ทริปไหว้พระอยุธยา ตามหาพระองค์ดำ (ตอนที่ 1: วัดพนัญเชิงฯ)

หลังจากได้ผ่านพ้น ทริปมหากาพย์อันยืดยาว ที่ไปสุดแคว้นแดนอีสานมาในช่วงสงกรานต์ แล้ว ก็ได้เวลาระบายกระทู้ที่เก็บไว้ในคลังออกมาบ้างละครับ  ช่วงนี้น้ำได้ท่วมแถวๆ ภาคกลางอย่างรุนแรง ซึ่งในปีที่แล้วก็เช่นกัน ได้มีการท่วมเช่นกัน อย่างเช่นที่ตลาดน้ำอโยธยา ที่ท่วมหลังจากผมไปมาไม่กี่วัน ซึ่งเป็นช่วงที่ผมได้ดำเนินการ ค้นหาพระองค์ดำ จากวัดแถวๆ จ.อยุธยา  พอดี

สืบเนื่องมาจากในช่วง ผมเรียนมัธยม (จำไม่ได้ว่าชั้นไหน) ก็คงประมาณ ปี พ.ศ.2521 ถึง 2523 นั่น  ผมได้มีโอกาสติดตามทัวร์ไหว้พระ 9 วัดอยุธยา ซึ่งตอนนั้นผมยังอยู่บ้านเกิดที่ จ.เพชรบูรณ์พอดี  มาตอนกลางคืน มาเช้าที่อยุธยา ไหว้พระจนเย็น ถึงกลับ  เคยถ่ายรูปไว้แต่หาไม่พบ เลยต้องใช้ความทรงจำอันยาวนานกว่า 30 ปี มาตามหาอดีตกัน

ซึ่งผมจำได้ดีว่า มีวัดๆ หนึ่งที่มีพระองค์สีดำ ดูน่ากลัว เวลาเดินอ้อมไปหลังองค์ท่านต้องเบียดกัน เพราะพื้นที่ทางเดินน้อยมาก แถมองค์พระอยู่ใกล้มากแทบจะเอามือเอื้อมไปถึงเข่าท่านได้เลย  แล้วก็มีหลังคาวิหารที่เป็นโครงไม้ระเกะระกะ ผมจำได้แค่นี้  จึงเริ่มคิดตามกัน ตั้งแต่วัดพนัญเชิงวรวิหาร ที่ถือเป็นวัดหนึ่ง ที่จำได้แน่นอน  

ซึ่งวัดนี้ ได้ตั้งอยู่ใกล้กับ จุดรวมแม่น้ำป่าสัก เข้ากับแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย นับเป็นสิ่งที่น่าสนใจ คล้ายๆ กับ ปากน้ำโพ ที่ผมไปมาเมื่อ สงกรานต์นี้เอง ครับ

จากคุณ : mirage_II [27 ก.ย. 54 15:36:33 ]
ความเห็นที่ 1

สวัสดีครับ  ตามไปไห้วพระด้วยคนครับ

จากคุณ : เล็กทาโร่ [27 ก.ย. 54 15:45:06 ]
ความเห็นที่ 2

ก่อนอื่นขอกางแผนที่เดินทางก่อน  แม้ว่าจ.อยุธยาจะเป็นที่รู้จักกันทั่วไปของชาวไทย แต่เพื่อความสะดวกและเข้าใจ ก็ขอลากแผนที่ให้ดูดังแสดงข้างล่างนี้ครับ

เส้นสีแดงคือถนน ซึ่งถ้ามาจากกรุงเทพฯ จะมีถนนสายใหญ่ๆ อยู่ 2 สายคือ ถ.พหลโยธิน ที่มาจาก รังสิต ผ่าน แยกบางปะอิน มาถึง อยุธยาทางทิศตะวันออก  กับสายปทุมธานี-บางปะหันที่ผ่านทางด้านทิศตะวันตกของเมืองอยุธยา ในขณะที่ถนนสองสายนี้ก็มีจุดเชื่อมอยู่เป็นระยะๆ  นอกจากนี้ ยังมีถนนเล็กๆ ที่เลียบแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย ซึ่ง วัดพนัญเชิงฯ นี้ได้ตั้งอยู่ทางใต้ของ เมืองอยุธยา ติดกับถนนเลียบน้ำเจ้าพระยา ไม่ได้อยู่ในเกาะอยุธยา

ซึ่งในแผนที่นี้ได้แสดงเส้นทางแม่น้ำด้วยสีน้ำเงินด้วย ทำให้ทราบว่า ที่จ.อยุธยานี้มีแม่น้ำมารวมกันถึง 3 สาย

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 15:47:59 ]
ความเห็นที่ 3

สวัสดีครับ คุณ เล็กทาโร่ : ด้วยความยินดี กับเพื่อนร่วมทางคนแรกในกระทู้นี้ครับ เชิญติดตามได้ ตามสไตล์ นายมิราชช ครับ

ผมใช้ถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาด้านใต้ เข้ามาครับ เริ่มบันทึกภาพ ตั้งแต่จุดที่เริ่มเห็นหลังคาวิหารครับ  ได้ลุ้นดี

