมช่วงต้นกระทู้

พาเข้ามาชมห้องนอนบ้างครับ

มองจากด้านนอก ทะลุเข้ามาข้างใน

ด้านในสุดเป็นห้องน้ำ

ตามไปแอ่วเหนือด้วยคนครับ
กิฟท์หมดแล้วขอมอบ

ให้แทนนะครับผม

มาดูรีวิวโรงแรมสวยยยยยๆๆๆด้วยคนนะครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ 

บริเวณห้องน้ำ ดูเหมือนจะเป็นห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยพักมาทีเดียว

ด้านขวาเป็นห้องแต่งตัว ด้านหน้าขวาเป็นห้องShower แล้วก็ด้านหน้าซ้าย
เป็นห้องToiletครับ

ภาพที่ออกมาอาจค่อนข้างดูเล็กกว่าความเป็นจริง อาจด้วยหลังคาสูงนี่เอง

เดินเข้าไปดูในห้องShower room มีที่นั่งหินอ่อน ฝักบัวแบบน้ำฝน ฝังอยู่ด้านบนอันใหญ่มากๆ แล้วก็ฝักบัวธรรมดา

อีกอย่างที่รู้สึกว่าที่นี่จัดเต็มมากๆคือ Amentities ครีมอาบน้ำ แชมพุ คอนดิชันเนอร์ ผมมาพักคอนเดียว พักวันเดียว

แต่ทางโรงแรมให้มาสามขวดใหญ่ๆ แต่ละขวดเท่าที่กะน่าจะเกิน400ml.
ใช้แบบปกติน่าจะใช้ได้ร่วมสามเดือนทีเดียว

ในภาพ59# นั่นคือเฉพาะในshower room นะครับ
ตรงอ่างอาบน้ำก็มีจัดให้อีกขวดใหญ่ๆ แชมพูขวด bath gelขวด

ผมคิดว่า นี่คงเป็นอีกหนึ่งในระบบฐานข้อมูลแขกของโรงแรมเครือแมนดาริน

เพราะตอนผมไปพักแมนดารินโอเรียนทอลสิงคโปร์ครั้งแรก ผมอาบน้ำสามรอบ ใช้เจลอาบน้ำเค้าเกลี้ยง เลยโทรไปขอเพิ่ม พอมาพักครั้งต่อไป เค้าเตรียมshowergel ,shampoo,conditioner,lotion ให้ผมอย่างละ4ชุด!!!

ผมอยากจะรู้จริงๆว่าเค้าคีย์ข้อมูลผมไปในฐานข้อมุลยังไง

"นายBASเป็นแขกที่รับประทานแชมพุและสบู่แทนน้ำเปล่า
กรุณาจัดให้นายBASเหลือเฟือเข้าไว้"  อะไรแบบนี้เป็นแน่

ดาราเทวีถึงเตรียมสบู่ แชมพุให้ผมเป็นลิตรๆซะขนาดนั้น

ภาพนี้เป็นของแมนดารินโอเรียนเต็ลสิงคโปร์ที่ผมไปพักครั้งที่สองครับ
นี่คือไม่ได้ขอเพิ่มนะครับ เข้าไปในห้องแล้วตั้งไว้รอ
ผมก็ถามตัวเองอยู่ว่า เค้าประชดผมป่าววะเนี่ย ฮ่าๆ

ถ้าถามว่าผมชอบอะไรในห้องพักมากที่สุด นอกจากขนมตอนรับ เตียงนุ่มๆ น้ำมันหอมระเหยลกลิ่นตะใคร้


ผมคิดว่าที่เจ๋งมากๆของที่นี่คือ อ่างจากุซซี่ครับ

ท่านลองดู พอผมเปิดน้ำปุ๊บ น้ำผมจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ

ลองปิดไฟสร้างบรรยากาศดูครับ

แหม่ ถ้ามีกระถางธูปด้วยและรูปที่แปะเหนืออ่างจากุซซี่เป็นภาพขาวดำภาพอาม่าคงสนุกกว่านี้

นี่ยังเช้าอยู่ครับ ผมกล้าแช่น้ำเล่นแบบนี้

ถ้าเป็นซักตีสอง ให้แช่น้ำสีนี้ ปิดไฟผมคงไม่เล่นด้วย กลัวมีบริการเสริมเป็นคุณยายใส่ชุดไทยมาร่ายรำข้างอ่างน้ำครับ

ตอนผมโพสรูปนี้ลงเฟสบุ้ค เพื่อนผมที่เป็นหมอ
มันเมนท์ถามว่า บาสแกไปส่องกล่องตรวจกระเพาะอาหาร(Gastroscope)มาเรอะ ผมบอกไม่ใช่ครับ

มันคืออ่างอาบน้ำที่ดาราเทวี ตอนเทbath gel แล้วเปิดจากุซซี่พ่นน้ำออกมาช่วยตีฟอง

พอเปิดไฟแล้ว จะเห็นได้ชัดครับ เป็นอ่างอาบน้ำกับฟองสบู่นั่นเอง

สบู่ แชมพู ครีมนวด โลชัน  รวมไปถึงน้ำมันหอมระเหยของที่นี่เป็นกลิ่นตะใคร้ทั้งหมดครับ

คาดว่าคงเพราะโรงแรมมีสภาพธรรมชาติ ต้นไม้ สระบัวกระจายอยู่ทั่วไปหมด ดึกๆคงยุงเยอะพอสมควร ได้ตะใคร้ช่วยไล่ยุง

เกลือขัดผิวที่วางไว้ให้ก็กลิ่นตะใคร้ เป็นเกลือขัดผิวที่เหมือนสบู่ขัดไปในตัว พอขัดแล้วจะลื่นๆละลายหายไปกับน้ำ

ตามมาชมความสวยงามแบบใกล้ ๆ ด้วยคนค่ะ

ยู้ติดกิฟครูบาสก่อนนะคะ อยากจะให้สุดๆ เลยอะคะ

โหวตก่อนนะคะ ^^

อ่างขนาดใหญ่พอที่จะลงพร้อมกันทั้งครอบครัวได้สบายๆ

ถ้ามากับแฟน การลงอ่างพร้อมๆกัน ผลัดกันใช้เกลือขัดหลังคงสนุกมากๆครับ

โรงแรมนี้อย่างกับพระราชวังในฝันจริงๆครับครูบาส ดีเทลย่อยๆคนออกแบบเก็บรายละเอียดได้หมดเลย สุดยอดครับ แม่มีชวนผมไปพักด้วย แต่ขอให้ชั้นถูกสลากกินแบ่งก่อนละกันนะ ๕๕๕ กิ๊ฟหมดแต่ผมให้ใจไปเลยครับครูบาส ดูไปชวนคิดถึงเค้กช้อป ร้านอาหารต่างๆไป

ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติเข้ามาชม ให้ความคิดเห็นชี้แนะ รวมทั้งให้giftนะครับ : )

วันนี้อุ่นเครื่องกัน มาตั้งหลักกันจากLobby พามาสำรวจห้องพักคร่าวๆกันแล้ว
เด๋วพรุ่งนี้ ผมพาไปชมรอบๆโรงแรม ซึ่งฝรั่งคอมเมนต์กันว่า
เป็นDisney land แบบล้านนา พรุ่งนี้ผมจะพาทุกท่านไปสำรวจสระว่ายน้ำอีกสระหนึ่งของโรงแรม ไปทานมื้อกลางวันที่Fujian ทานขนมที่เค้กช็อปที่อร่อยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เย็นๆแวะไปทำสปากันที่เทวาสปา แล้วเข้านอนด้วยกันครับ : )

คืนนี้good nightคร้าบบ

นอนก่อนนะคร้าบบ พรุ่งนี้ตื่นมาโพสต่อ : )
มีข้อติชม เพิ่มเติมข้อมูลอย่างไร เรียนเชิญเลยคร้าบบ

โค-ตะ-ระ-อะ-ลัง-กา....เลยครับ   สุดยอดขอบคุณครับ

เข้ามาดูุคุณบาสรีวิวสวย ๆ ครับ

ขอกระโดดขึ้นเตียงด้วยคนนะครับ
ง่วงมากเลย

ที่โรงแรมนี้ แขกโรงแรมจะได้ขวดใหญ่แบบนั้นทุกห้องครับคุณบาส

แวะมาชมครับ คุณบาส ผมเคยชมรีวิวคุณในห้องก้นครัวเลยตามไปลองทานมาการูนที่นี่มา ซื้อกลับบ้านมาเยอะแยะเลยครับ อร่อยตามที่บอกจริงๆ

ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ

กิ๊ฟเดือนนี้หมดแล้ว ผมให้ แทนนะครับ

เออแหะ ที่เห็นในรูปร้านอาหารนี่ข้างๆใช่แปลงข้าวหรือเปล่าอ่ะ ถ้าใช่ยูว่ารร.นี้เจ๋งไปเลยปลูกข้าวกินเอง 5555+

