ตื่นเช้ากันอีกวัน เสื้อผ้าหน้าผมพร้อม มุ่งหน้าตรงดิ่งไปที่สถาณีชินจูกุ เพราะจุดเริ่มต้นของทริป ฮาโกะเนะ เริ่มต้นจากที่นี่นั่นเอง
ไปตอนเช้าแบบนี้ ได้สัมผัสบรรยากาศ Rush hour ของญี่ปุ่นแบบเต็มๆ รู้ๆกันดีอยู่ว่าช่วงเช้าก่อนไปทำงานและช่วงเย็นหลังเลิกงาน
เป็นช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางโดยรถไฟอย่างเป็นที่สุด เพราะกระแสมหาชนบรรดา Salary man และ OL
จะพาให้เราขยับเขยื้อนขึ้นรถไฟได้โดยไม่ต้องเสียแรงเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจากแถวที่ต่อขบวนรถไฟยาวเหยียด
จะสามารถเบียดยัดเข้าไปได้หมด คนที่อยู่ริมประตูคงแปลกใจว่าทำไมอยู่ดีๆฉันถึงได้ถูกดันมาอยู่ริมขอบสุดประตูอีกฝั่งได้
คนญี่ปุ่นทุกคนให้ความร่วมมือและเห็นอกเห็นใจกัน จึงสามารถทำให้ทุกคนที่อยู่ในช่วงเร่งรีบขึ้นรถไฟไปได้ทันพร้อมๆกัน
(ขอบคุณภาพจาก http://www.landor.com)
[5 ก.ย. 54 10:27:55
]
ท่ามกลางกระแสมหาชนที่วุ่นวายเหลือเกิน กว่าจะไปถึง Ticket office ได้เล่นเอาเหนื่อยพอควร
สายรถไฟที่เราจะขึ้นไปเที่ยวกันนั้นคือ Odakyu Odawara Line (小田急小田原線)
ด้วยขบวน Romance car หรือ Limited Express (特急) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 85 นาที
แต่ว่าถ้าไม่อยากเสียเงินเพิ่มก็สามารถรอขบวน Rapid express (快速急行) ก็ได้เหมือนกัน
[5 ก.ย. 54 10:28:30
]
ที่ Ticket office จะมีเจ้าหน้าที่ที่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Hakone Free Pass (箱根フリ―パス) ได้
โดยสามารถใช้พาสนี้เที่ยวฮาโกเนะได้ในราคาที่เซฟกว่าแยกจ่ายโดยมีขายสำหรับ 2 วันและ 3 วันเท่านั้น
ถึงตั้งใจจะไปเช้าเย็นกลับก็ต้องซื้อแบบ 2 วันเพราะไม่ว่าจะยังไงก็คุ้มกว่าจ่ายแยกอยู่ดี ควักกันไปคนละ 5,000 เยน
[5 ก.ย. 54 10:28:55
]
Hakone Free Pass จะรวมตั๋วรถไฟไป-กลับ ชินจูกุ-โอดาวะระ และเมื่อไปถึงแล้วสามารถใช้ตั๋วนี้ขึ้นพาหนะขนส่งต่างๆได้ฟรี
เฉพาะในฮาโกเนะซึ่งมีทั้งหมด 7 ประเภทไม่ว่าจะเป็น Hakone Tozan Train, Hakone Tozan Cablecar,
Hakona Tozan Ropeway, Hakone Sightseeing Cruise, Hakone Tozen Bus ถ้าได้นั่งกันหมดนี่ แค่นี้ก็รู้สึกคุ้มแล้ว
นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Free Pass นี้เป็นส่วนลดในการเข้าชมสถานที่ต่างๆอีกกว่า 80 แห่งได้อีกด้วย
[5 ก.ย. 54 10:29:24
]
นั่ง Romance car มาจนสุดสายที่สถาณี Hakone-Yumoto (箱根湯本)
จากคุณ : Bird Freedom
[5 ก.ย. 54 10:29:46
]
สำหรับคนที่มีเวลาสามารถแวะลงที่สถาณี Odawara (小田原) ก่อนเพื่อไปเที่ยวปราสาทโอดาวะระก่อนได้
ที่สถาณี Hakone-Yumoto นี้เราสามารถเปลี่ยนขบวนไปขึ้น Hakone Tozan Train ได้
โดยรถไฟขบวนนี้จะวิ่งตั้งแต่ Hakone-Yumoto Gora ที่เป็นเป้าหมายต่อไปของเรานั่นเอง
[5 ก.ย. 54 10:30:55
]
ให้ข้อมูลไว้หน่อยละกันสำหรับคนที่มีเวลาและอยากจะแวะชมที่ ปราสาทโอดาวะระ (小田原城)
ปราสาทแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองโอดะวะระ สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1447 ในตระกูลของ Odawara Hojo
หลังจากนั้นมาตกอยู่ในการปกครองของโชกุนโทกุกาวะ อิเอยาซึ ในสมัยเอโดะ และส่งทอดต่อตามยุคสมัยจึงได้มีการปรับปรุงเรื่อยมา
จนกระทั่งมีการบูรณะครั้งใหญ่ในปี 1960 หลังจากที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเขตคันโต
ปัจจุบันได้เปิดให้เข้าชมโดยภายในเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมโบราณวัตถุที่สำคัญมากมายในอดีต มีทั้งหมด 3 ส่วนแบ่งเป็น 5 ชั้น
และบนชั้นบนสุดสามารถขึ้นไปชมวิวสามารถมองเห็นอ่าว Sagami ได้ เสียค่าเข้าชม 400 เยน
ในบริเวณรอบๆยังมีสวนญี่ปุ่นที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามให้เดินชมกันอีกด้วย
[5 ก.ย. 54 10:31:30
]
(ขอบคุณภาพข้างบนจาก http://www.jcastle.com)
จากสถาณี Hakone-Yumoto เราแค่เดินไปฝั่งตรงข้ามก็สามารถขึ้น Hakone Tozan Train (箱根登山電車) ได้เลย
คำว่า Tozan (登山) มีความหมายว่าไต่เขา เพราะนับตั้งแต่นี้ไปเราจะทำการไต่เขากัน ด้วยความสูงที่เพิ่มขึ้นทีละนิดๆ
เช่นที่สถานี Odawara อยู่บนความสูง 26 m ส่วนที่สถาณีนี้อยู่บนความสูง 108 m
และจากนี้ด้วย Hakone Tozan Train เราจะไปที่สถาณีปลายทาง Gora ที่ความสูง 553 m กัน ตื่นเต้นๆ
[5 ก.ย. 54 10:32:28
]
Mountain Railway (Hakone Tozan Train) เริ่มต้นที่สถาณี Hakone-Yumoto มีระยะทาง 15 ก.ม.
ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีไปสุดสายที่สถาณี Gora เริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 1919 โดยการก่อสร้างเส้นทางรถไฟนี้
กระทำขึ้นโดยให้กระทบกับธรรมชาติน้อยที่สุดเนื่องจาก Hakone ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสวนสาธารณะแห่งชาติ
ผู้โดยสารสามารถเห็นวิวทิวทัศน์อันเป็นธรรมชาติที่แสนบริสุทธิ์ได้ตลอดการเดินทางบนทางรถไฟสายนี้
ตอนขาขึ้น รถไฟจะสลับเปลี่ยนทิศทางหัวขบวนทั้งหมด 3 ครั้งในการไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ
(ขอบคุณภาพจาก http://www.japan-guide.com)
[5 ก.ย. 54 10:33:20
]
โดยวิวธรรมชาติอันแสนงดงามสามารถชมได้ตลอดทั้งปีไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิที่จะได้ชมดอกซากุระ
หรือช่วงฤดูร้อนที่จะได้ชมดอกไม้ Hydrengea ส่วนในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะพบกับใบไม้
ผลัดใบเป็นสีแดงสีเหลืองสลับกันสวยงาม ส่วนในช่วงฤดูหนาวก็จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน
และที่ไม่น่าพลาคือบริเวณสะพานเหล็ก Deyama Bridge ที่อยู่บนความสูง 43 m จะเห็นธารน้ำใสที่
อยู่เบื้องล่าง รถไฟสายนี้ถือว่าเป็นรถไฟผู้น้องของ Rhatische Bahn ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ด้วย
