หลังจากได้ผ่านพ้น ทริปมหากาพย์อันยืดยาว ที่ไปสุดแคว้นแดนอีสานมาในช่วงสงกรานต์ แล้ว ก็ได้เวลาระบายกระทู้ที่เก็บไว้ในคลังออกมาบ้างละครับ ช่วงนี้น้ำได้ท่วมแถวๆ ภาคกลางอย่างรุนแรง ซึ่งในปีที่แล้วก็เช่นกัน ได้มีการท่วมเช่นกัน อย่างเช่นที่ตลาดน้ำอโยธยา ที่ท่วมหลังจากผมไปมาไม่กี่วัน ซึ่งเป็นช่วงที่ผมได้ดำเนินการ ค้นหาพระองค์ดำ จากวัดแถวๆ จ.อยุธยา พอดี
สืบเนื่องมาจากในช่วง ผมเรียนมัธยม (จำไม่ได้ว่าชั้นไหน) ก็คงประมาณ ปี พ.ศ.2521 ถึง 2523 นั่น ผมได้มีโอกาสติดตามทัวร์ไหว้พระ 9 วัดอยุธยา ซึ่งตอนนั้นผมยังอยู่บ้านเกิดที่ จ.เพชรบูรณ์พอดี มาตอนกลางคืน มาเช้าที่อยุธยา ไหว้พระจนเย็น ถึงกลับ เคยถ่ายรูปไว้แต่หาไม่พบ เลยต้องใช้ความทรงจำอันยาวนานกว่า 30 ปี มาตามหาอดีตกัน
ซึ่งผมจำได้ดีว่า มีวัดๆ หนึ่งที่มีพระองค์สีดำ ดูน่ากลัว เวลาเดินอ้อมไปหลังองค์ท่านต้องเบียดกัน เพราะพื้นที่ทางเดินน้อยมาก แถมองค์พระอยู่ใกล้มากแทบจะเอามือเอื้อมไปถึงเข่าท่านได้เลย แล้วก็มีหลังคาวิหารที่เป็นโครงไม้ระเกะระกะ ผมจำได้แค่นี้ จึงเริ่มคิดตามกัน ตั้งแต่วัดพนัญเชิงวรวิหาร ที่ถือเป็นวัดหนึ่ง ที่จำได้แน่นอน
ซึ่งวัดนี้ ได้ตั้งอยู่ใกล้กับ จุดรวมแม่น้ำป่าสัก เข้ากับแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย นับเป็นสิ่งที่น่าสนใจ คล้ายๆ กับ ปากน้ำโพ ที่ผมไปมาเมื่อ สงกรานต์นี้เอง ครับ
สวัสดีครับ ตามไปไห้วพระด้วยคนครับ
จากคุณ : เล็กทาโร่ก่อนอื่นขอกางแผนที่เดินทางก่อน แม้ว่าจ.อยุธยาจะเป็นที่รู้จักกันทั่วไปของชาวไทย แต่เพื่อความสะดวกและเข้าใจ ก็ขอลากแผนที่ให้ดูดังแสดงข้างล่างนี้ครับ
เส้นสีแดงคือถนน ซึ่งถ้ามาจากกรุงเทพฯ จะมีถนนสายใหญ่ๆ อยู่ 2 สายคือ ถ.พหลโยธิน ที่มาจาก รังสิต ผ่าน แยกบางปะอิน มาถึง อยุธยาทางทิศตะวันออก กับสายปทุมธานี-บางปะหันที่ผ่านทางด้านทิศตะวันตกของเมืองอยุธยา ในขณะที่ถนนสองสายนี้ก็มีจุดเชื่อมอยู่เป็นระยะๆ นอกจากนี้ ยังมีถนนเล็กๆ ที่เลียบแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย ซึ่ง วัดพนัญเชิงฯ นี้ได้ตั้งอยู่ทางใต้ของ เมืองอยุธยา ติดกับถนนเลียบน้ำเจ้าพระยา ไม่ได้อยู่ในเกาะอยุธยา
ซึ่งในแผนที่นี้ได้แสดงเส้นทางแม่น้ำด้วยสีน้ำเงินด้วย ทำให้ทราบว่า ที่จ.อยุธยานี้มีแม่น้ำมารวมกันถึง 3 สาย
สวัสดีครับ คุณ เล็กทาโร่ : ด้วยความยินดี กับเพื่อนร่วมทางคนแรกในกระทู้นี้ครับ เชิญติดตามได้ ตามสไตล์ นายมิราชช ครับ
ผมใช้ถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาด้านใต้ เข้ามาครับ เริ่มบันทึกภาพ ตั้งแต่จุดที่เริ่มเห็นหลังคาวิหารครับ ได้ลุ้นดี
ใกล้เข้ามา ถึงวัดแล้ว จะมองเห็นด้านข้างของวัด ที่หันหน้าออกไปทางทิศตะวันออกครับ ตรงนี้จะมีทางแยกเลี้ยวซ้ายไปเข้าประตูด้านข้างวัด เพื่อแบ่งเบาการจราจร
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)มาเข้าทางด้านหน้าวัด ก็จะเห็นป้ายชื่อวัดอันใหญ่อลังการณ์ พร้อมกับวิหารหลวงพ่อโต ด้วย
