สวัสดีค่า และแล้ว....ภารกิจ wwoof ของสาวปลาแห้ง ก็ดำเนินมาถึงตอนจบได้ซะที เฮ้อ....เศร้าจัง
ทิ้งห่างรีวิวคราวที่แล้วไว้นานถึง 2 เดือนเชียวนะเนี่ย อาจจะลืมความเดิมตอนที่แล้วไปก็ได้ ฮ่าๆ งั้นแวะไปที่ลิงค์ก่อนๆ ตามด้านล่างได้เลยนะคะ
ตอนที่ 1
๑ ^^ ๑ วูฟสาวปลาแห้งตะลุยแดนปลาดิบ ตอนที่ 1 wwoof ญี่ปุ่น 3 เดือน กับเงินจำนวน 30,032.93 บาท \^^/
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10229855/E10229855.html
ตอนที่ 2
๒๒^_^๒๒ วูฟสาวปลาแห้งตะลุยแดนปลาดิบ ตอนที่ 2 เมื่อ wwoofer สาวไทยไปเกี่ยวข้าวไกลถึงเจแปน
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10293299/E10293299.html
ตอนที่ 3
วูฟสาวปลาแห้งตะลุยแดนปลาดิบ ตอนที่ 3 wwoof สบายๆ สไตล์ Gahaha House
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10414598/E10414598.html
ตอนที่ 4
๔๔^^๔๔ วูฟสาวปลาแห้งตะลุยแดนปลาดิบ ตอนที่ 4 wwoof ลั๊นลา @ Gahaha House ๔๔^^๔๔
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10437969/E10437969.html
ตอนที่ 5
๕๕^^๕๕ วูฟสาวปลาแห้งตะลุยแดนปลาดิบ ตอนที่ 5 พัก wwoof กันซักครู่ ชวนไปดูเมืองโคจิ ๕๕^^๕๕
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10580068/E10580068.html
ตอนที่ 6
๖๖^_^๖๖ วูฟสาวปลาแห้งตะลุยแดนปลาดิบ ตอนที่ 6 เมื่อ wwoofer สาวไทยได้ไปตำโมจิ ๖๖^_^๖๖
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10757671/E10757671.html
ตอนที่ 7
๗๗^_^๗๗ วูฟสาวปลาแห้งตะลุยแดนปลาดิบ ตอนที่ 7 Mt. Fuji Love~Destiny~ ๗๗^_^๗๗
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11010823/E11010823.html
๘๘ ^^ ๘๘ ครั้งหนึ่งในชีวิตพิชิต "ฟูจิซัง" ๘๘ ^^ ๘๘
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11113774/E11113774.html
ตอนพิเศษ ....ฟูจิที่รัก
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10152290/E10152290.html
เราตั้งใจมาวูฟที่จ. ชิซูโอกะเป็นที่สุดท้ายก็เพราะว่า สามารถกลับโตเกียวได้ง่ายด้วยรถไฟ
อีกเหตุผลหนึ่งคือ อยากเห็นภูเขาไฟฟูจิแบบใกล้ชิดทุกๆวัน ให้มันเบื่อกันไปข้าง เพราะรอบแรกตอนมาเที่ยวญี่ปุ่นตั้งใจมาดูฟูจิ แต่โดนเมฆบังมิด ต้องกลับไปอย่างผิดหวัง
คราวนี้ต้องมายลโฉมฟูจิให้ได้ เราเริ่มหาตั้งแต่วูฟอยู่ที่กาฮาฮาเฮาส์ จ. ซางะ เจาะจงโฮสละแวก จ. ยามานาชิ และ จ. ชิซูโอกะ
จากลิสต์ของโฮสที่ขึ้นในหัวข้อที่กำลังต้องการวูฟเฟอร์ด่วน ไล่ๆลงไปเรื่อยๆ ก็เจอะเข้ากับ ที่ๆนึง เขียนเชิญชวนไว้ว่า "ในวันที่อากาศปลอดโปร่งก็จะสามารถยลโฉมฟูจิได้อย่างใกล้ชิด"
เท่านั้นแหละ รีบกดส่งไปทันที แล้วก็ได้รับคำตอบมาว่าโอเค หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้กลับไปย้อนดูอีกเลย เพราะกำลังวูฟอย่างสนุกสนานอยู่ที่กาฮาฮาเฮาส์
เป็นที่มาของการจดวันนัดผิดไปวันนึงนั่นเอง....แหะๆ สะเพร่าแค่นี้ยังไม่พอ ยังมีอีกหลายอย่างเลย น่าเขกกบาลตัวเองซักร้อยครั้งจริงๆ
ประเดิมคนแรก
จากคุณ : ม่วงมหากาฬ Hitchhike อีกรอบ
คืนนั้นนอนแทบไม่หลับเพราะกังวลเกี่ยวกับความเบลอของเราที่ดันจดวันนัดผิด รู้สึกว่านอนยังไม่เต็มอิ่ม ก็ต้องรีบตื่นแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวเดินทาง
อย่างที่บอกว่ารถเมล์ที่นี่วิ่งเฉพาะวันธรรมดา วันละ 3 เที่ยว คือ เช้าตรู่ 7:03 น. , 9:12 น. และ ตอนเย็น 19:14 น.
หลายวันก่อนที่เข้าเมืองมัตซึโมโตะ ก็เช็คเวลารถไฟไปแล้ว แน่นอนว่าเราเลือกไปรถไฟธรรมดา เหอๆ ประหยัดค่ะ แต่ก็ยังคิดว่าแพง
ราคาประมาณ 3 พันกว่าเยน ถึงฟูจิโนะมิยะ ใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นเพื่อไปให้ถึงที่หมายไม่เกินบ่าย 3
เราเลยต้องไปให้ถึงสถานีรถไฟมัตซึโมโตะ ก่อนเวลา 9 โมง เป็นผลให้ต้องตื่นเช้ากว่าปกติ จะได้ไปขึ้นรถให้ทันรอบ 7:03 น.
อยู่ที่นี่ตื่นสายจนชิน พอหกโมงเช้าไม่มีใครตื่นเลยซักกะคนค่ะ ตื่นแล้วก็ต้องค่อยๆเก็บที่นอน ย่องเบาๆ เพราะเกรงใจเพื่อนสาวชาวเยอรมันที่นอนข้างๆ
เราเอากระเป๋าลงมาข้างล่างแล้วก็หาอะไรกินรองท้องในครัวเงียบๆ ก่อนไปก็เข้าไปลาคะซึโกะซังที่นอนอยู่ในห้อง รู้สึกเหงาดีพิลึก เหอๆ
คิดว่าจะไม่มีใครมาส่งซะแล้ว แต่เมื่อกำลังจะออกไปก็มีสองสาวชาวเยอรมัน โจฮาน่า และแอนโทเนีย ลงมาส่งที่หน้าประตู
พลันก้มลงมองนาฬิกาข้อมือเจ้ากรรมดันมาตายเอาวันนี้ เฮ้อ....อะไรจะซวยกันแต่เช้าล่ะเนี่ย .....มองนาฬิกาบ้าน ปรากฏว่า.......
ไปเที่ยวต่อด้วยค่ะ
7 โมง 5 นาที เข้าไปแล้ว !!!
โผล่หน้าออกไปดูรถก็ยังไม่เห็นรถเมล์มาจอดป้ายเลยนี่นา โจฮาน่า บอกสงสัยรถเมล์ไปแล้วมั้ง เอาล่ะสิ เกิดพลาดรถเมล์รอบนี้เราไปขึ้นรถไฟไม่ทันแน่ๆ
นี่ถ้ามีวูฟเฟอร์คนไหนขับรถได้ก็ดีสิ จะได้ให้ขับไปส่ง ถึงบอกคนที่จะไปถ้าใครมีใบขับขี่สากลก็ทำติดตัวไปด้วย มีประโยชน์แน่นอน
ตอนนั้นเลยตัดสินใจโบกรถเข้าเมืองอีกทีนึงก็แล้วกัน เข้าบ้านไปก็ถามอะซึกะว่าป้ายยังเก็บไว้อยู่มั้ย?
อะสึกะก็บอกด้วยน้ำเสียงง่วงนอนมากๆว่า อยู่ข้างบนห้องขึ้นไปเอาสิ เราก็รีบวิ่งขึ้นไปหยิบ แล้วก็ออกมา โดยใช้ทางลัดทางเดิม คือ ปีนเขาขึ้นไป
แต่คราวนี้ไม่ง่ายเหมือนวันก่อนเพราะมีกระเป๋าแบ็คแพ็คแบกน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 10 กิโลกรัม ติดหลังมาด้วย
รู้สึกว่าวันนั้นอากาศหนาวมากกว่าทุกวัน อุณหภูมิน่าจะเกือบๆติดลบ เพราะยอดหญ้าที่ขึ้นปกคลุมดินแถวๆนั้นถูกเกาะด้วยน้ำค้างแข็งขาวโพลน
แต่ทว่า ราวกับเทวดานางฟ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้มากลั่นแกล้ง ระหว่างที่ปีนเขาอยู่ เราก็ได้ยินเสียงรถเคลื่อนตัวเข้ามา หันกลับไปมอง เห็นรถเมล์วิ่งมาที่ป้าย
กรี๊ดดดดดดดดเลยค่ะ แต่กรี๊ดในใจนะ ไม่ได้ส่งเสียงออกมาเดี๋ยวชาวบ้านแถวนี้จะตื่นตกใจกัน ลังเลว่าจะเอาไงดี จะวิ่งลงไปขึ้นรถที่กำลังจอดรออยู่ที่ป้ายหรือว่าจะปีนเขาขึ้นไปโบกรถต่อ
ด้วยความกลัวที่ยังไม่ค่อยกล้าโบกรถคนเดียวก็เลยตัดสินใจลงเขาไปเพื่อจะขึ้นรถเมล์ พอลงมาถึงถนนแล้วกำลังจะวิ่งไปหารถที่จอดอยู่ โอ้ว พระเจ้า!!!
