สืบเนื่องมาจากโปร Free seat เมื่อปีที่แล้ว สอยที่นั่ง BKK-HAN และ HAN-BKK มาได้ ก็เลยเกิดทริปนี้ขึ้นค่ะ
นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ไปเหยียบแผ่นดินเวียดนาม หนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมอยู่ (จริงๆ เมื่อปีก่อนเคยสอยไฟลท์โฮจิมินห์ซิตี้มาได้ แต่ดันติดธุระก็เลยไม่ได้ไปค่ะ) และนี่เป็นครั้งแรกที่เราเปลี่ยนจาก backpacker มาเป็นคุณนายมีไกด์นำทาง
...อ่านรีวิวกันมาเยอะ เห็นใครต่อใครต้องไปใช้ศิลปะการเอาตัวรอดขั้นสูงที่เวียดนามกันแล้วก็รู้สึกหนาว เลยขอจอง private tour ไปจากเมืองไทยดีกว่า ทริปนี้เลยรู้สึกเหมือนเป็นคุณนายค่ะ มีรถตู้มารับพร้อมไกด์ส่วนตัว รถตู้คันนึง นั่งกันอยู่แค่สามคน กินอาหารแบบราชา แถมได้เหมาเรือลำนึงอีกด้วย จะเป็นยังไง ลองติดตามดูนะคะ
จริงๆ ตอนจองตั๋วเครื่องบิน ไฟลท์ BKK-HAN และ HAN-BKK มีวันละ 2 เที่ยวนะคะ แต่กว่าจะถึงวันเดินทางก็ลดลงเหลือวันละเที่ยวเดียว ทำให้เรามีเวลาเที่ยวน้อยลงไปเกือบวันเลยค่ะ เพราะตอนแรกไฟลท์ขากลับเราจองเป็นไฟลท์ค่ำ แต่สุดท้ายเหลือไฟลท์เช้า (ตรู่) ทริปนี้เลยกลายเป็นทริป 3 วัน 3 คืน ตัดวันสุดท้ายซึ่งต้องเดินทางกลับไปโดยปริยาย
เพื่อให้ได้อรรถรสในการอ่านรีวิว สามารถดูแผนที่ฮานอยได้จากเว็บนี้ค่ะ
http://mydesign-club.net/wp-content/uploads/2009/11/hanoi_map.jpg
http://www.mica.edu.vn/Isere/images/carte-de-hanoi-mica2.JPG
วันเดินทางวันแรก ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ (แทบจะไม่ได้นอนเลย เพราะนอนไม่หลับ ตื่นทุก 1 ชั่วโมงเลยค่ะ) ไฟลท์ที่เราจะบินไปฮานอยวันนี้ก็คือ FD3700 ของ AirAsia ซึ่งเราทำเว็บเช็คอินมาแล้ว เครื่องออก 6.45 น. เราเลยออกจากโรงแรมที่พัก (โรงแรมชบา สุวรรณภูมิ ...ไว้โอกาสหน้าจะมารีวิวให้ดูนะคะ) ตอน 4.00 น. ออกเช้าหน่อย เผื่อเวลาเอาไว้ดีกว่าค่ะ
...พอไปถึงสนามบิน ประมาณ 4.10 น. โอ้โห คนต่อคิวโหลดกระเป๋าเยอะมากเลยค่ะ แถวยาวพอๆ กับแถวเช็คอินหน้าเคาน์เตอร์เลย ส่วนคิว verify เอกสารสั้นนิดเดียวค่ะ ดังนั้นคนที่ไม่มีสัมภาระโหลดจะสะดวกกว่ามากเลย
ตอนที่เราไปต่อคิว เคาน์เตอร์โหลดกระเป๋าเปิดแค่ 2 เคาน์เตอร์ รอไปรอมาประมาณ 4.30 น. เพิ่มเป็น 4 เคาน์เตอร์ค่ะ พอเคาน์เตอร์ใหม่เปิดปุ๊บ คนหางแถวข้างหลังกรูกันไปต่อใหญ่เลย และสุดท้ายเราก็ยังกลายเป็นหางแถวของแถวเดิม สรุปคือใช้เวลายืนรอโหลดกระเป๋าประมาณ 25 นาทีค่ะ
รับใบ immigration form จากเคาน์เตอร์ AirAsia เอามาเขียน แล้วไปผ่านด่าน ตม. ที่ตอนแรกกังวลว่าจะต้องต่อแถวยาว แต่จริงๆ แล้วแถวสั้นมากค่ะ เคาน์เตอร์ ตม. เปิดเกือบทุกเคาน์เตอร์เลย
..เข้าไปด้านในได้แล้วก็แอบไปช้อปปิ้งที่ duty free กันซะหน่อย แล้วก็ไปนั่งรอที่ gate ค่ะ...ตอนนั้นฟ้ายังไม่สางเลย
พอ gate เปิด เดินต่อแถวกันไปเพื่อเช็ค boarding pass กับ passport กัน แล้วไปนั่งรอ ...ไฟลท์นี้คนเยอะมากค่ะ แทบจะไม่มีที่นั่งเลย พอเรียกขึ้นเครื่องแล้วค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย ...ตอนนี้ฟ้าสางแล้วค่ะ
ได้เวลากินอาหารเช้า วันนี้เราสั่งชุดขนมปังทูน่ากับบราวนี่ และน้ำเปล่า 1 ขวด กินรองท้อง แล้วก็หลับได้อย่างสบายใจ
ไฟลท์นี้ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาทีเองนะคะ ใกล้มากๆ ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนกัปตันประกาศจะนำเครื่องลง
เห็นภาพนี้แสดงว่าใกล้ถึงฮานอยแล้วค่ะ ...จะสังเกตว่าบ้านเมืองเค้า จะถูกจัดสรรระหว่างที่ดินทำการเกษตร กับบ้านเรือนของประชาชน บ้านเรือนจะอยู่กันเป็นกระจุก ส่วนที่เหลือจะเป็นพื้นที่ทำนาค่ะ
ลงสู่สนามบินนอยไบ ...เห็นเจ้าถิ่น Vietnam Airlines ขอถ่ายรูปทักทายกันหน่อย สังเกตงวงช้างเค้านะคะ ใสดี
หันไปดู AirAsia กันหน่อย
สนามบินนอยไบของฮานอยนี้เล็กนิดเดียวเองค่ะ เล็กกว่าสนามบินดอนเมืองของเราอีก ดังนั้นไม่ต้องเทียบกับสุวรรณภูมิเลยค่ะ
เดินตามทางเดินไปแป๊บเดียวก็จะถึงด่าน ตม.ของเค้าแล้วค่ะ ...เวียดนามเป็นประเทศที่ไม่ต้องเขียนใบ immigration นะคะ เราสามารถเดินไปยื่น passport ที่ ตม. ได้เลย แต่เคาน์เตอร์ ตม.ที่นี่สูงมาก เวลายืนอยู่จะรู้สึกเหมือนมีฮ่องเต้มองลงมาหาเรายังไงอย่างนั้น อ่อ...เคาน์เตอร์สูงประมาณจมูกของเราพอดีเลยค่ะ (เอ๊ะ...หรือว่าเราเตี้ย??)