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ติดตามอยู่นะครับ ชอบรีวิวของคุณ ละเอียดดีครับ
จากคุณ : คนมีแฟนขับ (chun_cx)ก่อนเข้าวัดขอนำแผนที่ดาวเทียมมาให้ดูกันชัดๆ จุดที่ผมพาไปชมในวัดตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง ครับ
ซึ่งวันนี้ผมเน้นในวิหารหลวงพ่อโต กับ ท่าน้ำของวัด ที่มีศาลาริมน้ำอันเป็นสิ่งที่ประทับใจผมในชื่อของวัดนี้ครับ
สวัสดีครับ คุณคนมีแฟนขับ (chun_cx) : ขอบคุณที่ติดตามชมมาตลอด ครับ เป็นการพาเทียวประสบการณ์เสมือนจริง(ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้) นะครับ เผื่อวันหลังผมเองก็จะได้จำได้เช่นกัน
ตอนนี้กำลังผ่านเข้าไป ป้ายชื่อวัดอยู่ด้านซ้าย เห็นตัวคนแล้วเล็กนิดเดียว ครับ
ขณะผ่านเข้า ขอมองป้ายชื่อวัดอีกครั้ง ส่วนด้านขวาคือป้อมจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชมวัดสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติครับ 20 บาทต่อคนไม่แพงเพื่อทำนุบำรุงวัด ส่วนคนไทยของเราก็ฟรี อยากทำบุญก็บริจาคข้างในกันนะครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เข้ามาแล้วก็หันหลังกับไปมองด้านหลังป้ายอีกหน่อย มีคำส่งท้ายยอดนิยมให้ด้วยครับ ด้านซ้ายมือตามแนวกำแพงวัดก็คือร้านค้าของที่ระลึกครับ สำหรับผมอุดหนุนของกินเท่านั้น เพราะไม่ค่อยมีตังค์ อิอิ..
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ข้างหน้าผม ก็คือศาลสีขาว หลังคาทรงสูง อันเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อประทานพร ตรงด้านหน้าวัด ครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เข้าไปไหว้หลวงพ่อโตในวิหารดีกว่าครับ ผมเลือกเข้าด้านข้าง เพราะด้านหน้าคนแน่นมากจริงๆ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ภาพล่าง : เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูรั้ววิหารเข้าไป ก็จะเห็นกระถางธูปให้ปัก ก่อนเข้าวิหาร เพราะทางวัดได้ห้ามนำธูปเข้าในข้างใน เหมือนดังวัดอื่นๆ เพื่อรักษาโบราณวัตถุ (มาครั้งก่อน ได้เข้าไปปักธูปข้างในด้วย ควันธูปคลุ้งเต็มวิหารไปหมด)
ภาพบน : กำลังจะเข้าวิหารแล้ว เป็นช่วงต่อระหว่างศาลาด้านหน้าวิหารครับ
ตามไปด้วย 2 คนนะคะ
ตามมาไหว้เข้าวัด ไหว้พระ ด้วยครับท่านเจ้ากรมฯ
จากคุณ : tiger's nestตามติดด้วยคนนะครับ
จากคุณ : ลุงแบกเป้ (ลุงแบกเป้)มาถึงประตูทางเข้าวิหาร โอ้โฮ..อะไรกัน ผู้คนมากมายยืนเรียงกันล้นออกมาเลย สังเกตุดีๆ มีผ้าเหลืองทอดยาวออกมาด้วย อ๋อ..เขากำลังทำพิธีห่มผ้าหลวงพ่อโตอยู่ ผมเลยได้ร่วมพิธีไปกับเขาด้วย (พร้อมๆ กับความพยายามที่จะถ่ายภาพ)
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)สวัสดีครับ คุณคุณนายช่างคอม, คุณtiger's nest และคุณลุงแบกเป้ (ลุงแบกเป้) ทยอยกันเข้ามาชม วัดพนัญเชิงในอีกบรรยากาศครับ (พอดีไปวันแม่ เลยมีคนมาเยอะมากๆ)