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 15:51:17 ]
ความเห็นที่ 4

ใกล้เข้ามา ถึงวัดแล้ว จะมองเห็นด้านข้างของวัด ที่หันหน้าออกไปทางทิศตะวันออกครับ  ตรงนี้จะมีทางแยกเลี้ยวซ้ายไปเข้าประตูด้านข้างวัด เพื่อแบ่งเบาการจราจร

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 15:58:26 ]
ความเห็นที่ 5

มาเข้าทางด้านหน้าวัด ก็จะเห็นป้ายชื่อวัดอันใหญ่อลังการณ์ พร้อมกับวิหารหลวงพ่อโต ด้วย

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 16:02:24 ]
ความเห็นที่ 6

ติดตามอยู่นะครับ ชอบรีวิวของคุณ ละเอียดดีครับ

จากคุณ : คนมีแฟนขับ (chun_cx) [27 ก.ย. 54 16:07:25 ]
ความเห็นที่ 7

ก่อนเข้าวัดขอนำแผนที่ดาวเทียมมาให้ดูกันชัดๆ จุดที่ผมพาไปชมในวัดตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง ครับ

ซึ่งวันนี้ผมเน้นในวิหารหลวงพ่อโต กับ ท่าน้ำของวัด ที่มีศาลาริมน้ำอันเป็นสิ่งที่ประทับใจผมในชื่อของวัดนี้ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 16:08:20 ]
ความเห็นที่ 8

สวัสดีครับ คุณคนมีแฟนขับ (chun_cx) : ขอบคุณที่ติดตามชมมาตลอด ครับ เป็นการพาเทียวประสบการณ์เสมือนจริง(ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้) นะครับ เผื่อวันหลังผมเองก็จะได้จำได้เช่นกัน

ตอนนี้กำลังผ่านเข้าไป ป้ายชื่อวัดอยู่ด้านซ้าย เห็นตัวคนแล้วเล็กนิดเดียว ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 16:15:15 ]
ความเห็นที่ 9

ขณะผ่านเข้า ขอมองป้ายชื่อวัดอีกครั้ง ส่วนด้านขวาคือป้อมจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชมวัดสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติครับ 20 บาทต่อคนไม่แพงเพื่อทำนุบำรุงวัด ส่วนคนไทยของเราก็ฟรี อยากทำบุญก็บริจาคข้างในกันนะครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 16:23:18 ]
ความเห็นที่ 10

เข้ามาแล้วก็หันหลังกับไปมองด้านหลังป้ายอีกหน่อย มีคำส่งท้ายยอดนิยมให้ด้วยครับ  ด้านซ้ายมือตามแนวกำแพงวัดก็คือร้านค้าของที่ระลึกครับ สำหรับผมอุดหนุนของกินเท่านั้น เพราะไม่ค่อยมีตังค์ อิอิ..

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 16:29:51 ]
ความเห็นที่ 11

ข้างหน้าผม ก็คือศาลสีขาว หลังคาทรงสูง อันเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อประทานพร ตรงด้านหน้าวัด ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 16:38:03 ]
ความเห็นที่ 12

เข้าไปไหว้หลวงพ่อโตในวิหารดีกว่าครับ ผมเลือกเข้าด้านข้าง เพราะด้านหน้าคนแน่นมากจริงๆ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 16:39:54 ]
ความเห็นที่ 13

ภาพล่าง : เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูรั้ววิหารเข้าไป ก็จะเห็นกระถางธูปให้ปัก ก่อนเข้าวิหาร เพราะทางวัดได้ห้ามนำธูปเข้าในข้างใน เหมือนดังวัดอื่นๆ เพื่อรักษาโบราณวัตถุ (มาครั้งก่อน ได้เข้าไปปักธูปข้างในด้วย ควันธูปคลุ้งเต็มวิหารไปหมด)

ภาพบน : กำลังจะเข้าวิหารแล้ว เป็นช่วงต่อระหว่างศาลาด้านหน้าวิหารครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 16:44:56 ]
ความเห็นที่ 14

ตามไปด้วย 2 คนนะคะ จุ๊บๆ

จากคุณ : คุณนายช่างคอม [27 ก.ย. 54 16:45:31 ]
ความเห็นที่ 15

ตามมาไหว้เข้าวัด ไหว้พระ ด้วยครับท่านเจ้ากรมฯ

จากคุณ : tiger's nest [27 ก.ย. 54 16:45:32 ]
ความเห็นที่ 16

ตามติดด้วยคนนะครับ

จากคุณ : ลุงแบกเป้ (ลุงแบกเป้) [27 ก.ย. 54 16:45:35 ]
ความเห็นที่ 17

มาถึงประตูทางเข้าวิหาร โอ้โฮ..อะไรกัน ผู้คนมากมายยืนเรียงกันล้นออกมาเลย สังเกตุดีๆ มีผ้าเหลืองทอดยาวออกมาด้วย  อ๋อ..เขากำลังทำพิธีห่มผ้าหลวงพ่อโตอยู่ ผมเลยได้ร่วมพิธีไปกับเขาด้วย (พร้อมๆ กับความพยายามที่จะถ่ายภาพ)

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 16:48:42 ]
ความเห็นที่ 18

สวัสดีครับ คุณคุณนายช่างคอม, คุณtiger's nest และคุณลุงแบกเป้ (ลุงแบกเป้)  ทยอยกันเข้ามาชม วัดพนัญเชิงในอีกบรรยากาศครับ (พอดีไปวันแม่ เลยมีคนมาเยอะมากๆ)

