สวัสดีค่ะ คิดว่าคงจำกันไม่ได้แล้ว5555 กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวการเดินทางของเรา aey_omu และเพื่อน punos667 ซึ่งเดินทางผ่าน
shenzhen-shanghai-suzhou-huangshan-hangzhou-nanjing-luoyang-xian-shenzhen-hongkon-macau
สิริรวมเวลาทั้งสิ้น 27 วัน
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีครึ่งที่แล้ว และได้รีวิวไว้ 9 ตอนแล้ว จากนั้น จขกท มันก็หายหัวไปกับสายลมและแสงแดด ทิ้งไว้เพียงกระทู้ร้างๆ
สำหรับท่านที่ไม่เคยอ่าน ขอบอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ มันไม่ต้องรู้เรื่องก่อนหน้านี้ก็ได้ ฮ่าๆๆๆ มันเป็นการท่องเที่ยวของเด็กสาว(?)สองคนเท่านั้น เราแบ่งไว้เป็นตอนๆ คิดว่าเริ่มอ่านที่ตอนไหนก็รู้เรื่องได้ค่ะ
สำหรับท่านที่เคยอ่านมาก่อน เราขอโทษค่ะ
คือพูดตามจริงแล้วเราชอบการรีวิวมากค่ะ แต่ติดที่เป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง ยอมรับโดยดุษฎี ว่ารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปเป็นปี จนเราถอดใจจะเลิกรีวิวไปแล้ว แต่ระหว่างนั้น กลับยังมีคนมาอ่าน และส่งหลังไมค์มาขอข้อมูลเป็นระยะ กับทั้งมีคนมากระทุ้งในกระทู้อยู่เรื่อยๆ เหล่านี้ทำให้เรารู้สึกว่า ข้อมูลของเราก็มีประโยชน์กับคนอื่นเหมือนกัน และทำให้เราหวนคิดถึงวันวาน วันที่เราไปเที่ยวพร้อมๆ กับท่านผู้อ่านในกระทู้ รู้สึกสนุกเหมือนได้เที่ยวซ้ำสอง ในที่สุดเราก็เข็นตัวเองให้เขียนรีิวิวจนจบจนได้ อยากร้องไห้ให้ได้ยินไปสามบ้านแปดบ้านจริงๆ
เริ่มเวิ่นเว้อ ต่อเลยดีกว่า
ดีใจจังกระทู้เก่าๆ ยังอยู่ล่วยยยยยย
ตอน ที่ 1 นอนในสนามบินเซินเจิ้น+เปิดบัญชี+มือถือ
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8868837/E8868837.html
ตอน ที่ 2 รถไฟ+เซี่ยงไฮ้ “อ้าวว ไปไม่ได้แล้วเหรอ!!"
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8871658/E8871658.html
ตอน ที่ 3 very Shanghai
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8876104/E8876104.html
ตอน ที่ 4 suzhou เมืองสวนงาม
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8892168/E8892168.html
ตอน ที่ 5 หนึ่งในใต้หล้า หวงซาน
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8903430/E8903430.html
ตอน ที่ 6 Hangzhou กับเรื่องราวของตั๋วรถไฟ (ในช่วงตรุษจีน)
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8910394/E8910394.html
ตอน ที่ 7 นานกิง นานจริง กับเรื่องราวของตั๋วรถไฟ (ในช่วงตรุษจีน)
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8934668/E8934668.html
ตอน ที่ 8 Nanking(นานกิง) Nanjing(นานจริง) กับเรื่องราวของตั๋วเครื่องบิน(ในช่วงตรุษจีน)
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8942804/E8942804.html
ตอน ที่ 9 "คืนนั้นบนรถไฟไร้ที่นั่ง"
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8990841/E8990841.html
ตอน ที่ 10 อาทิตย์ขึ้นที่ "ลั่วหยาง (ลกเอี๋ยง)"
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E9044903/E9044903.html
หลังอิ่มหนำสำราญจากกระทู้ก่อนกันแล้ว ข้ามช็อตมาที่ชานชาลา สถานีรถไฟในเช้าวันถัดมากันเลย
จากเหตุการณ์ คืนนั้น บนรถไฟไร้ที่นั่ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในคืนวันตรุษจีน ที่เราต้องขึ้นรถไฟแบบไม่มีแม้ตั๋วนั่งเป็นเวลาเกือบ 20 ชั่วโมง คราวนี้ เป็นคำรบสอง เราต้องมาขึ้นรถไฟ จากลั่วหยางไปซีอานในแบบดังกล่าวอีก
-----
พอรถไฟมาถึง ปรากฏว่าตู้ตามที่ปรากฏในตั๋วของเรานั้น อยู่อีกไกล ร่วมกับเราเห็นคนจีนเป็นขโยง เริ่มวิ่งแตกออกจากแถว เราจึงเอาบ้าง รีบวิ่งไปทางที่ตู้ของเราน่าจะจอดเทียบ
ระหว่างที่เราวิ่งพลางลากกระเป๋าไปพลางอยู่นั้น ปรากฏเจ๊ผู้หญิงชุดขาวคนหนึ่ง วิ่งลากกระเป๋าตามเรามา และอยู่ๆ ก็ปาดหน้าแซงเราไป จนเราเซเลย เราแอบโมโห เจ๊คนนี้เมื่อกี้ก็มาแซงแถวไปทีแล้ว เลยวิ่งลากกระเป๋าด้วยความเร็วสูงสุด เผาผลาญพลังงานไปมหาศาล เพื่อจะวิ่งแซงหน้าเจ๊แก ปรากฏว่าสำเร็จซะด้วยค่ะ เคี้ยกๆ เราแซงเธอได้สำเร็จ แต่ก็ไม่รู้จะทำไปทำไมเหมือนกัน = =;;
สักพัก เราก็มาถึงตู้ที่เรามีตั๋ว ก่อนหน้านี้เราก็ทำใจมาแล้ว ตอนซื้อเขาบอกตั๋วนั่งหมดแล้ว มีแต่ตั๋วยืน ดังนั้นเราอาจต้องมาเจอสภาพแบบ "คืนนั้น" อีก แต่ทำไงได้ ซื้อตั๋วไปแล้วก็ช่างมันปะไร สู้เอาสักตั้ง เราคิดอย่างนี้ตลอดเวลาที่อยู่ลั่วหยาง แม้จะหวั่นไหวทุกครั้งที่เห็นรถทัวร์ว่างๆ ท่าทางนั่งสบาย มีป้ายแปะว่าไปซีอาน แล่นผ่านหน้า
แต่...มันอาจผิดจากที่เราคาดไว้
เรามองเข้าไปทางหน้าต่างรถไฟที่กำลังจะจอด แทบไม่เห็นแม้แต่เงาคน
ห..หรือ หรือว่า
.