สวยมากเลยครับ  ขอบคุณครับ

สวยจังเลยค่ะครูบาส ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ วันนี้ย้ายจากก้นครัวมาห้องบลูเลยนะคะ

ตามกลิ่น Macaron มานะครับ

กลับไปเมืองไทย ได้ขึ้นไปเที่ยว ชม.
แวะไปชิมขนม ตามที่ครูบาสแนะนำ

และที่สำคัญ ได้นั่งรถม้า ชมดาราเทวี แบบไม่ได้พักด้วยค่ะ
เพียงแต่ให้ทิป คนขับรถม้าไปนิดหน่อย

บรรยากาศในห้องพัก สวยหรู อลังการ กว่าด้านนอกมากค่ะ

โรงแรมหรูหราอลังการมากค่ะ
ขนมก็หน้าตาน่าทานจัง

สวยมากๆครับ พรุ่งนี้รอชมต่อนะครับ :)

ยังไม่อยากตื่นเลย  ขอนอนบนเตียงนุ่มๆต่ออีกนิดนะครับ

ขอบคุณครับสำหรับรีวิวสวยๆ

นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีโรงแรมสวยๆ และบริการเลิศหรูอย่างนี้
สมควรอย่างยิ่งที่ได้รับการยกย่องให้เป็นที่ 1

สวยมากกกก เลยค่ะ อยากไปพักมั่งจัง  รอเก็บตังค์อีกนานมั้งเนี้ย ขอบคุณที่รีวิวให้ชมค่ะ

ขอบคุณที่พาเที่ยวค่ะ กิฟท์เดือนนี้เราหมดไปนานแล้ว อยากให้กิฟท์จังแต่ทำไม่ได้ แหะๆๆ

อยากมีบุญพักโรงแรมหรูๆแบบนี้จัง (น้ำลายไหลแล้ว ขอเช็ดก่อนค่ะ)

รอชมต่อนะคะครูบาส Complementary welcome cakes น่าทานมากค่ะ

ถ้าไม่ใช่แขกสำคัญคงหมดสิทธิ์นะคะ

สวัสดีเพื่อนสมาชิกทุกท่านครับ หวังว่าทุกท่านคงกำลังมีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้

ย้อนความเดิม ในกระทู้นี้ ผมพาทุกท่านไปเที่ยวโรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ล ดาราเทวี จังหวัดเชียงใหม่ โดยเรานั่งรถม้าเข้าไปจอดหน้าlobby เดินชมlobby เข้าไปสำรวจห้องพัก ห้องอาบน้ำกันได้พอสมควร

หลังจากนี้เราไปรีวิวกันต่อเลยครับ : )

โดยส่วนตัว ในฐานะคนไทย เวลาเพื่อนร่วมชาติได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดของโลกด้านต่างๆ เราก็อดภูมิใจไปด้วยไม่ได้
ตั้งแต่ อาหารไทยได้รับการยกย่องว่าอร่อยที่สุดในโลก กรุงเทพฯเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ1ของโลกติดต่อกันหลายสมัย สายการบินแห่งชาติของเราติดอันดับ5ของโลก และได้รางวัลBest economy class แม้แต่เรื่องกีฬา ที่ทีมวอลเลย์บอลสาวไทยชนะแชมป์โลกอย่างจีน

การที่โรงแรมไทยทั้งโอเรียนเต็ลกรุงเทพฯและโอเรียนเต็ลเชียงใหม่ ได้รับการvoteเป็น Best city hotelและ best resort hotel จึงเป็นเรื่องน่าภูมิใจ

เพราะผมคิดว่า Thai hospitality การต้อนรับในแบบไทยๆที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก มันแสดงถึงความอ่อนโยนในการดูแลแขก ความละเอียดอ่อนต่อรายละเอียดในการให้การต้อนรับ ดั่งประเพณีไทยที่ว่า แขกมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ และของแบบนี้เป็นความอ่อนโยนที่อยู่ในสายเลือด บางประเทศเช่น สิงคโปร์พยายามจะเลียนแบบ ถึงกับส่งพนักงานมาฝึกหัดที่โอเรียนเต็ลกรุงเทพฯ แต่การเพราะได้รับการฝึกมาก็คงไม่เหมือนการดูแลแขกอย่างเป็นธรรมชาติแบบคนไทยแท้ๆ ที่ว่ากันว่า คนไทยใจดี

ภาพนี้ถ่ายมาจากนิตยสารTravel and leisureครับ
Mandarin Oriental DharaDhevi รีสอร์ตอันดับ1ในโลกด้านservice

หลังจากที่ผมcheck in นอนพ่กผ่อนแช่น้ำได้ซักพัก
ก็เริ่มอยากสำรวจโรงแรม

มีรถม้ารออยู่แล้วครับ ไปด้วยกันเล๊ยยย

สองข้างทางมีทั้งกำแพง คูน้ำเล็กๆ น้ำตก และโบราณวัตถุเก่าๆประดับเต็มไปหมด ห้องพักแบบVillaสองชั้นกระจายอยู่เป็นหลังๆ เหมือนเป็นบ้านส่วนตัว Villaส่วนมากมีสระว่ายน้ำส่วนตัว รองลงมาหน่อยก็มีแต่อ่างจากุซซี่ด้านนอกเรือนไทย คงเหมาะกับฝรั่งชอบแช่น้ำอาบแดด

ศิลปะระหว่างทาง นอกจากล้านนา พม่า ไทย ก็ยังมีศิลปะขอมสอดแทรกมาด้วย ผมคิดว่าเป็นความฉลาดของเจ้าของโรงแรมอย่างคุณสุเชษฐ์ ซึ่งเป็นคนชอบสะสมของเก่า ชอบสถาปัตยกรรมเก่าๆ ที่เซ็นสัญญาให้เครือแมนดารินมาบริหาร จึงเหมือนการมาพบกันของความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมกับความทันสมัยและความเป็นมืออาชีพด้านโรงแรม

แต่ศิลปะแบบนี้เวลามาเดินคนเดียวช่วงดึกๆคงขนลุกพอสมควร

นั่งรถม้าไปซักพัก จะพบDheva spa(เทวาสปา)

จุดที่เห็นเป็นแค่Lobbyของสปา ด้านหลังมีอาคารสปาอีกหลายสิบหลัง รวมถึงห้องสปาสูท สำหรับคนที่ตั้งใจมาพักเพื่อทำสปาโดยเฉพาะ

เฉพาะตรงสปาก็คล้ายๆหมู่บ้านโบราณๆเล็กๆหมู่บ้านนึงแล้วในความเห็นผม

แบบของสปามีรายละเอียดเยอะมากๆ ซึ่งจำลองมาจากพระราชวังมัณฑะเลย์ของพม่า ท่านที่ดูภาพยนตร์ตำนานสำเด็จพระนเรศวรคงคุ้นๆกับศิลปะแบบพม่าในสปา ตอนนี้นัง่รถม้าผ่านเฉยๆก่อน เด๋วช่วงเย็นผมพาเข้าไปชมด้านในครับ

จุดหมายที่ผมจะไปที่แรก ที่สระว่ายน้ำและฟิตเนสcenter ผมลงรถม้าที่สปาเพื่อจะเดินชมรอบๆเอง จากนั้นก็เกิดการหลงเล็กน้อย

พบพนักงานท่านหนึ่ง ซึ่งผมไม่เคยพบมาก่อน เดินผ่านมา

ผมก็เข้าไปถามทางไปฟิตเนสและสระว่ายน้ำลอยคำ(เป็นอีกสระหนึ่งนอกจากสระColonial นอกจากพนักงานแนะนำทางอย่างสุภาพแล้ว ยังสร้างความประหลาดใจด้วยการลงท้ายบทสนทนาด้วยการเรียกชื่อผม

"ให้เรียกรถไปส่งให้มั๊ยคะ คุณบาส"

ผมขอบคุณและปฏิเสธเนื่องจากผมอยากเดินไป
แต่ก็เปรยๆว่า ไม่เป็นไรครับ ผมกะไปยืมจักรยานที่ฟิตเนสอยู่แล้ว

ผมตั้งสมมุติฐานว่า โรงแรมนี้คงแอบไปsearchรูปแขกทุกคนก่อนเข้าพัก แล้วเตรียมการกับstaffทุกจุดให้จำชื่อแขกให้ได้เป็นแน่ ผมเคยอ่านcommentในtripadvisor ใครๆที่มาพักก็มักจะประหลาดใจกับการทักชื่อแขกได้กันทั้งโรงแรมโดยไม่เคยพบหน้ากันมาก่ออนเช่นนี้

ผมเดินไปซักพัก ระหว่างทางเป็นกำแพงอิฐดูเก่าๆ พนักงานเล่าให้ฟังว่า
เกิดจากการซื้ออิฐเก่าๆ มาเรียงกันใหม่!