หลังเสร็จพิธีห่มผ้าในรอบนี้ (แบ่งเป็นรอบๆ) ก็เตรียมเข้าไปข้างในกัน ต้องรอให้คนข้างในออกมาหน่อย เลยเก็บภาพองค์พระหลวงพ่อโตจากด้านนอกไปพลางๆ  ช่างใหญ่โตสมชื่อจริงๆ ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 16:58:19 ]
ความเห็นที่ 19

เข้ามาได้แล้ว คนแน่นมากตรงด้านหน้าองค์พระ ขอสักภาพสำหรับความงดงามที่ยิ่งใหญ่ ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 17:00:07 ]
ความเห็นที่ 20

ตรงด้านหน้านี้ แหงนดูหลังคาด้านซ้ายและขวา ซึ่งเป็นภาพโครงหลังคาที่อยู่ในความทรงจำผม ในทริปอดีตครั้งนั้นแน่นอน เพียงแต่ไม่สวยเหมือนปัจจุบันนี้ เป็นโครงไม้เก่าๆ ที่คล้ำไปด้วยควันธูป ครับ

มององค์พระยืนทั้งซ้ายและขวา อันเป็นที่นิยมของวัดไทยหลายแห่งครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 17:19:19 ]
ความเห็นที่ 21

ต้องขออภัยกดโพสซ้ำ เพราะเน็ตช้าครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 17:22:07 ]
ความเห็นที่ 22

แหงนขึ้นไปดูเพดานเหนือเศียรพระ มีแนวโครงไม้พาดขวางลงมาพอดี ทำให้ไม้อันล่างสุดต้องตัดออกเพื่อมิให้บดบังยอดเศียรพระ ครับ

งดงามมากกับการทำลวดลายบนเพดานวิหารแห่งนี้ ทั้งๆ ที่อยู่สูงมากๆ ลำพังแค่องค์พระก็สูง 19 เมตรแล้ว!

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 17:30:41 ]
ความเห็นที่ 23

มาเดินด้านข้างองค์พระ ด้านซ้ายกัน (ยืนหันหน้าเข้าหาองค์พระนะครับ) มีสิ่งที่น่าสนใจเยอะพอควร ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 17:34:05 ]
ความเห็นที่ 24

ตรงนี้มีแผ่นป้ายข้อมูลที่สำคัญมากมายครับ บังเอิญผมไม่ค่อยมีเวลาเลยไม่ได้เข้าไปเก็บรายละเอียด (ถ้าสนใจก็มาดูด้วยตาตัวเองได้เลยครับ)

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 18:02:21 ]
ความเห็นที่ 25

ตอนนี้ผมเดินมาถึงด้านหลังองค์พระหลวงพ่อโตแล้วครับ  ด้วยความสงสัยว่า ทางเดินด้านหลังมีขนาดความกว้างแค่ไหน เพราะจำได้ว่ามาครั้งก่อนตอนนั้น ช่างแคบมากๆ คนเดินหลีกกันไม่พ้น แต่ดูๆ แล้วไม่น่าจะใช่ที่วัดนี้แน่นอน  จำได้แค่โครงหลังคาเท่านั้น เพราะไปกันหลายวัด ผมเลยอาจจำปนเปกันได้

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 18:06:10 ]
ความเห็นที่ 26

ภาพซ้าย : นี่เป็นทางเดินด้านหลังองค์พระ ตอนนี้เดินไม่ได้เพราะมีจีวรที่เข้าพิธีห่มผ้ากองอยู่เต็มไปหมดครับ

ภาพขวา : มองกลับไปทางที่เดินเข้ามา ภาพนี้ทำให้มองเห็นว่าเสาวิหารใหญ่จริงๆนะครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 18:11:26 ]
ความเห็นที่ 27

ไปไหว้พระด้วยคนค่ะ

จากคุณ : บูตะ กะ กิมจิ [27 ก.ย. 54 18:27:03 ]
ความเห็นที่ 28

ผนังวิหารด้านหลังก่อนเดินผ่านประตูออกไปข้างนอก มีแผ่นป้ายประวัติศาสตร์ของวัดแห่งนี้ครับ

อ่านแล้วทำให้ทราบว่า เมืองอโยธยา เป็นคนละเมืองกับกรุงศรีอยุธยา  เมืองอโยธยาได้มีมานานแล้ว สมัยขอมปกครองแถบนี้ ซึ่งเป็นเมืองที่สร้างขึ้นมาแทนเมืองละโว้ (ลพบุรี) ประมาณปี พ.ศ.1630  ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก (ในขณะที่กรุงศรีอยุธยานั้นอยู่ด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำป่าสัก ซึ่งคล้ายเกาะ อย่างที่เราทราบกันในปัจจุบัน)