พอรถหยุดเราก็รีบเปิดประตูผ่างเข้าไปทันที ภาพที่เราเห็นคือ ที่นั่งว่างแทบทั้งขบวน!!!! มีผู้โดยสารอยู่ 2-3 คน นอนอยู่บนเก้าอี้เป็นแถบๆ พวกเรารีบวิ่งไปจับจองที่นั่งช่องที่ยังว่าง (คือมันว่างทั้งล็อค) เก็บของให้ดี แล้วนั่งเอกเขนกกัน
เป็นเรื่องที่แปลกมาก ทั้งๆ ที่ช่องขายตั๋วเขาบอกว่าตั๋วหมดแล้ว แต่ทำไมมันถึงมีที่นั่งว่างมากมายขนาดนี้ล่ะ บางทีระหว่างลั่วหยางไปซีอาน อาจมีคนขึ้นมาอีกก็ได้ และคนพวกนี้คงซื้อตั๋วก่อนเรา พอเราซื้อ ระบบเลยขึ้นว่าตั๋วเต็ม ทว่า...ตลอดทั้งการเดินทาง ก็แทบไม่มีคนขึ้นมาเลย เราพยายามคิดว่า อาจเป็นความผิดพลาดของคอมพิวเตอร์ หรืออาจเป็นจุดบกพร่องอะไรสักอย่างของระบบก็ได้ เช่น คนส่วนใหญ่อาจลงที่ลั่วหยาง ดังนั้นรถไฟอาจเต็มมาตลอดจนถึงลั่วหยาง พอเราซื้อตั๋วขึ้นจากลั่วหยางมา คอมพิวเตอร์อาจจะงง และเข้าใจเป็นว่าตั๋วเต็ม อืม...เหตุผลอย่างนี้พอฟังขึ้น แต่สุดท้ายคือเราก็ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงอยู่ดี
เมื่อลองมาวิเคราะห์อีกที รถไฟสายนี้ สิ้นสุดที่ซีอาน และลั่วหยางก็ห่างจากซีอานไม่มากนัก ถึงขนาดมีรถทัวร์วิ่งระหว่างเมืองกันทั้งวัน ว่ากันจริงๆ ด้วยเหตุผลมันก็ไม่ควรจะเต็ม
สรุปว่าเล่าให้ทุกท่านฟังเป็นข้อมูลแล้วกันค่ะ
---
7 ชั่วโมงผ่านไป เราก็มาถึงซีอานกัน พอเดินออกมา รู้สึกเหมือนมาอยู่โลกใหม่ ที่นี่มันที่ไหนฟระ!!! ซีอานที่เรานึกภาพ คือเมืองโบราณกลางพงไพร เคยถามหลายคนที่มา เขาก็ว่าสงบ ไม่พลุกพล่าน ยังดูบ้านนอกๆ อยู่ แม้แต่สหายคู่ใจที่มาด้วยกัน ซึ่งเคยมาซีอานเมื่อนานมาแล้ว ก็ยังยืนยันตรงกับกระแสส่วนมาก ว่าซีอานนั้นหนา สุดแสนจะเงียบสงบ
แต่ที่อยู่ตรงหน้าเรา มันเซี่ยงไฮ้ชัดๆ นี่หว่า!!!
ผู้คนพลุกพล่านจอแจ รถเมล์สองชั้น ห้างสรรพสินค้าใหญ่โต แสงสี บ้านเมืองแม้ไม่หรูหราเหมือนผู้ดีอังกฤษเช่นที่เซี่ยงไฮ้ แต่ก็ชวนให้ตะลึงตะลานราวบ้านนอกเข้ากรุงได้เหมือนกัน
อาาาาา
ขอเตือนทุกท่านไว้ในกระทู้นี้เลยว่า ซีอาน(ปัจจุบัน) เป็นเมืองช็อปปิ้ง!!!!