ในกำแพงอิฐเก่าๆนั้น มีประตูเล็กๆอยู่ด้านหน้า พอเปิดเข้าไป กลับเป็นfitness ที่มีเครื่องมือทันสมัยต่างๆอยู่ด้านไหน

พอเปิดประตูเข้าไป ก็พบความประหลาดใจต่อที่สอง คือ เทรนเนอร์ฟิตเนส
ออกมาทักว่า
"คุณบาสรึเปล่าครับ เราเตรียมจักรยานไว้ให้เลือกสามแบบครับ
ท่านชอบแบบไหน เชิญมาเลือกได้เลยครับ"

!!! ผมคิดว่า ในพื้นที่150ไร่ การบริหารจัดการให้ดูแลแขกได้ทั่วถึงเช่นนี้
ถือว่าเก่งมากๆ

จากฟิตเนสในภาพ เดินไปด้านในสุดขวา ท่านจะเห็นประตู เด๋วเราเดินเข้าไปตูบนขวาในภาพไปด้วยกันครับ

โห อึ้ง สุดยอด ตาม คุณบาส ไปเที่ยวด้วยคนค่ะ

ชาตินี้ คงไม่มีโอกาสเข้าไปนอน 555+

จากภาพ94# พอเปิดประตูเลี้ยวขวาเข้าไป

จะพบอุโมงค์ ซึ่งจากที่ผมอ่านหนังสือของโรงแรมเล่าว่าจำลองแบบมาจากวัดอุโมงค์

ตรงช่องด้านซ้าย จะมีงานปั้นฤาษีดัดตนท่าต่างๆวางอยู่ตลอดทาง
ส่วนตรงสุดทาง เป็นบันได ถ้าขึ้นไปด้านบนของอุโมงค์นี้จะเป็นค่ายมวย
เป็นกิจกรรมหนึ่งสำหรับแขก คือสอนมวยไทยให้แขกที่มาพัก

คือที่นี้เค้าจะมีกิจกรรมฟรีให้ทำเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสอนเพนท์ร่ม สอนทำเทียน สานปลาตะเพียน สอนปลูกข้าวเกี้ยวข้าวที่นาของโรงแรม ยันคลาสโยคะใต้น้ำ คลาสสมาธิ รวมถึงมวยไทยที่ค่ายมวยไทยด้านบนอุโมงค์นี้

ด้านขวา ท่านจะเห็นช่องสามช่อง

ช่องแรกเลี้ยวเข้าไปเป็นห้องแต่งตัว ห้องอาบน้ำ ห้องอบซาวน่าชาย

ช่องสุดท้ายเป็นของผู้หญิง ส่วนช่องกลางเป็นทางออกไปสระว่ายน้ำอีกสระหนึ่ง ชื่อว่า สระลอยคำ

ผมแวะไปเปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำในห้องแต่งตัว ซึ่งจะมีผ้าเช็ดตัว ล็อคเกอร์ รวมถึงอาหารว่าง เครื่องดื่มต่างๆวางให้หยิบทานได้ ระหว่างออกกำลังกาย

สบู่ แชมพู โลชั่น ในห้องน้ำของห้องอาบน้ำตรงสระว่ายน้ำ
นำมาจากเทวาสปาทั้งหมด เป็นกลิ่นมะลิกับน้ำผึ้ง หอมมากๆ

โรงแรมลงทุนมากๆกับเรื่องเล็กๆน้อยแบบนี้ เพราะผลิตภัณฑ์ของเทวาสปา ซึ่งจัดทำโดยแบรนด์Panpuri ขายตามห้างก็ขวดละร่วมพันกว่าบาท แต่ที่สระว่ายน้ำวางให้ใช้ครบsetทุกจุดเลยทีเดียว

จากภาพที่96# หลังจากเราเข้าช่องแรกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เดินออกมาจากช่องแรก ไปเลี้ยวขวาออกทางช่องที่สอง

จะพบกับสถานที่ดังภาพ เป็นสระว่ายน้ำอีกสระครับ

"Loy kham pool"

ซึ่งเป็นที่ตั้งของLoy kham pool bar เป็นlight lunch เผื่อใครอยากทานข้าวมื้อเบาๆข้างๆสระว่ายน้ำ

รอบๆก็จะมีday bed เตียงไว้นอนริมสระ พอเราเดินออกมาปุ๊บ
ทันใดนั้นก็จะมีพนักงาน ตามฟอร์ม เดินมาทักชื่อเรา ปูผ้าให้สองผืน เป็นผ้าเช็ดตัวผืนแล้วก็ผ้ารองนอนผืน

จากนั้นก็มีผ้าเย็นกลิ่นมะลิ น้ำเปล่าน้ำแข็ง  แล้วก็ครีมกันแดดจัดมาให้
รวมถึงผลไม้เสิร์ฟให้ทานรองท้อง

ทั้งหมดเป็นบริการฟรีจากทางโรงแรม

สระน้ำที่นี่ทุกสระ เป็นสระน้ำเกลือ ไม่มีคลอรีน
ทั้งสระใหญ่สองสระ และสระส่วนตัวของแต่ละvilla

น้ำในสระสะอาดใสกิ๊กมากๆ พนักงานบอกว่าความสะอาดของน้ำได้มาตราฐานโลก

พอกระโดดตูมลงสระไป ใต้น้ำมีเปิดเพลงบรรเลงทางเหนือด้วย
เหมือนจะมีลำโพงอยู่ใต้น้ำ

จริงๆสระลอยคำ เป็นสระว่ายน้ำเล่นระดับ คือมีสองชั้น น้ำจากชั้นบนจะไหลเป็นน้ำตก ไปในสระชั้นล่าง

คนนิยมมาเล่นสระนี้กันมากกว่าสระColinial เพราะวิวริมสระเป็นวิวทุ่งนา

บังเอิญผมไม่ได้นำกล้องลงน้ำ แต่วิวจากสระจะออกมาประมาณนี้ครับ

ตามเที่ยวครับสวยมากๆ

จะมีโอกาสไปพักใหมหนอ

ขอบคุณรีวิวมากๆนะครับ

ตรงกลางของสระลอยคำ ที่มีหลังคาเป็นชั้นๆ จะเป็นอ่างจากุซซี่น้ำอุ่น เผื่อว่ายน้ำจนเมื่อย จนขึ้นไปนั่งแช่น้ำอุ่นให้น้ำพ่นมานวดตัว

โดยรวมในช่วงอากาศร้อนๆเช่นนี้ การว่ายน้ำเป็นการผ่อนคลายที่ดี

แต่ผมนึกถึงช่วงhigh season ที่เชียงใหม่อากาศเย็นๆ ผมคงไม่กล้าว่ายน้ำ เพราะน้ำค่อนข้างเย็นพอสมควร

เที่ยงกว่าๆแล้ว ท่านผู้อ่านที่ตามผมมาเที่ยวเริ่มหิวรึยังครับ?

ผมเริ่มท้องร้อง ถ้าเช่นนั้นเราขึ้นจากสระแล้วไปหาอะไรทานด้วยกันครับ

พอขึ้นจากสระ ท่านจะพบกับ "ฝักบัว" อาบน้ำ ที่เป็น "ฝักบัว" จริงๆ

อาบน้ำ เช็ดตัว อบซาวน่า แล้วนั่งรถbuggyออกไปหาอะไรทานครับ

นั่งรถbuggyจากสระน้ำมาบริเวณด้านหน้าของรีสอร์ต ใช้เวลาประมาณห้านาที ก้มาถึงบริเวณที่เรียกว่า "กาดดารา"

ผมเพิ่งมาทราบทีหลังว่า คำว่า กาด เป็นภาษาเหนือ แปลว่า ตลาด

บริเวณนี้โรงแรมคงตั้งใจให้เป็นจุดช็อปปิง ทานขนม ทานมื้อกลางวันอะไรทำนองนี้ และบริเวณกาดดาราค่อนข้างแยกออกจากบริเวณห้องพักชัดเจน
บริเวณนี้จึงเป็นจุดที่คนพื้นเมืองเข้ามาทานขนมกันเป็นประจำ โดยเฉพาะในกาดารามีร้านเค้นก Oriental shopอันเลื่องลือ คนที่เข้ามาที่นี่จึงมีตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา ขี้มอเตอร์ไซด์มาทานเค้กหลังเลิกเรียน จนไปถึงคนทำงาน ครอบครัว มาทานเค้นก ทานไอศครีมด้วยกัน

อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงู้นเลยครับ ผมเองมาเชียงใหม่ทุกครั้ง จุดหมายสูงสุด คือมาทานเค้กที่นี่เป็นจุดประสงค์หลักแหละครับ ที่เหลือเป็นของแถม

แต่มื้อกลางวันจะทานเค้กเป็นอาหารก็กะไรอยู่

ในกาดดารา นอกจากOriental shop ยังมีร้านอาหารจีนของโรงแรม

ชื่อ Fujian กลางวันนี้ จึงตัดสินใจทานอาหารจีนครับ

ไปทานด้วยกันนะครับ

เข้ามาในบริเวณกาดดารา มองไปสุดทาง ท่านจะเห็นอาคารตกแต่งแบบจีนๆหน่อย นั่นแหละครับ จุดหมายปลายทางของเรา