(ขอบคุณภาพจาก http://www.superstock.com)
[5 ก.ย. 54 10:34:03
]
โดยส่วนตัวแล้วมีความชอบรถไฟสายโรแมนติกนี้เป็นพิเศษ เพราะขนาดที่เล็กคิกขุกะทัดรัด สีสันหน้าตาน่ารัก
เลยมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาขึ้นรถไฟขบวนนี้ ยิ่งครั้งนี้ได้พาเพื่อนๆมาตามรอยความชอบของเราอีก ยิ่งรู้สึกมีความสุขเข้าไปใหญ่
ภายในขบวนมีเส้นทางท่องเที่ยวทั้งหมดแบ่งเป็นสัดส่วนว่านั่งพาหนะแบบนี้จะไปได้ถึงที่ไหนบ้าง
มีระบุความสูงและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจแต่ละสถาณีให้ด้วย ด้านในเป็นที่นั่งแบบ 2 ฝั่ง มาทีไรไม่เคยได้นั่ง
เพราะนักท่องเที่ยวเยอะจริงๆ จึงต้องเน้นที่ไว้สำหรับให้ยืนมากหน่อย
[5 ก.ย. 54 10:34:34
]
คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่มาก็จะมากันเป็นครอบครัว หรือ เป็นคณะผู้สูงอายุซะมากกว่า วัยรุ่นเห็นค่อนข้างน้อย
แต่ก็น่าแปลกทั้งๆที่การมาเที่ยวที่นี่ถือว่าทรหดอยู่ไม่น้อย เพราะว่ามีสภาพเป็นภูเขาเวลาเดินก็ต้องใช้แรงเยอะ
แต่ไม่สามารถทำอะไรผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นได้ เพราะว่าแข็งแรงกันมาก เดินเป็นเดินไม่มีบ่นเหนื่อยหอบให้เห็นเลยต้องขอยกนิ้วให้
(เพราะเพื่อนเราบางคนยังบ่นแทบทุกครั้งที่เห็นทางลาดทางชัน)
[5 ก.ย. 54 10:34:57
]
กว่า 40 นาทีบนรถไฟพวกเราชมวิวตลอด 2 ข้างทางกันอย่างเพลิดเพลิน ยิ่งสูงยิ่งสวย
ขึ้นมาแล้วทำให้เห็นว่าต้นไม้เยอะมากมองไปทางไหนมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาแห่งนี้ถึงมีความเป็นธรรมชาติแสนบริสุทธิ์และสวยงามขนาดนี้
[5 ก.ย. 54 10:36:15
]
เผลอแป้บเดียวเราก็มาถึงสถาณีปลายทาง Gora 強羅駅
มาถึงตอนเที่ยงพอดี แวะนอกสถาณีหาอะไรหม่ำก่อนดีกว่า
ที่สถาณีนี้มีสถาณที่ท่องเที่ยว ที่สำคัญเข้าฟรีด้วยนั่นก็คือ สวนสาธารณะโกระ นั่นเอง
[5 ก.ย. 54 10:36:36
]
จากทางออกสถานีจะเห็นร้านค้ามากมายให้เดินตรงขึ้นมาก่อนและสังเกตทางด้านซ้ายมือจะพบกับทางแยก
พร้อมป้ายขนาดใหญ่สีน้ำตาล มองไปเห็นเป็นทางชันที่จะต้องขึ้นไปข้างบนสุด แสดงว่า งานนี้ต้องมีไต่เขาเรียกเหงื่อกันหน่อยแล้วล่ะ
[5 ก.ย. 54 10:37:06
]
หันไปด้านหลังจะเป็นภูเขา Myojogatake 明星ヶ岳山 และบนนั้นถ้ามองดีๆจะเห็นว่ามีการตัดแต่งให้เป็นรูป 大
ที่มีความหมายว่า ใหญ่ ถ้ามาช่วงหน้าร้อนประมาณเดือนสิงหาคมจะมีการจุดไฟรอบตัวอักษรนี้
ในเทศกาลเก่าแก่ของชาวญี่ปุ่นโอบ้ง お盆祭り เรียกว่า Daimonjiyaki Bonfire 大文字焼き
[5 ก.ย. 54 10:38:03
]
ตรงบริเวณทางขึ้นจะมีสถาณที่ให้บริการเฉพาะบ่อแช่น้ำร้อนตามธรรมชาติหรือ องเซ็น เท่านั้น
แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ทั้งหมดเพราะมีหลายแห่งที่ให้บริการพร้อมที่พักด้วย
[5 ก.ย. 54 10:39:15
]
ที่ฮาโกเนะก็ถือว่ามีชื่อเสียงในด้านของน้ำพุร้อน Onsen มากๆด้วย