หลังเสร็จพิธีห่มผ้าในรอบนี้ (แบ่งเป็นรอบๆ) ก็เตรียมเข้าไปข้างในกัน ต้องรอให้คนข้างในออกมาหน่อย เลยเก็บภาพองค์พระหลวงพ่อโตจากด้านนอกไปพลางๆ ช่างใหญ่โตสมชื่อจริงๆ ครับ
เข้ามาได้แล้ว คนแน่นมากตรงด้านหน้าองค์พระ ขอสักภาพสำหรับความงดงามที่ยิ่งใหญ่ ครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ตรงด้านหน้านี้ แหงนดูหลังคาด้านซ้ายและขวา ซึ่งเป็นภาพโครงหลังคาที่อยู่ในความทรงจำผม ในทริปอดีตครั้งนั้นแน่นอน เพียงแต่ไม่สวยเหมือนปัจจุบันนี้ เป็นโครงไม้เก่าๆ ที่คล้ำไปด้วยควันธูป ครับ
มององค์พระยืนทั้งซ้ายและขวา อันเป็นที่นิยมของวัดไทยหลายแห่งครับ
ต้องขออภัยกดโพสซ้ำ เพราะเน็ตช้าครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)แหงนขึ้นไปดูเพดานเหนือเศียรพระ มีแนวโครงไม้พาดขวางลงมาพอดี ทำให้ไม้อันล่างสุดต้องตัดออกเพื่อมิให้บดบังยอดเศียรพระ ครับ
งดงามมากกับการทำลวดลายบนเพดานวิหารแห่งนี้ ทั้งๆ ที่อยู่สูงมากๆ ลำพังแค่องค์พระก็สูง 19 เมตรแล้ว!
มาเดินด้านข้างองค์พระ ด้านซ้ายกัน (ยืนหันหน้าเข้าหาองค์พระนะครับ) มีสิ่งที่น่าสนใจเยอะพอควร ครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ตรงนี้มีแผ่นป้ายข้อมูลที่สำคัญมากมายครับ บังเอิญผมไม่ค่อยมีเวลาเลยไม่ได้เข้าไปเก็บรายละเอียด (ถ้าสนใจก็มาดูด้วยตาตัวเองได้เลยครับ)
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ตอนนี้ผมเดินมาถึงด้านหลังองค์พระหลวงพ่อโตแล้วครับ ด้วยความสงสัยว่า ทางเดินด้านหลังมีขนาดความกว้างแค่ไหน เพราะจำได้ว่ามาครั้งก่อนตอนนั้น ช่างแคบมากๆ คนเดินหลีกกันไม่พ้น แต่ดูๆ แล้วไม่น่าจะใช่ที่วัดนี้แน่นอน จำได้แค่โครงหลังคาเท่านั้น เพราะไปกันหลายวัด ผมเลยอาจจำปนเปกันได้
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ภาพซ้าย : นี่เป็นทางเดินด้านหลังองค์พระ ตอนนี้เดินไม่ได้เพราะมีจีวรที่เข้าพิธีห่มผ้ากองอยู่เต็มไปหมดครับ
ภาพขวา : มองกลับไปทางที่เดินเข้ามา ภาพนี้ทำให้มองเห็นว่าเสาวิหารใหญ่จริงๆนะครับ
ไปไหว้พระด้วยคนค่ะ
จากคุณ : บูตะ กะ กิมจิผนังวิหารด้านหลังก่อนเดินผ่านประตูออกไปข้างนอก มีแผ่นป้ายประวัติศาสตร์ของวัดแห่งนี้ครับ
อ่านแล้วทำให้ทราบว่า เมืองอโยธยา เป็นคนละเมืองกับกรุงศรีอยุธยา เมืองอโยธยาได้มีมานานแล้ว สมัยขอมปกครองแถบนี้ ซึ่งเป็นเมืองที่สร้างขึ้นมาแทนเมืองละโว้ (ลพบุรี) ประมาณปี พ.ศ.1630 ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก (ในขณะที่กรุงศรีอยุธยานั้นอยู่ด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำป่าสัก ซึ่งคล้ายเกาะ อย่างที่เราทราบกันในปัจจุบัน)