บรรยากาศบริเวณหน้าร้าน มีพนักงานมารอต้อนรับและพาไปที่โต๊ะ

กำลังจะเดินทางไปชิมเค้กที่ดาราเทวี พรุ่งนี้เลยค่ะ
แต่อยากนั่งรถม้าเที่ยวชมรอบๆเหมือนคุณบาสบ้างได้รึป่าวคะ ถ้าไม่ได้เป็นแขกที่มาพัก

มื้อกลางวันของFujianจะเป็นบุฟเฟต์ติ่มซำ

คือมีเมนูติ่มซำ ให้สั่งนึ่งได้เรื่อยๆ ซุป main course เป็นข้าวผัด และของหวาน

ผมมีความคาดหวังค่อนข้างสูง ปกติร้านอาหารจีนที่ผมทานเกือบทุกวันตอนอยู่กทม. คือThe China houseของโอเรียนเต็ลกรุงเทพฯ ซึ่งในความเห็นผม เป็นร้านอาหารจีนที่เจ๋งที่สุดในโลก รวมไปถึงร้านCherry garden ของโอเรียนทอลสิงคโปร์ ซึ่งผมไปทานทุกครั้งที่ไปสิงคโปร์

จึงอดจะเปรียบเทียบกับFujianของที่นี่ไม่ได้

บรรยากาศ ตกแต่งแนวแมนชั่นในกรุงเซียงไฮ้สมัยเก่า นี่น่าจะเป็นร้านเดียวในโรงแรม ที่ไม่มีกลิ่นไอภาคเหนือมาแจมด้วย เพราะแม้แต่ร้านอาหารฝรั่งเศสของโรงแรม ยังอยู่ในเรือนไทยแบบเหนือ

การsetจาน ดูดี และเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ได้copyมาจากThe China house
แม้เชฟหลายๆท่านจะเคยอยู่China houseมาก็ตาม

จานแรก เป็นขนมจีบกุ้งหมู

ถือว่าผ่านทีเดียวครับ วัตถุดิบเยี่ยม รสชาติอร่อย

ฮะเก๋า กัดโครมเข้าไปเจอกุ้งจมเขี้ยว

สำหรับฮะเก๋าผมแนะนำทานกับChilli suaceที่วางบนโต๊ะ จะคล้ายๆน้ำพริกเอา ที่นี่ทำได้หอมและเป็นเอกลักษณ์มากๆ

เริ่มชัดแล้วว่า Fujianก็เป็นร้านอาหารจีนคุณภาพสูงตามมาตราฐานโรงแรมเครือแมนดาริน ผมทานไปหลายถาดทีเดียว

ไฮไลท์ของติ่มซำ ของผมคือจานนี้ครับ

วุ้นเส้นปูอัดเนื้อปลาเห็นหอมน้ำแดง
อร่อยมากๆๆๆ ทุกอย่างเข้ากันไปหมด

ขอคั่นรีวิวนิดเดียว

สุดยอดค่ะคุณบาส เพอร์เฟคจริงๆ
ติ๋มซำน่าทานมาก
เค้กทุกอย่าง ก้ออยากจะลองเองซะแล้วสิคะ

อีกจานที่ผมชอบที่สุดในมื้อนี้ คือ ก่วยเตี๋ยวหลอดไก่ย่างน้ำผึ้ง

น่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวหลอดที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยทาน โดยเฉพาะsoy sauceที่ราดมา อร่อยหอมละมุนลิ้นมากๆ ผมทานไปสามจาน

ของทอดก็จะมีพวก เกี๊ยวกุ้งทอด กุ้ยช่ายทอด ปอเปี๊ะเจทอด พายหมูแดง

ผมทานเกี๊ยวกุ้งทอด อร่อยตามมาตราฐานครับ

ถึงจุดนี้ให้ผมเทียบกับThe China houseซึ่งเป็นเบอร์1เรื่องอาหารจีน
ผมมองว่า ความหลากหลายยังน้อยกว่าChina house อาจด้วยเชียงใหม่ไม่ติดทะเล วัตถุดิบอย่างหอยเชลล์ อะไรพวกนี้อาจราคาแพงกว่ากรุงเทพฯ

แต่เทียบกับราคา ผมใช้บัตรdine in style ลด33% เดือนหน้าผมพาคุณแม่มา ทานสองท่านลด50% เหลือหัวละ300กว่าบาท รวมชาเขียว กับเก๊กฮวยเติมเรื่อยๆ ผมทานไปมากกว่าสิบถาด หัวละสามร้อย ผมว่าคุ้มจนไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้วครับ โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวหลอด กับปูอัดเห็ดหอม อร่อยเป็นเอกลักษณ์มากๆ ผมดีใจที่Fujian สร้างเมนูเอกลักษณ์ขึ้นมาไม่ไปcopyโอเรียนเต็ลกรุงเทพนซะหมด

ส่วนอาหารจานซุป กับเมนคอร์ส ขออนุญาตวิจารณ์ตามตรงนะครับ
โดยส่วนตัวผมคิดว่าไม่ผ่าน ธรรมดามากๆ
เมนคอร์สเป็นข้าวผัดแห้งๆ

ซุปเป็นซุปเกี๊ยว ถ้าเทียบกับของโอเรียนทอลกรุงเทพฯ ซุปเป็นหูฉลามน้ำแดงเยื่อไผ่ เช่นเดียวกับของสิงคโปร์

แต่ของเชียงใหม่เป็นซุปเกี๊ยวเล็กๆ  รสชาติไม่น่าจะไปด้วยกันซุปได้ด้วยซ้ำ
(ผมให้ความเห็นกับทางร้านไประ)

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า เราเน้นมาทานติ่มซำครับ ซุป ข้าวผัด ถือเป็นของแถม

ลดแล้วเหลือสามร้อยกว่าๆกับเมนูล้ำเลิศและบรรยากาศระดับไฮคลาส
ถือว่า ถูกมากๆ  
พอดีแวะมาดูสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้องนี้ โชคดีได้เจอรีวิวเลิศหรู


โอกาสหน้า คงต้องไปตามหาที่ห้องก้นครัวแล้วค่ะ
เมนูที่แนะนำ  คงไม่มีที่ตินะคะ  อยากไปชิมมั่งค่ะ

ของหวานในset เป็นไอศครีมงาดำ ซึ่งผมไม่ชอบงาดำอีกนั่นแหละ

แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะผมกะสั่งนอกsetอยู่แล้ว น้องเด็กน้อยจี๊ดจิ๋ว แห่งห้องก้นครัว เคยรีวิวไว้ว่า Fujian มีของหวานอร่อยเอามากๆ คือ มะม่วงปั่น

ซึ่งระดับกูรูของหวานแห่งก้นครัวอย่างน้องเด็กน้อยจี๊ดจิ๋ว โปรดปราน
ผมจึงไม่พลาดจะสั่งมาลอง

ขอเปลี่ยนใจไฮไลต์เป็นตัวนี้แล้วครับ ตอนแรกว่าจะตัดสินให้ก๋วยเตี๋ยวหลอกไก่ย่างน้ำผึ้งเป็นไฮไลต์ เจอของหวานถ้วยนี้เข้าไป

ท่านไหนไปทานอย่าพลาดนะครับ เป็นเกล็ดมะม่วงปั่นกับน้ำแข็ง เนื้อส้มโอ แล้วก็สาคู กำลังง่วงๆจากการว่ายน้ำมา ทานแล้วสดชื่นทันตาเห็น

คุณ ณ ขณะหนึ่ง ติ่มซำอร่อยจริงๆครับ ทานติ่มซำให้เต็มอิ่ม ข้ามเมนคอร์สข้าวผัดไปก็ได้ครับ  ดีใจจัง ที่ยังมีเพื่อนสมาชิกอ่านอยู่คร้าบ : )))


จานนี้ของหวานแนะนำจากนอกsetครับ

Chill mango with pomelo serve with sago pearl

มะม่วงปั่นสาคูกับเนื้อส้มโอ

จริงๆความตั้งใจผม สำหรับมื้อกลางวัน ผมตั้งใจจะทานติ่มซำพอๆ แล้วเก็บท้องๆไว้ครึ่งหนึ่ง สำหรับทานเค้กที่โอเรียนทอลช็อป ซึ่งอยู่ข้างๆFujian

ไปเจอติ่มซำอร่อย เลยทานไปสิบกว่าถาด ทั้งซุปทั้งของหวาน
เลยเหลือพื้นที่ท้องไม่มากเท่าไหร่

แต่ยังไงก็อยากทานเค้กอยู่ดี ท่านผู้อ่านอิ่มรึยังครับ
ถ้ายังเหลือพื้นที่ในกระเพาะ ไปทานเค้กกันต่อเล๊ยย