ดังนั้นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ตั้งใจจะมาพักสไตล์เรียวกัง 旅館 พร้อมทั้งแช่น้ำพุร้อนให้สบายอารมณ์
[5 ก.ย. 54 10:39:53
]
Hakone Gora Park 箱根強羅公園 เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา
ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ในมุมโปร่งของฮาโกเนะซ้ำยังตกแต่งสุดหรูด้วยสไตล์ฝรั่งเศสจึงทำให้สถานที่แห่งนี้มีเสน่ห์ให้อารมณ์ไม่เหมือนที่ไหน
[5 ก.ย. 54 10:41:18
]
เหมาะสำหรับเดินผ่อนคลายอารมณ์พร้อมกับอากาศที่แสนจะบริสุทธิ์ (อากาศดีมาก ประทับใจก็ตรงนี้แหละ)
เนื่องจากเป็นเนินเขา ด้านในจึงค่อนข้างสลับซับซ้อนมีหลายขั้นต้องขึ้นบันไดกันหลายช่วงหน่อยแต่ก็ทำให้ดูคล้ายกับเขาวงกตดี
[5 ก.ย. 54 10:43:31
]
บริเวณโซนกลางจะมีลานน้ำพุขนาดใหญ่ด้านในมีเรือนกระจก (Greenhouse) อยู่ 2 หลัง เรือนแรกเป็นพืชเขตร้อน
ส่วนอีกเรือนเป็นดอกไม้นานาพันธุ์ถ้าใครมีเวลาชิลล์ๆ ลองนั่งจิบชาที่ร้าน Hakuun-do Chaen Teahouse ได้
[5 ก.ย. 54 10:44:21
]
หลังจากนั้นถ้าเดินเข้าไปด้านในจะเป็น Rose Garden ローズガ―デン ที่มีพันธุ์กุหลาบกว่า 140 ชนิดและมีมากกว่า 1,000 ต้น
แต่น่าเสียดายช่วงที่ไปดอกไม้ก็เหลือแต่กิ่งก้านแล้ว แต่ก็ยังมีบางต้นที่ยังมีดอกกุหลาบที่สามารถบานให้ได้ยลโฉมอยู่บ้าง
[5 ก.ย. 54 10:45:33
]
โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือช่วงเดือน 6 และ ช่วงเดือน 10-11
ถ้าได้มาช่วงนี้ดอกกุหลาบคงแข่งกันบานท่าทางจะสวยงามน่าดู
[5 ก.ย. 54 10:45:50
]
โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือช่วงเดือน 6 และ ช่วงเดือน 10-11
ถ้าได้มาช่วงนี้ดอกกุหลาบคงแข่งกันบานท่าทางจะสวยงามน่าดู
[5 ก.ย. 54 10:46:06
]
ส่วนบริเวณอื่นทั่วทั้งสวนก็จะมีดอกไม้นานาพันธ์สลับกันบานต่างช่วงเวลากันไป สามารถชมพันธุ์ไม้ได้ตลอดทั้งปี
ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.hakone-tozan.co.jp/gorapark/index.html
[5 ก.ย. 54 10:46:45
]
และที่นี่ยังมีให้บริการงานปั้นงานฝีมือด้วย ถ้าใครสนใจอยากมีงานฝีมือเป็นของตัวเอง
สามารถแวะลองทำได้ที่ Crafthouse クラフトハウス โดยเสียค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 1,000 เยน
ใช้เวลาตั้งแต่ 30 นาที~1 ช.ม. ขึ้น อยู่กับแบบที่เลือก ลองดูข้อมูลได้ที่นี่ http://www.crafthouse.org/
[5 ก.ย. 54 10:47:49
]
หลังจากเดินเที่ยวเรียกเหงื่อและปล่อยให้ท้องหิวมาสักพักแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะฝากท้องไว้ที่แถวนี้ซะหน่อย
ย่านนี้จากที่มองๆดูแล้ว มีร้านอาหารค่อนข้างน้อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย เราบังเอิญไปสะดุดตากับร้านๆหนึ่งตั้งแต่ตอนขาขึ้นเนิน
ถ้าไม่ดูป้ายก็คงไม่รู้ว่าร้านนี้ขายอะไร เพราะหน้าร้านเป็นประตูไม้แบบเลื่อนติดกระจกบานเล็กๆไม่มีรูปหรืออาหารตัวอย่างโชว์