ในสมัย พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นเจ้าเมืองอโยธยา (พ.ศ.1654 - 1708 คือ ก่อนที่มีการสถาปนากรุงสุโขทัย ในปี พ.ศ.1780 ด้วยซ้ำ) ก็ได้เกิดเรื่องราว พระนางสร้อยดอกหมาก ราชบุตรีบุญธรรมพระเจ้ากรุงจีน (น่าจะเป็นสมเด็จเจ้าจักรพรรดิ ซ่งเกา ที่ปกครองในช่วงปี พ.ศ.1670 - 1705 ) ที่ได้เป็นมเหสี ของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ระหว่างพระองค์ท่านไปเที่ยวเมืองจีน ต่อมาท่านได้พานางกลับ เมืองอโยธยา จนมาถึงเกาะพระตรงปากน้ำแม่เบี้ยท้ายเมือง ก็หยุดเรือ และขอเข้าไปจัดขบวนมารับนางอีกที ซึ่งเนื่องจากมีงานค้างอยู่เยอะ พระองค์ท่านจึงให้อำมาตย์นำขบวนที่ออกมารับ ทำให้พระนางสร้อยดอกหมาก น้อยใจว่าฝ่าอันตรายมาจากเมืองจีนแต่ไกล กลับไม่ออกมารับด้วยตนเอง ไม่เข้าเมือง จนรุ่งเช้า พระเจ้าสายน้ำผึ้งได้เสด็จออกมารับเอง เลยโดนตัดพ้อจาก พระนางสร้อยดอกหมาก พระองค์ท่านเลยแกล้งหยอกเย้าว่า "ไม่ไปก็อยู่ที่นี่เถิด" พระนางเลยเสียใจ กลั้นใจตายตรงนั้น พระองค์ท่านตกใจและเสียใจมาก เลยอัญเชิญพระศพนางขึ้นมาพระราชทานเพลิงศพตรงแหลมบางกะจะ แล้วสร้างเป็นวัดชื่อ "วัดพระนางเชิญ" หรือวัด "แพนงเชิญ" (ที่มาของคำว่า แพนง ก็คือ การนั่งขัดสมาธิ ซึ่งอาจมาจากลักษณะปางของหลวงพ่อโต หรือไม่ ก็การนั่งของพระนางสร้อยดอกหมากที่ไม่ยอมขึ้นเรือ) ซึ่งในปัจจุบันก็คือวัดแห่งนี้นั่นเอง
ส่วนองค์หลวงพ่อโตนั้น สมเด็จพระเอกาทศรถ เป็นผู้สร้างในภายหลัง ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะเป็นราชธานี 26 ปี (พ.ศ.1867 คือช่วงนั้น กรุงสุโขทัยยังเป็นราชธานีอยู่ เพราะสถาปนากรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ.1893) เพื่อเป็อนุสรณ์แด่พระเจ้าสายน้ำผึ้งที่เป็นปู่ของพระองค์
แหม..ประวัติศาตร์นี้ค้นจากเน็ตแล้วเพลินจริงๆ เหมือนกับการสืบสวนอะไรเลยครับ
ที่มาโดยละเอียดนี้จากเว็บ somboon.info ครับ
http://www.somboon.info/wizContent.asp?wizConID=201&txtmMenu_ID=7
เอาพื้นที่เมืองอโยธยาเก่ามาให้ดูกันหน่อย (เป็นแผนที่ ที่ผมลากไว้ตอนไปเที่ยวตลาดน้ำอโยธยา ครับ) เป็นพื้นที่ด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก ตั้งแต่ วัดมเหยงค์ ถึง วัดพนัญเชิง (รวมวัดใหญ่ชัยมงคลด้วย)
ส่วนชื่อ พระนางสร้อยดอกหมาก นั้นมีที่มาว่า พระนางเกิดในจั่นหมาก (คาดว่ามีคนนำมาทิ้งไว้)
และชื่อ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ก็คือ อภินิหารของพระองค์เมื่อคราวเสด็จประพาส มาถึงหัวแหลมวัดปากคลอง ได้มีรังผึ้งบนอกไก่ใต้ช่อฟ้าหน้าบันของโบสถ์จึงทรงดำริว่า จะขอนมัสการพระพุทธปฏิมากร ด้วยเดชะบุญญาภิสังขารของเรา เพื่อจะได้ครองไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ ขอให้น้ำผึ้งหยดลงมากลั้ว... เมื่อตรัสจบน้ำผึ้งก็หยดลงมาจริงๆ พระองค์ท่านเลยได้พระนาม ดังนี้ครับ
สวัสดีครับ คุณบูตะ กะ กิมจิ : ด้วยความยินดีครับ
ผมเดินเลยออกมาทางประตูด้านหลังวิหาร เพราะเดินอ้อมด้านหลังองค์พระไม่ได้ ก็เลยต้องออกมาเข้าประตูอีกด้านแทน
ก็ได้พบกับแท่นบูชาพระ และเจดีย์บรรจุพระพุทธรูปข้างในครับ
ได้ลองเดินไปประตูด้านขวา (ยืนมองเข้าหาองค์พระด้านหน้า) พบว่ามีคนกำลังทำงาน พับผ้าห่มองค์พระเต็มไปหมด เลยไม่กล้าเข้าไปยุ่ง ต้องเดินกลับทางประตูเดิมครับ