Oriental shop ชาวเจียงใหม่ที่ชอบทานเค้กน่าจะรู้จักกันดีครับ

บรรยากาศภายในOrien shopครับ

อันนี้ภาพจากการมาครั้งที่แล้วของผม

พาไปชมตู้ขนมกันครับ

ช่วงเที่ยงๆขนมยังเต็มตู้ พอซักบ่ายๆจะเริ่มหายไปทีละอย่าง

เริ่มจากด้านหน้าสุด

The Top ของโปรดของผม ตัวนี้พลาดไม่ได้ ขายดีที่สุด หมดเร็วที่สุด
วางได้ไม่กี่ชั่วโมงก็เกลี้ยงครับ ที่เชียงใหม่ชิ้นละ89 ที่กทม.149!!เหมือนกันเป๊ะ เพราะสูตรมาจากเชฟขนมท่านเดียวกัน  

ถัดไปเป็น Blueberry chees cake presentแบบแนวๆ
ส่วนตัวเหลืองๆนั่น Hawaii slice เป็นมูสมะพร้าวกับเจลลีเสาวรส ขนาบด้วยแผ่นไวท์ช็อคโกแลต ตัวนี้เปรี้ยวๆนิดนึง ท่านที่ชอบเปรี้ยวคงถูกใจ

ตัวหลังสุดTendress ช็อคโกแลตมูส

บราวนี้ นิวยอร์ดชีสเค้ก Orchard cake ทีรามิสุ แล้วก็พานาคอตตากับred wine jelly

ด้านนี้ตัวที่ผมแนะนำคือ Orchard cake กับทีรามิสุ


แต่จริงๆ ขนมในตู้ของดาราเทวี ท่านเห็นตัวไหนหน้าตาถูกชะตาก็จิ้มได้เลยครับ อร่อยทุกอย่าง

จุดเด่นมากของตู้ขนมที่นี่คือ ถ้าท่านมาหลายๆครั้ง ท่านก็จะได้ทานขนมไม่ซ้ำกัน เพราะจะมีขนมใหม่ๆงอกมาอยู่เรื่อยๆ

เช่น มูสมะพร้าวกับเจลลี่มะม่วงตัวขาวๆด้านขวา

Black forestด้านซ้าย

ที่พลาดไม่ได้เลยคือ "Macaron"

ในความเห็นผม นี่คือมาการูนที่อร่อยที่สุดในโลกแล้วครับ

โดยเฉพาะราคาชิ้นละ12บาท!!

อดที่จะซื้อกลับไปนอนทานที่ห้องพักไม่ได้ พนักงาน่ารักมากๆ เสนอที่จะนำไปเก็บไว้ในตู้เย็นให้ เพราะผมมีโปรแกรมจะไปเที่ยวเล่นรอบๆโรงแรมต่อ

พอกลับมาห้องมาการูนจากช็อป ก็อยู่ในตู้เย็นห้องผมแล้ว

มาการูนไม่ใช่ของที่ต้นทุนสูง จริงๆแล้ว มาการูนแต่ละชิ้น มีน้ำตาล แอลมอนป่น ไข่ข่าว แล้วก็อาจมีครีม กลิ่นผลไม้ต่างๆอีกนิดหน่อยเท่านั้น ต้นทุนมาการูนคุณภาพสูงสุดๆ ตกชิ้นละ1-3บาท แต่มาการูนเป็นขนมละเอียด

ทุกขั้นตอนต้องเป๊ะ ต้องตีไข่ได้เนื้อแบบนี้ ต้องทิ้งไว้จนได้ความแห้งเท่านี้ อบใช้ไฟเท่านี้ ออกมาแล้วต้องแช่ช่องแข็ง ทาไส้ freezeแข็ง แล้วค่อยๆdefrost ให้ละลายทีละนิด ในขณะที่ไส้จะค่อยๆซึมเข้าไปในเนื้อshell
มาการูน กว่าจะออกเสิร์ฟได้ ใช้เวลา2-3วัน

ถ้าขั้นตอนไหนพลาดไปซักนิด ก็เจ๊งทั้งsetทิ้งไปได้เลย เช่นตีไข่นานไป อบนานไป ฯลฯ สมมุติทำมาสองร้อยชิ้น รอมาครึ่งวัน ถ้าพลาดรายละเอียดเล็กๆ ทั้งถาดนั้นก็กลายเป็นขยะ

มาการูนจึงเป็นขนมที่ขายฝีมือล้วนๆ และผมแนะนำให้ท่านลองมาทานมาการูนที่ดาราเทวีครับ สุดๆแล้ว

ในภาพ เป็นรสกุหลาบ บลูเบอรี่ สตรอเบอรี พิทาชิโอ คาราเมล ช็อคโกแลต

อุ่นเครื่องด้วยThe top กับHawaii slice
มาการูนพิทาชิโอกับกุหลาบ

มูสมะพร้าวกับเจลลี่มะม่วง

Orchard cake แล้วก็มาการูนหลากรส

Black forestที่ผมโปรดปราน เนื้อเนียนลิ้น ตักเข้าปากแทบจะละลายในปาก

เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ ตอนที่แอลกอฮอลล์ที่อาบเนื้อเค้กจนฉ่ำ ค่อยๆซึมเข้าต่อมรับรสในลิ้น

อีกตัวที่เด็ดมากๆและผมไม่เคยทานมาก่อน

เป็นฝีมือครีเอตของเชฟอุเทนแห่งดาราเทวีนี่เอง

คือ ทีรามิสุมาการูน

ข้างในมีเจลลี่กาแฟและทีรามิสุครีม

มาตามชมต่อจากเมื่อวานครับ ขนมน่าทานมากๆเลย

ตัวนี้ผมคิดว่าท่านที่ชอบราสเบอรี่และชอบขนมรสเปรี้ยวๆต้องถูกใจแน่ๆครับ
เห็นน้องที่ทานหลายคนบอกว่าอร่อยมากๆ

บังเอิญผมติดขนมรสหวานผมเลยเฉยๆ

เครมบูเร่ ราสเบอรี่มูส และทีรามิสุมาการูน

Oriental shop เป็นสวรรค์สำหรับคนชอบทานขนมเช่นผม
สำหรับผม ทริปนี้ถือว่าคุ้มแล้วครับ ^^

แต่อาจไม่ใช่สถานที่ที่ดีนักสำหรับท่านที่คุมน้ำหนักอยู่

อิ่ม มีความสุขมากๆครับ

คนชอบทานขนมอย่างผม ถ้าแวะมาพักโรงแรมนี้ หรือมาเที่ยวเชียงใหม่
อย่าพลาดที่จะแวะมาทานขนมที่นี่

ขนมที่นี่สูตรเดียวกับร้านPierre Herme ร้านดังในฝรั่งเศสเป๊ะๆ
แต่ราคา1ใน4ของร้านที่ฝรั่งเศส และหลายๆชิ้นเป็นขนมชนิดเดียวกับที่
โอเรียนทอลกรุงเทพฯ แต่ถูกกว่าเกือบครึ่ง

เทียบกับร้านขนมภายในโรงแรมโอเรียนเต็ลกรุงเทพฯ ในยุคปัจจุบัน
ในความเห็นผม ผมว่าดาราเทวีเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนอันนี้ตู้ขนมในโรงแรม Mandarin Oriental Singapore

อันนี้ค่อยพอจะอัดกับดาราเทวีได้แบบกินกันไม่ลงหน่อย

หรืออาจจะมองว่า ในขณะที่ดาราเทวี กับสิงคโปร์ รวมถึงหลายๆโรงแรม พยายามจะตามเทรนขนม ให้มีรูปแบบทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ แต่เชฟขนมท่านใหม่ของโอเรียนเต็ลกรุงเทพฯ ทะลึ่งเป็นพวกอนุรักษ์นิยม เลยกำจัดขนมแบบใหม่ของเชฟฟาบริซ แล้วหันมาทำเค้กยุคหินไดโนเสาร์ออกขาย

เดือดร้อนผมต้องบินมาทานขนมที่ดาราเทวีบ่อยๆ

อิ่มแล้วครับ หลังทานติ่มซำที่Fujian จัดหนักขนมกันที่shop

ตอนผมเรียนมัธยมหลังผมทานข้าวอิ่ม ถ้าไม่เตะบอล ผมก็มักไปห้องสมุด

ไปหาที่นอน ^^

ในอาณาจักรดาราเทวี มีห้องสมุดด้วยครับ

ชื่อ Jumsri hall library มีหนังสือ DVD หนัง เพลง นิตยสาร กว่า5000รายการให้ยืม ต่างกันตรงที่ที่นี่พอเราอยากได้เล่มไหน เราสามารถเดินตัวเปล่ากลับห้อง ด้วยความน่ารักของพนักงานจะเสนอว่า ทางเราจะจัดส่งให้ถึงห้อง ซึ่งพอผมเลือกหนังสือกับDVDแล้ว ผมยังกลับไม่ถึงห้องหนังสือก็มาวางรอที่ห้องแล้ว ^^ นี่คือ Jumsri hall libraryครับ

