“เที่ยวเอง” อยากแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวด้วยตัวเองแบบไม่ง้อทัวร์ ขอเล่าเรื่องราวหลากหลายแง่มุมของทริปตะลุยสแกนดิเนเวียคนเดียว ทริปนี้เป็นทริปใหญ่ที่วางแผนได้ยากมาก เรียกว่ากว่าจะวางแผนได้ลงตัวต้องเตรียมตัวกันเป็นเดือนๆ ทีเดียว สุดท้ายก็สำเร็จเป็นแพลน 8 วัน 6 คืน คือ Bangkok-Helsinki-Tallinn-Stockholm-Oslo-Bergen-Myrdal-Flåm-Oslo-Bangkok
ตอนที่ 2 จะพาไปเที่ยว Estonia กันนะครับ
สำหรับใครที่ใครอยากอัพเดทสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ เข้า FB แล้ว search “เที่ยวเอง” เจอเลย กดไลค์ได้เลยครับ ^^
ลืมแนะนำกระทู้ที่แล้วครับ ที่ไป Helsinki มาก่อน เดี๋ยวไม่ต่อเนื่องครับ
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11058987/E11058987.html
วันที่ 2
วันนี้จะเดินเที่ยวชมกรุงทัลลินน์ เมืองหลวงของประเทศเอสโตเนียจนถึงประมาณ 4 โมงเย็น
เริ่มต้นด้วยการเดินไปทางทิศใต้ของเมือง สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่ใกล้ที่สุดคือ Eesti Meremuuseum เป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเลแห่งเอสโตเนีย ลักษณะคล้ายป้อมอิฐทรงกลมขนาดใหญ่ เดินอ้อมไปด้านหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์ลอดซุ้มประตูโค้งไปก็เข้าสู่เขตเมืองเก่าของทัลลินน์แล้ว
เดินตามถนนหินขรุขระผ่านซอกซอยแคบๆ ที่อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูเก่าแก่คลาสสิกมากจนเห็นแนวกำแพงเมืองและปราการโบราณที่เรียกว่า Eppingi Torni เป็นกำแพงเมืองฝั่งตะวันตก
จากคุณ : Kongsvingerเดินไปที่ถนน Lai ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Oleviste kirik หรือ St. Olav's Church โบสถ์เก่าแก่ที่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เป็นโบสถ์สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของทัลลินน์มียอดสูงถึง 159 เมตร ซึ่งสูงที่สุดในโลกในระหว่างปีค.ศ. 1549-1625 โดดเด่นมากสามารถมองเห็นได้จากระยะไกลเป็นกิโล
จากคุณ : Kongsvingerแหงนคอถ่ายรูปเสร็จก็เดินเที่ยวต่อในเขต Vanalinn หรือเมืองเก่าของทัลลินน์ซึ่งมีสถานที่น่าสนใจอื่นอีกมาก เดินตามถนน Lai ไปทางทิศใต้ของเมืองผ่านซอกซอยแคบๆ ที่มีตึกรามบ้านช่องเก่าแก่ไปจนถึงถนน Nunne เลี้ยวซ้ายจะเจอห้าแยกมีป้ายบอกทางไป Raekoja plats ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Pikk เดินอีกนิดก็เลี้ยวขวาเข้าถนน Kinga ก็มาถึงที่ Raekoja plats (Town Hall Square) คือจัตุรัสกลางเมืองซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางการค้าขายที่เต็มไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายซื้อของและนั่งรับประทานอาหาร รวมถึงนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาเยี่ยมชมสถานที่นี้ จัตุรัสเมืองเก่านี้ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO เมื่อปีค.ศ. 1997