ในสมัย พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นเจ้าเมืองอโยธยา (พ.ศ.1654 - 1708  คือ ก่อนที่มีการสถาปนากรุงสุโขทัย ในปี พ.ศ.1780 ด้วยซ้ำ) ก็ได้เกิดเรื่องราว พระนางสร้อยดอกหมาก ราชบุตรีบุญธรรมพระเจ้ากรุงจีน (น่าจะเป็นสมเด็จเจ้าจักรพรรดิ ซ่งเกา ที่ปกครองในช่วงปี พ.ศ.1670 - 1705 ) ที่ได้เป็นมเหสี ของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ระหว่างพระองค์ท่านไปเที่ยวเมืองจีน  ต่อมาท่านได้พานางกลับ เมืองอโยธยา จนมาถึงเกาะพระตรงปากน้ำแม่เบี้ยท้ายเมือง ก็หยุดเรือ และขอเข้าไปจัดขบวนมารับนางอีกที ซึ่งเนื่องจากมีงานค้างอยู่เยอะ พระองค์ท่านจึงให้อำมาตย์นำขบวนที่ออกมารับ ทำให้พระนางสร้อยดอกหมาก น้อยใจว่าฝ่าอันตรายมาจากเมืองจีนแต่ไกล กลับไม่ออกมารับด้วยตนเอง ไม่เข้าเมือง  จนรุ่งเช้า พระเจ้าสายน้ำผึ้งได้เสด็จออกมารับเอง เลยโดนตัดพ้อจาก พระนางสร้อยดอกหมาก  พระองค์ท่านเลยแกล้งหยอกเย้าว่า "ไม่ไปก็อยู่ที่นี่เถิด" พระนางเลยเสียใจ กลั้นใจตายตรงนั้น  พระองค์ท่านตกใจและเสียใจมาก เลยอัญเชิญพระศพนางขึ้นมาพระราชทานเพลิงศพตรงแหลมบางกะจะ แล้วสร้างเป็นวัดชื่อ "วัดพระนางเชิญ" หรือวัด "แพนงเชิญ" (ที่มาของคำว่า แพนง ก็คือ การนั่งขัดสมาธิ ซึ่งอาจมาจากลักษณะปางของหลวงพ่อโต หรือไม่ ก็การนั่งของพระนางสร้อยดอกหมากที่ไม่ยอมขึ้นเรือ)  ซึ่งในปัจจุบันก็คือวัดแห่งนี้นั่นเอง

ส่วนองค์หลวงพ่อโตนั้น สมเด็จพระเอกาทศรถ เป็นผู้สร้างในภายหลัง ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะเป็นราชธานี 26 ปี (พ.ศ.1867 คือช่วงนั้น กรุงสุโขทัยยังเป็นราชธานีอยู่ เพราะสถาปนากรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ.1893) เพื่อเป็อนุสรณ์แด่พระเจ้าสายน้ำผึ้งที่เป็นปู่ของพระองค์

แหม..ประวัติศาตร์นี้ค้นจากเน็ตแล้วเพลินจริงๆ เหมือนกับการสืบสวนอะไรเลยครับ

ที่มาโดยละเอียดนี้จากเว็บ somboon.info ครับ
http://www.somboon.info/wizContent.asp?wizConID=201&txtmMenu_ID=7

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 18:45:56 ]
ความเห็นที่ 29

เอาพื้นที่เมืองอโยธยาเก่ามาให้ดูกันหน่อย (เป็นแผนที่ ที่ผมลากไว้ตอนไปเที่ยวตลาดน้ำอโยธยา ครับ) เป็นพื้นที่ด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก ตั้งแต่ วัดมเหยงค์ ถึง วัดพนัญเชิง (รวมวัดใหญ่ชัยมงคลด้วย)

ส่วนชื่อ พระนางสร้อยดอกหมาก นั้นมีที่มาว่า พระนางเกิดในจั่นหมาก (คาดว่ามีคนนำมาทิ้งไว้)

และชื่อ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ก็คือ อภินิหารของพระองค์เมื่อคราวเสด็จประพาส มาถึงหัวแหลมวัดปากคลอง ได้มีรังผึ้งบนอกไก่ใต้ช่อฟ้าหน้าบันของโบสถ์จึงทรงดำริว่า “จะขอนมัสการพระพุทธปฏิมากร ด้วยเดชะบุญญาภิสังขารของเรา เพื่อจะได้ครองไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ ขอให้น้ำผึ้งหยดลงมากลั้ว...” เมื่อตรัสจบน้ำผึ้งก็หยดลงมาจริงๆ  พระองค์ท่านเลยได้พระนาม ดังนี้ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 18:56:24 ]
ความเห็นที่ 30

สวัสดีครับ คุณบูตะ กะ กิมจิ : ด้วยความยินดีครับ

ผมเดินเลยออกมาทางประตูด้านหลังวิหาร เพราะเดินอ้อมด้านหลังองค์พระไม่ได้ ก็เลยต้องออกมาเข้าประตูอีกด้านแทน

ก็ได้พบกับแท่นบูชาพระ และเจดีย์บรรจุพระพุทธรูปข้างในครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 18:59:43 ]
ความเห็นที่ 31

ได้ลองเดินไปประตูด้านขวา (ยืนมองเข้าหาองค์พระด้านหน้า) พบว่ามีคนกำลังทำงาน พับผ้าห่มองค์พระเต็มไปหมด เลยไม่กล้าเข้าไปยุ่ง ต้องเดินกลับทางประตูเดิมครับ