--------
บรรยากาศยามค่ำคืนที่ซีอาน
(ไม่ได้โพสท์รูปนาน ตื่นเต้นจัง)
ที่พักที่เราจองไว้นั้น ได้ให้ข้อมูลวิธีการเดินทางมาด้วย แต่เป็นการเดินทางโดยรถเมล์ ในขณะนั้นพวกเราค่อนข้างเหนื่อย หากต้องแบกของขึ้นลงรถ แล้วเดินหาที่พักอีก คงหมดแรงกัน เราจึงโทรศัพท์ถามที่ที่พัก ว่าหากต้องการขึ้นรถแท็กซี่ ต้องบอกว่าไปลงที่ไหน ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ที่รับสายนั้นบริการดีมากค่ะ เธอบอกทุกอย่างแม้วิธีการหาแท็กซี่ที่ถูกหน่อย เธอเตือนว่าอย่าไปขึ้นแท็กซี่ที่... ไม่งั้นจะ... คือ แบบรู้แต่เขาเตือนมา แต่เราฟังไม่ทันอ่ะ พอเขาวางสายไป มองหน้ากัน แล้วมองไปรอบๆ ขณะนั้น พวกเราสองคนเหมือนกวางน้อยในดงเสือดาว(กร๊ากกก) รอบกายเต็มไปด้วยนายหน้าขายทัวร์ บ้างก็เป็นแท็กซี่ผีมาชักชวนให้ไปอยู่ด้วย พอเห็นเราวางโทรศัพท์ก็กรูกันเข้ามา หวังรุมขย้ำเหยื่อ
ขณะนั้นเรารู้สึกเหนื่อยอ่อน ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง เลยแกล้งทำเป็นฟังภาษาจีนไม่ออก แต่นายหน้าเหล่านั้นไม่ใส่ใจ ยังคงเดินหน้ารุกคืบต่อไป ศึกนี้หนักหนายิ่ง
เราเดินหนี แต่ข้าศึกประชิดเมืองขึ้นทุกที เราทำเป็นไม่สนใจ ฟังไม่รู้เรื่อง นายหน้าบอกฟังไม่ออกไม่เป็นไรจ้า เฮียไม่ถือ คิดไปคิดมา เราว่ามุขฟังภาษาไม่ออกเนี่ยใช้ไม่ได้ผลเลยค่ะ เพราะเราฟังไม่ออก ไม่ได้หมายความว่าไม่สนใจ ยิ่งฟังไม่ออก ยิ่งเหมือนคนจนตรอกไร้ทางหนี พวกนายหน้านี่กัดไม่ปล่อยทีเดียว
แต่ในเมื่อเริ่มมุขนี้ก็ต้องเล่นต่อไป เราก็เดินหนีไปเรื่อยๆ อย่างกับหนังแขกแน่ะ จนถึงจุดหนึ่ง เราหยิบแผนที่ที่ปริ๊นท์มาขึ้นมาดู เตรียมจะขึ้นรถเมล์แล้ว นายหน้าพวกนั้นก็บอก "ขอดูหน่อยสิ" แล้วยื่นมือมาจะแย่งแผนที่ไป เราตกใจมากตอนนั้น ก้าวเท้าจะหนีเลยค่ะ นายหน้าคนนั้นชะงักไป คงเห็นเราตกใจ แต่แทนที่เขาจะตกใจด้วย หรือขอโทษ เขาดันพูดว่า "..." เราจำได้แต่ว่า แปลออกมา คล้ายๆ คำด่าพ่อด่าแม่ของไทยเราอะไรแบบนั้น ตัวชาไปเลย อะไรกันเนี่ยยยยย นี่เดินหนีไกด์ผีผิดมากเลยเหรออออออออออออ ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!
เพื่อนเราก็ตกใจมาก ทำหน้าเหมือน เฮ้ยแก ใจเย็นๆ
ท่าทางนายหน้าคนนั้นอาจจะรู้แล้วว่าเราฟังออก หรือไม่ก็เบื่อแล้ว เลยเดินหนีไปหาเหยื่อใหม่ทันที
เราอึ้งไปสักพัก ผู้หญิงที่ยืนอยู่แถวนั้น(เป็นคนซีอาน) ก็เข้ามาคุยด้วย มาพูดคุยด้วยดีมากค่ะ พยายามจะให้ความช่วยเหลือ ทำนองว่าจะไปไหน ให้เขาช่วยหาทางให้ไหม เธอใจดีมากค่ะ เราคาดว่าเธอคงรู้ว่าเราฟังออก และอาจรู้สึกไม่ดีแทนนายหน้าซีอานคนนั้นที่มาว่าเรา TT.TT
สุดท้ายก็ขึ้นรถเมล์มาได้ ลงมาถึงป้าย มีเจ้าหน้าที่มารอรับด้วย บริการดีมากทีเดียว (งงเยย มารับด้วย)
ที่พักที่นี่ชื่อ shuyuan hostel เป็นโฮสเทลที่ดังที่สุดของซีอานค่ะ
สรุปว่าชาวเมืองซีอานส่วนใหญ่น้ำใจงาม แต่บางส่วนก็ดูน่ากลัว
--------