ตม. ไม่ถามอะไรเราเลย เราเห็นเค้าขอดูใบ travel itinerary ของผู้ชายที่อยู่ก่อนเรา แต่พอถึงคิวเรา เค้ากลับไม่ขอ แถมไม่พูดอะไรเลยด้วย
ผ่าน ตม.มาได้ก็จะเห็นจอ 2 จอ และป้าย 3B กับ 3A ...ให้ดูป้ายนะคะ ของเรา FD3700 ต้องรับกระเป๋าที่ 3A ค่ะ ดังนั้นต้องเลี้ยวขวา (ส่วน 3B จะเลี้ยวซ้ายค่ะ)
เลี้ยวมา เดินประมาณ 20 ก้าว ก็ถึงที่รับกระเป๋าแล้วค่ะ สังเกตนะคะ แผงสีขาวที่เห็นอยู่ด้านขวามือในรูปนี้ก็คือด้านหลังของบัลลังก์ ตม. น่ะค่ะ
ตีตั๋ว airasia ตามไปด้วยคนครับ
จากคุณ : เขียนบน iPad (golf200)ที่นี่มีจุดรับกระเป๋าแค่สองจุด ดังนั้นก็เลยต้องรับกระเป๋าร่วมกันหลายไฟลท์ค่ะ
ซึ่งวันนั้นมี 3 ไฟลท์ที่ต้องมารับกระเป๋าที่สายพานเดียวกัน และ...สายพานที่เลื่อนมาจากด้านหลังมันเสีย! ทำให้ต้องมีพี่เจ้าหน้าที่เข็นกระเป๋ามาทีละคัน แล้วก็เอามาโยนๆ ลงบนสายพานแทน วันนั้นรอกระเป๋านานมากค่ะ
ตามมาเลยค่ะคุณ golf200 ไปเที่ยวด้วยกันนะคะ
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
ระหว่างรอก็เข้าห้องน้ำรอไปพลาง ลองเปิดดู passport ที่ ตม.เวียดนามปั๊มให้ แหะๆ เหมือนที่เคยอ่านรีวิวมาเลยค่ะ ตม.เวียดนามชอบปั๊มด้านหลังจริงๆ ด้วย
รับกระเป๋าเสร็จ เดินอีก 30 ก้าว ก็ออกไปด้านนอกแล้วค่ะ และที่นั่นเราก็ได้เจอกับไกด์ ไกด์ของเราเป็นชาวเวียดนามที่พูดภาษาไทยชัดมากค่ะ ชื่อ “คุณถัง” ...คุณถังมาไวเคลมไวมาก เจอกันปุ๊บ แนะนำตัวแล้วเดินลิ่วพาไปที่รถเลยค่ะ เรายังไม่ทันได้ถ่ายรูปสนามบินเลย
ระหว่างทางระหว่างเดินทางจากสนามบินนอยไบไปในเมืองฮานอย 45 นาที คุณถังก็อธิบายถึงสภาพบ้านเรือนของชาวเวียดนามค่ะ ถ้าเราเห็นตึกห้องแถวเก่าๆ หน้ากว้างประมาณ 3 เมตร ปลูกติดๆ กัน จะแสดงว่าเป็นย่านเมืองเก่า เพราะตอนนี้รัฐบาลเค้ากำลังรณรงค์ให้ชาวบ้านไปอยู่คอนโดมิเนียมที่รัฐบาลสร้างให้แทนค่ะ และส่วนที่เป็นคอนโดฯ ก็จะเป็นส่วนของเมืองใหม่ของฮานอยนั่นเอง เราข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแดง ซึ่งเป็นแม่น้ำสายใหญ่มาก ตามประวัติศาสตร์เมือง “ฮานอย” ไม่ได้มีชื่อว่าฮานอยเหมือนในปัจจุบันนะคะ แต่มีชื่อว่า “ทังลอง” เนื่องจากว่าสมัยก่อน กษัตริย์ของเวียดนามได้เห็นมังกรบินขึ้นมาจากดินแดนแถบนี้ เลยย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่นี่ และตั้งชื่อว่า “ทังลอง” แปลว่า “มังกรบินขึ้น” (หรืออะไรประมาณนี้ค่ะ จำไม่ค่อยแม่น แหะๆ) แต่ตอนหลังเมืองนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “ฮานอย” หลังจากที่ฝรั่งเศสได้เข้ามา เนื่องจากว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่มีแม่น้ำล้อมรอบ “ฮานอย” ก็หมายถึง มีแม่น้ำอยู่รอบนั่นเองค่ะ ดังนั้นแม่น้ำแดงจะมีความผูกพันกับเมืองนี้เป็นอย่างมากเลย
แม่น้ำแดงเป็นแม่น้ำแขนงมาจากแม่น้ำแยงซีเกียงในประเทศจีน โดยในประเทศจีนชื่อของแม่น้ำนี้จะแปลว่าแม่น้ำเหลืองค่ะ คุณถังอธิบายว่าประเทศจีนเป็นต้นน้ำ น้ำจึงเป็นสีเหลือง แต่พอมาถึงฮานอย ได้พัดพาทรายมาเป็นจำนวนมากจึงมีสีแดง และทรายปริมาณมากที่ไหลมากจากเมืองจีนก็ทำให้แม่น้ำนี้ตื้นเขินขึ้นทุกวัน หน้ามาหน้าแล้ง เราอาจได้เห็นภาพแม่น้ำกลายเป็นผืนทรายทั้งผืนได้เลย ดังนั้นรัฐบาลจึงพยายามดูดทรายออกจากแม่น้ำตลอดเวลาค่ะ