จากคุณ : Kongsvingerบริเวณจัตุรัสเต็มไปด้วยอาคารเก่าสไตล์อาร์ตนูโวและโกธิค มี Tallinna raekoda (Tallinn Town Hall) ศาลาว่าการเมืองที่สร้างในสไตล์โกธิคตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ที่ยอดมีรูปปั้นทหารน่ารักๆ ชื่อว่า Vana Toomas และมีสัญลักษณ์มังกรสีเขียวสวมมงกุฎประดับอยู่เหนือกำแพงโดยเชื่อกันว่าเป็นมังกรผู้ปกป้องคุ้มครองเมือง
จากคุณ : Kongsvingerทางทิศเหนือของจัตุรัสตรงกันข้ามกับศาลาว่าการเมืองมี Raeapteek (Town Hall Pharmacy) เป็นร้านขายยาที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปที่ยังคงเปิดทำการอยู่ เปิดขายยามาตั้งแต่ปีค.ศ. 1422 เชียวนะ ผมเดินเข้าดูภายในรู้สึกเหมือนบันไดจะผุยังไงไม่รู้ ก็ตึกมันเก่าขนาดนั้น
จากคุณ : Kongsvingerเดินลอดประตูโค้งข้าง Raeapteek ไปที่ Eesti Ajaloomuuseum เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติเอสโตเนีย หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า Great Guild Hall (Suurgildi Hoone)
จากคุณ : Kongsvingerเดินกลับเข้ามาที่จัตุรัสอีกครั้งและเดินไปทางทิศใต้ที่มุมของจัตุรัสเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Raekoja พอเลี้ยวเข้าถนนนี้ก็รู้สึกได้ถึงความคึกคักของผู้คน ถนนนี้มีร้านขายของ ร้านอาหาร และที่เตะตามากที่สุดคือรถเข็นขายถั่วคั่วหรืออบหลากรสที่คนขายแต่งตัวด้วยชุดพื้นเมือง เป็นจุดเรียกลูกค้าของร้านอาหาร Olde hansa ลองชิมดูหน่อย แต่ไม่ได้ซื้อหรอกครับ
จากคุณ : Kongsvingerขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับพนักงานของร้านที่ใส่ชุดพื้นเมืองเอสโตเนีย
จากคุณ : Kongsvingerที่มุมถนน Vana turg มีป้ายบอกทางไป Viru värav (Viru Gate)
จากคุณ : KongsvingerViru värav (Viru Gate) คือประตูเมืองเก่าที่มีกำแพงเมืองและหอคอยโบราณอยู่สองข้าง ที่หน้าประตูมีงานหินแกะสลักรูป The Kiss บริเวณนี้ถูกเรียกว่า “เนินแห่งความรัก Kiss” เพราะในอดีตเมื่อมีการเดินทางระหว่างเมือง ชาวเมืองจะมาส่งและจูบลากันที่นี่
จากคุณ : Kongsvingerระหว่างทางของถนน Viru มีถนนทางซ้ายมือชื่อ Müürivahe เป็นถนนเลียบกำแพงเมืองเก่าซึ่งถูกรักษาไว้ตามแบบดั้งเดิม เป็นแหล่งขายของราคาถูกพวกเสื้อผ้าตามแนวกำแพงเมืองเลยทีเดียว
จากคุณ : Kongsvingerเดินย้อนกลับไปทางเดิมและเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Vana turg เลี้ยวขวาเข้าถนน Kuninga ผ่านสี่แยกแรกก็จะเห็น Tourist Information จากนั้นก็เดินไป Niguliste kirik (St. Nicholas's Church) โบสถ์แห่งนี้ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Eesti Kunstimuuseum ไปเสียแล้ว
จากคุณ : Kongsvingerเดินผ่านโบสถ์ไปจะเจอทางขึ้นเนินเขาที่ถนน Lühike Jalg แล้วเดินขึ้นบันไดประมาณ 50 ขั้น