ก่อนกลับได้เก็บภาพกรอบลายไทย 2 อันด้านหลังวิหารมาด้วยครับ
ภาพขวา : มีกลอง 2 ใบวางซ้อนกันอยู่ ที่ผนังวิหาร (คงเห็นแล้วในภาพคห.23) เห็นมีคนอธิษฐานแล้วตีกันเยอะเหมือนกัน
ภาพซ้าย : ผมเดินกลับมาถึง ด้านหน้าวิหารแล้ว มองเห็นหน้าต่างสวยๆ ก็เก็บภาพไว้ (แต่ไม่ค่อยชัดเพราะแสงน้อย คนเดินขวักไขว่ ต้องหลบไปหลบมาบ่อยๆ)
ก่อนกลับออกมา ขอเก็บภาพ เจ้าหน้าที่ห่มผ้าหลวงพ่อโต ครับ ตัวเล็กนิดเดียวเมื่อยู่บนโน้นครับ
กับบรรยากาศด้านหน้าองค์พระที่ยังแน่นขนัด จนยากที่จะเดินไปอีกด้านได้
พอดีได้บันทึกเป็นคลิ๊ปด้วย แสดงถึงบรรยากาศในวิหารหลวงพ่อโตครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ผมเดินกลับออกมาทางด้านข้างวิหาร(ทางเดิม) ทั้งรถทั้งคนเยอะมากๆ ครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)อุ๊ย... มีเน้นข้อความด้วย สงสัยเป็นครูมาก่อนแน่ ๆ
เดินมาทางท่าน้ำดีกว่า มาคราวก่อนไม่ได้มาท่าน้ำเลย ระหว่างเดินก็ผ่านด้านหน้าวิหาร เหลือบเห็นรถตุ๊กๆ หน้ากบ จอดอยู่ มีประตูดูดีมากเหมือนรถกระป๋องที่กรุงเทพฯเลย
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)คุณ tiger's nest : หามิได้ครับ ผมไม่เคยเป็นครู แต่เคยอยากเป็นครูครับ เพราะสมัยเด็กๆ เห็นว่าครูสอนไม่รู้เรื่องก็อยากจะสอนเองให้เด็กรุ่นหลังเข้าใจ แต่ยังไม่มีโอกาส เพราะทำงานคนละสายงานครับ
มาต่อกัน แวะเข้าไปดูแท่นบูชาด้านหน้าวิหารหน่อย(ภาพซ้าย) เป็นแนวการไหว้แบบจีนครับ หลังจากนั้นก็เดินต่อไป ผ่านหน้าศาลเจ้าองค์เทพ ครับ
ด้วยความที่ ตอนนั้นไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ที่นี่ก่อนเลยไม่รู้จัก พระนางสร้อยดอกหมาก ทำให้พลาดเก็บภาพศาลของพระนางไปได้ กลับมาค้นหาก็ไม่เจอว่าเป็นศาลไหน และตั้งอยู่ตรงไหน ใครทราบก็ช่วยบอกมาด้วยนะครับ
ตรงหน้าศาลเจ้าองค์เทพ มีรูปหล่อทองแดง 4 องค์ ของท้าวจตุโลกบาล ดูน่าเกรงขามมากครับ
เลยศาลเจ้ามา ก็เป็นประตูทางเข้าวิหารด้านข้างอีกฝั่งหนึ่ง ตรงทางเข้ามีสำเภาจีนทำด้วยหยก แกะลวดลายงดงามยิ่งใหญ่มากครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ถึงเวลาชมวิวท่าน้ำแล้วครับ ผมเดินมาถึงท่าน้ำแรก เป็นท่าน้ำที่ไม่มีโป๊ะเทียบเรือครับ ลงไปชมวิว สูดอากาศกันหน่อยครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ภาพซ้าย : ลงไปแล้วหันกลับมามองศาลาท่าน้ำข้างบนครับ สังเกตุดีๆ จะเห็นปี พ.ศ.ที่พิมพ์ติดอยู่ภายในศาลา คือปีที่มีการลงรักปิดทององค์หลวงพ่อโต ซึ่งคงมีการปรับปรุงศาลาท่าน้ำแห่งนี้ไปด้วยครับ
ภาพขวา : มองไปทางทิศตะวันตก จะเห็นศาลาท่าน้ำเรียงรายกันไปครับ
เดินกลับขึ้นมา ได้เห็นกุฏิเรือนไทยขนาดใหญ่เรียงรายกันไป น่าสนครับ เพราะผมยังไม่เคยเดินมาแถวนี้เลย
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)พระนางสร้อยดอกหมากทำไมช่างแสนงอนจัง... อิอิอิ
ในโบสถ์คนเยอะมากค่ะ ถ้าไปเบียดเองต้องเป็นลมแน่ๆ ดีที่คุณมิราชชพาเที่ยวนะเนี่ย....