ก่อนกลับได้เก็บภาพกรอบลายไทย 2 อันด้านหลังวิหารมาด้วยครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 19:02:29 ]
ความเห็นที่ 32

ภาพขวา : มีกลอง 2 ใบวางซ้อนกันอยู่ ที่ผนังวิหาร (คงเห็นแล้วในภาพคห.23) เห็นมีคนอธิษฐานแล้วตีกันเยอะเหมือนกัน

ภาพซ้าย : ผมเดินกลับมาถึง ด้านหน้าวิหารแล้ว มองเห็นหน้าต่างสวยๆ ก็เก็บภาพไว้ (แต่ไม่ค่อยชัดเพราะแสงน้อย คนเดินขวักไขว่ ต้องหลบไปหลบมาบ่อยๆ)

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 19:06:45 ]
ความเห็นที่ 33

ก่อนกลับออกมา ขอเก็บภาพ เจ้าหน้าที่ห่มผ้าหลวงพ่อโต ครับ  ตัวเล็กนิดเดียวเมื่อยู่บนโน้นครับ

กับบรรยากาศด้านหน้าองค์พระที่ยังแน่นขนัด จนยากที่จะเดินไปอีกด้านได้

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 19:12:11 ]
ความเห็นที่ 34

พอดีได้บันทึกเป็นคลิ๊ปด้วย แสดงถึงบรรยากาศในวิหารหลวงพ่อโตครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 19:14:39 ]
ความเห็นที่ 35

ผมเดินกลับออกมาทางด้านข้างวิหาร(ทางเดิม) ทั้งรถทั้งคนเยอะมากๆ ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 19:18:11 ]
ความเห็นที่ 36

อุ๊ย... มีเน้นข้อความด้วย สงสัยเป็นครูมาก่อนแน่ ๆ กะพริบตา

จากคุณ : tiger's nest [27 ก.ย. 54 19:19:30 ]
ความเห็นที่ 37

เดินมาทางท่าน้ำดีกว่า  มาคราวก่อนไม่ได้มาท่าน้ำเลย  ระหว่างเดินก็ผ่านด้านหน้าวิหาร เหลือบเห็นรถตุ๊กๆ หน้ากบ จอดอยู่ มีประตูดูดีมากเหมือนรถกระป๋องที่กรุงเทพฯเลย

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 19:20:05 ]
ความเห็นที่ 38

คุณ tiger's nest : หามิได้ครับ ผมไม่เคยเป็นครู แต่เคยอยากเป็นครูครับ เพราะสมัยเด็กๆ เห็นว่าครูสอนไม่รู้เรื่องก็อยากจะสอนเองให้เด็กรุ่นหลังเข้าใจ แต่ยังไม่มีโอกาส เพราะทำงานคนละสายงานครับ

มาต่อกัน  แวะเข้าไปดูแท่นบูชาด้านหน้าวิหารหน่อย(ภาพซ้าย) เป็นแนวการไหว้แบบจีนครับ  หลังจากนั้นก็เดินต่อไป ผ่านหน้าศาลเจ้าองค์เทพ ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 19:24:39 ]
ความเห็นที่ 39

ด้วยความที่ ตอนนั้นไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ที่นี่ก่อนเลยไม่รู้จัก พระนางสร้อยดอกหมาก ทำให้พลาดเก็บภาพศาลของพระนางไปได้  กลับมาค้นหาก็ไม่เจอว่าเป็นศาลไหน และตั้งอยู่ตรงไหน ใครทราบก็ช่วยบอกมาด้วยนะครับ

ตรงหน้าศาลเจ้าองค์เทพ มีรูปหล่อทองแดง 4 องค์ ของท้าวจตุโลกบาล ดูน่าเกรงขามมากครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 19:37:33 ]
ความเห็นที่ 40

เลยศาลเจ้ามา ก็เป็นประตูทางเข้าวิหารด้านข้างอีกฝั่งหนึ่ง  ตรงทางเข้ามีสำเภาจีนทำด้วยหยก แกะลวดลายงดงามยิ่งใหญ่มากครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 19:42:06 ]
ความเห็นที่ 41

ถึงเวลาชมวิวท่าน้ำแล้วครับ   ผมเดินมาถึงท่าน้ำแรก  เป็นท่าน้ำที่ไม่มีโป๊ะเทียบเรือครับ ลงไปชมวิว สูดอากาศกันหน่อยครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 19:45:46 ]
ความเห็นที่ 42

ภาพซ้าย : ลงไปแล้วหันกลับมามองศาลาท่าน้ำข้างบนครับ สังเกตุดีๆ จะเห็นปี พ.ศ.ที่พิมพ์ติดอยู่ภายในศาลา คือปีที่มีการลงรักปิดทององค์หลวงพ่อโต ซึ่งคงมีการปรับปรุงศาลาท่าน้ำแห่งนี้ไปด้วยครับ

ภาพขวา : มองไปทางทิศตะวันตก จะเห็นศาลาท่าน้ำเรียงรายกันไปครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 19:52:51 ]
ความเห็นที่ 43

เดินกลับขึ้นมา ได้เห็นกุฏิเรือนไทยขนาดใหญ่เรียงรายกันไป น่าสนครับ เพราะผมยังไม่เคยเดินมาแถวนี้เลย