จากคุณ : Kongsvingerลอดประตูโค้งไปก็เป็นบริเวณที่เรียกว่า Taani kuninga aed หรือ Danish King's Garden เป็นสวนเล็กๆ ร่มรื่น มีที่ให้นั่งพักเหนื่อยและมุมถ่ายรูปน่ารักๆ
จากคุณ : Kongsvingerเดินผ่านทางเข้าไปก็จะเห็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่นั่นคือ Aleksander Nevski katedraal (Alexander Nevsky Cathedral) โบสถ์สำคัญในแบบรัสเซียนออร์โธด็อกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในทัลลินน์ตั้งอยู่บนเนินเขา Toompea ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Raekoja plats โบสถ์หลังนี้สร้างขึ้นโดยคำบัญชาของพระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 ออกแบบและก่อสร้างโดย Mikhail Preobrazhensky ช่างหลวงจากเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์กโดยใช้ศิลปะแบบรัสเซียในระหว่างปีค.ศ. 1894-1900 ซึ่งในขณะนั้นเอสโตเนียยังตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิรัสเซีย ด้านบนของโบสถ์มีหอระฆังใหญ่ที่มีระฆังอยู่ 11 ใบ รวมทั้งระฆังใบใหญ่ที่สุดในทัลลินน์ซึ่งมีน้ำหนักถึง 15 ตัน
จากคุณ : Kongsvingerตรงข้ามกับ Aleksander Nevski katedraal คือ Toompea loss (Toompea Castle) อาคารรัฐสภาของเอสโตเนียสร้างอยู่บนป้อมปราการเก่าซึ่งเคยเป็นฐานบัญชาการของกองกำลังต่างชาติในช่วงที่ผลัดกันเป็นเจ้าผู้ปกครองแผ่นดินเอสโตเนีย อาคารด้านหน้าเป็นอาคารศิลปะแบบบาร็อกสีชมพูพาสเทลสดใสดูไม่เหมือนเป็นหน่วยงานราชการ แต่ไม่สามารถเข้าไปชมอาคารอีกชั้นที่อยู่ด้านในได้
จากคุณ : Kongsvingerทำได้เพียงเดินไปที่สวนด้านข้างของรัฐสภาซึ่งอยู่ทางซ้ายมือของผม จากตรงนี้จะมองเห็น Pikk Hermann หรือ Tall Hermann’s Tower เป็นหอคอยที่มีธงชาติเอสโตเนียปลิวไสวอยู่บนยอด
จากคุณ : Kongsvingerเดินต่อตามถนน Toom-Kooli จะเห็นโบสถ์ Toomkirik (Cathedral of Saint Mary the Virgin) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม Dome Church เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของเอสโตเนียสร้างโดยสถาปนิกชาวเดนส์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ภายในมีสุสานหินอ่อนของชู้รักพระนางแคทเธอรีนที่ 2 แห่งรัสเซียซึ่งแกะสลักไว้อย่างงดงาม ที่พื้นหน้าประตูทางเข้าโบสถ์เป็นที่ตั้งของสุสาน Otto Johann Thuve ที่ได้ชื่อว่าเป็นดอนฮวนแห่งเอสโตเนียที่เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่เป็นคนมากรักเจ้าชู้กับผู้หญิงมากมาย ภายหลังได้สำนึกผิดก่อนเสียชีวิตจึงสั่งให้คนนำร่างของเขามาฝังไว้ที่หน้าโบสถ์เพื่อให้คนเหยียบย่ำเป็นการไถ่บาปและจะสมหวังในเรื่องความรัก