สถานที่แรกที่คุณถังพาไป (เอิ่ม....จริงๆ มันก็เป็นไปตามโปรแกรมทัวร์ที่เราตกลงกับเค้าไว้นั่นแหละนะคะ) ก็คือ วัด Tran Quoc ค่ะ ซึ่งที่นี่เป็นวัดเก่าแก่ที่สุดในเวียดนามเลยก็ว่าได้ สร้างโดยกษัตริย์หลี่นำเด่ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เค้าบอกว่ากษัตริย์พระองค์นี้ขึ้นครองราชย์แค่เพียงปีเดียว เนื่องจากตอนนั้นแผ่นดินยังไม่มั่นคง แต่พระองค์เอาเวลาไปทำนุบำรุงศาสนามากกว่าดูแลบ้านเมืองซะอีก
วัด Tran Quoc นี้ ถูกสร้างขึ้นในทะเลสาบตะวันตก (West lake) ในสมัยก่อนจะต้องพายเรือเพื่อไปสักการะ แต่ปัจจุบันนี้มีการสร้างถนนตัดผ่านทะเลสาบ ทำให้สามารถเข้าถึงวัดได้ง่ายขึ้นค่ะ แต่ว่าเมื่อมีการสร้างถนนมาถึงที่วัดนี้ ถนนตัดเข้าสู่ด้านหลังของวัด ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้านหน้าวัดกลายเป็นข้างหลัง และด้านหลังวัดก็กลายมาเป็นด้านหน้าวัดแทน
ภายในวัดก็จะมีพระพุทธรูปให้ไปขอพร จะเห็นได้ว่าวัดนี้มีความเก่าแก่มากค่ะ
ช่วงที่เราไปยังเช้าอยู่มาก นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะเท่าไหร่ อีกอย่างช่วงนี้ก็ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวเวียดนามเหนือด้วย เนื่องจากว่าเดือนกันยายนจะเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงยังมีฝนอยู่บ้าง
ฤดูกาลท่องเที่ยวเวียดนามเหนือจะอยู่ในช่วงตุลาคมไปจนถึงกุมภาพันธ์โน่นค่ะ
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่รัฐบาลเวียดนามได้มาจากอินเดีย เป็นต้นโพธิ์ที่มาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่เป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โดยรัฐบาลอินเดียให้มาสองต้น ต้นหนึ่งปลูกไว้ที่วัดนี้ ส่วนอีกต้นนึงรู้สึกว่าจะปลูกไว้แถวๆ สุสานท่านโฮจิมินห์นะคะ (จำไม่ได้ค่ะ ขออภัยด้วย ตื่นเช้าเกิ๊น )
จริงๆ แล้ววัดควรเป็นเขตอภัยทาน งดการฆ่าสัตว์ ...แต่ดูชาวเวียดนามสิคะ ชอบมาตกปลาที่วัด!!! เจ้าอาวาสกั้นรั้วอะไรแล้ว ปักป้ายก็แล้ว ก็ยังไม่ได้ช่วยอะไร เฮ้อ!!
ตัวอักษรที่เป็นเหมือนภาษาจีนนั้น เกิดมาจากการที่ประเทศเวียดนามเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจีนมาก่อนค่ะ เวียดนามถูกปกครองอยู่ภายใต้การปกครองของจีนอยู่หลายร้อยปี จากนั้นกลายเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสอีก ทำให้กลายเป็นประเทศที่มีภาษาพูดเป็นของตนเอง แต่ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเองค่ะ
...ที่เราเห็นที่ประตูวัด คนเวียดนามเค้าเรียกว่าเป็น “ภาษาเวียดนามสมัยเก่า” ค่ะ ส่วนที่เราเห็นในพวกป้ายต่างๆ ตามร้านค้าที่เป็นพยัญชนะอังกฤษแล้วมีขีดๆ เรียกว่าเป็น “ภาษาเวียดนามสมัยใหม่” ออกเสียงเหมือนเดิม แต่เขียนต่างกันยังกับคนละภาษาเลย
ไกด์บอกว่าสมัยก่อนตอนที่เวียดนามตกเป็นเมืองขึ้นของจีน จีนมีนโยบายกลืนกินชาติ โดยการให้ทหารจีนสามารถข่มขืนผู้หญิงเวียดนามได้ จะได้มีลูกออกมาเป็นเชื้อสายจีน ดังนั้นคนเวียดนามจึงถูกพัฒนาสายพันธุ์จากคนร่างเล็ก ส่วนสูงเฉลี่ยแค่ 135 เซนติเมตรมาเป็นคนเวียดนามที่สูงขึ้น และหน้าตาดีขึ้นอย่างในปัจจุบัน (แต่เราว่า จีนโหดร้ายมากนะ
)
เข้ามาเก็บข้อมูลค่ะ เราจองโปรแอร์เอเชียบินปีหน้า^^
จากคุณ : petsoonจากนั้นเราก็นั่งรถต่อไปที่ทำเนียบประธานาธิบดีค่ะ เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ฝรั่งเศส ใช้เวลาสร้างตั้งหลายปี และในสมัยที่ท่านโฮจิมินห์ขึ้นปกครองประเทศ เค้าจะให้ท่านพำนักที่นี่ แต่ท่านเป็นคนสมถะ จึงไม่ขออยู่ที่นี่ค่ะ ...บ้านของท่านสร้างเป็นบ้านไม้เล็กๆ อยู่ใกล้กัน แต่เราไม่ได้เข้าไปดูนะคะ เลยไม่มีรูปมาฝาก
เชิญมาเที่ยวด้วยกันค่ะคุณ petsoon