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 19:55:46 ]
ความเห็นที่ 44

พระนางสร้อยดอกหมากทำไมช่างแสนงอนจัง... อิอิอิ

ในโบสถ์คนเยอะมากค่ะ   ถ้าไปเบียดเองต้องเป็นลมแน่ๆ  ดีที่คุณมิราชชพาเที่ยวนะเนี่ย.... haha

จากคุณ : ป้าฟู [27 ก.ย. 54 20:02:37 ]
ความเห็นที่ 45

ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ

จากคุณ : tonhok [27 ก.ย. 54 20:54:47 ]
ความเห็นที่ 46

เจสัน

แวะมาชมครับ ๖ามไปเที่ยวด้วยคน

ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ

กิ๊ฟเดือนนี้หมดแล้ว ผมให้ มอบรัก แทนนะครับ

จากคุณ : กัปตันลูกชุบ [27 ก.ย. 54 20:59:53 ]
ความเห็นที่ 47

สวัสดีครับ คุณป้าฟู :  ผมเสียเวลาไปค้นหาประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา กรุงสุโขทัย ขอม และละโว้ เสียนาน เพราะมีความเกี่ยวพันทับซ้อนกันพอสมควร เพราะเมืองอโยธยานั้นเกิดมาตั้งแต่สมัยขอมปกครองอยู่ จนมีการสถาปนากรุงสุโขทัย เมืองอโยธยาจึงได้ถูกปลดปล่อยจากขอม และในที่สุด เมืองอโยธยาก็ เข้มแข็งจนสามารถยึดอำนาจจาก กรุงสุโขทัย ตั้งตัวเป็นราชธานีแทน แล้วสร้างเมืองใหม่ ที่เกาะประวัติศาสตร์อยุธยาในปัจจุบันนั่นเอง

ผมคิดว่า เรื่องความใจน้อยของพระนางสร้อยดอกหมากนี่ อาจเป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ได้ เพราะจะว่าไปแล้ว ก็ดูแปลกๆ ที่พระเจ้าสายน้ำผึ้งไม่ยอมให้พระนางขึ้นฝั่งไปพร้อมๆกับ พระองค์เอง บอกว่ามีราชกิจ แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ... มีอะไรปิดบังอยู่หรือไม่ คล้ายกับ ตอนที่เราจะพาแฟนไปเที่ยวบ้าน อยู่ๆ บอกให้แฟนรอในรถ แล้วเราขอเข้าไปจัดบ้านก่อน  มีอะไรที่ต้องปิดบังหรือเปล่า

ตรงนี้แหละครับ  ที่ผมคิดว่า พระนางสร้อยดอกหมาก กังวลคิดไปต่างๆ นาๆ ครับ ยิ่งพอมาเจอคำพูดล้อเล่นด้วย อาจพาลคิดสั้นได้ง่ายๆ หรือไม่ก็อาจมีการทะเลาะกันจนพลาดพลั้งเสียชีวิตก็ได้ ใครจะไปทราบ เพราะประวัติศาสตร์ ได้ถูกบันทึกโดยคนผู้มีอำนาจในสมัยนั้นๆเสมอครับ จบแบบนี้ดูดีกว่าแบบอื่นเป็นไหนๆ...   พระราชทรัพย์สินมากมาย อยู่แค่เอื้อม ทำไมพระนางท่านจึงไม่ลองขึ้นไปแวะชมก่อน  ถ้าจะคิดในแง่ร้าย  บนฝั่งในพระราชวังมีใครคอยสกัดกั้นมิให้พระนางขึ้นฝั่งได้....  ก็คิดกันไปต่างๆ นาๆ ตามประสาโลกสมัยใหม่ ที่เน้นในเรื่องข้อเท็จจริงนะครับ

มาต่อกันครับ  ข้างหน้าผมเป็นกุฏิเรือนไทยขนาดใหญ่หลังแรกครับ เป็นของอดีตเจ้าอาวาส คนก่อนๆ ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:10:46 ]
ความเห็นที่ 48

สวัสดีครับ คุณtonhok และคุณกัปตันลูกชุบ : ขอบคุณเช่นกันครับ

เดินต่อมาก็เป็นศาลาเรือนไทยขนาดใหญ่ ที่ดูไม่น่าจะเป็นกุฏิสงฆ์ (แต่ไม่แน่เหมือนกัน..เพราะไม่มีป้ายใดๆ บอกไว้ข้างหน้า) แต่ให้ชมความสวยงามก็แล้วกันครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:13:11 ]
ความเห็นที่ 49

ถัดมาเป็นลำดับสาม เป็นศาลาเรือนไทยขนาดใหญ่เช่นเคย แต่มีป้ายบอกข้างหน้า ว่าเป็นกุฏิเฉลิมพระเกียรติฯ ครับ  ถ้าได้มาจำพรรษาวัดนี้คงสบายไม่น้อย

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:15:39 ]
ความเห็นที่ 50

ถัดมาอีก หลังที่สี่ โอ้โฮ...คราวนี้ งามดั่งปราสาทเลยครับ สวยจริงๆ  เชื่อว่าหลายคนคงเดินมาไม่ถึงตรงนี้ ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:17:13 ]
ความเห็นที่ 51