มีเพียงป้ายและธงสีขาวที่ปักไว้ด้านหน้าบ้านทรงญี่ปุ่นสไตล์โบราณสุดแสนคลาสสิคนั้นเขียนไว้ว่า とんかつ 里久
อ่านว่า Tonkatsu Rikyu จึงได้รู้ว่าร้านนี้เป็นขายหมูทอด Tonkatsu อาหารสุดโปรดของเรานั่นเอง
[5 ก.ย. 54 10:48:31
]
ความรู้สึกบอกว่าร้านสไตล์นี้จะต้องมีความโดดเด่นไม่เหมือนที่ไหนในเรื่องของรสชาดและวัตถุดิบแน่ๆ
เมื่อเข้าไปในร้านก็จะพบกับคุณลุงเจ้าของร้าน ต้อนรับเราด้วยโทนเสียงนุ่มๆนิ่งๆว่า Irasshaimase いらっしゃいませ
และเชิญพวกเรา 3 คนนั่งที่หน้าเคานเตอร์ ด้านในที่นั่งค่อนข้างน้อยมีเฉพาะบริเวณเคานเตอร์เท่านั้น
เพื่อที่ว่าลูกค้าทุกคนที่เข้ามาจะได้เห็นกรรมวิธีในการทำตั้งแต่เริ่มแรกกันเลยทีเดียว
[5 ก.ย. 54 10:49:07
]
เมนูที่แปะไส้ที่ข้างขวาเขียนเฉพาะภาษาญี่ปุ่นเพียวๆ และมีราคาที่เขียนเป็นตัวคันจิกำกับไว้เท่านั้น
เริ่มอ่านทีละเมนูให้เพื่อนฟังพร้อมกับราคา ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ แล้วกระซิบบอกเพื่อนๆว่า
เห้ย ชั้นขอโทษว่ะ พาแกเข้ามาร้านนี้ก่อนที่จะดูดีๆ ท่าทางของเค้าจะดีจริงว่ะ เพราะตั้งราคาสูงลิบลิ่วมาก
พูดไปพลางกลัวเพื่อนหนีออกจากร้านเหมือนกัน เพราะว่า ไม่ได้ตั้งใจจะมากินแพงขนาดนี้ สรุปแล้วพวกเรามีความเห็นตรงกันว่า
เอาเถอะ ไหนๆก็เข้ามาแล้ว ก็ของเค้าดีจริง จ่ายแพงแค่ไหนก็ยอมวะ สักครั้งในชีวิต และนั่นถือเป็นการตัดสินใจที่เฉียบแหลมมาก
[5 ก.ย. 54 10:49:54
]
พวกเราสั่งเมนูเดียวกันนั่นคือ Rosu-katsu Set ロースかつ定食 สนนราคาเพียง 2,400 เยน
ด้วยความที่รู้ว่าจะต้องเป็นของดีที่ไม่เหมือนที่ไหนและหากินได้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น เราจึงไม่เสียดายและเลิกสนใจเรื่องราคาไปเลย
พอเราออเดอร์เสร็จปุ้บคุณลุงและคุณป้าผู้ช่วยอีกสองคนจึงเริ่มปฏิบัติการนำวัตถุดิบต่างนานาออกมา
และเริ่มทำให้เราเห็นตั้งแต่ขั้นตอนแรกให้เห็นกันจะจะ ระหว่างที่พวกเรานั่งรอ ก็มีลูกค้าเปิดประตูเข้ามาเรื่อยๆทำท่าทางสนใจจะกิน
แต่สักพักหลังจากอ่านเมนูแล้วก็ลุกออกจากร้านไปเลย สงสัยจะสู้ราคาไม่ไหวกระมัง
[5 ก.ย. 54 10:50:25
]
คุณลุงก็ทำหน้าเฉยๆมากเหมือนกับว่าวันๆนึงคงเจอลูกค้าเข้ามานั่งแล้วก็ลุกออกจากร้านบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ
ทำให้เรามองเห็นว่า ถ้าเป็นคนอื่นคงอาจจะเสียเซลฟ์ หรือ ต้องปรับตัวปรับราคาให้ถูกลง เพื่อที่จะได้มีลูกค้ามากขึ้น
แต่สำหรับคุณลุงคงไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะด้วยความภูมิใจในสูตรและวัตถุดิบ จึงได้มั่นใจว่าราคานี้ึเป็นราคาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
(ขอบคุณภาพจาก http://www.rikyu.info)
[5 ก.ย. 54 10:52:56
]
พูดกันมาตั้งนานว่าวัตถุดิบดีอย่างนั้นของไม่เหมือนใครอย่างนี้ ถึงขนาดเชียร์ออกนอกหน้านอกตา
ยังไงก็คงต้องขอพูดสักหน่อยว่าของๆคุณลุงเค้ามีที่มาและดียังไง วัตถุดิบหลักที่ว่านี้คือ เนื้อหมู ที่ถือว่าเป็นจุดเด่นจุดขายของร้านนี้