โอ้วว ลืมบอกไปเลยค่ะ หน้าสถานีรถไฟซีอานในช่วงวันตรุษแบบนี้ มีคนมาตั้งป้ายขายตั๋วรถไฟเหลือใช้มากมายทีเดียว หลังจากที่เรายืนอยู่แถวนั้นนานไปหน่อย คนเลยเข้าใจว่ามาขายตั๋วมั้ง มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาถามหาตั๋วรถไฟด้วยค่ะ อยากได้ไปเสินเจิ้น เราล่ะตกตะลึงทีเดียว ไม่นึกว่าจะเจอคนอยากได้ตั๋ว แต่สอบถามกันไปมา ปรากฏไม่ใช่อย่างที่เขาต้องการจริงๆ อย่างไรก็ตาม อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเรามาลองตั้งป้ายกันจริงๆ อาจจะขายได้ก็ได้นะ
---------
-พิพิธภัณฑ์ส่านซี-
หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ขั้นเทพของแผ่นดิน
เช้าวันถัดมา เราตื่นกันแต่เช้า พกพาสปอร์ตติดตัว เพื่อไปแลกตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์ ถูกแล้วค่ะ! พิพิธภัณฑ์นี้เข้าฟรี แต่คุณต้องมีเอกสารยืนยันตัว ในฐานะชาวต่างชาติ ก็ต้องพาสปอร์ต หนึ่งคน แลกได้หนึ่งใบต่อวัน และเขาแจกรวม 5000 ใบต่อวันเท่านั้น พิพิธภัณฑ์นี้ดังจริง ฟรีจริง ดังนั้น แม้เราจะไปก่อนเวลาเปิดถึง 30 นาที ก็มีแถวรอแลกตั๋วฟรียาวเหยียดแล้ว
เราตกใจกันเล็กน้อย ได้ยินว่าเขาจะเปิดแจกตั๋วเป็นรอบๆ แม้เราจะมาตอนเช้า ยังไม่ถึงคนที่ 5000 แต่อาจจะหมดโควต้าร์ของรอบนั้นๆ ก็ได้ ทว่าที่เรากังวลนั้นก็เกินไปสักหน่อย เพราะเมื่ออ่านกฎเขา(ขณะรอแลกตั๋ว) พบว่าเขาแบ่งเป็นรอบเช้า-รอบบ่าย รอบเช้า 3000 รอบบ่าย 2000 ที่ที่เรายืนอยู่ น่าจะประมาณที่ 100 นิดๆ เท่านั้น ไม่น่ากังวลอะไร อย่างไรก็ตาม นี่เป็นฤดูคนไม่เที่ยวกัน ดังนั้นถ้าท่านผู้อ่านจะมาเที่ยวที่นี่ ในช่วงฤดูที่ฮิตๆ กว่านี้ ก็อาจต้องมาเร็วสักหน่อยค่ะ
มณฑลส่านซี ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทางประวัติศาสตร์ บริเวณนี้ เป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคราชวงศ์ซาง ราชวงศ์โจว จ้านกว๋อ ชุนชิว ยุคจิ๋น ยุคฮั่น ก่อนจะมาสุดที่ยุคถัง เรียกว่าเป็นแหล่งอารยธรรมอันประเมินค่ามิได้ พิพิธภัณฑ์ส่านซีรวบรวมวัตถุโบราณ ตลอดจนเอกสาร รูปจำลองโบราณสถานต่างๆ ที่ขุดพบในเขตส่านซีทั้งหมดไว้ หากใครชอบประวัติศาสตร์ จะเฉียดผ่านแถวนี้โดยไม่แวะเข้าเป็นไม่ได้ หรือแม้แต่ไม่ชอบประวัติศาสตร์ จะแวะเข้ามาทักทายสักหน่อย ก็นับว่าคุ้มค่ามากค่ะ แถมเงินไม่เสียด้วยนะ
เราเดินเข้าพิพิธภัณฑ์กันอย่างตื่นเต้น ช่วงบ่ายเรามีนัด จึงต้องเร่งฝีเท้ากันหน่อย
ระหว่างนั้นเอง เราถอดถุงมือออก ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อกันหนาว ถุงมือนี้ยืมป้ามา เราตั้งใจรักษาอย่างดีมาตลอด เพราะป้ามีถุงมือกันหนาวแค่สองคู่ และคู่ก่อนเรา(ยืมมา)ทำตกเขาไป(ข้างหนึ่ง)นานแล้ว (กร๊ากกกก) ถ้าฉายเป็นภาพหนัง คงเป็นภาพเราค่อยๆ ถอดถุงมือ เอามันยัดใส่กระเป๋า แล้ว...ผล็อย ถุงมือน้อยๆ ข้างหนึ่งก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่พื้น นัยน์ตาละห้อยของมันมองตามผู้เป็นเจ้าของ(เทียมๆ) ไปจนลับสายตา ราวกับรู้ชะตากรรมว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว!