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
หันไปมองด้านฟากตรงข้ามถนน เป็นตึกนี้ค่ะ ถ้าจำไม่ผิด ตอนนี้เป็นที่ทำการของรัฐบาลนะคะ ถ้าจำผิดยังไงก็วานผู้รู้ช่วยเข้ามาแก้ไขให้ด้วยนะคะ ^^
ติดๆ กันเลยกับทำเนียบประธานาธิบดี ก็คือสุสานของท่านโฮจิมินห์ค่ะ (Ho Chi Minh mausoleum) เค้าจะมีป้ายสีน้ำเงินวางไว้เป็นระยะ อย่าเข้าไปเชียวนะคะ เค้าไม่ให้เข้าค่ะ
ช่วงเดือนกันยายนไปถึงพฤศจิกายนเป็นช่วงที่เค้ามีการจัดแต่งศพของท่าน เปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนน้ำยา ตัดผมให้ท่านใหม่ (ไม่ได้เขียนผิดนะคะ เค้าบอกว่าผมท่านยังยาวออกมาได้อยู่อะค่ะ) ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปด้านนอกค่ะ (แต่ถึงได้เข้า เค้าก็ไม่ให้ถ่ายรูปอยู่ดีแหละเนอะ)
ต้นลีลาวดีที่ปลูกอยู่สองข้างของสุสาน (ที่เห็นดอกสีขาวๆ น่ะค่ะ) เป็นลีลาวดีที่ประเทศลาวมอบให้ ที่เค้าปลูกที่นี่ก็มีนัยยะถึงความซื่อสัตย์เรียบง่ายของท่านโฮจิมินห์ด้วย
และไม่ไกลจากนั้นจะมีการปลูกต้นไผ่กอใหญ่ ต้นไผ่ก็หมายถึงประชาชนชาวเวียดนามยังอยู่ข้างๆ ท่านโฮจิมินห์ เค้าบอกว่าการที่ต้นไผ่ถูกใช้สื่อถึงคนเวียดนาม ก็เพราะว่าไผ่เป็นพืชที่คนเวียดนามนำมาใช้ประโยชน์มากที่สุด และไผ่เป็นไม้ที่อดทน งอ แต่ไม่หักง่ายอีกด้วย
ในช่วงที่เปิดให้เข้าเคารพสุสานท่านโฮจิมินห์ ไกด์บอกว่าคนเวียดนามจะเข้ายากกว่านักท่องเที่ยวนะคะ ต้องเข้าแถวที่ไกลกว่า แต่คนเวียดนามส่วนใหญ่ก็ตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องไปเคารพศพท่านให้ได้อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต
หันกลับมาเราจะเห็นสนามหญ้าและธงชาติเวียดนามค่ะ ธงชาติเวียดนามประกอบไปด้วยดาวสีเหลืองบนพื้นสีแดง ซึ่งดาวสีเหลืองจะมีความหมายถึง พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และพื้นสีแดงก็หมายถึงเลือดเนื้อของคนเวียดนามนั่นเอง
เดินออกมาจากสุสาน เลี้ยวขวาไปก็จะเห็นร้านขายของที่ระลึก ถ้าเดินผ่านตรงนี้ไป ข้ามถนนเล็กๆ ก็จะเป็นที่ตั้งของเจดีย์เสาเดียวแล้วค่ะ
บริเวณเจดีย์เสาเดียว (One pillar pagoda) ต้องแต่งตัวสุภาพนะคะ ไม่ควรนุ่งขาสั้นค่ะ
เห็นที่นี่มีกล้วยขาย มีคนเอากล้วยไปตั้งในถาดหน้าเจดีย์ แล้วก็มีคนไปเอามากิน ...สงสัยมากค่ะ ว่าต้องเป็นธรรมเนียมอะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้นไกด์หาย เลยไม่ได้ถามมา (แหง่ว) เพิ่งนึกออกว่าลืมถามตอนมาดูรูปนี่แหละค่ะ
ตามตำนานเล่าว่ากษัตริย์พระองค์หนึ่งมีสนมเป็นร้อย แต่ไม่มีลูกชายสักองค์ วันนึงฝันว่าได้ลูกชาย (หรืออะไรทำนองนี้ค่ะ) แล้วก็ไปเจอกับเมียชาวบ้าน แล้วชอบมากกกกกกก เลยไปเอามาเป็นเมียตัวเอง (ไม่ไหวๆ คนเค้ามีสามีแล้วนะ ) สุดท้ายก็ได้ลูกชายจากเมียคนนี้แหละ ก็เลยทำเจดีย์นี้เพื่อบูชา ...ไกด์บอกว่าคนเวียดนามนับถือที่นี่มากค่ะ
สามารถเดินขึ้นบันไดนี้เพื่อไปสักการะได้
ถ่ายลงมาจากด้านบน
ตามไปเที่ยวด้วยคนครับ
จากคุณ : เล็กทาโร่ใกล้ๆ กันจะเป็นพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ค่ะ แต่เราไม่ได้เข้าไปชม
กลับขึ้นรถเพื่อไปยังวิหารวรรณกรรม (Temple of the literature) ค่ะ ...กินน้ำเวียดนามกันหน่อย ทัวร์เค้าจัดน้ำไว้ให้เรา 1 ลังค่ะ ให้กินตลอด 3 วันตามอัธยาศัย
ตามมาเลยค่ะคุณเล็กทาโร่
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
ถึงแล้วค่ะ “วิหารวรรณกรรม” ...พอไปถึงไกด์ก็ไปซื้อตั๋วเข้าชมให้
เวียดนามเป็นประเทศที่นับถือ “ขงจื๊อ” มาก และวิหารวรรณกรรมก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออุทิศให้กับขงจื๊อ