รถเมล์ค่อยๆวิ่งออกไปจากป้ายค่ะ เราก็พยายามวิ่งตามไปหวังว่าคนขับจะเห็นใจแล้วจอดรับ ไม่เลย รถยิ่งวิ่งเร็วขึ้น
อะไรเนี่ย อยากจะร้องไห้ซะจริงๆ ยืนหอบอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เดินโซซัดโซเซกลับไปปีนเขาอีกรอบ
กว่าจะปีนขึ้นไปถึงถนนได้ก็เกือบไม่รอดแน่ะ เพราะน้ำค้างที่เกาะตามหญ้าที่เราปีนผ่านมามันทำให้ลื่น พร้อมกับกระเป๋าที่หนักๆบนหลังถ่วงไว้เกือบกลิ้งหล่นลงไปข้างล่าง
ดีที่อีกมือเกาะต้นหญ้าริมทางไว้ทัน ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าวันนั้นจะเป็นยังไง พอโผล่มาที่ถนนเส้นเดิมกับเมื่อครั้งที่โบกรถกับหนุ่มไต้หวันทั้งสองคนแล้ว
นั่งพักซักครู่ก่อน จึงจัดการคลี่กระดาษแผ่นเดิมที่เคยใช้ แล้วก็ปฏิบัติการ Hitchhike อีกครั้ง แต่ในความโชคร้ายก็ยังพอมีความโชคดีอยู่บ้างล่ะนะ
โบกรถคราวนี้ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ก็มีรถเก๋งสีน้ำเงินเข้มคันหนึ่งจอดเทียบริมทาง แล้วประตูด้านคนขับก็เปิดออกมาเป็นชายหนุ่มร่างเล็กหน้าตาดูไว้ใจได้
พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงว่า ข้างนอกมันหนาวนะ ขึ้นมาๆ เดี๋ยวไปส่งให้
เย่ๆ ดีใจที่สุด หนุ่มคนนี้มาช่วยยกกระเป๋าเป้เราขึ้นท้ายรถ และให้เรานั่งด้านหลังคนขับ เราขอบคุณเป็นการใหญ่ที่ช่วยให้อาศัยขึ้นรถไปสถานีรถไฟ
ลุงม่วง สวัสดีตอนสายๆค่า มาปาดเร็วม๊ากกก
สวัสดีค่ะ คุณ armearn ขอบคุณค่า ที่มาอ่านต่อ ไม่รู้ลืมความเดิมตอนที่แล้วไปกันรึยัง ฮ่าๆ ดองไว้นานค่ะ รอบนี้
และสวัสดีคุณ Angletaire และ คุณ teddy bear in the box ด้วยค่าสำหรับกิฟ
............................................................................................................................
ระหว่างทางคุยไปคุยมา ก็โดนถามว่าทำไมถึงมาโบกรถคนเดียวตรงนั้น หนาวก็หนาวจะไปไหนแต่เช้าเชียว ก็เลยเล่าให้ฟัง
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟแล้ว พ่อหนุ่มคนนี้ก็ช่วยยกกระเป๋าลงมาให้
เรามิรอช้ารีบขออีเมล์ด้วย จะได้ส่งข้อความมาขอบคุณ อิอิ (มีแผน เผื่อสานสัมพันธ์ต่อ กร๊ากก แต่ปรากฏว่าจดเมล์ผิดมั้ง ส่งไม่ไปซะงั้น อดเลยเรา -*-)
ก่อนไปขึ้นรถไฟ เราก็ขอบคุณอีกรอบเป็นมารยาทและวิ่งจู๊ดไปซื้อตั๋ว ได้ตั๋วรถไฟประมาณเกือบๆ 9 โมง ทันเวลาพอดี
โดยรถไฟที่เราขึ้นนั้นเป็นขบวนธรรมดา ต้องต่อรถไฟสายมิโนบุอีกรอบที่สถานีโคฟุ
เราไปถึงโคฟุประมาณ 10 โมงกว่าๆ ยังมีเวลาเหลือ เพราะรถไฟเที่ยวที่เราจะต่อไป ฟูจิโนะมิยะนั้นมาประมาณ 11 โมงกว่า
เริ่มหิวเพราะว่ามื้อเช้ากินแค่ขนมปัง เลยแวะซื้อข้าวปั้นและขนมเล็กน้อยกินแก้หิวไปก่อน
หลังจากท้องอิ่ม ก็จัดการโทรไปบอกโฮสว่าเราอยู่โคฟุแล้วจะขึ้นรถไฟสาย มิโนบุ จากนี่ไปรอบ 11 โมงกว่า ถ้าถึงสถานีฟูจิโนะมิยะแล้ว เราจะโทรไปบอกอีกรอบ
นั่งรถไฟ ชิวๆ ชมวิวสองข้างทาง
นั่งรถไฟผ่านเมืองต่างๆ ผ่านภูเขา แม่น้ำ ลำธาร หลายๆที่ผ่านภูเขาที่ยังเป็นธรรมชาติอยู่มากก็จะเห็นสัตว์ต่างๆ เช่น ลิง ห้อยโหนอยู่ตามต้นไม้ริมทาง
ตลอดการเดินทางด้วยรถไฟสายนี้ถึงแม้จะใช้เวลาค่อนข้างนานหลายชั่วโมงแต่เราก็ไม่หลับ ดูวิวธรรมชาติ ชมนก ชมไม้ตลอดสองฝั่งจากหน้าต่างรถไฟซะเพลิน
ได้ออกกำลังกายด้วยการปีนเขาแต่เช้าเลยนะคะ
เล่าได้สนุกดีค่ะ ^^
ขอบคุณนะคะสำหรับข้อมูลดี ๆ เดี๋ยวส่งเจ้าตัวเล็กไปวูฟมั่ง อิอิ
อยากเห็นฟูจิแจ่ม ๆ ยังงี้มั่ง ไม่เคยเจอเล้ยย
รอชมนะคะ เก่่งมาก ๆ เลย อยากได้ทำอะไรแบบนี้บ้างจัง
มาถึงตอนจบแล้วเหรอคะ....
เสียดายจัง ไม่อยากให้จบเลยค่ะ....
ตามมามุงด้วยครับ
จากคุณ : Hero11147 คุณ COCOSWEET \^^/ขอบคุณมากค่ะ สำหรับการติดตามจนถึงกระทู้สุดท้าย
คุณแม่ติดเน็ต รับรองว่าต้องสนุก และประทับใจกลับมาแน่นอน
คุณ เจ้าหญิงถั่วเขียว ถ้าอยากไปแบบนี้ คงต้องหาเวลาหยุดหลายอาทิตย์ค่ะ ลองดูนะคะ
คุณ Miss_Behaving....นั่นสิคะ คิดแล้วก็รู้สึกเหงาๆขึ้นมาเลยเชียว แต่เดี๋ยวไว้ตอนท้ายมีเซอร์ไพรส์ อาจจะมีภาคต่อซักเล็กน้อย อิอิ
คุณ Hero11147....มาเลยค่า ยังมีที่ว่างให้มุงอีกเยอะแยะ
...............................................................................................................
และในที่สุดบ่ายโมงกว่าๆ เราก็เห็นวิวฟูจิแล้ว แสดงว่าใกล้ถึงฟูจิโนะมิยะแล้วสินะ วันนั้นฟ้าไม่ค่อยเปิด จึงเห็นฟูจิแว๊บๆ ไม่เต็มลูก ตื่นเต้นมากค่ะ ที่ได้เห็นฟูจิลูกใหญ่ๆ
เมื่อมาถึงฟูจิโนะมิยะ ที่จริงต้องลงสถานีนี้ แต่ด้วยความที่อยากดูฟูจิใกล้ๆ และรถไฟขบวนนี้ที่ชื่อว่า สายมิโนบุนั้น จะไปสุดสายที่สถานีฟูจิ
ซึ่งเราคิดเอาเองค่ะ ว่าน่าจะเห็นฟูจิใกล้กว่าตรงนี้ อะแฮ่มๆ แหมไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ลองต่อไปอีกไม่กี่สถานีไปฟูจิดูซะหน่อย
ดังนั้นเราก็เลยไม่ลงค่ะ เพราะบอกโฮสไว้แล้วว่าถ้าถึงจะโทรบอกอีกที คงยังไม่มารับหรอก
ปรากฏว่าพอไปถึงฟูจิ มองไม่เห็นยิ่งกว่าตอนอยู่สถานีฟูจิโนะมิยะอีก เราก็เลยนั่งแกล่วกลับมากว่ารถไฟจะออกก็บ่ายสอง
กว่าจะย้อนกลับไปฟูจิโนะมิยะก็ บ่ายสองโมงครึ่งค่ะ ออกมาจากรถไฟแล้วก็ยังเอ้อระเหยลอยชายถ่ายรูปฟูจิที่เห็นไม่ค่อยชัดนั่นอยู่
โดยวางกระเป๋าหนักๆนั้นไว้บนที่นั่งรอของสถานีรถไฟ ถ่ายรูปเสร็จดูไม่น่าจะมีอะไรแล้วถึงเข้าตู้โทรศัพท์กดโทรหาโฮส
กดเบอร์โทรปุ๊บ โฮสรับโทรศัพท์ทันที พอออกจากตู้โทรศัพท์ก็มีพี่ผู้ชายคนนึง ท่าทางบ้านนอกๆไม่ต่างจากเราเท่าไหร่นัก ฮ่าๆ เข้ามาถามว่า ใช่วูฟเฟอร์สาวปลาแห้งรึเปล่า
เราก็งงๆ ทำไมมาเร็วจัง และตอบไปว่า ใช่แล้วค่ะ นึกได้ก็รีบเดินไปหากระเป๋าที่วางทิ้งไว้
นี่ค่ะ สภาพฟูจิวันนั้น มัวๆ ไม่ชัดเลย
กำลังรออยู่เลยจร้า......
...กรี๊ดด น้าเปรี้ยวมาแล้ว กะลังคิดจะหลังบ้านไปบอกพอดีเลย
................................................................................................................ Do you believe in destiny?
พี่แกก็มาช่วยยกกระเป๋า พลันสายตาแกก็ไปมองเห็นที่ห้อยกระเป๋าของเรา มีแท็กห้อยกระเป๋าที่ซื้อจากห้องบีพี
และพวกเครื่องราง หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า โอะมาโมริ ที่เพื่อนให้มา แขวนอยู่ด้วย ไม่สนใจอย่างเดียว แกถามเกี่ยวกับเครื่องรางที่เราแขวนอยู่ด้วย
เราก็ตอบไปว่า เพื่อนๆ ให้มาทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่ได้ซื้อเองหรอก ตอนนั้นยังไม่ได้ติดใจอะไร แต่สงสัยว่าถามทำไม?
พอขึ้นรถแล้ว พี่แกก็ถามว่า มาถึงกี่โมง ทำไมมาถึงช้า ตอนเช็คเวลารถไฟในเน็ต ต้องมาถึงบ่ายโมงครึ่งนี่นา
ว๊าย เอาแล้วไง ถึงว่าทำไมพอโทรไป ออกจากตู้โทรศัพท์มาก็จ๊ะเอ๋กับพี่แกเลย ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด จิตใจฝ่ายอธรรมก็ตะโกนเข้ามาในหัวดังๆว่า
แกบอกความจริงไปโดนแน่ๆ ไหนความผิดกระทงแรกที่ดันจดวันนัดผิด แล้วยังจะเรื่องมาสายนี่อีก
เราก้มหน้างุด เพราะมิอาจสบตาขณะโกหกได้ พูดขอโทษไปพร้อมกับบอกเหตุผลว่า
พอดีนั่งหลับแล้วมันเลยสถานีไปปลายทางฟูจินู่นแน่ะ พอรู้ตัวก็ต้องนั่งกลับมา เลยทำให้ช้าน่ะค่ะ แหะๆ (เอาไว้สารภาพความจริงตอนหลังแล้วกัน)-/\-
ระหว่างนั่งรถไปกับพี่แก ก็คุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย แล้วก็ถามว่าอยู่กันกี่คนเหรอ มีวูฟเฟอร์คนอื่นด้วยป่าว?