จากคุณ : Kongsvingerเดินไปที่จุดชมวิว Patkuli Vaateplatvorm ซึ่งสามารถมองเห็น Toompark และทิวทัศน์ของกรุงทัลลินน์ได้อย่างทั่วถึง แม้แต่ยอดโบสถ์ Oleviste kirik ก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
จากคุณ : Kongsvingerตามไปเที่ยวด้วยคนนะครับ
จากคุณ : tonhokได้เวลากลับ Raekoja plats แล้ว ลองเดินอีกทางหนึ่งดู ผมใช้เส้นทางถนน Piiskopi แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Pikk Jalg เดินลงตามทางลาดเอียงไม่ชันมากไม่นานก็ถึงบริเวณที่คุ้นตาคือห้าแยกตรงถนน Nunne ที่ผ่านมาแล้วเมื่อเช้า คราวนี้ลองเดินเข้าถนน Voorimehe ไปยัง Raekoja plats จัตุรัสกลางเมืองเพื่อหาร้านอาหารเอสโตเนี่ยนแท้ๆ รับประทานเป็นมื้อกลางวัน
ตอนนั้นบ่ายโมงพอดีผมเลือกเข้าร้าน Von Krahli Aed แถวๆ รอบนอก Raekoja plats ร้านตกแต่งแบบคลาสสิกดูขลังๆ เก่าๆ นิดนึง แต่ก็แปลกตาดี สั่ง Spelta pasta kanaga เป็นอาหารเอสโตเนี่ยนฟิวชั่นมาลองชิมดู เป็นพาสต้าไก่+เห็ด เสิร์ฟพร้อมขนมปัง รสชาติจืดไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้แย่อะไรมาก ราคาสุดถูกแค่ 4 ยูโร บวกน้ำแร่ 1 ขวดอีก 2 ยูโร
บ่ายสองนิดๆ แล้ว ได้เวลาออกเที่ยวต่อ ที่หมายต่อไปคือเขตชานเมืองชื่อว่า Kadriorg (Kadriorg asum) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกห่างจาก Raekoja plats ประมาณ 2 กิโลเมตร อยู่ใกล้ๆ ทะเลแล้ว
จาก Raekoja plats เดินออกนอกเขตเมืองเก่าไปที่ถนน Mere Pst ซึ่งมีป้ายรถรางชื่อ Linnahall รอรถรางสาย 1 ที่นี่ นอกจากรถรางสาย 1 แล้ว สาย 3 และรถเมล์สาย 34 หรือ 38 ก็สามารถไป Kadriorg ได้
ไม่นานรถรางสาย 1 ก็มาจอดป้าย ผมขึ้นรถไปแล้วทำเป็นเนียนนั่งหน้าตาเฉยไม่จ่ายเงินค่ารถ นั่งไปจนสุดสายลงที่ป้าย Kadriorg แล้วเดินตรงไปข้ามสี่แยกไปจะมีป้ายบอกทางไป Kadrioru loss-Kunstimuuseum เดินตามถนน Weizenbergi ประมาณ 10 นาทีก็เริ่มเห็นสวนดอกไม้ แสดงว่าใกล้ถึงแล้ว
Kadrioru loss-Kunstimuuseum หรือ Kadriorg Palace and Art Museum คือ พระราชวังฤดูร้อนที่สร้างโดยพระเจ้า Tsar Peter ที่ 1 ในศตวรรษที่ 18 ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมผลงานศิลปะไว้มากมาย เปิดให้เข้าชมในวันอังคาร-อาทิตย์ 10.00-17.00 น. เดินขึ้นบันไดด้านข้างของพระราชวังอ้อมไปด้านหลังเป็นสวนหย่อมขนาดกลางปลูกดอกไม้ซึ่งกำลังเริ่มผลิดอกให้เห็นสวยงาม เป็นจุดถ่ายรูปที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
จากคุณ : Kongsvingerจากตรงนี้สามารถเดินทะลุสวนตามทางจักรยานไปที่อ่าวทัลลินน์ คำนวณระยะทางจากสายตาแล้วน่าจะประมาณ 1 กิโล เดินไปเรื่อยๆ จนเห็น Russalka-mälestussammas (Russalka Memorial) อนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงลูกเรือชาวรัสเซีย 170 คนที่เสียชีวิตจากพายุในปีค.ศ. 1893 อยู่ใกล้ชายหาด