ทุกสิ่งทุกอย่างในนี้สร้างตามหลักของขงจื๊อทุกอย่างค่ะ
ไกด์เล่าว่าท่านขงจื๊อได้สั่งสอนมีลูกศิษย์ถึงเจ็ดสิบกว่าคน แต่มีคนที่กตัญญูต่อท่านแค่ 4 คน ดังนั้นท่านจึงได้คิดคำสอนออกมา 5 ข้อ (เลข 5 นี้ มาจากจำนวนลูกศิษย์+ตัวท่านเอง เป็น 5 คน)
และข้อแรกของคำสอนของท่านก็คือ คนเราต้องรู้จัก “กตัญญู” ส่วนอีก 4 ข้อหลังขออภัยนะคะ ลืมหมดแล้วค่ะ เหอๆ
เอาเป็นว่าภายในวิหารวรรณกรรมได้แบ่งออกเป็น 5 ส่วน และมีบ่อน้ำทั้งหมด 5 บ่อนะคะ
ซุ้มประตูที่เราเห็น เป็นที่ประกาศรายชื่อผู้ที่สอบได้ “จอหงวน” ...และในป้จจุบัน ซุ้มนี้ได้ไปอยู่ในโปสการ์ด กลายเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเมืองฮานอยไปแล้วค่ะ
ชอบครับ คนไม่เคยขึ้นเครื่องบินอย่างผม.....จะได้รู้อะไรบ้าง
ไม่กล้าไปเที่ยวไกลๆ เพราะกลัว ทำอะไรไม่ถูกกลัวเรื่องมันเยอะ ซึ่งพอ ดูๆไปแล้ว ก็เยอะจริงๆด้วย 55555
แต่ขอบคุณมากครับ ชอบในความละเอียด ^^
ดีใจค่ะที่คุณ frame99 ชอบ ...ขึ้นเครื่องไม่ยากค่ะ แค่ทำตามคนข้างหน้า
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
บริเวณนี้เป็นเต่าที่จารึกชื่อจอหงวนค่ะ มีทั้งหมด 82 แผ่น โดยแผ่นแรก กับแผ่นที่สองที่ถูกสร้างขึ้นจะวางอยู่คนละฟากกัน และแยกไว้เป็นสัดส่วนออกจากเต่าตัวหลังๆ
คุณถังเล่าให้ฟังว่าเต่าที่นี่แบ่งเป็น 3 ยุค 3 ราชวงศ์ ราชวงศ์สุดท้ายจะสร้างเต่าได้สวยที่สุดและเหมือนจริงมากที่สุด
สมัยก่อน คนเวียดนามนิยมพาลูกหลานมาขอพรเพื่อให้สอบได้ โดยการมาลูบหัวเต่า เต่าตัวใหญ่จะถูกลูบเยอะกว่าเต่าตัวเล็ก ลูบกันจนหัวเต่าแววกันเลยทีเดียว แต่พอตอนหลังได้ขึ้นทะเบียนกับ UNESCO ทำให้ต้องเลิกลูบหัวเต่ากันไป
สระนี้เป็นสระที่ใหญ่ที่สุด ที่บอกไว้ว่ามี 5 สระ สระนี้คือสระสุดท้ายค่ะ วันที่พระจันทร์เต็มดวง สระจะสะท้อนแสงจันทร์ทำให้เกิดความสว่างขึ้นมา เปรียบเหมือนคนเราที่จะสามารถรุ่งเรืองได้จากการศึกษาหาความรู้
ต่อไปนี้เป็นส่วนสุดท้ายค่ะ ภายในอาคารนี้จะเป็นที่ตั้งของรูปปั้นท่านขงจื๊อและลูกศิษย์ทั้งสี่ และมีร้านขายของที่ระลึกด้วย
นกกระเรียนกับเต่า ...สัญลักษณ์แสดงถึงความสามัคคี เค้าบอกว่าถ้าดูแล้วเราจะไม่รู้หรอกว่านกเหยียบเต่า หรือเต่าแบกนก แสดงว่าต้องมีความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน
ร้านขายโปสการ์ดที่นี่มีลายสวยๆ นะคะ แต่ตอนนั้นต่อมช้อปยังไม่แตก (อย่างที่บอกอะค่ะ ตื่นเช้าเกิ๊น สมองยังไม่เริ่มทำงานเล๊ย)
เจอคุณลุงนั่งวาดลายมังกรอยู่ที่ประตู
ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วค่ะ มื้อนี้เราจะไปกินเฝอร้าน Pho24 กัน
มื้อนี้เราตกลงไว้กับทางบริษัททัวร์ตั้งแต่ตอนตกลงเรื่องโปรแกรมค่ะ ว่าอยากกิน Pho24 ...เค้าก็เลยจัดให้มื้อนึง เป็นมื้อแรกในเวียดนามเลยเชียว
ร้านนี้อยู่ติดกับวิหารวรรณกรรมเลยค่ะ แค่เดินเลี้ยวซ้ายออกจากวิหาร แล้วข้ามถนนครั้งเดียวก็ถึงเลย
มีเมนู แต่ไม่ได้เปิดค่ะ ไกด์สั่งให้เรียบร้อย ...ที่นี่มีเฝอไก่ (เฝอกา) กับเฝอเนื้อ (เฝอโบ่) แค่สองอย่างค่ะ เค้าไม่นิยมทำเฝอหมูกัน ยกเว้น ร้านที่มีทัวร์คนไทยเข้าเยอะๆ อาจจะมีทำเฝอหมูให้เป็นกรณีพิเศษ
ไกด์เล่าว่าร้านนี้ก่อตั้งโดยชาวเวียดนามที่ไปอยู่อเมริกา แล้วกลับมาบ้านก็มานั่งคิดว่าจะทำร้านดีๆ เหมือนเมืองนอก แต่ต้องเลือกอาหารที่คนเวียดนามนิยมกัน เลยเปิดเป็นแฟรนไชส์ร้านเฝอขึ้นมา