พี่แกตอบว่า อ้าวนี่ไม่รู้เหรอว่า เค้าอยู่คนเดียว แล้วก็รับวูฟเฟอร์ได้แค่ทีละคนน่ะ
หา!!!!!! อะไรนะ !!!!
แบบว่าตอนที่หาโฮสนี้ เรากำลังวูฟอยู่ที่บ้านโฮสในซางะ ก็ไม่ได้ดูหน้าประวัติแบบละเอียด เพราะอยากมาอยู่ใกล้ฟูจิแท้ๆ
เห็นที่นี่เขียนในหน้าแนะนำตัวว่า พอฟ้าเปิดก็เห็นฟูจิเต็มๆ ก็รีบกดส่ง พอทางนี้ตอบรับเราก็ไม่ได้เข้ามาดูอะไรอีกเลย
โดนตำหนิมาอีกแน่ะว่า ตอนหาโฮสทำไมไม่ดูประวัติให้ละเอียดล่ะเธอน่ะ
แอบเถียงในใจว่าใครจะไปคิดว่าจะมีคนแปลกออกมาทำไร่อยู่โดดเดี่ยวแบบนี้นี่นา ไปวูฟที่ผ่านๆมาก็เป็นครอบครัวทั้งนั้น
โอย......รู้สึกจะไม่ถูกโฉลกกะอีตานี่ตั้งแต่วันแรกงี้แล้ว จะอยู่ครบวันที่บอกไว้รึป่าวเนี่ยเรา
พอมาถึงบ้านก็ช่วยแบกกระเป๋า และพามาที่ห้องนอนวูฟเฟอร์ ซึ่งแบ่งโซนไว้ไม่ปนกันก็ค่อยโล่งอกขึ้นมานิด
เมื่อวางกระเป๋าเสร็จพี่แกก็วิ่งออกไปแล้วก็วิ่งกลับเข้ามาพร้อมเครื่องรางในมือ ที่เหมือนเครื่องรางอันหนึ่งที่เราแขวนไว้ที่กระเป๋า แล้วก็เอามาเทียบกัน เหมือนกันเด๊ะเชียว พร้อมกับถามว่า
เอามาจากไหนน่ะ
เราก็บอกไปอ่อ อันนั้นน่ะเหรอ เพื่อนที่จ. ชิมาเนะให้มา มีอะไรเหรอ?
สงสัย มันแปลกตรงไหน ?
แล้วรู้เปล่าว่าเครื่องรางอันนี้มันหมายความว่าอะไร?
ไม่รู้ค่ะ เพื่อนให้มาก็แขวนๆไว้
รู้มั้ยว่าอันนี้มันเป็นเครื่องรางให้เจอเนื้อคู่น่ะ
หือ!!! จริงดิ แขวนกระเป๋ามาตั้งนานไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ามันเป็นเครื่องรางที่มีความหมายแบบนั้น ฤาว่าเราจะเจอเนื้อคู่เป็นหนุ่มชาวไร่เนี่ย
ปล. สำหรับเครื่องรางที่ว่า เราได้มาจากเพื่อนที่มาจาก จ. ชิมาเนะ เค้าให้มาก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวกับการเดินทางให้ปลอดภัย , สุขภาพ, โชคลาภ เงินทอง ฯลฯ
พอรู้ว่าอันนี้ไม่ใช่ เราก็เลยไปค้นข้อมูลดู ปรากฏว่า เป็นเครื่องรางที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ของศาลเจ้า Izumo Taisha ซึ่งจะมีเครื่องรางนี้ขาย
และเป็นที่นิยมในการไปขอพรเกี่ยวกับเรื่องความรักอะไรเนี่ยแหละค่ะ บนเครื่องรางนั้นจะมีข้อความ
เขียนว่า えんむすび อ่านว่า En-mu-su-bi แปลประมาณว่า ขอให้สมหวังในความรัก อะไรทำนองนี้
เห็นคนที่ไปเป็นคู่รักก็จะซื้อมาคู่กันและแบ่งกันเก็บไว้คนละอัน และมีหลายสีให้เลือก แล้วไม่รู้ทำไมของเรากับของเขามันถึงได้สีเหมือนกันซะด้วยนี่สิ แถมได้จากเพื่อนที่ชิมาเนะเหมือนกันอีก -*-
หลังจากอึ้งๆ กับเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้น ก็ออกมาที่ห้องรับแขก พร้อมกับของฝากอันสุดท้าย ได้ถูกส่งให้พร้อมกับใบประวัติวูฟเฟอร์ของเราเป็นที่เรียบร้อย
รับมอบเสร็จแกก็ใช้งานเลย ให้ล้างแครอทแพ็คใส่ถุง เริ่มนึกถึงคะสึโกะซัง แต่จะกลับไปยังไงล่ะ ค่ารถไฟ รถเมล์อะไรอีก แงๆ เพราะความสะเพร่าของเธอแท้ๆเลย ยัยปลาแห้ง
ด้วยความที่พี่แกปลูกแครอทเยอะ ต่อไปขอเรียกแทนชื่อยาวๆ และเรียกยากของแกว่า พี่แครอทก็แล้วกันนะคะ (มีคนแถวๆนี้ตั้งให้เองแหละ)
อาบาตาเกะฟาร์ม
เย็นนั้น เค้าต้องไปทำฟันที่คลีนิกแห่งหนึ่งละแวกบ้าน แต่จะกลับมากินข้าวเย็นด้วย เย็นนั้นได้กินผัดผักฝีมือพี่แก แล้วก็มีน้ำผลไม้และขนมสองสามอย่าง
ตอนนั้นแหละถึงได้รู้ว่าเค้าเป็นคนเกียวโต เคยทำงานเป็นพนักงานบริษัทไปวันๆ อยู่โอซาก้าแต่รู้สึกว่าเบื่อชีวิตแบบนั้น อยากออกมาหาอะไรทำเอง
จนวันหนึ่งเห็นประกาศในเว็บไซต์ว่ากำลังเปิดรับสมัครคนที่ต้องการไปเรียนรู้การทำเกษตรออแกนิคที่ฟูจิฟรี
เลยตัดสินใจลาออกจากงานบริษัท แล้วก็มาเรียนและช่วยทำงานอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปี
พอครบกำหนดก็เลยลงหลักปักฐานทำไร่ออแกนิคที่นี่ต่อ ในชื่อว่า อาบาตาเกะฟาร์ม มาจากชื่อเค้าเอง นี่ก็ทำมาเกือบจะห้าปีแล้ว
เราถามว่า ทำไมถึงสนใจทำไร่ออแกนิคล่ะ และได้รับคำตอบว่า อยากให้คนได้กินผักที่ปลอดภัย โดยเฉพาะเด็กๆ จะได้เติบโตอย่างมีสุขภาพดี แข็งแรง
เพราะเค้าเชื่อว่าอาหารนั้นมีผลกระทบกับมนุษย์โดยตรง ถ้ามีสารอื่นปนเปื้อนสิ่งที่ตามมานอกจากโรคภัยต่างๆ แล้วก็ยังส่งผลระทบกับสิ่งอื่นๆด้วย (แอบคิดว่าตอบได้เหมือนนางงามเลย ฮ่าๆ)
และอีกอย่างคือ เค้าต้องการทำอาชีพอะไรก็ได้ที่เบียดเบียนธรรมชาติและสภาพแวดล้อมให้น้อยที่สุด อืมนี่ถ้าไม่ติสคงทำไม่ได้นะเนี่ย
เริ่มเห็นว่าพี่แกก็เป็นคนจิตใจดีเหมือนกันนะ
ปลูกหอมแดง
เช้าวันต่อมา ตอนเช้า พี่แครอทพาไปดูไร่ทั้ง 4 แห่ง มีไร่มะเขือ และมะเขือเทศ, ไร่ข้าวสาลี, ไร่แครอท
และที่สุดท้าย ไร่ที่ปลูกผักชนิดต่างๆผสมกัน มีทั้งกะหล่ำปลี ผักกาดขาว คะน้าฮ่องเต้ หัวผักกาด หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า คาบุ หัวมันฝรั่ง หัวไชเท้า
ที่สุดท้ายขอเรียกว่าไร่ผักรวมก็แล้วกันนะคะ ตั้งแต่วูฟมา รู้สึกที่นี่เป็นออแกนิกที่สุดแล้ว ไม่ใช้อะไรที่เป็นสารเคมีเลย รวมทั้งพวกมูลสัตว์ก็ไม่ได้ใช้ด้วย เพราะการเลี้ยงสัตว์ก็ใช้ยา
แต่ใช้พวกใบไม้ กิ่งไม้แห้ง แล้วก็พวกซากพืชต่างๆ มาผสมลงดินแทน งานของเราก็อยู่ที่ไร่ผักรวมเนี่ยแหละ
พี่แครอทให้เราแยกต้นกล้าหัวหอมแดงที่เพิ่งขึ้น ไปปลูกในไร่ผักรวมตรงแปลงที่พี่แกพรวนดินและทำแถวให้เราปลูกเอาไว้แล้ว
เมื่อมอบหมายงานเสร็จ ก็ปล่อยเราปลูกหัวหอมอยู่คนเดียวในไร่ เบื่อๆ ระหว่างปลูกหอมแดงก็พักมือมาเก็บรูปฟูจิบ้าง นี่ถ้าไม่มีภูเขาไฟฟูจิให้มอง คงจะเบื่อกว่านี้
หลังจากที่พี่แครอทไปส่งผักกลับมา ก็มาช่วยปลูก และพักเบรกกินขนม
สาวปลาแห้ง : ทำคนเดียวแบบนี้ไม่เหงาเหรอ นี่ขนาดฉันเพิ่งมาช่วยไม่กี่วันยังรู้สึกเหงาๆเลยเวลาที่ต้องปลูกต้นหอมนี่คนเดียวน่ะ
พี่แกรีบตอบกลับมาโดยไม่ต้องคิดนานเลยว่า
พี่แครอท : เหงาดิ แต่ก็ต้องทำเพราะมีอยู่คนเดียวเนี่ย
สาวปลาแห้ง : แล้วไม่มีแฟนเหรอ
ตอบกลับมาแบบไม่ได้คิดอีกละว่า ไม่มี๊ ก็อยากมีนะ แต่มันไม่มีใครอ่ะ ตอนนี้
สาวปลาแห้ง : แสดงว่าเคยมีสิ
พี่แครอท : ก็เคยมีแต่ก็เลิกกันไปแล้วเมื่อปีที่แล้วนี้เอง
คิดในใจ อีตานี่มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่เลย อายุก็ 30 กว่าแล้ว ไม่มีแฟนเนี่ยนะ เพราะจากที่เคยเจอมา ผู้ชายญี่ปุ่นแต่งงานเร็ว
แต่แล้วเราก็โดนถามกลับบ้างว่า ไม่มีแฟนเหรอ เราก็เลยตอบไปว่า ถ้ามีคงไม่ได้มาวูฟเป็นเดือนๆแบบนี้หรอก เหอๆ
สาวปลาแห้ง : แล้วทำไร่คนเดียวแบบนี้คงเหนื่อยมากสินะ
พี่แครอท : ก็เหนื่อยนะ เลยต้องหาวูฟเฟอร์คอยช่วยไง แต่บ้านเค้าไม่ค่อยมีวูฟเฟอร์มาเยอะนักหรอก คงเพราะเห็นว่าเค้าอยู่คนเดียว แล้วก็รับวูฟเฟอร์ได้แค่คนเดียว แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีวูฟเฟอร์ชาวออสเตรเลีย พาเพื่อนมาด้วยอีกคน แต่รถเค้าที่ใช้อยู่เป็นรถบรรทุกเล็กๆ มีที่นั่งข้างคนขับ แล้วก็นั่งได้แค่คนเดียว แต่ไหนๆก็พามาแล้ว เลยให้นั่งด้วยกันมาข้างหน้า โดนตำรวจจับ และเสียเงินไปห้าพันเยน
สาวปลาแห้ง : ทำไมไม่ให้นอนบนกระบะหลังแล้วใช้ผ้าคลุมล่ะ แค่นั้นตำรวจก็ไม่เห็นแล้ว