ขอโทษนะถุงมือน้อยยยย เราเอาเธอมาตกระกำลำบากโดยแท้ โฮฮฮฮฮฮฮ
อาาา ถูกแล้วค่ะ เราทำของหาย/พังอีกแล้ว
ประเทศจีน เขาเจริญแล้ว
จากคุณ : tee-aunวกเข้าเรื่องเดิมกันดีกว่า ภายในพิพิธภัณฑ์นี้ จะแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตามยุคสมัย เริ่มตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เรื่อยไปจนถึงราชวงศ์ชิงกันเลยค่ะ เราก็เดินตามทางที่เขาวางไว้ ทางจะพาเราเดินผ่านยุคสมัยต่างๆ ระหว่างทาง ก็จะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุล้ำค่า รูปจำลองต่างๆ โชว์ไว้มากมาย นอกจากนี้เพื่อแก้เบื่อ เขายังมีสื่อต่างๆ เช่น วิดีโอ แสงสี ฯลฯ เป็นลูกเล่นคลายเบื่อให้เราด้วย
พูดตามตรงค่ะ ว่าพิพิธภัณฑ์ที่เน้นโชว์โบราณวัตถุนั้น คงเล่นอะไรได้ไม่มาก และสำหรับคนที่ไม่ชอบประวัติศาสตร์ ถ้าของไม่สวยจริง เดินไม่นานก็คงเบื่อ พิพิธภัณฑ์นี้ก็หนีไม่พ้น ทว่าเราสัมผัสได้ถึงความพยายามที่จะใส่ลูกเล่น หรือของแก้เบื่อลงไปตามจุดต่างๆ พวกเขาพยายามแก้เลี่ยนให้ได้มากที่สุด
เธอกลับมาแล้ววววววววววว ดีใจจริงๆ ที่กลับมารีวิวต่อ คิดถึงรีวิวที่ไม่มีภาพถ่าย คุณ aey_omu เขียนการ์ตูนให้ดูก็ได้ แถมยังสนุกมากมายกว่าเห็นภาพของจริงเสียอีก
สิบล้อขอเกาะขอบจอรอดูต่อเลยนะคะ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีโบราณวัตถุชั้นยอดมากมาย เรียกว่าครบครันทั้งปริมาณและคุณภาพ อย่างไรก็ตามมันมาชะงักตรงช่วงราชวงศ์ซ้องค่ะ หลังจากถังมา จุดศูนย์กลางของประเทศก็ย้ายจากมณฑลส่านซี เมืองซีอาน(ฉางอาน) ไปอยู่แถบอื่นของประเทศ โบราณวัตถุในสมัยหลังจึงมีปริมาณที่น้อยกว่า และไม่ล้ำค่าเท่าสมัยแรกๆ
เนื่องจากของเขาดี และมีมหาศาล คงเลือกมาเล่าได้ไม่หมด เอาเฉพาะที่เราชอบมากละกัน
ที่ประทับใจเรามากมีสองอย่าง
รอชมคร้าบบ ...... ^^
จากคุณ : ไฮเปอร์ แมเนีย1. ตุ๊กตา
ทุกท่านคงผ่านตา ตุีกตาดินเผาของจิ๋นซีกันมาบ้างแล้ว สังเกตให้ดี ตุ๊กตาสมัยจิ๋นนั้นจะมีลักษณะพิเศษน่ารักอยู่หน่อย คือตัวจะดูผอมๆ ท้องจะป่องหน่อยๆ แขนขายังดูตรงๆ จะว่าไปดูคล้ายตัวการ์ตูนในสมัยนี้ โดยส่วนตัวเลยรู้สึกว่าน่ารักดีค่ะ พอมาดูพิพิธภัณฑ์นี้ ได้เห็นพัฒนาการการปั้นรูปคน ภาคต่อจากของจิ๋นซีไปเป็นฮั่น ตุ๊กตายิ่งน่ารักใหญ่ หน้าจะเร่ิมกลมๆ ตัวจะผอมๆ แขนขาเริ่มทำเป็นแบบมีข้อต่อ เร่ิมมีแนวโค้งแนวเว้าบ้าง แต่ยังใส่เท่าที่จำเป็น ไม่ทำให้เหมือนคนจริงนัก โดยส่วนตัวชอบมากทีเดียวค่ะ พอมาถึงสมัยถัง หน้ายิ่งอูมขึ้น เริ่มมีน้ำมีนวล ไปตามแฟชั่นยุคสมัย
ไม่รู้ทำไม แต่เราชอบตุ๊กตาเขาจริงๆ เลย (แม้จะน่ากลัวเป็นบางครั้ง)
แง้ๆๆๆ มีธุระด่วนเข้ามา
เชิญทุกท่านดื่มชายามบ่อยรอ
เดี๋ยวกลับมาต่อนะคะ (ไม่หายแน่นอน)
ข้อมูลแน่นมากค่ะ
จากคุณ : Bpearlมารอด้วยคน สนุกดี.......ขอบคุณครับ
จากคุณ : low batt. [1 ต.ค. 54 14:31:09 ]A:49.48.49.92 X: TicketID:329936ขอบคุณค่ะ รอตามชมนะคะ
จากคุณ : homdinn2.เรื่องสี
ยุคถังจะเริ่มมีการใส่สีมากขึ้น ใส่สีหลักสามสี(แต่ไม่ใช่แม่สีนะ) เข้าใจว่าไม่ใช่การระบาย แต่เป็นการผสมสารเคมีบางอย่างลงไป พอเผาจะให้สีออกมาดังต้องการ ถือเป็นพัฒนาการขั้นสุดอย่างหนึ่งของถัง
ช่างปั้นช่างเผานั้น นอกจากผสมให้มีสีแล้ว ยังมีลูกเล่นแบบ สีหยดสีย้อย พอเผาปุ๊บ สารเคมีก็ไหลลงมา พอให้สี ก็ให้สีแบบหยดๆ ให้อารมณ์ออกมาอีกหลายๆ แบบ