ร้านนี้มีสาขาอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านเราแถวๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศนะคะ ทั้งลาว สิงคโปร์ กัมพูชา มีไปจนถึงญี่ปุ่นนู่นเลยค่ะ แต่ไม่มีในประเทศไทยแฮะ
เฝอโบ่ อร่อยมากค่ะ รสชาติเหมือนก๋วยเตี๋ยว ควรปรุงด้วยซอสพริก (ไม่เหมือนซอสพริกบ้านเรานะคะ กลิ่นเปรี้ยวๆ คล้ายพริกน้ำส้มอะค่ะ) กับผัก แค่นั้นนะคะ เราว่าใส่มะนาวแล้วไม่ค่อยเข้ากัน ทางที่ดีควรชิมก่อนปรุงค่ะ
เส้นเฝอ คล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ แต่ตัดให้มีลักษณะเหมือนเส้นเล็ก กินเพลินค่ะ อร่อย
เสร็จจากอาหารเที่ยงแล้ว เราเริ่มออกเดินทางไป “ฮาลอง” กันค่ะ
...ฮาลองห่างจากฮานอย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 240 กิโลเมตรนะคะ แต่เราจะใช้เวลาเดินทางกัน 3 ชั่วโมงครึ่งไปจนถึง 4 ชั่วโมงค่ะ
เพราะประเทศเวียดนามมีการจำกัดความเร็วของรถ บางช่วงวิ่งได้แค่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเอง ส่วนบางช่วงก็เป็นถนนสองเลนค่ะ ผู้หญิงประเทศนี้เทพค่ะ แบกหามของหนักกันเป็นธรรมดา ขี่มอเตอร์ไซค์บรรทุกของเยอะๆ อย่างนี้ก็เป็นธรรมดา (ทำได้ไง?!?!) ข้าน้อยขอคารวะ
ระหว่างทางเราจะได้ผ่านภูเขาที่ทำเหมืองถ่านหินด้วยนะคะ ...อ้าว ลืมถ่ายรูปมาแฮะ
คุณถังเล่าว่าที่นี่ส่งออกถ่านหินไปเมืองจีนค่ะ และเนื่องจากมลภาวะจากถ่านหินที่มากมาย ชาวเวียดนามตาดำๆ แถวนั้น จึงรับเคราะห์ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดกัน แต่ก็ย้ายไม่ได้นะคะ เนื่องจากว่าการย้ายถิ่นฐานเป็นเรื่องที่ยากมากในเวียดนาม เนื่องจากปกติแล้วรัฐบาลจะเป็นผู้จัดสรรที่ดินทั้งหมดไม่ว่าบ้านเรือนหรือไร่นา ถึงแม้ว่าจะมีการขายบ้านกันได้ แต่ก็แพงมากค่ะ
เมื่อเลยช่วงเหมืองถ่านหินมา มลพิษค่อยน้อยลงหน่อย สังเกตได้จากถนนไม่ค่อยมีเขม่าสีดำสักเท่าไหร่ คุณแม่เห็นร้านขายสับปะรดเลยบอกคุณถังให้จอดรถไปกินสับปะรดข้างทางกันก่อน
สับปะรดลูกเล็กคล้ายๆ ภูแล แต่ไม่หวานฉ่ำเท่า เค้าปอกเปลือก ใส่ถุงสีเหลืองแขวนไว้ พอจะกินก็เอามาให้ทั้งถุง ถุงนึงมีสองลูกค่ะ มีน้ำจิ้มให้ด้วย เราลองกินพริกเกลือเค้าแล้วมันเค็มแบบไม่ใช่เกลือ ต้องเป็นผงชูรสแน่นอนค่ะ คุณถังบอกว่าไม่ได้ใส่ผงชูรสนะ นี่น่ะ “รสดี” ...แหง่ว!!!
บนโต๊ะจะมีถั่วต้มให้กินด้วยค่ะ ถั่วต้มที่นี่ต้มแบบพอสุก ยังไม่เปื่อยเลย กินแล้วน่ากลัวจะตดดี เลยไม่กล้ากินเยอะ เหอๆ
ทั้งหมดนี้ 25,000 ด่องค่ะ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณสามสิบกว่าบาท (เอา 650 หารแล้วกันค่ะ ง่ายดี) งานนี้ต้องให้ไกด์จ่ายก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินคืนไกด์บนรถนะคะ ถ้าเราจ่ายเองจะแพงกว่านี้อีกหลายเท่า
เริ่มเข้าสู่เขตฮาลองแล้วค่ะ ที่เห็นในภาพเป็นคาสิโน ...คาสิโนที่เอาไว้หลอกล่อชาวต่างชาติโดยเฉพาะ (ก็รวมทั้งคนไทยด้วยล่ะ เพราะคุณถังบอกว่า คนไทยมาหมดเงินที่นี่กันเยอะ ) รัฐบาลเค้าไม่ให้คนของเค้าเข้าค่ะ
ป้ายอันนี้ สื่อความหมายว่า “สามารถกลับรถได้” เหอๆ เรานึกว่าป้ายห้ามเข้าซะอีก
ถึงโรงแรมแล้วค่ะ Cong Doan hotel โรงแรมระดับ 3 ดาว ร้างผู้คน แต่พักสบายดีนะคะ ฮ่าๆ
ไปสามคน ได้ห้อง triple room ค่ะ ทุกอย่างให้มาอย่างละ 3 หมดเลย
น้ำสามขวด มี welcome fruit เป็นลำไยและส้ม (ซึ่งไม่อร่อย )
รองเท้าเปลี่ยนในห้องสามคู่
ห้องน้ำค่ะ มีไดร์เป่าผมให้
มองจากห้อง ถ้าไปยืนตรงจะเบียงจะสามารถชมวิว Ha long Bay ได้
ตรงนู้นเป็นสะพานที่ข้ามไปยังตัวเมืองฮาลองค่ะ