พี่แครอท : ตอนไปส่งที่สถานีรถไฟขากลับ ก็ใช้วิธีนั้นแหละ ฮ่าๆ ทำตั้งแต่แรกก็ดีหรอก
ตั้งแต่ครั้งนั้น ก็ไม่รับวูฟเฟอร์เกินอีกเลย
สรุปวันนั้นคุยกันซะจนหมดเวลาทำงาน หุหุ
เก็บแครอท
วันนี้ได้ไปถอนแครอท ที่ไร่แครอท เพื่อเอาไปแพ็คใส่ถุงส่งร้าน เป็นครั้งแรกที่ได้เก็บแครอท ตื่นเต้นๆ
ดินที่นี่เป็นสีดำ และร่วนเป็นผงๆ เวลาเก็บก็ดึงออกมาอย่างง่ายดาย บางอันที่หัวยาวๆ ก็แตกบ้าง ถ้าหัวแตกๆ ก็ต้องแยกออกมาเอาไว้กินเองและแจกเพื่อนบ้าน
ส่วนหัวที่ไม่มีตำหนิก็แยกไว้อีกตะกร้าสำหรับขาย พอได้แครอทตามจำนวนที่ต้องการ ก็เอาขึ้นท้ายรถบรรทุกเล็กๆ
ตามหนูฮารุไปเที่ยวด้วยคนครับ
จากคุณ : เล็กทาโร่ฮารุมิจัง นานมากเลยนะจ๊ะ
จนหนึ่งไปทัวร์อีกซีกโลกมาแล้ว
ฮารุมิจัง เพิ่งกลับมาต่ออ่ะ รอมานานมากเจงๆ^^
จากคุณ : hollaneung น้าเล็กทาโร่ มาๆ มาเก็บแครอทกัน
คุณหนึ่ง ฮ่าๆ รอคุณหนึ่งกลับจากอีกซีกโลกไง
.............................................................................................................
หลังจากนั้นเราก็มาต่อที่ไร่ผักรวมค่ะ ถอนหัวคาบุ หัวไชเท้า ผักกาดขาว ฯลฯ เก็บแล้วก็กลับมาบ้าน
ล้างแครอท และแพ็คใส่ถุง เพื่อส่งตามซุปเปอร์มาเก็ตละแวกนั้น นอกจากขายตามร้านแล้ว ยังส่งผักเป็นเซ็ตทางไปรษณีย์ถึงบ้าน ทั่วญี่ปุ่นด้วยนะคะ
ผักที่ส่งก็ตามฤดูกาล กล่องหนึ่งจะมีผักประมาณ 4-5 ชนิด ส่วนใหญ่ลูกค้าที่สั่งก็จะเป็นญาติๆ และร้านที่ขายผักปลอดสารพิษโดยเฉพาะในโตเกียว และเมืองใหญ่ๆ
อีกอย่างที่เราเห็นแล้วรู้สึกขัดใจมากคือ ถึงจะขายผักปลอดสารพิษก็ตาม แต่ที่ถุงหรือป้ายที่แปะนั้นห้ามระบุว่าเป็นผักปลอดสารพิษอย่างงี้ผู้บริโภคก็ไม่มีสิทธิ์รู้ และเลือกได้น่ะสิ
พี่แครอทบอกว่าส่วนใหญ่จะบอกกันปากต่อปากเอามากกว่า
ผักหน้าหนาว โดยเฉพาะ ที่เป็นหัวๆ แบบ คาบุ แครอท และหัวไชเท้าจะหวานมากเป็นพิเศษค่ะ
เข้ามาเป็นกำลังใจให้คุณ harumi ก่อน เดี๋ยวค่อยอ่านทีหลัง
โอ๊ะ โอ คุณสาวปลาแห้งเจอเนื้อคู่ซะแล้ว ^^
จากคุณ : COCOSWEET น้าโต้คลื่น ขอบคุณค่า ที่มาให้กำลังใจ
คุณ COCOSWEET....ฮ่าๆ เนื้อคู่จริงๆรึเปล่าก็ไม่รู้นะ คงต้องดูกันต่อไป
...................................................................................................... ออกเดทที่ Aokigahara forest of suicide
ตู่เอาเองอีกละว่าไปออกเดท อิอิ แต่ถ้าเลือกที่นี่เป็นสถานที่ออกเดทนี่สิช่างแปลกดีพิลึก
หลังจากที่ต้องทำงานในไร่มา 4 วัน วันที่เราตั้งหน้าตั้งตารอคอยก็มาถึง คือวันหยุดไปเที่ยว เย่ๆ
ก่อนหน้าพี่แครอทเอาหนังสือท่องเที่ยวในละแวกฟูจิมาให้อ่าน และเลือกไว้ว่าอยากไปที่ไหน วันที่หยุดงานจะได้พาไป
อ่านๆไปก็เจอเข้ากับป่าอาถรรพ์ ที่มังคุดเคยส่งลิงค์เว็บๆหนึ่ง ให้ดู มันคือป่า อาโอกิกาฮาร่านั่นเอง
ในภาษาญี่ปุ่น青木ヶ原樹海 อ่านว่า Aokigahara jukai แปลว่า Sea of trees หรือ ทะเลต้นไม้
เป็นสถานยอดนิยมของคนที่คิดจะไปฆ่าตัวตาย เค้าบอกว่าเป็นสถานที่ยอดฮิตเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสะพานโกลเด้นเกท ที่ซานฟรานซิสโก
ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว ไปที่นี่ดีกว่า เมื่อเลือกสถานที่ได้ก็ไปบอกพี่แครอทว่า อยากไปเดินป่าอาโอกิกาฮาระ พี่แกทำหน้าตกใจ ถามว่าอยากไปที่นั่นจริงๆเหรอ แต่ก็ตกลง ยอมพาไปแต่โดยดี
เรื่องราวของป่านี้มีอยู่หลายลิงค์ที่บรรยายเกี่ยวกับสถานที่ และรูปภาพที่ไม่ค่อยน่าดูนัก ใจไม่แข็งพอคงหลอนน่าดู ไม่เอามาแปะดีกว่า อยากดูก็ search หาเอาเองนะคะ
อันนี้ของคุณ SSachiy ที่พาไปเดินป่าอาโอกิกาฮาร่าหน้าร้อนค่ะ
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2010/08/E9583716/E9583716.html
เช้านั้นเราทำข้าวปั้นไปเป็นอาหารกลางวันด้วย เผื่อหิวกลางทางตอนเดินป่าจะได้งัดออกมากิน
ออกจากบ้านประมาณ 9 โมงเช้า เมื่อคืนนี้แถวบ้านฝนตก แต่พอพ้นเขต ชิซูโอกะ
ข้ามไปยามานาชิ เท่านั้นแหละค่ะ เห็นหิมะขาวโพลนเลย ตื่นเต้นมากๆค่ะ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหิมะ
แต่พี่แครอทนี่สิ ขับรถไปเกร็งไปท่าทางกลัวเอามากๆ บอกว่ายางรถไม่ได้เปลี่ยนมาสำหรับวิ่งบนถนนที่มีน้ำแข็งเกาะ
กลัวจะเกิดอันตรายหากรถไถลลงข้างทาง หง่ะ แล้วทำไมไม่ยอมเช็คอากาศก่อนล่ะ ทำเรากลัวไปด้วย
ต้นไม้ตลอดสองข้างทาง และภูเขาข้างหน้าขาวโพลนไปเลยค่ะ คาดว่าเมื่อคืนที่ฝนตกทางฝั่งเรา ทางฝั่งนี้หิมะตกแฮะ คงเป็นเพราะแถบนี้เป็นที่สูงและภูเขาซะส่วนใหญ่
เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงจุดที่จะเริ่มเดินป่าอาโอกิกัน โดยพี่แกอยากจะพาไปที่ถ้ำค้างคาวก่อน แต่ว่าหน้าหนาวเค้าปิดค่ะ
เปิดให้เข้าชมอีกที ประมาณช่วงฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงฤดู ใบไม้ร่วงนู่นเลย
โดยเดินตามเส้นทางในแผนที่ๆ ปักไว้ก่อนทางเข้าค่ะ ระหว่างที่พวกเรากำลังดูแผนที่
คาดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลถ้ำค้างคาว ก็ออกมาด้อมๆมองๆ คงจะแปลกใจ อากาศหนาว หิมะตกแบบนี้ยังมีคนคิดจะเข้าไปเดินป่าอยู่อีกเหรอ
หรือไม่ก็อาจจะคิดว่าสองคนนี้มันจะเข้าไปฆ่าตัวตายรึเปล่า
หลังจากที่ออกเดินเข้าไปก็เจอเข้ากับป่าที่ส่วนใหญ่เป็นต้นสน ดูชื้นๆ ถึงว่าทำไมถึงเรียกป่านี้ว่าทะเลต้นไม้
เพราะแสงส่องลอดมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ที่ลำบากในการเดินสำรวจป่าครั้งนี้ก็คือ หิมะที่ตกลงมาค้างบนยอดต้นสนข้างบน
พอลมพัดทีน้ำเย็นๆของหิมะก็ร่วงลงมากราวๆ บางทีก้อนน้ำแข็งก็หล่นลงมาใส่หัวบ้าง ต้องเอาฮู๊ดที่ติดกับเสื้อโค้ทขึ้นมาคลุมหัวไว้ตลอดเวลาเดิน
ระหว่างที่เดินๆ บรรยากาศก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เคยเห็นในเว็บไซต์
ปล. เป็นเพราะเดินตามเส้นทางรอบนอกค่ะ ไม่ได้เข้าอีกเส้นที่ป่าน่าจะทึมๆกว่านี้
แต่นี่พอเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ชักเริ่มวังเวง คงไม่มีคนคิดมาเดินป่าหลังหิมะตกแบบนี้
แต่ก็พยายามไม่คิดถึงภาพในเว็บฯ ที่เคยดูมา ไม่งั้นคงหลอนกว่านี้แน่นอน
หินลาวาที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อปี ค.ศ.1707
จากคุณ : harumiเจอถ้ำที่มีศาลเจ้าเล็กๆ ตั้งอยู่ข้างใน ตอนแรกเราจะไม่ลงไปแล้ว แต่พี่แครอทแกช่างกล้า เดินลงไปดูเฉย
เลยเดินลงไปดูมั่ง มืดๆทึมๆ เย็นๆ แถมมีน้ำหิมะร่วงลงมาสร้างบรรยากาศให้น่ากลัวเข้าไปอีก เราเลยรีบขึ้นมาข้างบน พี่แกก็ยังไม่ขึ้นมาอีก ไม่กลัวรึไงก็ไม่รู้
เราใช้เวลาเดินมาประมาณ ครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ตอนแรกจะเดินอีก แต่เพราะว่ามันหนาวมากๆ และใกล้จะถึงมื้อกลางวันแล้วด้วย เลยไม่ได้เดินต่อ
ระหว่างทางช่วงสุดท้ายนี้ก็เริ่มหลอนเหมือนกัน เพราะมันเป็นทางเดินแคบๆ เล็กๆ ต้องเดินเรียงหนึ่ง เลยรีบจ้ำอ้าว ไม่อยากอยู่แล้วววว
มาโผล่ถนนอะไรซักอย่าง งงๆ แต่พี่แกจำทางได้ ก็พาเดินเลาะริมถนนใหญ่ เพื่อไปที่จุดจอดรถ
ป่าที่เนี่ยดูวังเวงสมกับที่เค้ามาฆ่าต้วตายกันเลยเนอะ......