จากคุณ : Kongsvingerณ จุดนี้ใกล้จะถึงชายหาด Pirita ชายหาดตากอากาศที่มีหาดทรายสีขาวยาว 3 กิโลเมตรอยู่ในเขต Pirita linnaosa (Pirita District) 1 ใน 8 เขตปกครองของทัลลินน์แล้ว แต่เดินไปไม่ไหวเพราะระยะทางไกลเหมือนกันและตอนนั้นก็ 4 โมงเย็นเศษๆ แล้วด้วย ต้องรีบกลับโรงแรมไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้และเดินลากไปท่าเรืออีก
จากคุณ : Kongsvingerเดินไปที่ป้าย Lauluväljak ขึ้นรถเมล์สาย 5 ที่ป้ายหน้ารถเขียนว่า Narva Mnt นั่งไปประมาณ 5 นาที รถเมล์ก็มาถึงถนน Narva Mnt ซึ่งดูเป็นถนนสายธุรกิจ มีห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงาน คนเดินไปมาพลุกพล่าน รอรถรางสาย 2 ที่ป้าย ขึ้นรถโดยไม่ซื้อตั๋วอีกเช่นเคยกลับไปลงเลยป้าย Linnahall ไป 1 ป้ายซึ่งเป็นป้ายที่ใกล้โรงแรมที่สุด เดินกลับโรงแรม
ออกจากโรงแรม เร่งฝีเท้าเดินลากกระเป๋าไปตามถนนใหญ่ชื่อ Ahtri ให้ทันเวลา 17.30 น. ดูป้ายบอกทางไปท่าเรือ Tallinn D-terminal เลี้ยวเข้าถนน Paadi และ Laeva ก็เริ่มเห็นบรรยากาศของท่าเรือ ใช้เวลาเดินเกือบ 40 นาทีกว่าจะถึงท่าเรือ D-terminal
ขึ้นลิฟท์ไปชั้น 2 เข้าเช็คอินที่เคาน์เตอร์ รับ boarding card แล้วเดินไปที่เกทซึ่งต้องเดินไกลเกือบกิโลกว่าจะถึงทางเข้าเรือ ขึ้นเรือไปแล้วต้องขึ้นลิฟท์ไปชั้น 8 และเดินไปจนสุดท้ายเรือก็ถึงห้องพักของผมในคืนนี้ เข้าห้องเคบินแคบๆ เก็บสัมภาระและนั่งพักให้หายเหนื่อย
จากคุณ : Kongsvingerตั๋วเรือที่จองออนไลน์มาแบบ one way B-class cabin ห้องละ 1-4 คน ราคา 144 ยูโร+อาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์อีก 9.50 ยูโร รวมเป็น 153.50 ยูโร ไม่มั่นใจว่าถ้ามา 4 คน จะต้องจ่ายค่าห้องคนละ 144 ยูโร หรือแชร์กันออกคนละ 36 ยูโร แต่ผมมาคนเดียวยังไงก็ต้องจ่ายเต็มคนเดียวเหมาทั้งห้องครับ
จากคุณ : Kongsvinger18.00 น. เรือ M/S Baltic Queen ออกเดินทางข้ามทะเลบอลติกไป Stockholm ประเทศสวีเดน
หายเหนื่อยแล้ว ลองออกไปดูส่วนต่างๆ ของเรือสำราญดูบ้างว่ามีอะไรให้ทำบ้าง ผมขึ้นลิฟท์ไปชั้น 10 ที่ดาดฟ้าเรือมีสแน็กบาร์ขายขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เบาๆ มีที่นั่งกลางแจ้งสำหรับนั่งตากแดดในฤดูร้อน แต่ฤดูนี้อากาศยังเย็นอยู่คงจะนั่งได้ไม่นาน
เกือบจะ 3 ทุ่ม พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว ลงไปที่ชั้น 6 เดินไปที่ Cafeteria หาอะไรกินเป็นมื้อเย็น ที่นี่มีแต่อาหารแช่เย็นพวกแซนด์วิชเบอร์เกอร์ไส้ต่างๆ ไม่มีอาหารที่ถูกปากคนเอเชียอย่างผมเลย แต่ก็จำเป็นต้องเลือกเพราะถ้าไปกินที่ร้านอาหารอื่นคงแพงระยับแน่ ดูแล้วเป็นร้านอาหารชั้นหนึ่งทั้งนั้น สั่ง baquette ham Kinkkupatonki 3.50 ยูโร+jogurt drink อีก 1.50 ยูโรที่ดูแล้วหน้าตาพอกินได้ที่สุดมารับประทาน
เกือบเที่ยงคืนก็เข้านอน คืนนี้นอนค้างบนเรือ 1 คืน ไปโผล่อีกทีตอนเช้าที่สต็อกโฮล์มเลย