ทางห้องสมุดจะนำหนังสือที่เราเลือกใส่ถุงผ้าวางไว้ให้แบบนี้

หนังสือที่ผมยืมมาอ่า "Lanna Renaisance"

เป็นหนังสือที่เล่าประวัติศาสตร์ของล้านนายุคต่างๆ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรม และแบบต่างๆของสถาปัตยกรรม

บทท้ายๆจะเล่าถึงดาราเทวีแต่ละจุด ว่าส่วนนี้ไปเลียนแบบสถาปัตยกรรมของใครมา ถ้าท่านมีโอกาสมาดาราเทวี ผมแนะนำให้อ่านเล่มนี้จะทำให้ท่านเข้าใจความหมายของสถานที่ต่างๆในดาราเทวีมากขึ้นครับ

ที่ผมเล่าๆให้ท่านฟังในกระทู้นี้ (ยกเว้นเรื่องขนม) ส่วนใหญ่ก็นำมาจากหนังสือเล่มนี้แหละครับ : )

อยากไปแต่ราคาเจ็บจิต - -

เริ่มค่ำๆแล้ว

วันนี้เมื่อยมาทั้งวัน

ไปเที่ยวสปากันดีกว่าครับ

จากในภาพ ด้านซ้ายเป็นบริเวรเทวาสปา ด้านขวาเป็นร้านอาหารฝรั่งเศส
ชื่อ Farang-ses  ผมมาตอนมืดๆแล้ว ไม่ค่อยเห็นอะไร เลยยืมภาพมาจากเวบโรงแรม

ช่วงที่ผมมาถึง เป็นช่วงค่ำๆแล้ว ขึ้นมาปุ๊บจะพบกับสปาlobby

ซักพักก็มีพนักงานนำตะไคร้มาให้ดื่มรอก่อนพาไปอาคารทรีตเมนต์

เกร็ดอีกอย่างของโรงแรมนี้ ที่ผมขออนุญาตนำมาเล่าให้ฟังคือ

ผ้าเย็นแต่ละจุดที่พนักงานนำมาให้จะมีกลิ่นเฉพาะ เช่น ที่reception กลิ่นยูคาลิปตัส สระว่ายน้ำกลิ่นมะลิ สปากลิ่นตะใคร้ ร้านอาหารฝรั่งเศสกลิ่นลาเวนเดอร์ ถ้าท่านมึนๆว่าท่านอยู่ตรงไหนกันแน่ พิสูจน์จากกลิ่นผ้าเย็นก็จะพอทราบ

น้ำดื่ม+น้ำแข็ง จะมีเสิร์ฟแขกทันที ทุกที่ ทุกเวลาที่แขกไปนั่งอยู่จุดใดๆของโรงแรม เป็นบริการเล็กๆน้อยๆที่น่าประทับใจอย่างหนึ่ง

มองไปรอบๆ นึกถึงหนังเรื่องสมเด็จพระนเรศวร

อย่างที่ผมเรียนไว้ข้างต้น สปาของดาราเทวีจำลองแบบอาคารต่างๆมาจากพระราชวังมัณฑะเลย์ของพม่า

บริเวณสปาจะเหมือนวังเล็กๆ ที่ประกอบด้วยอาคารย่อยๆ เต็มไปหมด
แต่ละอาคารจะมีห้องชุด ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องอาบน้ำขนาดใหญ่  ห้องอบไอน้ำ ห้องรับแขก ห้องนวด ของแขกคนนั้นๆเฉพาะ

ต้องเรียนว่านี่เป็นการมาSPAครั้งแรกในชีวิตผม คือด้วยความอยากลอง
Therapist ก็จะพาผมมาที่อาคารซึ่งด้านนอกดูโบราณๆ พอเข้ามาด้านใน อาคารนี้ก็มีผมกับTherapistสองคน ดูเงียบๆวังเวงๆเล็กน้อย

พนักงานพาขึ้นมาบนชั้นสองของอาคาร จะพบห้องรับแขก ด้านขวาเป็นห้องอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็ห้องสตรีม ด้านซ้ายเป็นห้องทำSPA

ก่อนทำการนวดแบบAromatherapy ก็พาทุกท่านไปสำรวจห้องแต่งตัวในสปา

amentitiesต่างๆ สำลี lotion เครื่องหอม ที่โกนหนวด อุปกรณ์คล้ายๆกับที่แจกในห้องพัก แล้วก็underware สำหรับใส่ทำสปา ส่วนในห้องอาบน้ำและอบไอน้ำ จะเป็นsetกลิ่นมะลิ กลิ่นเดียวกับที่ใช้ในสระว่ายน้ำ

เครื่องหอม+น้ำดื่ม ภายในห้องแต่งตัว

จากนั้นพนักงานจะนำน้ำมันนวดมาให้เลือก

ห้องนวด ผมใช้เตียงแรก นอนคว่ำ จะมีรูให้หน้าหันไปข้างล่าง
ซึ่งมีดอกไม้กับน้ำมันหอมระเหยรมรอเราอยู่แล้ว

ส่วนเตียงถัดไปอันนั้นใช้นวดไทย ผมว่าเตียงนั้นค่อนข้างออกไปทางคล้ายๆเตียงที่นักศึกษาแพทย์ใช้ศึกษาอาจารย์ใหญ่ตอนปีสองยังไงอยู่ บรื๋อ

จริงๆผมโพสท่าplankingถ่ายรูปในห้องนี้เยอะมาก อาจเนื่องด้วยตื่นเต้นในการมาสปาครั้งแรกในชีวิต และเป็นสปาติดอันดับโลกซะด้วย แต่เกรงว่าจะไม่เหมาะกับการนำมาประกอบรีวิว เด๋วจะมีเพื่อนสมาชิกนอนไม่หลับกัน

เตียงสุดท้ายเป็นเตียงspaแบบอินเดีย ที่มีเอาน้ำมันหอมราดคอ

โดยรวมแล้ว ประสบการณ์การทำสปาที่เทวาสปา
เป็นประสบการณ์ที่ดี บรรยากาศดีเนี๊ยบ Therapistทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว Facilityในสปาสมบูรณ์แบบและเป็นส่วนตัวเอามากๆ คือทั้งอาคารเป็นของเราเลย

แต่.....ให้มาทำอีก คงไม่แล้วอะครับ อาจไม่ใช่สไตล์ที่ผมชอบ
บางทีสไตล์ผมถ้ามารีวิวในpantipเกรงจะผิดที่ผิดทาง เห็นเค้ามีบอร์ดเฉพาะของเค้า

ค่าใช้จ่ายAromathrepy 1ชั่วโมง 4000 net ผมใช้คูปองdine in style บัตรสมาชิกของทางโรงแรม ลด50% เหลือ2000

สำหรับผม ผมเฉยๆ แต่ผมมั่นใจว่าท่านๆที่ชอบสปาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
จะชอบที่นี่มากๆครับ

หิวแล้วครับ ไปทานข้าวเย็นกันดีกว่า

เดินออกจากสปามา  ติดกับสปาจะพบกับร้านอาหารฝรั่งเศส ของโรงแรม
ชื่อFarang-ses

เดินขึ้นไปทานด้วยกันนะครับ

เดินขึ้นมาด้วยกันเรื่อยๆ จะพบlobbyของร้านฝรั่งเศส

ซึ่งแต่งได้แบบอลังการมากๆ ผมไม่คิดว่าจะสามารถหาlobbyร้านอาหารฝรั่งเศสไหนในโลกเป็นแบบนี้ได้อีกแล้วแน่นอนครับ ไปขุดหาทั่วยุโรปอเมริกา ก็ไม่มีทางเจอ

เป็นส่วนที่เอาไว้ให้แขกนั่งรอก่อนร้านจะเปิด ร้านฝรั่งเศสเปิดเฉพาะdinnerครับ

พื้นที่ตรงนี้ไว้นั่งเล่น ตอนนั้นผมอยู่ในภาวะว๊าวในใจ คือมันสวยไปทุกอย่างจริงๆครับ
ทุกรายละเอียด ตั้งแต่พื้น เพดาน เบาะ

หายใจเข้าลึกๆแล้วขวาหันไปพร้อมกันนะครับ

จะพบร้านอาหารฝรั่งเศสมองเห็นความสวยงามภายในอยู่ลิบๆ

ก่อนเข้าไปทานในร้านขอลงไปเข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำอยู่ด้านล่างครับ

ดูก๊อกคุณท่านสิครับ ตอนบิดก๊อก ผมก็หาอยู่ว่า น้ำอยู่ไหน ไหนน้ำๆๆ

ปรากฏว่า น้ำไหลออกมาจากสังข์ของรูปปั้นนางฟ้าที่นูนออกมาจากกำแพงด้านซ้ายครับ

อูวววว

น่าประทับใจมากๆครับ มีพนักงานมาคอยดูแลตั้งแต่ด้านหน้า
ทักชื่อเรา พาเราเข้าร้าน
เดินจากห้องน้ำข้างล่างขึ้นมา ท่านจะเห็นร้านฝรั่งเศสชัด