วังเวงจริงๆค่ะน้าเปรี้ยว ตอนเดินถ้าเงียบกันทั้งคู่นะ แล้วเราจะได้ยินเสียงฝีเท้าตัวเองตอนที่ย่ำลงไป เหมือนมีคนเดินตามเลยค่ะ
.............................................................................................. ปิกนิกที่ Lake Saiko
ข้าวปั้นที่ห่อมาพร้อมกับผลไม้และขนมต่างๆ เป็นมื้อกลางวันนั้น ก็ถูกเอาออกมากินดูวิวของทะเลสาบไซโกะ ที่อยู่ใกล้ๆ กับป่าอาโอกิฯ
ตอนพี่แกขับรถเข้ามาก็ไม่วาย เจอเข้ากับถนนที่เกาะด้วยน้ำแข็ง นั่งเกร็งตัวแข็งมาตลอดทางเลย กลัวรถลื่นลงทะเลสาบซะจริงๆ
แต่ก็รอดมาจนถึงริมทะเลสาบที่มีลานให้เอารถลงไปจอดได้ เหมาะสำหรับคนที่จะไปตั้งแคมป์ริมน้ำค่ะ
บรรยากาศก็ช่างเป็นใจซะเหลือเกิน มีเราแค่สองคนนั่งริมทะเลสาบ จะโรแมนติกไปไหนเนี่ย ฮ่าๆ -*-
ทะเลสาบไซโกะอีกมุม เห็นฟูจิซังชัดแจ๋วไปเลย
จากคุณ : harumiเอ... เพราะป่านี้ อาจทำให้ ฮารุมิจัง พิสูจน์อะไรได้บ้าง
อยากให้จบแบบ happy ending แบบเจ้าหญิง คู่กับเจ้าชายจังจ้า^^
จากคุณ : hollaneungอิอิ เข้ามาลุ้นต่อไป
สถานที่เดท ... สุดๆอ่ะ ^_^
คุณหนึ่ง ชีวิตมันเหมือนละครน้ำเน่ามากค่ะช่วงนั้น
คุณ COCOSWEET ...
ตอนแรกพี่แครอทเค้าคิดว่าเราไม่รู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ฆ่าตัวตายยอดฮิต ก็ทำเป็นเฉยๆ แต่พอเราบอกว่ารู้ แกของขึ้นเลยสวนกลับมาว่า แกยังจะกล้าให้ฉันพาไปอีกเหรอ
.......................................................................................................
ฟาดข้าวปั้น ขนม และแอปเปิ้ล หมด เพิ่งจะบ่ายโมง พี่แกถามว่าอยากไปแช่ออนเซ็นมั้ย ให้เลือกเอาว่าจะไปไหน ระหว่างออนเซ็นที่อยู่ใกล้บ้าน กับออนเซ็นที่อยู่แถวนี้
เราก็บอกแล้วแต่สะดวกละกัน ไปไหนก็ได้ แต่อยากลองแช่ออนเซ็นที่ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิไปด้วยน่ะ เป็นอันว่าได้ไปแช่แถวๆนี้ค่ะ
แล้วก็ได้แช่ออนเซ็นพร้อมกับดูภูเขาไฟฟูจิไปด้วยสมใจอยาก เพราะวันนั้นฟ้าเปิด แถมรอบๆสระที่แช่ก็มีหิมะคลุมด้วย
ออกมาจากออนเซ็นพี่แครอทแกก็นั่งรออยู่ตรงที่นั่งพักผ่อนของที่นี่ พร้อมกับบอกว่า เราโชคดีมากเลยนะ
เค้าเคยพาวูฟเฟอร์มาแช่ที่นี่หลายครั้งแต่ไม่มีครั้งไหนที่จะแช่น้ำแล้วได้มองวิวภูเขาไฟฟูจิเหมือนครั้งนี้เลย เพราะทุกครั้งมีเมฆบังตลอด
เราเลยเกทับไปว่าก็แหงอยู่แล้ว เราเป็นตัวนำโชคนะ (หารู้ไม่ว่า ไปเที่ยวไหนทีไร มักจะทำรถเสียเกือบทุกที)
ออนเซ็นที่ว่าชื่อ 紅富士の湯 Benifuji no yu
http://www.benifuji.co.jp/intro/
โบเน็งไค (งานเลี้ยงส่งปีเก่า)
วันนั้นกว่าจะถึงบ้านก็ประมาณ ห้าโมงเย็น คืนนี้จะมีงานเลี้ยงส่งปีเก่า หรือที่เรียกว่า โบเน็งไค ของกลุ่มเกษตรกรออแกนิคของฟูจิโนะมิยะ
โดยเพื่อนแกจะเอารถมารับ แล้วก็มาส่งด้วย จะได้ดริ๊งกันให้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงเรื่องขับรถ เพราะภรรยาเพื่อนจะเป็นคนขับมาส่งให้
เราก็เลยพลอยได้ไปร่วมวงกะเค้าด้วย วันนั้นมีหนุ่มๆมาเยอะเป็นพิเศษ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนรุ่นใหม่หันมาทำไร่กันเยอะขนาดนี้
จากที่ถามๆ ส่วนใหญ่ก็เคยทำงานบริษัท แล้วผันตัวเองมาทำไร่ อายุก็ประมาณ 30 ต้นๆ เห็นบอกว่า ทำแบบนี้ถึงรายได้จะไม่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับตอนที่ทำงานบริษัท
แต่ก็อิสระและสบายใจกว่ากันเยอะ มีอยู่คนหนึ่ง แกเห็นเรามาจากไทย ก็ถามอย่างสนใจ เพราะแกกำลังคิดจะมาทำไร่ออแกนิคในไทยด้วย
มีพาเราไปแนะนำกับเพื่อนที่ให้เครื่องรางเรื่องเนื้อคู่นั่นมาด้วยนะ มีกระซิบกระซาบกัน แต่กระซิบกันยังไงไม่รู้ดังจนเราได้ยิน
คนนี้แหละที่มีเครื่องรางแบบจาก ชิมาเนะเหมือนกัน แปลกมั้ยล่ะ
คุณเพื่อนก็ทำหน้าตกใจ พร้อมกับกระซิบตอบกลับมาว่า จริงเหรอ บังเอิญอะไรอย่างงี้ งั้นพยายามเข้านะ สู้ๆ
พี่แกก็ทำหน้าเขินอาย ส่วนเราก็ทำเป็นไม่ได้ยินไม่รู้เรื่อง ไร้เดียงสา ฮ่าๆ
..
แวะมาเสียกิฟแรกของเดือนกันยาให้จ้ะ
ป.ล. ฮารุจัง ก็ช่างสรรหาไปเที่ยวที่แปลกๆเนอะ (ขอมอบเครดิตนี้แก่ มังจุงด้วย ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อน -___-")
..