ด้านหน้า กุฏิมีรูปปั้น ธรรมจักร ด้วย อดใจไม่ได้ต้องเก็บภาพมาให้ชมกัน

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:18:11 ]
ความเห็นที่ 52

เดินมาถึงทางโค้งซ้าย เลียบไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาข้างหน้า   มองไปทางขวามือก็คือศาลาท่าน้ำหลังสุดท้าย (หลังที่ 5 ถ้านับรวมศาลาในแพข้างล่างด้วย) ถึงจุดสำคัญที่ผมต้องลงไปชมวิวแม่น้ำที่มาบรรจบกันละครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:20:13 ]
ความเห็นที่ 53

เดินผ่านศาลาออกมา ก็ได้เห็นวิวอย่างที่ต้องการ (เก็บภาพแบบมุมกว้างมาให้ชมกันเลย)  เป็นจุดที่แม่น้ำป่าสักไหลมารวมกับแม่น้ำเจ้าพระยา ครับ คิดว่าหลายคนคงไม่ทราบ แม้กระทั่งตัวผมเองก็เพิ่งทราบก่อนมาที่นี่เหมือนกัน

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:22:20 ]
ความเห็นที่ 54

ซูมภาพจุดรวมแม่น้ำมาดูใกล้ๆ  เป็นเวิ้งน้ำที่กว้าง น่ากลัวเหมือนกัน (โดยเฉพาะคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น)

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:23:54 ]
ความเห็นที่ 55

มองมาทางขวามือ ซึ่งเป็นแนวท่าน้ำ ที่เรียงรายย้อนไปยังศาลาท่าน้ำอันแรก ในภาพจะเห็นศาลาที่ 3 ที่อยู่ในแพข้างล่าง  ที่มีการให้อาหารปลาด้วย แต่ผมไม่ได้แวะลงไปดูใกล้ๆ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:26:57 ]
ความเห็นที่ 56

นี่เป็นคลิ๊ปวิดีโอ ที่เก็บบรรยากาศท่าน้ำ ซึ่งพอดีมีเรือพ่วงผ่านมาพอดี

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:28:00 ]
ความเห็นที่ 57

เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับแม่น้ำ ก็ขอนำภาพถ่ายดาวเทียมมาให้ชมกันอีกครั้งครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:28:53 ]
ความเห็นที่ 58

หันกลับมาดูศาลาท่าน้ำข้างบน ครับ จะมองเห็นกุฏิเรือนไทยสวยอยู่ข้างหลังด้วยครับ

ท่าน้ำแห่งนี้ไม่มีโป๊ะเทียบเรือ เหมือนกับ ท่าน้ำแรกครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:31:50 ]
ความเห็นที่ 59

ผมมองไปทางหัวมุมตลิ่ง เห็นพื้นข้างล่างใกล้ผิวน้ำพอจะเดินไปได้  ลองเดินทางนี้ไปดีกว่า เผื่อจะได้เห็นมุมมองจุดรวมแม่น้ำได้แตกต่างจากเดิมครับ (แบบว่า มีตื่นเต้น ซนๆ แบบเด็กๆ หน่อย..ฮิฮิ)

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:33:50 ]
ความเห็นที่ 60

ผมเดินไปถึงหัวโค้งริมตลิ่งก็หันมาเก็บภาพจุดรวมแม่น้ำอีกครั้ง  ตรงจุดนี้จะมองเห็นกำแพงเมืองอยุธยาอยู่ข้างหน้า มีชื่อว่า "ป้อมเพชร" ครับ

ในช่วงนั้นระดับน้ำไม่มากนัก เลยเดินได้ ถ้าเป็นช่วงเวลานี้(กย.54) จะไม่สามารถลงไปเดินได้ เผลอๆ อาจท่วมมาถึงศาลาท่าน้ำเลย

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:37:01 ]
ความเห็นที่ 61

รูปขวา : เดินเลยโค้งมาเล็กน้อยก็มีบันไดขึ้นกลับมาบนถนนข้างบนอีกครั้ง ข้างหน้าถ้าเลยไปอีกก็เป็นท่าน้ำแห่งที่ 6 อันมีโป๊ะเทียบเรือด้วย เป็นท่าเรือใหม่ ที่อยู่ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพียงแห่งเดียวครับ

รูปซ้าย : มองกลับไปทางศาลาท่าน้ำที่ผ่านมา เป็นทางโค้งเดินกลับไป (กลับกันกับรูปซ้ายในคห.52)

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:40:28 ]
ความเห็นที่ 62

ผมเดินมาถึงศาลาท่าน้ำที่ 5 มองเห็นไปถึงศาลาที่ 1 ไกลๆโน้นได้เลยครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:44:48 ]
ความเห็นที่ 63

ละเอียดมากครับ ขอไปด้วยคนนะครับ.......ขอบคุณครับ

จากคุณ : low batt. [27 ก.ย. 54 21:45:00 ]A:223.206.116.60 X: TicketID:329936
ความเห็นที่ 64

สวัสดีครับ คุณ low batt. : ใกล้จะจบ แล้วครับ เชิญติดตามต่อได้เลยครับ

ตรงจุดนี้ (ใกล้ ถังประปา) มองผ่านรั้วออกไปข้างนอก ซูมภาพดึงเข้ามาจะเห็น สามแยกน้ำในอีกมุมมองหนึ่งครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:46:48 ]
ความเห็นที่ 65