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ
จากคุณ : tonhok
แวะมาชมครับ ๖ามไปเที่ยวด้วยคน
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ
กิ๊ฟเดือนนี้หมดแล้ว ผมให้ แทนนะครับ
สวัสดีครับ คุณป้าฟู : ผมเสียเวลาไปค้นหาประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา กรุงสุโขทัย ขอม และละโว้ เสียนาน เพราะมีความเกี่ยวพันทับซ้อนกันพอสมควร เพราะเมืองอโยธยานั้นเกิดมาตั้งแต่สมัยขอมปกครองอยู่ จนมีการสถาปนากรุงสุโขทัย เมืองอโยธยาจึงได้ถูกปลดปล่อยจากขอม และในที่สุด เมืองอโยธยาก็ เข้มแข็งจนสามารถยึดอำนาจจาก กรุงสุโขทัย ตั้งตัวเป็นราชธานีแทน แล้วสร้างเมืองใหม่ ที่เกาะประวัติศาสตร์อยุธยาในปัจจุบันนั่นเอง
ผมคิดว่า เรื่องความใจน้อยของพระนางสร้อยดอกหมากนี่ อาจเป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ได้ เพราะจะว่าไปแล้ว ก็ดูแปลกๆ ที่พระเจ้าสายน้ำผึ้งไม่ยอมให้พระนางขึ้นฝั่งไปพร้อมๆกับ พระองค์เอง บอกว่ามีราชกิจ แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ... มีอะไรปิดบังอยู่หรือไม่ คล้ายกับ ตอนที่เราจะพาแฟนไปเที่ยวบ้าน อยู่ๆ บอกให้แฟนรอในรถ แล้วเราขอเข้าไปจัดบ้านก่อน มีอะไรที่ต้องปิดบังหรือเปล่า
ตรงนี้แหละครับ ที่ผมคิดว่า พระนางสร้อยดอกหมาก กังวลคิดไปต่างๆ นาๆ ครับ ยิ่งพอมาเจอคำพูดล้อเล่นด้วย อาจพาลคิดสั้นได้ง่ายๆ หรือไม่ก็อาจมีการทะเลาะกันจนพลาดพลั้งเสียชีวิตก็ได้ ใครจะไปทราบ เพราะประวัติศาสตร์ ได้ถูกบันทึกโดยคนผู้มีอำนาจในสมัยนั้นๆเสมอครับ จบแบบนี้ดูดีกว่าแบบอื่นเป็นไหนๆ... พระราชทรัพย์สินมากมาย อยู่แค่เอื้อม ทำไมพระนางท่านจึงไม่ลองขึ้นไปแวะชมก่อน ถ้าจะคิดในแง่ร้าย บนฝั่งในพระราชวังมีใครคอยสกัดกั้นมิให้พระนางขึ้นฝั่งได้.... ก็คิดกันไปต่างๆ นาๆ ตามประสาโลกสมัยใหม่ ที่เน้นในเรื่องข้อเท็จจริงนะครับ
มาต่อกันครับ ข้างหน้าผมเป็นกุฏิเรือนไทยขนาดใหญ่หลังแรกครับ เป็นของอดีตเจ้าอาวาส คนก่อนๆ ครับ
สวัสดีครับ คุณtonhok และคุณกัปตันลูกชุบ : ขอบคุณเช่นกันครับ
เดินต่อมาก็เป็นศาลาเรือนไทยขนาดใหญ่ ที่ดูไม่น่าจะเป็นกุฏิสงฆ์ (แต่ไม่แน่เหมือนกัน..เพราะไม่มีป้ายใดๆ บอกไว้ข้างหน้า) แต่ให้ชมความสวยงามก็แล้วกันครับ
ถัดมาเป็นลำดับสาม เป็นศาลาเรือนไทยขนาดใหญ่เช่นเคย แต่มีป้ายบอกข้างหน้า ว่าเป็นกุฏิเฉลิมพระเกียรติฯ ครับ ถ้าได้มาจำพรรษาวัดนี้คงสบายไม่น้อย
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ถัดมาอีก หลังที่สี่ โอ้โฮ...คราวนี้ งามดั่งปราสาทเลยครับ สวยจริงๆ เชื่อว่าหลายคนคงเดินมาไม่ถึงตรงนี้ ครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ด้านหน้า กุฏิมีรูปปั้น ธรรมจักร ด้วย อดใจไม่ได้ต้องเก็บภาพมาให้ชมกัน