และไม่เหมือนใครที่ไหนตรงที่เป็น หมูดำ 黒豚 ที่เลือกคัดสรรมาอย่างดีจากเกาะในแถบคิวชู Kagoshima 鹿児島
กรรมวิธีในการทำแต่ละขั้นตอนก็ละเมียดละไม เริ่มจากขั้นตอนแรกคือนำเนื้อหมูสดๆออกจากตู้เย็นที่หั่นเตรียมเอาไว้แล้วอย่างดี
เนื้อหมูชิ้นค่อนข้างใหญ่ คิดว่าคงนำมาหั่นครึ่งเพื่อสำหรับเสิร์ฟได้ 2 ที่ แต่ผิดคาดทั้งชิ้นนั้นแหละคือของคนๆเดียวกินเลย
(ขอบคุณภาพจาก http://www.rikyu.info)
[5 ก.ย. 54 10:53:30
]
เนื้อที่คุณลุงนำออกมาคือเนื้อสันที่มีน้ำหนักประมาณ 220g หลังจากนั้นนำชิ้นเนื้อไปคลุกแป้งสาลีให้ทั่วทั้งชิ้น
และนำไปคลุกกับชามที่ตอกไข่ไก่เอาไว้ให้ทั่วทั้งชิ้นก่อนนำลงไปคลุกกับเกล็ดขนมปังกรอบที่ทำเองกับมือ
ก่อนตบด้วยมือเบาๆเพื่อให้เกล็ดขนมปังเกาะเนื้ออย่างได้สัดส่วนและนำไปทอดลกระทะที่มีน้ำมันเดือดๆร้อนๆรออยู่
ความอร่อยถือว่าอยู่ตรงที่จังหวะการทอดนี้แหละ คุณลุงบอกว่าต้องให้เนื้อด้านในสุกพอดีและให้ด้านนอกเป็นสีเหลืองทองอร่าม
ต้องทอดในปริมาณน้ำมันที่พอเหมาะและในเวลาที่พอดี จึงจะได้ Rosu-katsu ในรสชาดที่สุดยอดออกมา
[5 ก.ย. 54 10:54:00
]
หลังจากทอดเสร็จแล้วก็พักสะเด็ดน้ำมันไว้ครู่หนึ่งก่อนนำมาวางลงบนจานที่จัดเตรียมไว้
พร้อมกะหล่ำปลีซอยละเอียดกองโต หน้าตาดูน่าทานที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยก็ว่าได้ เราจึงเริ่มบรรเลงคำแรกพร้อมกับซอสสูตรพิเศษ
ที่เข้ากับเนื้อหมูดำชุบแป้งทอดกรอบได้อย่างดี ไร้ที่ติ มื้อนี้ช่างแสนอร่อย มีความสุขจริงๆ
สำหรับใครที่อยากทำความรู้จักกับร้านนี้ก่อน เข้ามาดูรายละเอียดได้ที่นี่ http://www.rikyu.info
อย่าลืมไปทานกันให้ได้นะ ร้านนี้ Recommend おススメで〜す
[5 ก.ย. 54 10:54:25
]
ระหว่างทางที่ขึ้นมาสถาณีโกระนั้นยังมีสถานที่เที่ยวน่าสนใจอีก 1 แห่ง นั่นคือ
Hakone Open-air Museum 箱根彫刻の森美術館
ตั้งอยู่บริเวณของสวน Fuji Hakone Izu National Park 富士箱根伊豆国立公園 เปิดให้บริการในปี 1969
เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะกลางแจ้งแห่งแรกของญี่ปุ่นที่รวบรวมและจัดแสดงผลงานทั้งภาพวาดและรูปปั้นกลางแจ้ง
ของศิลปินชื่อดังระดับมาสเตอร์พีซจากทั่วโลกมากมายไม่ว่าจะเป็น Henry Moore, Rodin, Bourdelle, Miro, Vangi,
Taro Okamoto บนเนื้อที่กว่า 70,000 ตารางเมตร และเพิ่งฉลองครบรอบ 42 ปีไปเมื่อ 1 ส.ค. 2011 ที่ผ่านมานี้เอง
(ขอบคุณภาพจาก http://www.traveljapanblog.com)
[5 ก.ย. 54 10:55:12
]
บริเวณด้านในมี Exhibition hall รวมทั้งหมด 5 ฮอลล์ซึ่งรวมพื้นที่จัดแสดงพิเศษเฉพาะผลงานของ Picasso กว่า 300 ชิ้น
ที่ Picasso Pavillion ピカソ館 และผลงานศิลป์ประติมากรรมกลางแจ้งด้านนอกมีจัดแสดงมากกว่า 120 ชิ้น
ด้วยการจัดวางที่จะทำให้เราเพลิดเพลินและเด็กๆก็สามารถสนุกได้ด้วย ส่วนที่แปลกไม่เหมือนใครคือมีโซนสำหรับอาบน้ำเท้า