นอนในรถกันมาแล้ว ก็มานอนต่อที่โรงแรมอีกชั่วโมง หลังจากนั้นก็เริ่มอาหารมื้อเย็นค่ะ เค้าบอกว่าจะพามากิน “อาหารทะเล”
อาหารมากมายค่ะ กินกันไม่หมด ตอนถ่ายรูปนี้อาหารอีก 2 อย่างยังไม่มา
กินอิ่ม ไปช้อปปิ้งต่อที่ Ha Long Night Market ...ที่นี่ไกด์บอกว่า คนไทยนิยมมาช้อปปิ้งกระเป๋า Kipling กัน
ก็มีของฝากพวกพวงกุญแจ แม็กเน็ตติดตู้เย็น สร้อยไข่มุกน้ำจืด ที่รองแก้ว และพวกงานหัตถกรรมไม้ไผ่ค่ะ
ต้องต่อราคากันดีๆ ต่อกัน 50-70% ...ที่นี่ใช้เงินไทยได้นะคะ ถูกว่า USD และถูกกว่าด่องอีก
แม่ค้าก็พูดไทยได้แทบทุกคนเลยนะคะ (ก็เลยต่อไปต่อมาแล้วได้ของแพงตล๊อดดด)
เสื้อผ้า ใครอยากได้ชุดอ๋าวหญ่ายก็ซื้อที่นี่ได้นะคะ ส่วนเสื้อยืดตอนแรกเค้าบอกราคามา 3 ตัวสองร้อยค่ะ ซื้อไปซื้อมาได้ 5 ตัว 250 บาท บวกผ้าพันคอหนึ่งผืน รวมกันเป็น 300 บาท
ส่วนกระเป๋าที่ปักลายสาวเวียดนาม ไกด์บอกว่าต่อดีๆ สุดท้ายถ้าเป็นกระเป๋าที่มีลายสาวเวียดนามสามคน จะได้ราคาใบละ 50 บาท (2 ใบ 100 บาท) ส่วนถ้าเป็นลายปักสาวเวียดนามสองคนจะได้ 3 ใบ 100 บาท ...เราได้ปักสาวเวียดนามสามคน 2 ใบร้อยค่ะ (ห้ามซื้อแพงกว่านี้นะ เพราเราต่อราคาไม่เก่งสุดๆ แล้ว)
มารอเที่ยวด้วยคนครับ ข้อมูลแ่น่นดี ^^
จากคุณ : กะปิเคยกุ้งตามไปเมี่ยวเมืองฮานอยด้วยคนค่ะ
คราวที่แล้วได้แต่แวะพักไม่กี่ชั่วโมงแล้วต่อไปซาปา
เลยไม่มีโอกาสชมเมืองกับเค๊าเลยค่ะ
ของที่ได้มา
- พวงกุญแจไม้แผงละ 150 บาท
- ชุดที่รองแก้ว 80 บาท
- ผู้หญิงเวียดนามสีเขียว 10 บาท
- แม็กเน็ตรูปฮาลองเบย์ 5 อันร้อย
- กระจกพับสีขาวรูปสาวเวียดนาม 7 อัน 300 บาท
ของพวกนี้เราไปเจออีกทีในเรือล่องชมอ่าวฮาลองเบย์ ได้ราคาถูกกว่านี้โดยไม่ต้องต่อเลยค่ะ!! และในฮานอยก็ถูกกว่านี้เหมือนกัน!!
เอาเป็นว่าจบการรีวิววันแรกของทริปไว้เท่านี้ก่อนนะคะ แล้วค่อยมาต่อตอนต่อไปนะคะ
สวัสดีค่ะคุณกะปิเคยกุ้ง และคุณ ColaGirl ...วันนี้ขอจบรีวิวแค่นี้ก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาต่อวันที่สองและสามค่ะ อย่าลืมตามมาเที่ยวด้วยกันอีกนะคะ
ของฝากกกกกกกกกกกกกกกก......ทวงกันออกสื่อเลยยยยย
งานนี้ไปเป็น กขค อีกเเล้วเหรอค๊า คุณ nifedipine อิอิ
ฮ่าๆ คุณ kamillosan แร๊งส์
เค้าไม่ได้ไปเป็น กขค ของป๊ากะม๊านะ
เค้าไปเป็น "เด็กถือของ" ค่ะ ^__^
คุณ จขกท. ท่าทางจะต่อของไม่เก่งจริงๆด้วยครับ
พวกกุญแจไม้ใน คห.ที่ 68 ผมซื้อมา 3 แผง 200 บาทเองนะครับ :)
ขอบคุณมากๆครับสำหรับรีวิว
ค่าทัวร์ 3 วันราคาเท่ารัยค่ะ สนใจค่ะ รวมอาหารด้วยรึค่ะ
จากคุณ : คนอยู่บ้าน (คนอยู่บ้าน) น้าเปี๊ยกซื้อได้ 3 แผง 200 เองเหรอคะ โอ้วววว
คุณคนอยู่บ้าน...ไม่รู้ว่าตอบในนี้ได้มั้ยอะค่ะ จะผิดกฎพันทิพมั้ยคะ
รีวิวสนุกดีครับ ไม่อยากไปเวียตนามเพราะว่าความหลักแหลมของคนที่ทำมาหากินกับนั่งท่องเที่ยวนี่แหละ (จะว่าไปก็เหมือนกับประเทศแถวนี้ อิอิ) แต่ไปแบบนี้ค่อยน่าสนขึ้นมาหน่อย
ยังไงรอชมต่อตอนหน้านะครับ
บรรยากาศยังเหมือนเดิมเลยคะ เราไปเมื่อปีที่แล้ว อิอิ
จากคุณ : besttrip99 (lovesony)ขอบคุณที่พาเที่ยวค่ะ ^^
จากคุณ : triyapaมาเก็บข้อมูลค่ะ
รบกวนขอรายละเอียดทัวร์ + ค่าเสียหายด้วยค่ะ
ตอบในนี้ก็ไม่ผิดกฎหรอกค่ะ ไม่ใช้หน้าม้าซะอย่าง
บอกได้ใช่มั้ยคะ
ของเราให้บริษัทจัดทัวร์สำหรับ 3 คน โดยเราจองตั๋วเครื่องบินไปเอง
ราคาต่อหัว 3 วัน 3 คืน (ไม่นับวันกลับแล้วกันนะคะ) คนละ 9,800 บาทค่ะ รวมค่าที่พัก ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าอาหารอะไรเรียบร้อย
เหลือแต่ค่าทิปของไกด์ และค่าทิปเด็กยกกระเป๋าโรงแรมที่ต้องจ่ายเองค่ะ