ตาม harumi ไปญี่ปุ่นด้วยคนค่ะ
Aokigahara forest of suicide แอบน่ากลัวอ่ะ บางภาพที่เจอในGoogle บรื๋ออมากๆ
ป๊อกกี้ ....ที่จริงอยากเดินไปหาป้ายเตือนสติคนฆ่าตัวตายด้วย แต่เพราะอากาศหนาว และรู้สึกว่ามันวังเวง เลยไม่ได้เห็นเลย หุหุ
คุณ Sergeant Keroro....ใช่ค่ะ ภาพในเน็ตที่ดูมา พอนึกถึงทีไรขนลุกทุกที ตอนที่เดินๆอยู่ก็แอบจินตนาการด้วยนะ ถ้าเจอแบบนั้นจะทำไง
....................................................................................................... เก็บสตรอเบอรี่กลางคืน
คืนนั้นกว่าจะเลิกงานก็เกือบๆ ห้าทุ่ม พี่แครอทซดเบียร์ไปขวด ปกติก็ไม่น่าจะเมากัน แต่พี่แกเป็นคนไม่ค่อยดื่มเหล้าอยู่แล้ว
เลยมึนๆ เห็นเราคุยกับเพื่อนๆเค้าเรื่องการทำเกษตรออแกนิคอย่างสนใจ เลยอยากให้เราไปดูไร่เพื่อนๆเค้า เอาสมุดบันทึกประจำตัวมาจดใหญ่ ถามเพื่อนว่าว่างวันไหน จะพาเราไปเยี่ยมชมไร่ -*-
เราไม่ได้สนใจขนาดนั้นซักหน่อย แต่เพื่อไม่ให้พี่แกหน้าแตก ก็ปล่อยเลยตามเลย
ก่อนจะกลับมีลุงที่ทำไร่สตรอเบอรี่อยู่ละแวกนั้นซึ่งไม่ได้ทำเป็นออแกนิคแต่เพราะเป็นเพื่อนของใครในกลุ่มนี่แหละ มาถามว่าเรามาจากไทยเหรอ
ตอนนี้มีนักศึกษาฝึกงานที่ไร่เค้าคนนึงเป็นคนไทย มาฝึกงานได้เกือบสองปีแล้ว วันหลังไปกินข้าวกันนะ
พี่แครอทแกก็จดใส่สมุดยิกๆ พอกลับมาถึงบ้าน ก็รีบแยกย้ายไปนอน ตื่นเช้ามา พี่แกจำไม่ได้อีกว่าเมื่อคืนนัดใครไปมั่ง ดีนะที่จดไว้
นัดแรกก็คือกับลุงไร่สตรอเบอรี่ค่ะ ได้เจอน้องนักศึกษาที่กระทรวงเกษตรฯ ส่งมาฝึกงาน เห็นบอกว่ามาจาก จ. พะเยา อยู่ที่นี่เกือบสองปีแล้ว และอีกไม่กี่เดือนก็จะได้กลับไทย
เราบอกว่าชอบกินสตรอฯ มากๆ เมื่อเดือนที่แล้วก็ไปวูฟที่ไร่สตรอฯ แถวคิวชูมา แต่ต้องผิดหวัง เพราะสตรอเบอรี่ยังกินไม่ได้
ลุงเลยพามาเด็ดสตรอเบอรี่ที่ไร่ ตอนกลางดึกนั่นแหละ ได้บรรยากาศไปอีกแบบ ต้องฉายไฟเก็บกิน ฮ่าๆ
ตามไปเที่ยวจ้า แค่ได้ยินชื่อป่า เราก็ไม่กล้าไปแล้วง่ะ บรึ๊ยส์
จากคุณ : BeeVee' แพ้อากาศหนาว
วันนี้ไปเก็บแครอท เหมือนเดิม ล้างน้ำแล้วก็แพ็คใส่ถุง งานเสร็จเราก็รู้สึกว่ามือทั้งสองข้างมันบวมเอามากๆ แถมคันด้วย พอคันก็เกาๆๆ มันก็เป็นแผลแตกๆตามข้อนิ้ว เจ็บอีกต่างหาก
ตอนนั้นตกใจมาก ยกให้พี่แครอทดู แกก็คว้ามือเราไปเป่าๆ โอ๊ะ!!ต้องคิดอะไรกับฉันแน่ๆเลยเนี่ย โฮะๆๆ
พอรู้ตัว พี่แกรีบปล่อยมือเราทันที แล้วบอกว่าเราแพ้อากาศหนาว และเวลาโดนน้ำเย็นๆด้วย มันเลยทำให้เป็นแผลแล้วก็คันแบบนี้แหละ หลายคนก็เป็นกัน
ถ้ากลับไปไทยก็จะยุบไปเอง
สภาพมือเราจากที่เป็นกระดูกและหนังเหี่ยวๆ กลายเป็นแบบนี้ค่ะ
ลุ้นตามเลยค่ะ จะจบแบบไหน อ่านความเห็นที่ 39 แล้ว แอบอมยิ้มตามเล็กน้อย เขิน ๆ
บีวี่.....ป่าดังๆแบบนี้ต้องไปดูซักครั้งนะ ไม่งั้นมาไม่ถึง (คิดเอาเองอีกแล้ว เหอๆ)
คุณ เจ้าหญิงถั่วเขียว...ใกล้จบแล้วค่ะ อิอิ ตอนนั้นพอได้ยินก็เขินนะคะ แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ดูิเชิงไปก่อน
...........................................................................................................
Kitayama Nouen (北山農園)
วันนี้วันนั้นไม่ต้องทำงานอิอิ ได้หยุดไปตำโมจิเพราะเพื่อนของพี่แครอทชวนให้ไปปาร์ตี้บาร์บีคิว และตำโมจิที่บ้าน
เพื่อนคนนี้เคยทำงานบริษัทแล้วลาออกมาทำไร่ที่ชื่อว่า คิตายาม่าฟาร์ม เล่นดนตรีและเป็นช่างภาพด้วย
นอกจากเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียง ก็มีเพื่อนๆในกลุ่มเกษตรออแกนิคมาร่วมวง ช่วยกันตำโมจิจนเหนียวหนืดอย่างนี้ ปล. ใครอยากมีประสบการณ์ตำโมจิแบบดั้งเดิม ต้องมาวูฟช่วงหน้าหนาว ประมาณเืดือน ธค. นะคะ ทุกที่ตามต่างจังหวัด เค้าจะมารวมกลุ่มตำโมจิกันค่ะ
วันนั้นตอนทำโมจิ โดยเฉพาะเด็กๆ เผลอไม่ได้ค่ะ ตักน้ำใส่ในครกที่เค้ากำลังตำกันอยู่เฉยเลย
แต่ดีที่วิดออกจากครกทัน ไม่งั้นโมจิครกนั้นคงต้องทิ้งแน่ๆ
เสื้อสีชมพูนี่เลย ตัวการ ซนมากๆ
ถ้ารวมเล่ม ตีพิมพ์แล้วแจ้งข่าวด้วยนะคะ ^^
หนุ่มออร์แกนิคแอบเนียนจับมือซะด้วย
อืมมมมมม อย่างนี้นี่เอง
เรื่องราวของสาววูฟ save the best for the last จริงๆ
ตามอ่านต่อไป !!
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ
จากคุณ : tonhok คุณ COCOSWEET
สาธุ ถ้าได้รวมเล่มจริงๆ จะหลังบ้านไปนะคะ
คุณ ลอล่า อิงกัลส์~* อิอิ คาดว่าคงรู้ตอนจบแล้วแน่ๆ หลังจากที่เห็นทริปปีนเขาในเฟสเมื่อต้นเดือน
คุณ tonhok....ขอบคุณเช่นกันที่แวะเข้ามาอ่านค่า
..................................................................................................... ทัศนศึกษาที่ จ. ยามานาชิ
วันนี้ต้องไปจุดนัดพบกันแต่เช้าที่สถานีขนส่ง เพื่อรวมตัวกันไปทัศนศึกษาฟาร์มออแกนิคที่ จ. ยามานาชิ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
ฝนตกด้วย อากาศไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่เลย ที่ไร่แห่งนี้ เจ้าของเป็นผู้หญิงค่ะ ทำคนเดียวด้วย แต่มีคนช่วย เป็นพวกนักศึกษา หรือคนที่ต้องการเข้าไปเรียนรู้วิธีการทำเกษตรออแกนิค
ปีหนึ่งๆ มาเป็นร้อยๆคนเลยค่ะ โดยทำเป็นร้านอาหารปลอดสารพิษ เป็นเพนชั่นสไตล์ยุโรป ที่ชอบมากเป็นพิเศษก็คือนี่เลย เตาผิงที่มีขาเป็นเสือ หรือแมวนี่แหละค่ะ น่ารัก
เมื่อรับประทานอาหารกลางวัน ก็ได้เวลาออกไปดูไร่ ท่ามกลางสายฝน ฟังที่เจ้าของไร่บรรยายแล้วน่าชื่นชมจริงๆค่ะ ถ้าไม่มีใจรัก คงทำไม่ได้แน่
เห็นบอกว่าผักที่ได้มาส่วนใหญ่ก็ส่งตามร้านที่เป็นจุดพักรถ หรือซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้เคียง และเน้นส่งโรงเรียนอนุบาลเพื่อเด็กๆ จะได้ทานอาหารที่ปลอดสารพิษ
ร้านขายผักที่ปราศจากคนขาย
วันต่อมาต้องทำงานถอนหญ้าในไร่แครอท ปล่อยให้เราทำงานคนเดียวอีกเช่นเคย ทำไปนานๆ ชักเมื่อย เลยออกไปเดินเล่น ถ่ายรูปอีกแล้ว อิอิ
ก็เจอตู้ที่แบ่งเป็นชั้นๆ และวางผักต่างๆ แยกเป็นถุงๆ พร้อมกับติดป้ายราคาไว้ ส่วนใหญ่จะถุงละร้อยเยน
ส่วนการจ่ายเงินก็นี่เลย หยอดลงกระปุกออมสินแกะน้อยที่ตั้งไว้ใกล้ๆ
เห็นแล้วก็รู้สึก นับถือในความซื่อสัตย์ของชาวญี่ปุ่นจริงๆ ไม่งั้นคงวางขายแบบนี้ไม่ได้
โอ้ว.... ภาคนี้โรแมนติคจังเลยค่ะ ;-)
มีรูปคู่ด้วยมั้ยคะ... อยากเห็นจังเลย....