เป็นศาลาไทย ด้านบนกับโดยรอบ กรอบประตูตกแต่งแบบศิลปะล้านนา
แต่ภายใน โต๊ะเก้าอี้เป็นแบบฝรั่งเศส

อย่างที่ผมเรียนไว้ว่า ร้านนี้เป็นFrench restaurantที่ไม่น่าจะหาได้ที่ไหนแล้วล่ะครับ
มีเอกลักษณ์มากๆ

มาถึงหน้าร้านแล้วครับ

ตรงป้ายด้านบนมันจ้าไปหน่อยในภาพ แต่เขียนไว้ว่า

"ร้านฝรั่งเศส"
Farang-ses

ไม่ใช่แค่พนักงานเท่านั้นครับที่จำแขกได้และคอยดูแลแขกเป็นรายบุคคล

เชฟใหญ่ของโรงแรมอย่างเชฟโดมินิก เท่าที่ผมสังเกต แกจำชื่อแขกได้ทุกโต๊ะและคอยต้อนรับ ดูแล แนะนำอาหารแต่ละจานด้วยตนเอง

ท่านจะเห็น เชฟชุดขาวๆที่กำลังต้อนรับแขก นั่นแหละครับคือเชฟโดมินิก

เดินเข้ามาด้วยกันนะครับ เมื่อเข้ามาในร้านซึ่งเป็นรูปทรงศาลาแล้วจะพบสิ่งนี้ กั้นระหว่างส่วนที่เป็นhostate กับส่วนของโต๊ะทานข้าว

ด้านหน้าจะมีเปียโนบรรเลงเพลง สร้างบรรยากาศ

ในที่สุดก็เข้ามาถึงบริเวณโต๊ะอาหารครับ

ผมพูดได้คำเดียวว่า ร้านสวยเหลือเกินครับ บรรยากาศดูสง่าแบบตะวันตก แต่ก็กลับอยู่ในศาลาและประตูที่มีการแกะสลักแบบล้านนา

โต๊ะที่ผมนั่งครับ  พนักงานท่านที่ดูแลผม ชื่อคุณวารี
น่ารักมากๆครับ สุภาพ อ่อนโยน ใจดี แล้วก็เรียกชื่อเราทุกคำ
ตามบริการแบบฉบับโอเรียนเต็ล

เมนูที่ผมสั่งวันนี้ เป็นset menuแบบ5course : 2500 บาท

โดยเชฟเป็นผู้จัดเตรียมให้

เชฟจะมาคุยกับแขกว่าอยากทานอะไร แล้วก็แนะนำให้ชอยส์เรา แล้วก็จัดอาหารนั้นๆมาให้ครับ จัดเป็นpersonalized serviceมากๆครับ บริการแบบรายบุคคล

ข้อสังเกตุที่สำคัญอีกอย่างคือ ราคาset menu ของที่นี่ ถูกกว่าLe Normandie set dinnerเครึ่งนึงครับ Le Normandie6คอร์ส 5000กว่าบาท

มาแล้วครับ อาหารเรียกน้ำย่อย Complementary จากเชฟ

อูวววว เพิ่งเคยเห็นอาหารComplementary เป็นคาเวียร์ครับ!!


"Grill cod, passionfruit sauce and caviar jelly"

ปลาค็อตย่างซอสเสาวรสกับวุ้นไข่ปลาคาเวียร์

มีขนมปังนานาชนิด กับเนยมาให้เลือกครับ
เนยมีให้เลือกสามถึงสี่ชนิด เนยสาหร่าย เนยเค็ม เนยพริก แล้วก็เนยธรรมดา

ผมเลือกเนยสาหร่าย กับเนยพริก เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็นเนยสาหร่ายกับเนยพริก

เนยพรีเซนต์มาเป็นรูปเจดีย์

First course มาแล้วครับ เป็นจานโปรดของผมที่นี่

เป็นCanadian lobster,Wasabi crystal and Cucumber Mashmellow
"กุ้งมังกรแคนาดา วาซาบิ และมาชเมโลแตงกว่า"

กุ้งสดมากๆๆๆ กัดจมเขี้ยวเต็มคำ  ตัวเกล็ดเขียวๆคือวาซาบิ ไม่รู้เชฟทำยังไงถึงออกมาเป็นเม็ดวาซาบิใส แล้วพอทานแล้วแตกในปาก ยอดมากๆ ร้านนี้เข้าขั้นหนึ่งในร้านอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุดได้เลยครับ

Superbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbbb

อีกจานLobsterที่เชฟทำให้ทานในดินเนอร์ล่าสุดที่ไปพักที่นี่ครับ

Canadian lobster with Kadaif pasta and lobster bisque sauce

เป็นก้ามกุ้งมังกรแคนาดา กับเส้นคาเดฟห่อด้วยเนื้อกุ้งมังกร ทานกับซุปครีมกุ้งมังกร

จานนี้เป็นอาหารลูกครึ่งระหว่างการทำอาหารแบบตุรกีกับแบบฝรั่งเศสครับ
เส้นคาเดฟทอดห่อเนื้อกุ้ง เป็นอาหารตุรกี คล้ายๆเส้นหมี่ขาวของของบ้านเราน่ะครับ ส่วนซุปครีมกุ้งมังกร เป็นสไตล์ฝรั่งเศส

ผมคิดว่า คนไปทานอาหารบางทีไม่ได้หวังแค่รสชาติหรือวัตถุดิบ
แต่หวังจินตนาการจากเชฟ อยากทานอะไรใหม่ๆแปลกๆที่ไม่เคยทาน

ซึ่งผมว่าเชฟโดมินิกตอบโจทย์ได้ครบ

อาหารจานหลัก ทั้งครั้งที่ผมมาดินเนอร์เฉยๆแต่ไม่ได้พัก และครั้งนี้ที่พักที่นี่

เป็นเนื้อวากิวเทนเดอรอยย่าง topด้วยฟลัวการ์
ทานกับblack truffle sauce

จานนี้สุดๆไปเลยครับ ฟลัวการ์กับซอสเห็ดทรัฟเฟิลอร่อยที่สุดเท่าที่เคยทานมาทีเดียว
เนื้อก็นุ่มหวานในเนื้อ

จานที่รอคอยคือของหวาน

"Traditional vacherin with double vanilla ice cream and raspberry sherbet"

สีขาวๆเป็นเมอแรง(ไข่ขาวตีกับน้ำตาล) พอกะเทาะออกข้างในครึ่งบนมีไอศครีมวนิลา
ครึ่งล่างมีราสเบอรีเชอเบต

จานนี้เป็นเมนูตั้งแต่เชฟฟาบริซเป็นPastry chefครับ

ชอบมากๆ อลังการสมราคา

ซูมให้ดูตอนกะเทาะเปลือกด้านล่างครับ เป็นไอศรีมวนิลา
เท่าที่จำรสได้รู้สึกจะเป็นของmoven pic

ของหวานอีกจานที่เชฟโดมินิก จัดมาให้
เชฟยกออกมาให้เองเลยย เป๊นเกียรติมากๆ

เป็นช็อคโกแลตบอลไส้มูสราสเบอรี
กับเชอเบตราสเบอรี่ครับ

อิ่มมากๆ ปิดท้ายมื้ออาหารอันหนักหน่วง ด้วยของหวานถ้วยเล็กๆทานกับชาเขียว

ด้านหน้าสุดRum baba with salpicon of exotic fruits
ด้านซ้าย แพนนาคอตตากับเรดไวน์เจลลี่ ด้านขวาช็อคโกแลตซูเฟล่

ด้านหลัง เป็นแอพเพิ้ลทาร์ต

เป็นวันที่อิ่มสุดๆ

ผมคิดว่า เราสามารถตัดสินคุณภาพโรงแรม ได้จากคุณภาพร้านอาหารในโรงแรมนั้นๆ และโดยส่วนตัวผมคิดว่า คุณภาพร้านอาหารฝรั่งเศสของโรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ลดาราเทวี ติดtop5ในประเทศแน่นอน
ในระดับเดียวกับ Le Normandie, Reflextion,Le Beaulieu และPhillips

อิ่มมากๆๆครับ

กลับห้องพัก แม่บ้านเปิดเตียงไว้ให้แล้ว

มีอะไรวางอยู่บนเตียงด้วย

เป็นนิทานล้านนาแนวพุทธศาสนาสอนใจ ให้อ่านก่อนหลับ
พร้อมของที่ระลึกจากโรงแรม แต่ละวันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
วันที่ผมไปเป็นคุ้กกี้ให้ทานก่อนนอน

เสียดายที่ผมไม่สามารจะใส่อะไรลงทางเดินอาหารได้อีกแล้ว

เสียดายที่ผมตื่นสาย ไม่ทันไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารAkaligo
ด้วยความที่หลังจากทานอาหารที่ฝรั่งเศสผมไปตะลุยราตรีที่เชียงใหม่ กลับมาตีสอง มานอนแช่น้ำ กว่าจะได้นอนก็ดึกพอสมควร