ส่วนโปรแกรม ก็คือฮานอย-ฮาลองเบย์-ฮาลองบก 3 ที่ค่ะ ^___^
ราคาน่าสนใจมากครับ
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ
ครบถ้วนครับ
เพิ่งไปมาเหมือนกัน แต่ไปฮานอย -ซาปา ปูเสื่อรอชม ฮาลองเบย์ครับ
จากคุณ : iamboythaiขอบคุณครับ.........สำหรับรีวิว
จากคุณ : low batt. [25 ก.ย. 54 23:43:19 ]A:171.4.80.52 X: TicketID:329936
แวะมาชมครับ
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ
ขอบคุณสำหรับพาเที่ยวที่เวียดนามครับ
จากคุณ : Destiny-Boyตามมาเที่ยวฮานอยด้วยคนครับ อยากไปมานานแต่ก็ไม่ได้ไปสักกะที
ดูจากราคา ค่าใช้จ่ายแล้วก็น่าสนใจนะครับ ขอบคุณมากครับที่มารีวิวให้ชมกันจ้า
ขอบคุณรีวิวมากค่ะ เป็นประโยชน์จัง
ไว้จะตามรอยไปบ้างนะคะ ^^
คนรักเวียตนามตามมาชมด้วยคะ
เป็น 3 วัน 3 คืน ที่ได้เห็นของสวยๆ ทังนั้นเลยนะคะ
เดินในเวียตนามบางทีเหมือนเดินในปักกิ่งนะคะ วัดคล้ายๆ กันมากคะ
เวียตนามเขียวขจีมากเลยคะ ขอบคุณนะคะที่นำเรื่องราวของประเทศที่ป้าชอบมาให้ได้ชมคะ
ไปเวียตนามแบบนี้เป็นทางเลือกที่ดูลงตัวดีมากเลยค่ะ ไกด์ก็ดี ไม่ต้องปวดหัวกะการโกงราคาที่นั่นด้วยเนอะ ไว้ต้องขอข้อมูลการติดต่อใช้บริการมั่งนะคะ
ตามมาเที่ยวอีกค่ะ สนุกมาก
ขอถามคุณจขกท.หน่อยครับว่าติดต่อบริษัททัวร์อะไรและติดต่อไกด์ยังไงครับ (อยากได้ไกด์ที่พูดไทยได้)
พอดีจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้วปีหน้า ตอนนี้กำลังเก็บข้อมูลครับ
จะไปหลายวัน ว่าจะไปเว้-ดานัง-ฮอยอันด้วย
ขอถามคุณจขกท.หน่อยครับว่าติดต่อบริษัททัวร์อะไรและติดต่อไกด์ยังไงครับ (อยากได้ไกด์ที่พูดไทยได้)
พอดีจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้วปีหน้า ตอนนี้กำลังเก็บข้อมูลครับ
จะไปหลายวัน ว่าจะไปเว้-ดานัง-ฮอยอันด้วย
ขอถามคุณจขกท.หน่อยครับว่าติดต่อบริษัททัวร์อะไรและติดต่อไกด์ยังไงครับ (อยากได้ไกด์ที่พูดไทยได้)
พอดีจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้วปีหน้า ตอนนี้กำลังเก็บข้อมูลครับ
จะไปหลายวัน ว่าจะไปเว้-ดานัง-ฮอยอันด้วย
ขอถามคุณจขกท.หน่อยครับว่าติดต่อบริษัททัวร์อะไรและติดต่อไกด์ยังไงครับ (อยากได้ไกด์ที่พูดไทยได้)
พอดีจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้วปีหน้า ตอนนี้กำลังเก็บข้อมูลครับ
จะไปหลายวัน ว่าจะไปเว้-ดานัง-ฮอยอันด้วย
ขอถามคุณจขกท.หน่อยครับว่าติดต่อบริษัททัวร์อะไรและติดต่อไกด์ยังไงครับ (อยากได้ไกด์ที่พูดไทยได้)
พอดีจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้วปีหน้า ตอนนี้กำลังเก็บข้อมูลครับ
จะไปหลายวัน ว่าจะไปเว้-ดานัง-ฮอยอันด้วย
โห เพียบเลย
ตะกี้เนตมีปัญหา
ขออภัยครับ
คุณคุณเก็บความลับได้ไหม ...เราใช้บริการทัวร์กรุ๊ปเล็กของเทร็คกิ้งไทยค่ะ
ขอบคุณคุณจขกท.มากครับ
ช่วงนี้กำลังหาข้อมูลอยู่
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ^^
จากคุณ : สามแซ่ขอบคุณสำหรับรีวิวดี ๆ จ้า
จากคุณ : costaricaขอข้อมูลไกด์บ้างสิคะ พอดี พาพ่อแม่สูงอายุไปค่ะ เดินเหินไม่ค่อยไหวหรอก หลังไมค์ก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากมายค่ะ
จากคุณ : โรงเห็ดสีแดง (โรงเห็ดสีแดง)ขอแตกกระทู้นี้ไปเป็นตอนที่ 2 นะคะ
ตามไปได้เลยค่ะ
อ่านรีวิวนี้แล้วฉันคิดถึงเธอจังเวียดนามมมมม
ต้นปีหน้ามีโอกาส ได้ไปเวียดนามอีกแต่ก็เป็นเวียตนามใต้
ไม่ใช่ฮานอยเหมือนที่เคยไป
ผมไปมาเมื่อ ปลายตุลาคม 2554 ยังจำได้ตุ๊กไม้แผงบน ตอนที่ไปเพื่อนผมซื้อมา 100 บาทครับ