Footbath Spa หรือเรียกว่า Hot Foot ほっとふっと ในแบบพิเศษสุดๆด้วยน้ำพุร้อนธรรมชาติจากขุนเขา
(ขอบคุณภาพจาก http://www.flickr.com)
[5 ก.ย. 54 10:55:51
]
วิธีการเดินทางมานั้นก็ง่ายนิดเดียว นั่งรถไฟสายโรแมนติก Hakone Tozan Train มาลงที่สถาณี Choukoku no mori 彫刻の森
ก่อนถึงสถาณีโกระเพียงสถาณีเดียว และเดินต่อเพียง 1 นาที ก็ถึงแล้ว การมาที่นี่นอกจากจะได้ความรู้แล้วยังได้คุณค่าทั้งทางสายตา
และจิตใจอย่างล้นเหลือและที่สำคัญการได้สัมผัสผลงานศิลป์ของศิลปินท่ามกลางธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์นี้ช่างสุนทรีย์เกินบรรยาย
เสียค่าเข้าชมคนละ 1,600 เยน
(ขอบคุณภาพจาก http://www.japan-i.jp)
[5 ก.ย. 54 10:57:46
]
กลับมาที่สถาณีโกระกันต่อ อย่างที่บอกไปแล้วว่า Hakone Tozan Train มาสุดทางที่สถาณีนี้
และถ้าจะขึ้นไปต่อ ก็ต้องเปลี่ยนขบวนซึ่งคราวนี้เราจะนั่ง Hakone Tozan Cable Car 箱根登山ケーブルカ― กัน
โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆทั้งสิ้นเพราะว่าเรามี Hakone Free Pass แล้ว
โดยเป้าหมายของเรารอบนี้คือลงสุดป้ายที่สถาณี Sounzan 早雲山駅
[5 ก.ย. 54 10:58:25
]
Hakona Tozan Cablecar เริ่มต้นที่สถาณี Gora และสุดสายที่สถาณี Sounzan
โดยจะวิ่งขึ้นเป็นเส้นตรงมีระยะทาง 1.2 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 9 นาที ได้รับการออกแบบและสร้างโดยฝีมือชาวสวิส
ด้วยสไตล์ที่เป็นกระจกขนาดใหญ่รอบด้านเอื้ออำนวยให้ผู้โดยสารได้เห็นวิวทิวทัศน์รอบทิศทางตลอด 4 ฤดู
ความแตกต่างของระดับความสูงระหว่าง 2 สถาณีนี้อยู่ที่ 214 เมตร เริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 1922
ส่วนเคเบิลคาร์สุดเท่สีแดงดำขบวนนี้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อมีนาคม 1995 และจุผู้โดยสารได้มากถึง 250 คน
สามารถมองเห็นภูเขา Kami และ เขา Myojogatake ที่มีสัญลักษณ์ 大 และมีทั้งหมด 4 สถาณี
สามารถไปยังสถาณที่ท่องเที่ยวอื่นๆได้อีก เช่น Gora Park, Museum of Art, Hakone Sounzan Museum
(ขอบคุณภาพจาก http://www.superstock.com)
[5 ก.ย. 54 10:59:00
]
แอบบอกนิดว่า จริงๆแล้วถ้าใครที่อยากจะไป Gora Park แต่ไม่อยากจะเดินขึ้นเนินเขาให้เหนื่อยสามารถนั่ง Cable Car
แวะลงที่สถาณี Koen-shimo (公園下駅) และเดินต่ออีกประมาณ 2-3 นาทีก็ถึง
แต่ก็จะไม่ได้เดินผ่านร้าน Tonkatsu Rikyu นะ (ถ้าอยากกินก็ต้องเดินย้อนลงมาอีกอยู่ดี วิธีแรกดีกว่าๆ)
ส่วนตอนหน้าจะพาไปชิมไข่ดำกันครับ
[5 ก.ย. 54 11:01:09
]
เห็นแล้วคิดถึงจัง ถ่ายรูปสวยดีครับ บรรยายก็ดี
จากคุณ : [~AlphaBeta~]
[5 ก.ย. 54 11:15:17
]
มารอจองคิวล่องเรือที่ทะเลสาบด้วยคนครับ....
จากคุณ : LVP@HEART
[5 ก.ย. 54 11:44:50
]
ตามมาเที่ยวฮาโกเนะด้วยคนค่ะ
เกือบเที่ยงละ เปิดมาเจอทงคัตสึหมูดำแล้ว "หิววววววว..น่าหม่ำมาก"
ขอถามนิดนึงนะคะ
.. rush hour ตอนเช้าของคนโตเกียวเนี่ย กี่โมงถึงกี่โมงคะ..