ตื่นขึ้นมาเก้าโมง คาดว่าไปทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ไม่ทัน

เลยทานเจ้ากล่องนี้เป็นอาหารเช้าครับ

ทานเจ้านี่เป็นMain course

นั่งทานตรงระเบียง ในยามเช้า

เป็นรีวิวทียาวทีเดียวครับ ถือว่าเป็นMinireviewแล้วกันครับ

เนื่องจากโรงแรมแห่งนี้จริงๆแล้วมีรายละเอียดเยอะกว่านี้มากๆ มีอีกหลายๆส่วนที่ผมยังเก้บรายละเอียดไม่หมด อาจเพราะไปพักแค่คืนเดียว

แต่ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านน่าจะพอได้ไอเดียรวมๆของโรงแรมแห่งนี้ไปบ้าง

โดยสรุป การมาพักโรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ล เป็นประสบการณ์ที่ดีครับ
ผมใช้บัตร Dine in style rateห้องพักคือ 8000บาท จาก15000 ถือว่าเป็นราคาที่โอเคสำหรับโรงแรมที่ได้ชื่อว่า อันดับ1ของโลก และโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับfacilityมหาศาลที่โรงแรมจัดให้

ช่วงนี้โรงแรมมีโปรโมชันสำหรับคนไทย พักสองคืนฟรีคืนที่สาม ในrateคืนละ9000บาทรวมอาหารเช้า สำหรับห้องcolonial suit ซึ่งหากท่านพักสามคืน ก็ตกคืนละประมาณ6000บาทรวมอาหารเช้า ผมคิดว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผลทีเดียวครับ

แรกเริ่มเดิมที ผมตั้งใจจะไปพักห้องพักแบบVilla ที่เป็นเรือนไทย ผมฝันจะนอนในเรือนไทยมานาน แต่มาเปลี่ยนใจนาทีสุดท้าย เพราะไปคนเดียว เกรงจะเจออะไรเข้า แต่เดือนหน้าผมจองห้องแบบเรือนไทยไว้

ถ้าท่านผู้อ่านยังไม่เบื่อกัน ผมจะกลับมาเล่าสู่กันฟังนะคร้าบบ : )

ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน ขอให้ท่านมีความสุขมากๆในวันหยุดสุดสัปดาห์ครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆ
ห้องพักสวยๆ
อาหารอร่อยๆ
บริการเป็นเลิศ
น่าประทับใจจริงๆ

หวังว่าซักวัน...
คงได้มีโอกาสตามรอยไปพักบ้าง

รอเก็บตังค์ซัก 10 ปี หุ หุ....

อาหารก็น่ากินมากเลยครับ แต่ห้องพักนี่สวยประทับใจมากเลยครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ

อยากกินมาคารอนที่นี่มากๆครับ เพราะส่วนตัวชอบPierre Hermeมาก

อลังการมากๆ อยากไปๆ ;)

สวยมาก ... อยากไปบ้างจัง

เป็นหนึ่งในรีวิวโรงแรมที่ดีที่สุด เสมือนได้ไปอยู่ในเหตุการณ์จริงเลยครับ

น่าอิจฉาที่สุด

สวยจัง คับ

บรรยากาศดูดีมากๆๆๆ

สุดยอดเลยค่ะ

จะรอดูรีวิวครั้งหน้านะคะ

ขอบคุณมากนะครับ
ห้องสวยมากกก  อาหารก็น่าทานเป็นที่สุด

ตามมาชมนะคะคุณบาส
รีวิวได้งดงามตามเคยค่ะ

สุดยอดมากครับ ทั้งโรงแรมที่พัก การบริการ ขนมก็น่ากินมาก  ดูอลังไปหมด ขอบคุณสำหรับรีวิวด้วยครับ

ขอบคุณที่นำรีวิวมาให้ชม.. ยอมรับว่าอลังการจริงๆค่ะ ^^

เคยแค่เข้าไปทานอาหารไทยกับทำสปา ยังไม่เคยทีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมด้านในแบบจริงจัง

โปรโัมชั่นที่แนะนำมาสนใจมากๆ.. แต่ไม่ีรู้ว่าจะหาวันหยุดมาจากไหน T.T

เราชอบสระว่ายน้ำที่นี่กับ "อะกาลิโก" ค่ะ
ถ้ามีโอกาสมาอีก คุณบาสลองมาพักช่วงที่มีปาร์ตี้สิ้นปีนะคะ
ปีที่แล้วเราไปมา อาหารอลังการมากๆ :)  ประทับใจสุดๆ ค่ะ

ขอบคุณสำหรับรีวิวรูปสวยมากๆค่ะ

สุดยอดโรงเเรม อยากไปพักบ้างจัง เเต่จะมีวาสนาไหมเนี่ย...

ตามมาเพื่อกิน อิอิ ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ^^

เรื่องเม็ด วาซาบิ ถ้าผมจำไม่ผิด เค้าจะใช้หลักการเดียวกบ แมงกะพรุน

คือข้างนอกเป็น jelly ใส ๆ  ข้างในเป็นวุ้น ๆ น้ำ ๆ  ไม่แข็งไปซะหมด

ครั้งหน้าลองแบบวิลล่า ได้อารมร์ไปอีกแบบนะครับ ฟังเสียงกบ เสียงเขียด

เหมือนอยู่กกลางทุ่งนา

ปล. คราวหน้าถ้ามาอย่าพลาดอาหาร เช้าเชียว นะครับ เพราะเค้าเพิ่งเปลี่ยน theme การประดับตกแต่ง ของอาหารเช้า ที่ห้องอาหาร แบบใหม่

ยอดเยี่ยมครับ

สุดๆไปเลย

ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ.... สวยมากเลยค่ะ  ทุกครั้งที่เห็นรีวิวทำให้อยากจะไปพักทุกครั้งเลย

เพราะรีวิวของครูบาสทำให้เราตัดสินใจว่ากลับไทยปลายปีต้องขึ้นเชียงใหม่อย่างแน่นอนเลยค่ะ!

ตามครูบาสไปเที่ยวด้วยคนนะคร้าบบบบบบบ

ขอบคุณทุกท่านที่ตามมาชมนะคร้าบบ

กิฟผมหมดแล้ว ติดไว้เดือนหน้านะ : ))

ภาพประกอบเป็นห้องอาหารไทยของโรงแรมชื่อ le grand lannaคร้าบ

สุดยอดเช่นเคยนะครับคุณบาส ภาพสวย เก็บรายละเอียดมาครบถ้วน เสร็จจากดูรีวิวนี้ หลายคนเริ่มวางแผนไปเชียงใหม่กันอีกแล้ว รวมทั้งผมด้วย

ฟังคุณบาสเล่าแล้ว รู้สึกประทับใจในบริการของโรงแรมไปด้วยเลยนะคะ ยอดจริงๆ
ชอบรีวิวนี้มากเลยค่ะ เพราะเน้นเรื่องขนมของโปรดด้วย
เคยทานแต่ Macaron ที่ Oriental กรุงเทพ เราติว่าหวานไปหน่อย
อย่างนี้ต้องไปลองที่เชียงใหม่ด้วยแล้ว น่ากินม้าก

รอชมอีกครั้งหลังจากที่ครูบาสไปพักห้องเรือนไทยนะคะ ^^

ชมรีวิวแล้วน่าไปมากๆๆๆๆๆๆ

ยกมือขอบคุณงามๆ หนึ่งรอบ สำหรับรีวิวนี้ครับ
ขอบคุณ คุณบาส มากๆ ที่บรรยายได้ ละเอียด ได้ข้อมูลแปลกใหม่ ที่ไม่รู้
ผมไปที่นี่มา 3 รอบแล้ว เรียกว่าทุกรอบที่ไป มีแง่มุม ข้อมูลใหม่ๆ เข้ามาทุกครั้ง
ล่าสุดที่ไป ได้ข้อมูลมาว่า ต้นไม้ใหญ่ กลางสวน เล่นถอนมาจากพม่า ราคาต้นละเกือบสองล้าน ฟังแล้วรักต้นไม้ขึ้นเยอะเลย และอื่นๆ อีกมากมาย

สุดยอดเลยครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆ

สงสัยตัวเองว่าตอนเดือน สค.54 พลาดรีวิวดีๆของคุณ bas121 ไปได้อย่างไร เพิ่งเข้ามาเจอเมื่อปลายเดือน กย.54 ขอบคุณนะครับ

สวยมาก  เคยเข้าไปทำงาน และร่วมงานแต่งหลายครั้ง  อยากไปพัก แต่คงไม่ได้  ไม่ใช่ไม่มีเงิน  แต่เพราะโรงแรมนี้ห่างจากบ้านแค่ชั่วกลั้นหายใจสอง
อึด  ถ้าไปต้องโดนด่าแน่นอน..  ฮ่าๆๆๆ