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เดินมาถึงทางโค้งซ้าย เลียบไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาข้างหน้า มองไปทางขวามือก็คือศาลาท่าน้ำหลังสุดท้าย (หลังที่ 5 ถ้านับรวมศาลาในแพข้างล่างด้วย) ถึงจุดสำคัญที่ผมต้องลงไปชมวิวแม่น้ำที่มาบรรจบกันละครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เดินผ่านศาลาออกมา ก็ได้เห็นวิวอย่างที่ต้องการ (เก็บภาพแบบมุมกว้างมาให้ชมกันเลย) เป็นจุดที่แม่น้ำป่าสักไหลมารวมกับแม่น้ำเจ้าพระยา ครับ คิดว่าหลายคนคงไม่ทราบ แม้กระทั่งตัวผมเองก็เพิ่งทราบก่อนมาที่นี่เหมือนกัน
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ซูมภาพจุดรวมแม่น้ำมาดูใกล้ๆ เป็นเวิ้งน้ำที่กว้าง น่ากลัวเหมือนกัน (โดยเฉพาะคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น)
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)มองมาทางขวามือ ซึ่งเป็นแนวท่าน้ำ ที่เรียงรายย้อนไปยังศาลาท่าน้ำอันแรก ในภาพจะเห็นศาลาที่ 3 ที่อยู่ในแพข้างล่าง ที่มีการให้อาหารปลาด้วย แต่ผมไม่ได้แวะลงไปดูใกล้ๆ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)นี่เป็นคลิ๊ปวิดีโอ ที่เก็บบรรยากาศท่าน้ำ ซึ่งพอดีมีเรือพ่วงผ่านมาพอดี
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับแม่น้ำ ก็ขอนำภาพถ่ายดาวเทียมมาให้ชมกันอีกครั้งครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)หันกลับมาดูศาลาท่าน้ำข้างบน ครับ จะมองเห็นกุฏิเรือนไทยสวยอยู่ข้างหลังด้วยครับ
ท่าน้ำแห่งนี้ไม่มีโป๊ะเทียบเรือ เหมือนกับ ท่าน้ำแรกครับ
ผมมองไปทางหัวมุมตลิ่ง เห็นพื้นข้างล่างใกล้ผิวน้ำพอจะเดินไปได้ ลองเดินทางนี้ไปดีกว่า เผื่อจะได้เห็นมุมมองจุดรวมแม่น้ำได้แตกต่างจากเดิมครับ (แบบว่า มีตื่นเต้น ซนๆ แบบเด็กๆ หน่อย..ฮิฮิ)
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ผมเดินไปถึงหัวโค้งริมตลิ่งก็หันมาเก็บภาพจุดรวมแม่น้ำอีกครั้ง ตรงจุดนี้จะมองเห็นกำแพงเมืองอยุธยาอยู่ข้างหน้า มีชื่อว่า "ป้อมเพชร" ครับ
ในช่วงนั้นระดับน้ำไม่มากนัก เลยเดินได้ ถ้าเป็นช่วงเวลานี้(กย.54) จะไม่สามารถลงไปเดินได้ เผลอๆ อาจท่วมมาถึงศาลาท่าน้ำเลย
รูปขวา : เดินเลยโค้งมาเล็กน้อยก็มีบันไดขึ้นกลับมาบนถนนข้างบนอีกครั้ง ข้างหน้าถ้าเลยไปอีกก็เป็นท่าน้ำแห่งที่ 6 อันมีโป๊ะเทียบเรือด้วย เป็นท่าเรือใหม่ ที่อยู่ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพียงแห่งเดียวครับ
รูปซ้าย : มองกลับไปทางศาลาท่าน้ำที่ผ่านมา เป็นทางโค้งเดินกลับไป (กลับกันกับรูปซ้ายในคห.52)
ผมเดินมาถึงศาลาท่าน้ำที่ 5 มองเห็นไปถึงศาลาที่ 1 ไกลๆโน้นได้เลยครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ละเอียดมากครับ ขอไปด้วยคนนะครับ.......ขอบคุณครับ