ตามเราไป “เที่ยวเอง” กันต่อวันที่ 3 ที่กรุงสต็อกโฮล์ม เมืองหลวงของประเทศสวีเดนนะครับ กำลังปั่น review อยู่ครับ :D
เคยไปมาแล้วเหมือนกันค่ะ เมื่อปีที่แล้ว :)
จากคุณ : Soft Cakeขอบคุณมากนะคะ ที่ทำำให้ได้รู้จักเมืองหลวงของ Estonia
จากคุณ : Miss_Behavingอยากไป Estonia มากกกกกกกกกกกครับ ความฝันเลย
ยิ่งคุณเที่ยวคนเดียวมาด้วย โอ้ววว ความฝันยกกำลัง 2 ของผมเลยครับ Estonia+Sweden+Norway
มาเที่ยว Estonia ด้วยค่ะ
จากคุณ : Blue Whaleน่าเดินเที่ยวมากๆค่ะ ขอบคุณที่พาเที่ยวนะคะ
จากคุณ : Red-Rose-14Febตามไปเที่ยวต่อที่สวีเดนนะครับ ^^
จากคุณ : Kongsvinger
แวะมาชมครับ ตามไปเที่ยวด้วยคน
บ้านเมืองสวยงามจริงๆ
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ
ชมทั้งสองตอนแล้วครับ เที่ยวคุ้มจริงๆ วันๆหนึ่งต้องเดินหลายกิโล ต้องฟิตตัวเองก่อนออกลุยแบบนี้ได้ ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ
จากคุณ : Lonely Gypsyขอบคุณสำหรับรีวิวเมืองที่ไม่ค่อยเคยมีรีวิวด้วยค่ะ
จากคุณ : scuba734ขอบคุณที่พาไปเที่ยวชมที่เอศโตเนียครับ รอชมสต็อกโฮล์มตอนหน้าอยู่ครับ
จากคุณ : Destiny-Boyยอดเยี่ยมมากครับ เก็บรายละเอียดได้ดีจังเลย
จากคุณ : declare01@ สวย คลาสสิค มีเนื้อหาสาระดีด้วยครับ .. แต่อาหารดูแปลกๆ
ชืดๆ ไปนิดนึงครับ
สวยจังครับ อยากไปประเทศแบบไม่ค่อยฮิตแบบนี้บ้าง
จากคุณ : boy next doorขอบคุณค่าาาาาา
จากคุณ : L.hidekiขอบคุณค่ะที่พาเที่ยว Estonia จากที่เคยได้ยินแต่ชื่อ
ขอบคุณสำหรับภาพ และข้อมูลในการเที่ยวนะคะ ^ ^
แต่ขอถามนิดนึง ที่คุณ จขกท เขียนไว้ใน
ความคิดเห็นที่ 24
"ไม่นานรถรางสาย 1 ก็มาจอดป้าย ผมขึ้นรถไปแล้วทำเป็นเนียนนั่งหน้าตาเฉยไม่จ่ายเงินค่ารถ นั่งไปจนสุดสายลงที่ป้าย Kadriorg ..."
หมายความว่า เป็นรถรางฟรี ไม่ต้องจ่ายเงิน
หรือว่า
เป็นรถรางที่ต้องเสียตังค์ แต่คุณ จขกท ไม่ยอมจ่ายคะ
ถ้าเป็นอันหลัง คุณ จขกท ไม่ต้องเขียนบอกก็ได้นะคะ
กลัวคนอื่นทำตาม แล้วจะพาเสียชื่อประเทศไทยอ่ะค่ะ ^_^"
ขอบคุณครับ ชอบเรือนอนนี่แหละ รู้สึกว่านอนสบาย ไม่เสียเวลาเที่ยวด้วย น่าสนใจมากๆครับ
จากคุณ : Coffee Blendedขอบคุณสำหรับรีวิวมากๆค่ะ
จากคุณ : สาวหน้าใสตอบความคิดเห็นที่ 48 ของคุณ August Rush ครับ
คือขึ้นรถรางไปแล้วมันไม่รู้จะซื้อตั๋วที่ไหนครับ คนขับทำเหมือนไม่ได้มีหน้าที่ขายตั๋ว ส่วนตู้อัตโนมัติก็ไม่มี มีแต่เครื่องสแตมป์ตั๋ว ผมก็ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่เหมือนกันแต่ไม่รู้จะทำยังไง เลยนั่งเฉยๆ ไปซะงั้นครับ
ส่วนขากลับ นั่งรถเมล์สาย 5 ก็ไม่ได้จ่ายเงินเพราะคนขับโบกมือให้ไปนั่งเลย ไม่ต้องจ่าย สงสัยว่าที่นี่จะไม่เคร่งครัดเรื่องจ่ายค่ารถกับนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ครับ
ตาม...คาม ต่อค่ะ
ความสนุกสนาน เพิ่มมากขึ้น
ขอบคุณค่ะ
ปล.แอบคิดเหมือนกับคห.48 แต่พออ่าน51 แล้วก็อ๋ออ อย่างนี้นี่เอง ^^