ไม่ทราบว่าเป็นต้นกำเนิดเครื่องเบญจรงค์ในยุคหลังด้วยหรือไม่
3.ผังเมือง
นี่เป็นสิ่งที่ประทับใจเรามากที่สุด ผังเมืองในยุคนี้จัดได้สวย มีระเบียบ และเหมาะกับประโยชน์ใช้สอยเอามากๆ แต่นี่ไม่ใช่สาระสำคัญสำหรับเรา!! เพราะเราดูไม่รู้เรื่องอยู่ดี ฮ่าๆ เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อมองดูผังเมืองของเขาแล้ว รู้สึกเหมือนเห็นที่ไหนมาก่อน สักพักให้นึกขึ้นได้ ผังเมืองนี้เหมือนกันกับผังเมืองเกียวโต ที่ญี่ปุ่นมาก และคล้ายกันมากกับผังเมืองปักกิ่ง
----
ป.ล. รูปผังเมืองอยู่ในมือถือซึ่งเสียไปแล้ว แป่วววว เอารูปกองทับตุ๊กตาไปชมแทนนะคะ
ส่วนผังเมือง ลองเสิร์ชหาดูในเนทได้ค่ะ ปักกิ่ง ฉางอาน เกียวโต จะเหมือนกันเลย
----
ตอนโพสท์ครั้งแรก เราทำข้อ 2 หาย ขอเติมหน่อยค่ะ
ถ้าเราจำไม่ผิด เมืองเกียวโตนั้น เอาผังเมืองมาจากฉางอาน (ก็คือซีอาน) ปักกิ่งเองก็เอาแบบมาจากฉางอานเช่นกัน สามเมืองนี้จึงมีผังเมืองโดยพื้นฐานเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ฉางอานเปลี่ยนไป ปักกิ่งก็เจริญขึ้นมาก เค้าโครงเดิมยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ไม่ชัดเจนนัก เกียวโตซึ่งยังรักษาขนบโบราณไว้ จึงกลายเป็นเมืองที่เหมือนกับฉางอานโบราณที่สุด
ว่าแล้วก็คิดถึงปักกิ่งและเกียวโต เคยเล่าถึงปักกิ่งไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่เคยเล่าเรื่องเกียวโตเลย สำหรับเราแล้ว เกียวโตเป็นเมืองที่ทุกท่าน สามารถจะหลงจนโงหัวไม่ขึ้นได้เลยค่ะ ให้ตายเหอะ
พอใกล้เที่ยงเราก็รีบเดินออกมา เพราะมีนัดที่ที่พัก ทว่า...พอเดินออกมาได้สองสามก้าว เริ่มหนาวมือ ลองควานหาถุงมือ เจอเพียงข้างหนึ่ง อีกข้างควานเท่าไหร่ก็ไม่เจอ คิดว่าหล่นอยู่ในพิพิธภัณฑ์แน่ เราพยายามขอพี่ยามด้านหน้า แต่เขาก็ต้องรักษากฎ จะให้เข้าไปก็คงไม่ได้ จึงได้แต่ยืนทำตาละห้อยอยู่นอกพิพิธภัณฑ์ ฮือๆ
-----
-สุสานจักรพรรดิจิงตี้ (ฮั่นหยางหลิง)-
ในlonely planet หนังสือนำเที่ยวที่ดังที่สุดในโลก เขียนไว้ว่า ในทรรศนะของพวกเขา สถานที่ที่น่าสนใจที่สุดในซีอาน คือสุสานจักรพรรดิจิงตี้ หาใช่สุสานจิ๋นซีไม่ เราได้พิสูจน์ด้วยตนเองในเวลาต่อมา เมื่อเราเที่ยวไปทั่วซีอานในหลายวันให้หลัง สุสานจักรพรรดิจิงตี้ ก็ขึ้นแท่นสถานที่น่าไปอันดับหนึ่งในใจเรา
ทว่า...โดยปกติ ทางไปสุสานแห่งนี้นับว่ายากเย็นนัก เพราะอยู่นอกเมืองออกไปไกล ระหว่างทางหามีสถานที่ท่องเที่ยวให้แวะ พอจัดเป็นทริปก็หาได้ไม่ ถ้าใครอยากไป คงต้องซื้อทัวร์เฉพาะไปเอง ไม่ก็เช่าแท็กซี่ไป นับว่าสิ้นเปลืองมาก
เราอยากไปดูมาก ที่ที่พักรับจัดทัวร์เล็กๆ ด้วย แต่เขาเอาสามคนขึ้นไปค่ะ เรามากันแค่สองคน ตอนแรกก็เลยชวดไป ทว่า...ดูเหมือนจะมีฝรั่งอีกสามคน อยากจะไปดูเหมือนกัน ที่พักเลยจับเรารวมกัน (ขออนุญาตพวกเราทั้งหมดก่อนแล้ว) และลดราคาให้ เหลือเพียงประมาณ 140 y (รวมค่าเดินทาง ค่าเข้าทุกอย่าง) และออกเดินทางในตอนเที่ยง ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ทำให้เราต้องรีบออกจากพิพิธภัณฑ์ที่เล่าไว้
เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าเป็นฤดูร้อน จะมีรถตู้รับส่งของทางการไปที่พิพิธภัณฑ์ แต่เขาก็บอกเหมือนกันว่ามันไม่แน่นอน กำลังพัฒนากันอยู่ สรุปว่าไปเองไปยาก เราเดาว่าที่พักแต่ละแห่งน่าจะมีรับจัดทริปเล็กๆ ไป ท่านใดสนใจลองสอบถามที่พักของตัวเองก็ได้ค่ะ หรือถ้าไม่มี เราว่ามาที่ shuyuan hostel ก็ได้ ตอนเราไปติดต่อ+จ่ายตังค์ค่าทริป ไม่เห็นเขาถามเบอร์ห้องเลย คงไม่สนใจว่าพักที่ไหนนะ เราว่า
-----
พักสายตากับรูปแถมจากพิพิธภัณฑ์ส่านซีอีกสักรูป
ทริปนี้ไม่มีไกด์ มีแต่รถกับคนขับเท่านั้น ซึ่งนับว่าตรงใจมาก ระหว่างทางคนขับเปิดหนังตลกฝรั่งให้ดู(เป็นภาษาอังกฤษ) คนขับก็ดูด้วย เราคุยกะแก เห็นว่ารับจ็อบพานักท่องเที่ยวไปฮั่นหยางหลิงเป็นประจำ ตอนนี้กำลังฝึกภาษาอังกฤษอยู่ แกบอกเมื่อวานก็เพิ่งรับคนไทยมาเที่ยว แกชอบคนไทยน่ะ อัธยาศัยดี
มาถึงที่ลุงคนขับก็เดินนำเราไปที่สุสาน ตลอดทั้งทริปแกจะเดินนำทางเราตลอดค่ะ แต่ไม่เร่งใดๆ ทั้งสิ้น ที่น่าตกใจคือ ไม่มีการมาโฆษณาโน่นนี่แม้แต่อย่างเดียว จะมีคุยกันบ้างเล็กน้อย ก็เรื่องสัพเพเหระทั่วไป
เข้าเรื่องกันดีกว่า สุสานจักรพรรดิจิงตี้นี้ จะว่าไปมันก็ไม่เชิงเป็นสุสาน แต่เป็นสุสานที่ทำเป็นพิพิธภัณฑ์แบบแหวกๆ แรกสุด เราจะเดินเข้าไปในห้องมืดๆ ทางเดินมืดๆ รู้ตัวอีกที เราก็ยืนอยู่บนกระจกแผ่นใหญ่ ซึ่งพาดอยู่เหนือหลุมขนาดมหึมา มองลงไปใต้เท้า จะเห็นตุ๊กตาดินเผา ทั้งรูปคน รูปสัตว์ หรือแม้แต่เครื่องใช้ไม้สอยมากมาย ราวกับเมืองเมืองหนึ่ง
สิ่งที่ต่างจากสุสานจิ๋นซี ก็คือขนาดของตุ๊กตา ตุ๊กตาที่นี่ขนาดเท่าท่อนแขนเด็ก ขนาดเล็กกว่าของจิ๋นซีมาก ลักษณะก็เป็นไปตามยุคสมัย คือหน้าอูมกว่า ตัวค่อนข้างผอม เริ่มมีส่วนโค้ง แขนขาทำเป็นข้อต่อ ถอดแยกจากตัวได้ และที่สำคัญคือ...มันเปลือย
ตุ๊กตาทุกตัวที่นี่เปลือยหมด เหตุเพราะเดิมทีตอนฝัง พวกเขาสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ทำจากผ้าจริงๆ ต่างจากกองทหารของจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ปั้นเสื้อผ้ามาพร้อมกับตัว เวลาผ่านไป ที่ใต้ดินนั้น เสื้อผ้าถูกย่อยสลาย ณ วันนี้ เมื่อตุ๊กตาเหล่านี้ถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง จึงกลายเป็นตุ๊กตาที่เปล่าเปลือย ล้มนอนทับกันเป็นแถว
และนี่คือจุดที่...น่าสยดสยอง...แต่สวยงามอัศจรรย์
หากจิ๋นซีฮ่องเต้ เลือกให้กองทหารของพระองค์ ตามพระองค์ไปในปรภพ จักรพรรดิจิงตี้ก็เลือกประชาชนของพระองค์ ให้ตามพระองค์ลงไปด้วยกัน
นี่คืออีกจุดที่ต่างจากจิ๋นซี ตุ๊กตาดินเผาของที่นี่มีทั้งชายหญิง(และขันที??) ข้าราชการและชาวบ้านตาดำๆ ยังมีวัวควายสัตว์เลี้ยง เครื่องปั้นดินเผา เครื่องใช้ไม้สอย ราวพระองค์จะฝังฉางอานอันเป็นที่รักให้ตามพระองค์ไป
ราเดินผ่านหลุมนั้นมาได้ ก็มาเจอกับโรงหนังแนะนำประวัติจักรพรรดิจิงตี้ โรงหนังนี้มีทีเด็ดอยู่ตรงเทคนิกพิเศษตระการตา เขาจะมีเวทีเล็กๆ ซึ่งมีฉากถาวรอยู่ ถาวรนี่หมายความว่า โต๊ะก็เป็นโต๊ะจริงๆ เสาก็เป็นเสาจริงๆ พอเริ่มเรื่องก็จะฉายภาพเลเซอร์? ภาพโฮโลแกรม? ไม่รู้เรียกอะไรเหมือนกันค่ะ แต่เป็นภาพที่เกิดจากการฉายแสง ไปบนเวที ปรากฏเป็นภาพฮ่องเต้ นางกำนัล ขุนนาง ฯลฯ เหมือนจริงมาก เดินไปมา ฟ้อนรำ ต่อสู้ สวยงามมากตระการตามากจริงๆ
พอออกจากโรงหนัง ก็จบหอนี้ คนขับพาเราไปอีกที่หนึ่ง คราวนี้เป็นพิพิธภัณฑ์รวบรวมตุ๊กตา(บรื๋ออออ) ที่นี่ไม่มีอะไรมาก ให้เราเดินดูตุ๊กตาที่ขุดขึ้นมากันชัดๆ ไม่ได้มีเทคนิกพิเศษอะไร แต่ตุ๊กตานี่...อืม จะบอกว่าน่ากลัว หรือน่าสนใจดีเนี่ย ฝรั่งที่มาด้วยกันบอกว่า creepy ๆ ไปหลายรอบ