คุณ Miss_Behaving....อูยยย เขินค่ะ ไม่กล้าเอาลง ก่อนจะเขียนตอนสุดท้ายก็คิดแล้วคิดอีกว่าจะรีวิวดีรึเปล่า เลยใช้เวลานานนิดนึงกว่าจะออกตอนนี้มา
........................................................................................................ สร้างซุ้มถั่วลันเตา + ยากิโซบะ
วันนี้ได้ทำงานซะทีค่ะ โดยการทำซุ้มให้ถั่วลันเตาเกาะ อุปกรณ์ก็จะมีท่อคล้ายๆท่ออลูมิเนียม 2 ท่อน สูงประมาณ 2 เมตร มาต่อกันให้โค้งๆ และเอาไปเสียบให้ห่างช่วงละ 1 เมตร
แล้วก็เอาตาข่ายมาคลุม พอต้นถั่วขึ้นก็จะเลื้อยเกาะตามตาข่ายที่ขึงไว้ แปลกดีไม่เคยเห็นซุ้มแบบนี้ เพราะถ้าเป็นแถวบ้านที่เคยเห็นก็จะใช้ไม้ไผ่มาปักๆ เป็นซุ้มแทน
คิดไปแล้วแบบนี้ก็สะดวกเหมือนกัน เพราะน่าจะเอามาใช้ใหม่ได้หลายครั้ง แต่ตอนเก็บคงจะลำบากน่าดู เพราะคงต้องคอยกำจัดพวกเศษแห้งๆที่เกาะออกไป
เย็นนั้นพี่แครอทชวนไปกินยากิโซบะ บอกว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองฟูจิโนะมิยะนี้ค่ะ
หันไปทางไหนก็มีแต่เมนูนี้เกือบทุกร้าน รสชาติถูกปากมากที่สุดเท่าที่เคยกินมา
เพราะไม่ใช้น้ำมันเยอะ แล้วรสชาติก็เข้มข้น เราว่าน่าจะเหมาะสำหรับคนไทยนะ
ขุดมันฝรั่ง
วันนี้มีงานใหม่มาท้าทาย คือ ขุดมันฝรั่งนั่นเอง เราชอบงานนี้มาก เพราะมันเหมือนเกมตามล่าหาสมบัติ
ดินที่นี่ร่วนๆ ไม่แข็ง เวลาขุดก็ใช้มือที่สวมถุงมือไว้อีกชั้นหนึ่ง และโกยๆดินออกมา ก็เจอหัวมันแล้ว ต้นหนึ่งจะได้หัวมันประมาณ 4-5 หัวแน่ะ
บางหัวก็ต้องขุดลึกลงไปอีก พอเจอแล้วมันดีใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ในขณะเดียวกันก็มีบ้างที่บางต้น ไม่มีหัวมันใหญ่ๆเลย ผิดหวังไปตามๆกัน
ปกติมันฝรั่งทั่วไปจะสีออกเหลืองๆ แต่นี่มีสีแดงด้วยค่ะ พันธุ์นี้มีชื่อว่า "Red moon"
ปาร์ตี้อาหารไทย
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว พี่แกนัดกับเจ้าของไร่สตรอเบอรี่ และนักศึกษาฝึกงานคนไทย มาปาร์ตี้กันที่บ้าน เราเลยต้องรับหน้าที่ทำอาหารไทยเลี้ยง ง่ายๆ ไม่กี่อย่างเอง
หนึ่งในนั้นก็มีต้มยำกุ้ง จืดๆ เพราะพวกนี้กินเผ็ดกันไม่ได้ ซันโนะซังบอกว่าเสียดายที่เราจะกลับแล้ว
ไม่งั้นประมาณเดือนปลายเดือนมกราจะให้ไปช่วยต้อนรับลูกค้า ตอนเปิดไร่ให้คนเข้าไปเก็บ ทำให้จินตนาการไปถึงสตรอเบอรี่ลูกโตๆ กัดทีนึงน้ำกระเซ็น
โอ๊ย...อยากอยู่ต่อ
น้ำค้างแข็ง
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วค่ะ ที่จะได้ทำงานที่นี่ ช่วงเย็นเราจะขึ้นรถไฟกลับโตเกียว เพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องกลับไทยอีกไม่กี่วัน
ความจริงวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่จะต้องขุดหัวมันฝรั่ง (ใช้งานตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายเลย )
แต่เพราะว่าอุณหภูมิช่วงกลางคืนนั้นมันเย็นมากจนน้ำค้างบนดินมันกลายเป็นน้ำแข็ง ก็เลยขุดมันฝรั่งไม่ได้
ทะเลสาบทานุกิ
หลายวันก่อน พี่แครอทแกให้ดูรูปฟูจิที่เคยถ่ายเก็บไว้ ส่วนใหญ่เป็นฟูจิกับก้อนเมฆประหลาดๆ
และที่เราชอบมากที่สุดก็คือ รูปที่ฟูจิซังสะท้อนกับผิวน้ำของทะเลสาบแห่งหนึ่ง
ถามแล้วได้ความว่าเป็นทะเลสาบที่อยู่ละแวกใกล้ๆ บ้านพี่แครอท ขับรถไปไม่นานประมาณ 30 นาทีก็ถึง
ทะเลสาบที่ว่าชื่อ ทะเลสาบทานุกิ วันนั้นลมค่อนข้างแรง เราเลยไม่ได้เห็นฟูจิสะท้อนกับผิวน้ำอย่างที่ตั้งใจอยากจะมาเห็น
แต่ก็เห็นฟูจิชัดแจ๋วเชียวค่ะ คนก็ไม่เยอะด้วย ส่วนใหญ่จะมีแต่คนมาตกปลาซะมากกว่า เดินถ่ายรูปเพลินไปเลย
白糸の滝 Shiraito no Taki
น้ำตกแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเมืองฟูจิโนะมิยะค่ะ
น้ำตกของที่นี่ก็ตามชื่อค่ะ ตกลงมาเป็นสายๆ คล้ายเส้นด้ายสีขาวๆ และมีทางที่น้ำไหลลงมาเป็นบริเวณกว้างตั้งแต่บันไดลง จนถึงด้านใน
และจะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็ไม่รู้ ละอองน้ำที่เกิดจากน้ำที่ตกลงมาจากด้านบนกระทบเข้ากับแสงอาทิตย์ยามบ่าย ทำให้เกิดรุ้งกินน้ำขึ้นหลายสิบตัว
ราวกับมาเตือนว่า "ฉันทำตามคำขอของเธอที่ปราสาทโคจิแล้วนะ ยัยสาวปลาแห้ง" ^^
(ถ้าจำไม่ได้ว่าเราขอพรอะไรไป ก็ย้อนกลับไปอ่านได้ที่กระทู้ตอนที่ 5 นะคะ อิอิ)
อิอิ เราจะไม่บอกนะคะว่าหลังจากนั้นลงเอยยังไง
แต่สำหรับกระทู้นี้คงไม่ใช่กระทู้สุดท้ายของเรื่องนี้ซะทีเดียว
เพราะว่า.........จะมีรีวิวปีนภูเขาไฟฟูจิ ที่เราเพิ่งไปมาสดๆร้อนๆ เมื่อต้นเดือนนี้เองค่ะ
คาดว่าถ้าคนที่ตามอ่านรีวิวมาตั้งแต่ต้นคงพอจะเดาออกว่าเราไปปีนจากเส้นทางไหน จาก 4 เส้นทาง
นี้
1. Yoshida trail Fuji-Subaru line (Kawaguchiko) 2,305m (7,560ft.)
2. Subashiri trail 1,980m (6,494ft.)
3. Gotemba trail 1,440m (4,723ft.)
4. Fujinomiya trail 2,400m (7,872ft.)
สุดท้ายนี้ ขอบคุณแม่ ที่ยอมให้โอกาสลูกไปผจญภัยในญี่ปุ่น ซึ่งดูระยะเวลาแล้วอาจจะเพียงแค่ 3 เดือน แต่สำหรับแม่คงนานมาก
พี่สาว ที่สนับสนุนความคิดเรา ไม่คัดค้านเลยซักนิด
โยชิมิ เพื่อนสาวตาบอดอีกคนที่สนับสนุนให้เราไปครั้งนี้ค่ะ แถมยังช่วยปลีกเวลาพาเพื่อนคนนี้เที่ยวโคจิอีก ทั้งๆที่มีงานของคาราวานหนอนหนังสือให้ต้องออกพบปะผู้คนแทบทุกวัน
ขอบคุณ น้องออย ที่วันนั้นยื่นหนังสือวูฟญี่ปุ่นของคุณ ดนัยมาให้อ่าน
มังคุด ขอบคุณข้อมูลการเดินทาง และที่เที่ยวต่างๆ
และที่ขาดไม่ได้ ต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่มาให้กำลังใจ ทั้งคอมเมนท์ และกิ๊ฟ ตลอดตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนสุดท้ายค่ะ
อาจจะเอ่ยชื่อไม่หมด ต้องขออภัยด้วยนะคะ
แล้วเจอกันกระทู้ต่อไป "ครั้งหนึ่งในชีวิต พิชิตฟูจิซัง"
ว่าจะไม่ลงรูปคู่ แต่ไหนๆก็เฉลยแล้ว กว่าจะปีนขึ้นไปถึง เกือบตายเลยค่ะ เหนื่อยมากกกก
ตามไปปีนฟูจิซังกันต่อนะคะ
๘๘ ^^ ๘๘ ครั้งหนึ่งในชีวิตพิชิต "ฟูจิซัง" ๘๘ ^^ ๘๘
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11113774/E11113774.html
งั้นจะตามชมรีวิวถัดไปนะคะ ว่าปีนเขาแบบสวีทๆรึป่าว ^^
จากคุณ : COCOSWEETได้วูฟ ได้ประสบการณ์และได้ คนที่เป็นเพื่อนใช้ชีวิตที่โน่น
น่าอิจฉาจัง ฮารุมิจัง ยินดีด้วยนะจ๊ะ ที่จะได้ไปทัวร์ญี่ปุ่นเรื่อยๆ อิอิ
จากคุณ : hollaneungเห็นแล้่วอยากไปวูฟที่ญี่ปุ่นด้วยเลย ฮิฮิ .....
เพราะสตรอเบอรรี่และผักน่ากินมากกกกก ไม่ใช่เหตุผลอื่น
ไปพิชิตฟูจิซังมาแล้วหรือคะ เร็วดีจัง
รออ่านรายละเอียดอยู่นะคะ แอบลุ้นและให้กำลังใจค่ะ
ชอบภาพน้ำตก Shiraito no Taki มากๆค่ะ สวยจัง คงต้องวางแผนญี่ปุ่นใหม่ซะแล้วเรา ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ^^
จากคุณ : สามแซ่ว้าวววววววววว เป็นรีวิวที่โรแมนติคเหมือนนิยายเลย.....
จากคุณ : ส่วนหนึ่งของประเทศไทยคุณ harumi และ คุณ แครอท น่ารักมากๆเลยค่ะ.... :-)
อยากให้เขียนตอนต่อไปเร็วๆนะคะ จะรออ่านค่ะ...
ขอบคุณมากนะคะ
ตามอ่านมานาน ช่วงเงียบหายไปก็รอๆว่าเมื่อไหร่จะมาต่อซะที แต่ลงท้ายแบบนี้ค่อยคุ้มกับที่รอคอย ลุ้นๆกระทู้ต่อไป "ครั้งหนึ่งในชีวิต พิชิตฟูจิซัง"อยู่นะค่ะ
แอบอมยิ้มไปด้วยเลย
น่ารักจัง
เป็นทริปการเที่ยวที่สนุกมากเลยครับ
น้ำตกที่เมืองฟูจิโนะมิยะ นี่สวยมากเลยครับอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองจัง
ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ
เป็นทริปที่สนุกมากเลยคร้า.......