จากคุณ : low batt. [27 ก.ย. 54 21:45:00 ]A:223.206.116.60 X: TicketID:329936สวัสดีครับ คุณ low batt. : ใกล้จะจบ แล้วครับ เชิญติดตามต่อได้เลยครับ
ตรงจุดนี้ (ใกล้ ถังประปา) มองผ่านรั้วออกไปข้างนอก ซูมภาพดึงเข้ามาจะเห็น สามแยกน้ำในอีกมุมมองหนึ่งครับ
ในที่สุดก็มาถึงภาพสุดท้ายของกระทู้ตอนนี้ครับ เป็นภาพเสาไฟฟ้าริมถนน ที่สร้างได้วิจิตรตระการตา เป็นรูปเศียรช้าง 4 เศียร โดยตัวโคมได้ทำเป็นคานยื่นออกไปข้างล่างครับ สมดังเมืองเก่า กรุงศรีอยุธยา เลยครับ
สรุปคือ วัดแรกก็ยังไม่พบพระองค์ดำอย่างที่ตั้งใจไว้ ต้องไปค้นหาต่อในตอนที่สอง ครับ คอยติดตามชมได้เร็วๆ นี้ครับ
สวัสดีครับ ตามมาไหวพระด้วยเจ้า 5555 ((ติดมาจาก..รอยไหม)) ข้ิอมูลแน่นมากเลยครับ ใครอยากตามรอยนี่ สบายเลย เยี่ยมๆ
สำหรับวัดพนัญเชิง นี่ผมเคยไปสมัยเรียนมหา'ลัยเลยครับ ผ่านมาไม่กี่ปีเอง อิ..อิ.. ขอบคุณสำหรับรีวิวด้วยนะครับผม
ขอบคุณมากครับไปวัดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อ 3 ปีที่แล้วได้ครับค่อยข้างนานเหมือนกัน
ถ้ากลับไปอยุธยาอีกวัดนี้คงพลาดไม่ได้
ขอบคุณรีวิวสวยและแนะนำได้ละเอียดมาก ต้องไปดูศาลาไทยบ้างแล้ว สวยมากค่ะ
จากคุณ : pchamaipสวัสดีครับ คุณP.S. i love you : ด้วยความยินดีครับ นี่ก็ติดละคร "รอยไหม" เหมือนกันนะครับ นอกจากมีวัฒนธรรมทางเหนือแล้วก็มีเพลงบรรเลงเพราะๆ ให้ฟังด้วย ทำให้นึกถึงตอนสมัยที่เรียน มช. อยากไปแอ่วเจียงใหม่อีกจังเลย แต่ช่วงนี้ยังไม่มีเวลาครับ
สวัสดีครับ คุณDestiny-Boy : ขอบคุณเช่นกัน โดยเฉพาะกิฟท์ให้กำลังใจครับ สำหรับวัดพนัญเชิงนี้ ถือว่าเป็นวัดหลักๆ ที่เมื่อไป อยุธยาต้องแวะครับ เพราะหลวงพ่อโต เป็นที่นับถืออย่างมาก และองค์ท่านก็มีขนาดใหญ่ที่สุด ใน จ.อยุธยาเลยครับ
สวัสดีครับ คุณpchamaip : ขอบคุณเช่นกันครับ ยังมีศาลาไทยต่อไปอีก 2 - 3 หลัง แต่ผมไม่ได้เก็บภาพมา เพราะไม่ได้ตั้งใจไว้แต่แรก ความตั้งใจคือมา ค้นหาทบทวนความทรงจำในทริปอดีตเมื่อ 30 ปีที่แล้ว กับมาชมจุดรวมแม่น้ำ ครับ
งามอย่างไทยจริงๆครับ
จากคุณ : ลุงแบกเป้งดงามมากๆค่ะ
คุณลุงแบกเป้ : นี่แหละครับ มรดกวัฒนธรรมของไทยเราที่ควรส่งเสริม นับเป็นความภูมิใจที่มีมาแต่อดีตครับ นานๆ คนไทยอย่างเราจะได้ไปเชยชมสักที พวกฝรั่งต้องนั่งเครื่องบินลัดฟ้ามาแสนไกล เพื่อมาได้เห็น แถมยังต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมด้วย ครับ
สวัสดีคุณ สาวหน้าใส : ด้วยความยินดีครับ
ข้อสรุปในตอนแรกก็คือยังไม่พบ พระ องค์(สี)ดำ วันนี้จึงต้องมาต่อกันในตอนที่ 2 ครับ
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11147364/E11147364.html
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ^^
จากคุณ : สามแซ่ตามมาชมครับ
จากคุณ : สุดท้ายตรงไหน