ในที่สุดก็มาถึงภาพสุดท้ายของกระทู้ตอนนี้ครับ เป็นภาพเสาไฟฟ้าริมถนน ที่สร้างได้วิจิตรตระการตา เป็นรูปเศียรช้าง 4 เศียร โดยตัวโคมได้ทำเป็นคานยื่นออกไปข้างล่างครับ สมดังเมืองเก่า กรุงศรีอยุธยา เลยครับ

สรุปคือ วัดแรกก็ยังไม่พบพระองค์ดำอย่างที่ตั้งใจไว้ ต้องไปค้นหาต่อในตอนที่สอง ครับ คอยติดตามชมได้เร็วๆ นี้ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [27 ก.ย. 54 21:53:21 ]
ความเห็นที่ 66

สวัสดีครับ ตามมาไหวพระด้วยเจ้า 5555 ((ติดมาจาก..รอยไหม)) ข้ิอมูลแน่นมากเลยครับ ใครอยากตามรอยนี่ สบายเลย เยี่ยมๆ


สำหรับวัดพนัญเชิง นี่ผมเคยไปสมัยเรียนมหา'ลัยเลยครับ ผ่านมาไม่กี่ปีเอง อิ..อิ.. ขอบคุณสำหรับรีวิวด้วยนะครับผม


เลิฟ

จากคุณ : P.S. i love you [27 ก.ย. 54 22:32:57 ]
ความเห็นที่ 67

ขอบคุณมากครับไปวัดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อ 3 ปีที่แล้วได้ครับค่อยข้างนานเหมือนกัน
ถ้ากลับไปอยุธยาอีกวัดนี้คงพลาดไม่ได้

จากคุณ : Destiny-Boy [28 ก.ย. 54 00:10:15 ]
ความเห็นที่ 68

ขอบคุณรีวิวสวยและแนะนำได้ละเอียดมาก ต้องไปดูศาลาไทยบ้างแล้ว สวยมากค่ะ

จากคุณ : pchamaip [28 ก.ย. 54 07:05:48 ]
ความเห็นที่ 69

สวัสดีครับ คุณP.S. i love you : ด้วยความยินดีครับ นี่ก็ติดละคร "รอยไหม" เหมือนกันนะครับ นอกจากมีวัฒนธรรมทางเหนือแล้วก็มีเพลงบรรเลงเพราะๆ ให้ฟังด้วย ทำให้นึกถึงตอนสมัยที่เรียน มช.  อยากไปแอ่วเจียงใหม่อีกจังเลย แต่ช่วงนี้ยังไม่มีเวลาครับ

สวัสดีครับ คุณDestiny-Boy  : ขอบคุณเช่นกัน โดยเฉพาะกิฟท์ให้กำลังใจครับ  สำหรับวัดพนัญเชิงนี้ ถือว่าเป็นวัดหลักๆ ที่เมื่อไป อยุธยาต้องแวะครับ เพราะหลวงพ่อโต เป็นที่นับถืออย่างมาก และองค์ท่านก็มีขนาดใหญ่ที่สุด ใน จ.อยุธยาเลยครับ

สวัสดีครับ  คุณpchamaip : ขอบคุณเช่นกันครับ  ยังมีศาลาไทยต่อไปอีก 2 - 3 หลัง แต่ผมไม่ได้เก็บภาพมา เพราะไม่ได้ตั้งใจไว้แต่แรก ความตั้งใจคือมา ค้นหาทบทวนความทรงจำในทริปอดีตเมื่อ 30 ปีที่แล้ว กับมาชมจุดรวมแม่น้ำ ครับ

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [28 ก.ย. 54 10:20:46 ]
ความเห็นที่ 70

งามอย่างไทยจริงๆครับ

จากคุณ : ลุงแบกเป้ [28 ก.ย. 54 12:00:31 ]
ความเห็นที่ 71

งดงามมากๆค่ะ  ลูกสาว

จากคุณ : สาวหน้าใส [28 ก.ย. 54 22:49:49 ]
ความเห็นที่ 72

คุณลุงแบกเป้ : นี่แหละครับ มรดกวัฒนธรรมของไทยเราที่ควรส่งเสริม นับเป็นความภูมิใจที่มีมาแต่อดีตครับ  นานๆ คนไทยอย่างเราจะได้ไปเชยชมสักที พวกฝรั่งต้องนั่งเครื่องบินลัดฟ้ามาแสนไกล เพื่อมาได้เห็น แถมยังต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมด้วย ครับ

สวัสดีคุณ สาวหน้าใส : ด้วยความยินดีครับ

ข้อสรุปในตอนแรกก็คือยังไม่พบ พระ องค์(สี)ดำ  วันนี้จึงต้องมาต่อกันในตอนที่ 2 ครับ
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11147364/E11147364.html

จากคุณ : มิราชช (mirage_II) [3 ต.ค. 54 11:39:42 ]
ความเห็นที่ 73

ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ^^

จากคุณ : สามแซ่ [3 ต.ค. 54 16:32:08 ]
ความเห็นที่ 74

ตามมาชมครับ

จากคุณ : สุดท้ายตรงไหน [วันออกพรรษา 54 12:33:08 ]