ตามอ่านมาจนครบเจ็ดล่ะ
ชอบมากเลยค่ะ
มาต่อเร็วๆน่ะค่ะ
จะรอค่ะ
แอบอิจฉราด้วย อิอิ
ตามมาแล้วค่ะ อยากจะบอกว่าดีใจที่เห็นหลังไมค์นะคะ
ตอนอ่านกระทู้ในห้องบลู เห็นกระทู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นก็นึกถึงคุณ harumi อยู่ตลอด
ว่าจะมาแล้วหรือยังนะ หรือเราพลาดไปนะ
อ่านตอนนี้แล้วก็ลุ้นนะคะ มีโรแมนซ์เล็กๆให้หัวใจเต้นบ้าง
นึกภาพตามตอนเป่ามือให้นี่ เขินแทนละค่ะ 5555
มาต่อตอนใหม่เร็วๆนะคะ ^^
ขอบคุณมากๆๆๆๆๆ คะที่มาตามหลังบ้าน ไม่รู้พลาดไปได้อย่างไร
เพราะวันนี้ก็คิดถึง(เล็กๆ) ว่า คุณ harumi หายนานจัง ......อ๋ออออออออออออ
ไปตามหาความลับของหัวใจ ( ว่า..ใช่..คนนี้หรือป่าววว ???? ) ที่ฟูจิซังนี่เอง
เพื่อนของคุณแครอท บอกให้สู้ๆ ดังนั้น....สิบล้อขอเสนอตัว (โดยคุณพี่แครอทไม่ต้องขอ) เป็นเพื่อนของเพื่อนคุณพี่แครอทอีกคน รวมใจช่วยเชียร์ให้คุณพี่แครอท สู้.. สู้.. สู้ตายยยยยยยยยย ( เอ้ยยย..นี่จีบหญิงนะ ไม่ได้ไปแข่งเอเชี่ยนเกมส์ซักหน่อย )
จะรอฟังข่าวดี ( อีกกี่ปี ก็จะรอ )
โชคดีนะ...ด้วยรัก และกล้าบอก จากสิบล้อ
ป.ล. จะรออ่าน ภาคเหนื่อยเกือบตาย ที่ฟูจิซัง นะจ๊ะ รบกวนช่วยมาตามด้วยนะ เดี๋ยวนี้กระทู้ตกเร็วมาก หรือ สิบล้อแก่แล้ว ตาลาย อ่านไม่ทันเอง หนิ..
สนุกมากๆๆๆๆๆๆ เลยครับ ^^
จากคุณ : Palm Jung Won...ตามมาเที่ยวแดนปลาดิบต่อนะคะ
ฟูจิซังสวยมากๆ เลยนะคะ ฟ้าใสมากเลยค่ะ เห็นยอดชัดและสวยมากเลยค่ะ
รอชมตอนต่อไปนะคะว่าจะหวีทหวานเปล่าเอ่ย ^-^
ฮี่..ฮี่.. จะรออ่านกระทู้ฟูจิซังนะคะ..
แอบอิจฉาเล็กๆนะเนี่ย.. ^^
อ่านไปยิ้มไป น่ารักอ่าา เห็นรูปสุดท้ายแล้วยิ้มแก้มบาน อิอิ
เห็นสตรอเบอรรี่แล้วอยากทานอีกจัง^^
อิจฉาที่สุดดดดดด ได้ไปปีนฟูจิซังมาแล้วว
ปล.ขอบคุณที่ไปเคาะหลังบ้านนะคะ
ขอบคุณที่ส่งลิงค์ให้นะคะ แปะชื่อไว้ก่อน เดี๋ยวจะกลับมาค่อยๆอ่านค่ะ ^^
จากคุณ : salamankaแหมมมม มีเรื่องให้ลุ้นตั้งแต่ต้นรีวิว ยันจบรีวิวเลยนะครับคุณฮารุ สรุปเรื่องนี้จะจบแบบ Happy Ending รึป่าวน้าาา ชาวพันทิพต้องลุ้นกันต่อไป อิอิ
ว่าแล้วเปิดโต๊ะรับแทงดีไหมเนี่ยยยย
อ่านไป อมยิ้มไป แบบมีความสุขค่ะ...(แอบลุ้นด้วย อิอิอิ)
เพราะเรามีความฝันที่จะมีชีวิตแบบนี้ อยากทำไร่ออร์แกนิค บ้านไร่บรรยากาศดีๆ อยู่กับคนที่เรารัก โอ้ อะไรจะมีความสุขปานนั้น...
ไม่ผิดหวังที่รอคอยรีวิวจาก คุณ harumi...รีวิวได้สนุกมากๆ...
ถ้ารวมเล่มแล้ว หลังบ้านมาด้วยนะคะ...
จะรอรีวิวตอนต่อไปค่ะ...
คุณ COCOSWEET ....ปีนเขาครั้งนี้ เหนื่อยมากๆ ดีนะที่มีคนไปปีนเป็นเพื่อนด้วย
ตามมาอ่านแล้วนะ อิอิอิ... แหม จบกั๊กๆ แบบนี้ได้งายยยยยยยยย
แต่ รอบหน้าคงเป็นเฉลยแล้วมั้ง
มาแอบลุ้นด้วยคนจ้า....
น่ารักมาก กิ๊วๆๆ
ตามอ่านมาตลอด ไม่คิดว่าตอนหลัง ๆ จะลงเอยแบบโรแมนติก หวานแบบนี้เลยค่ะ อีกหน่อยคงได้ชมฟูจิซังหน้าประตูบ้านทุกวันแน่เลย รออ่านต่อนะคะ
ขอบคุณที่ไปบอกที่หลังบ้านนะคะ ^^ ยังรออยู่เลยว่าเมื่อไหร่จะมาต่อซักที
แต่พอได้อ่านแล้วอิจฉา แอบเขิน ><
เราต้องไปวูฟบ้างแล้วแหละ เผื่อจะเจอแบบนี้มั่ง ฮ่า
รออ่านเรื่องราวตอนต่อไปนะคะ (เอ๊ะ ยังไง )
ฮิ้วววววว
ตามมาจากหลังไมค์ค่ะ เกือบพลาดทู้หวานๆ นี้ซะแล้ว เหมือนนิยายเลยเนาะ อ่านไปนั่งอมยิ้มไป
รีวิววูฟจบแล้ว แต่ยังมีภาคต่อนิ จะรอดูนะค้าาาาา
เกือบพลาดกระทู้คุณ harumi แน่ะครับ
ขอบคุณคุณฮารุมิมากเลยน่ะค่ะ รอดูกระทู้เดทบนฟูจิซังอยู่น่ะค่ะ คริคริ
บ้านสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดจริงๆ สงสัยถ้าได้ไปวูฟบ้าง
คงต้องพกเครื่องรางแบบนี้บ้างแล้ว
ยังไงหลังบ้านไปบอกกันบ้างน่ะค่ะ รอติดตามอย่างใจจดจ่อคร่าา
อ่านจบแล้วค่ะ ไม่นึกว่าจะจบแบบนี้ด้วย ^^
อ่านไป ยิ้มแก้มปริไปด้วยเลย
เพิ่งได้เข้ามาชมรีวิวสวยๆรายละเอียดแน่นปึ้ก ชอบๆๆ ขอบคุณมากค่ะ
ช่วยเก็บเข้าคลังกระทู้ไว้ให้นะคะ
มังคุด แหม จะให้จบแบบตรงไปตรงมามันก็ไม่หนุกดิ
อ่านจบแล้วครับ
ถ้ามีโอกาสจะไปลองทานยากิโซบะ อาหารขึ้นชื่อของเมืองฟูจิโนะมิยะบ้างครับ
ขอบคุณมากครับ สำหรับการแบ่งปันเรื่องราวดีๆ....มีนายแครอทด้วย ..
เพิ่งได้มาตามอ่าน 6 ตอนรวด สนุกมาๆเลยครับ
เพิ่งมีเวลาอ่านวันนี้เอง จบซะแล้ว
3 เดือนสำหรับลูก คงเป็นเวลานานมากสำหรับแม่จริง ๆ ค่ะ
อยากให้ลูกชายไปวูฟแบบน้องฮารุมิบ้าง เป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมสุด ๆ ค่ะ
รออ่านตอนปีนฟูจินะคะ ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณที่ตามหลังบ้านนะคะ.....เพิ่งได้มีโอกาสมาอ่าน
กะ กะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!! >//<
อ่านลงมาเรื่อยๆสัมผัสความโรแมนติกแบบการ์ตูนญี่ปุ่นได้เลยอ่ะค่ะ
และแล้วววว...อร๊ายยยยยยยย >//< เขิลลลลลลลลลลล
(ลืมไปว่าจุดประสงค์หลักคือวูฟ 55555 ^^")
กรี๊ซ ตามมาช้าไปนิด
ช่วงนี้แอบเก็บข้อมูลทั่วๆไป เพราะปีหน้าตั้งใจไปแน่ๆแล้ว
เข้ามาเจอว่า คุณharumiอัพตอนที่ 7 แล้ว
แถมน่าอิจฉาอีก
ปีหน้าไปวูฟจะได้เจอเนื้อคู่บ้างมั๊ยเนี่ยยยยยย
ยินดีด้วยนะคะ
กรี๊ดๆๆๆ
รู้สึกว่าเป็นส่วนนึง(เล็กๆ)ที่ทำให้รุ่นพี่ได้เจอเนื้อคุ่นะเนี๊ยะ
ขอเป็นกำลังใจให้ทั้งคุ่นะจ๊ะ
และก็อยากจะบอกว่า พี่ฮารุเหมือนเป็นตัวแทนทำความฝันของออยได้เป็นจริงเลยอ่ะ
ชาตินี้คงไม่ได้ไปวูฟแล้ว ด้วยภาระอันหลายๆอย่าง
เอาไว้ว่างๆจะตามอ่านตอนผ่านๆมาให้จบนะจ๊ะ
คุณ โต้คลื่น ...ถ้าไปถึงที่แล้วต้องลองชิมซักครั้งค่ะ อร่อยจริงๆ
คุณ Fonty...ขอบคุณค่า อุตส่าห์ย้อนไปตามอ่านด้วย ดีใจจัง
คุณ สวยด้วยแสง-แรงด้วยสี....สนับสนุนเต็มที่ค่ะ การไปวูฟครั้งนี้ได้อะไรดีๆกลับมาเพียบ
คุณ ซารุ...
แอบมีภาคโรแมนติกมาให้ลุ้นบ้างจะได้ไม่เบื่อกันเนอะ
คุณ bookalive....ขอให้ได้ไปนะคะ รับรองว่าจะติดใจค่า
น้องออย....แหม มาเปิดกระทู้ แล้วก็มาปิดให้ด้วย ขอบใจจ้า หวังว่าซักวันเราจะได้ไปวูฟด้วยกันบ้างนะ รออยู่ๆ
..............................................................................................
ตอนสุดท้ายจริงๆมาแล้วค่า ภาคต่อวูฟสาวปลาแห้ง กับรีวิวตอนที่ 8
๘๘ ^^ ๘๘ ครั้งหนึ่งในชีวิตพิชิต "ฟูจิซัง" ๘๘ ^^ ๘๘
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11113774/E11113774.html
อ่านจบแล้วอ่ะ ยังไม่รู้เลยว่าสุดท้ายลงเอยอย่างไร เขียนตอนต่อไปให้มีเรื่อง in love เยอะๆหน่อยนะ