[5 ก.ย. 54 11:57:01
]
ขอบคุณ คุณ[~AlphaBeta~] และ คุณ LVP@HEART ครับ
ตอบคุณ ฮิโนเดะ Rush Hour ของคนโตเกียวนี่ เริ่มประมาณ 7 โมงครึ่ง
ถ้าให้พีคสุดๆน่าจะเป็นช่วง 8-9 โมงเช้า เพราะตอนนั้นไปเรียนขึ้นรถไฟขบวนเช้าตลอด
โดนเบียดเป็นปลากระป๋องทุกที ส่วนตอนเย็นก็หลังเลิกงานแต่จะไม่แน่นเท่าช่วงเช้าครับ
[5 ก.ย. 54 12:51:57
]
รอไปเที่ยวต่อนะค่ะ กำลังจะไปเส้นทางนี้อยู่เลยค่ะ
บัตร Hakone Free Pass รวม bus ที่จะไป gotemba ด้วยไหมค่ะ
[5 ก.ย. 54 12:59:17
]
เป็นรีวิวฮาโกเนะที่น่าสนใจมาก มีอะไรให้อ่านหลายเรื่องเลยทีเดียว จขกท.ก็น่ารัก ^^
จากคุณ : ลอร่า อิงกัลส์ ~*
[5 ก.ย. 54 13:25:02
]
ขอบคุณที่พาเที่ยวค่ะ
รอชิมไข่ดำด้วยค่ะ
[5 ก.ย. 54 13:27:52
]
เห็นรีวิวแล้วอยากกินทงคัตซึจังครับ
จากคุณ : tottui
[5 ก.ย. 54 14:16:28
]
ไปช่วงไหนคะ อากาศช่วงกันยาที่ฮาโกเน่เป็นไงบ้าง เริ่มเห็นใบไม้แดงๆรึยัง ^^
ว่าจะไปมั่งอ่ะ เหมือนอากาศจะเย็นๆ
[5 ก.ย. 54 14:44:45
]
- ตอบคุณ aor-naja
Hakone Free Pass ครอบคลุมถึง Gotemba Outlet ครับ สามารถนั่ง Tozan bus ได้ และจะนั่งจากสถานีโกะระก็สามารถทำได้เหมือนกัน แต่ตอนกลับจะไม่สามารถนั่งรถบัสที่วิ่งตรงจาก Gotemba-Tokyo ได้ จะต้องใช้บริการของ Odakyu โดยต้องผ่านสถานี Yumoto หรือ Odawara ครับ
- ตอบคุณ ลอร่า อิงกัลส์ ~*
ชมออกสื่อเลย ขอบคุณครับ ^^
- ตอบคุณ แป๋วแว๋ว
เดี๋ยวตอนหน้าพาไปชิมแน่นอน
- ตอบคุณ tottui
คนโพสยังหิวเลยครับ
- ตอบคุณ ทำไมต้องล็อกอิน
ไปช่วงหน้าหนาวครับ อากาศเย็น ถ้าไปช่วงกันยาคิดว่าใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสีนะครับ
[5 ก.ย. 54 15:06:24
]
เห็นแล้วอยากไปนั่งรถไฟเส้นนี้ชมวิวสวยงามแบบนี้บ้างจังเลยครับ
จากคุณ : Destiny-Boy
[5 ก.ย. 54 17:12:49
]
น่ากินมากกกกกกกกก
หมูดำทอดนะครับ น่ากิน ^^
[5 ก.ย. 54 19:25:30
]
ขอบคุณสำหรับรีวิวรูปสวยๆพร้อมรายละเอียดค่ะ
[5 ก.ย. 54 19:35:37
]
ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ
จากคุณ : เล็กทาโร่
[5 ก.ย. 54 22:35:15
]
ทงคัตสึน่ากินมากกก ถึงแม้ราคาจะแพง แต่เมื่อเห็นกรรมวิธีและส่วนประกอบที่ใช้หมูดำแล้ว ถือว่าน่าลองมากๆครับ
จากคุณ : Coffee Blended
[6 ก.ย. 54 00:57:09
]
เข้ามาเห็นข้าวหมูทอด ทำเอาหิวเลยค่ะ อิอิ
จากคุณ : KenTakU
[6 ก.ย. 54 18:16:41
]
หมูดำขายดี อิอิ
ป.ล. ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ
[7 ก.ย. 54 13:54:05
]
... อาหารน่าทานจังค่ะ ...
จากคุณ : kungtalay
[8 ก.ย. 54 11:52:08
]
ข้อมูลละเอียดมากครับ ไม่มีอะไรตอบแทน ให้กีฟละกัน ขอบคุณมากครับ
จากคุณ : Rachkhun
[17 พ.ย. 54 17:04:12
]
รถไฟน่านั่งมากค่ะ แค่ชื่อก็ยิ้มแล้ว โรแมนซ์คาร์ ขอตามไปเที่ยวต่อนะคะ
จากคุณ : annie_popei
[23 พ.ย. 54 10:46:20
]
ถ้าใช้บัตร Hakone free pass สามารถขึ้นสถานีอื่นได้ไหมค่ะ ถ้าพักแถวๆที่ Kawasaki station ค่ะ ควรไปขึ้นที่ไหนดี แล้วบัตรสามารถซื้อที่ไหนได้บ้างค่ะ
จากคุณ : Linna [1 ธ.ค. 55 19:48:21 ]A:101.109.176.255 X: TicketID:383904