แล้วก็จบสุสานจักรพรรดิจิงตี้ค่ะ ใช้เวลาไม่นานนัก เดินทั่วๆ ก็ประมาณ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น ทว่า...หากเป็นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ที่นี่จะแข่งกันออกดอกบานสะพรั่ง เล่นสีกันเป็นแนว เราเห็นในภาพแล้วน้ำตาจะไหล แค้นโว้ย มันสวยจริงๆ ค่ะพี่น้อง ถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ผลิ อาจต้องบวกเวลาเริงร่ากลางทุ่งอีกสัก 1-2 ชั่วโมงค่ะ
จะว่าไปสุสานนี้มันก็ไม่ใหญ่นะคะ เวลาเดินทางกับเวลาเดินดูนี่ไล่ๆ กันมาเลย แต่เราก็ยังรู้สึกว่าคุ้มอยู่ดี
--------
เย็นวันนั้น เราโทรศัพท์กลับเมืองไทยเพื่อขอโทษคุณป้าที่ทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง(ซึ่งมันดูอุบาทว์กว่าทำหายทั้งคู่อีก) พอทราบเรื่องคุณป้าก็หัวเราะลั่น หันไปคุยกับคนทั้งบ้านว่าเราทำถุงมือหายข้างเดียวอีกแล้ว คุณป้าให้ความเห็นว่า เวลาไปเที่ยวครั้งหน้า ก็เอาถุงมืออีกชุดหนึ่ง ที่เราทำหายไปข้างเดียวเหมือนกัน เอามาเข้าคู่กันได้พอดี ฮือๆๆๆ
พอเรื่องถุงมือจบ ก่อนวางสาย คุณป้า(ซึ่งมาเที่ยวเมืองจีนบ่อยมากกกกก)ก็ถามเราว่า เราจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง พอเราร่ายโปรแกรมไป ป้าก็พูดด้วนเสียงเครียดๆ กลับมา "เออ....เอ้ ระวังหน่อยนะ อย่าพูดลบหลู่อะไรเข้าล่ะ" เราเริ่มงงนิดๆ "ที่จะไปน่ะ เป็นสุสานทั้งนั้นเลยนะ ที่เที่ยวซะเมื่อไหร่"
พูดจบป้าก็วางสายไป เราถึงนึกขึ้นมาได้ ที่ที่เราจะไป มันสุสานทั้งนั้นเลยนี่ฝ่าาาาาา
--------
-ปิงหมาหย่ง-
นี่อาจเป็นสถานที่ที่ถูกรีวิวแล้วรีวิวเล่า จนคนอ่านเบื่อเสียแล้วก็เป็นได้ ฮ่าๆๆๆ เอาเป็นว่าเราจะพูดถึงสั้นๆ แล้วกันค่ะ
เช้าวันถัดมา เราตื่นแต่เช้าเพื่อไปรอรถเมล์ท่องเที่ยวระยะไกล ที่ซีอานนี่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่นอกเมืองเป็นจำนวนมาก ทางการจึงจัดรถโดยสารสายท่องเที่ยวโดยเฉพาะขึ้นมาให้ (แต่ในลานจอดรถนั้น ก็มีนายหน้าค้าทัวร์มามองหาเป้าหมายด้วยเหมือนกัน) รถท่องเที่ยวที่ว่านี้มีกันหลายสาย ไปหลายสถานที่มากกกกก บางแห่งเรายังไม่เคยได้ยินชื่อเลยค่ะ ถ้ามีเวลามากกว่านี้ เราอาจจะลองกระโดดขึ้นรถสักคัน ดูซิว่ามันจะพาเราไปไหน ฮ่าๆๆ
แรกสุด เรากะจะไปสุสานบูเช็กเทียน แต่มาถึง เขาว่ามันออกไปแล้ว มีแค่วันละคันเท่านั้นค่ะ ฮือๆ เลยเปลี่ยนทิศทางไปปิงหมาหย่งแทน
ก็นั่งรถท่องเที่ยวสาย 808 ไป (มั้ง คือจำเลขไม่ได้ แต่หาไม่ยากเลยค่ะ หน้าคันรถจะมีป้ายโชว์รูปสถานที่ที่รถผ่านอยู่) ผ่านไปสักพัก คันนี้จะผ่านหลายจุด ทั้งน้ำพุหวาชิง ห้องสมุดอะไรสักอย่าง สุสานจิ๋นซี(ตรงจุดที่เชื่อว่าเป็นสุสาน และก็เลยมีศาลจิ๋นซี) จุดสุดท้ายคือ ปิงหมาหย่งค่ะ
เราลงกันที่สุดสาย เดินต่อไปอีกนิด จะเจอจุดขายบัตร พอซื้อปุ๊บ ก็ต้องเดินต่อไปอีกไกลมากๆๆๆๆ เพื่อนเราซึ่งเคยมาที่นี่เมื่อหลายปีก่อนบอกว่า ที่นี่เปลี่ยนไปมหาศาลทีเดียวค่ะ ทางเข้าจากแต่เดิม ที่เป็นทางให้รถเข้าไปได้จนสุด เดินอีกไม่ถึง 100 m ก็ถึงที่แล้ว กลับเป็นว่าเขาเทปูน ลาดทาง ปลูกตึกขึ้นหลายหลังให้กลายเป็นห้องร้าน ถนนคนเดินไปตลอด อารมณ์ว่าเตรียมรอรับเมกะโปรเจคต์ด้านท่องเที่ยวของจีน จุดขายบัตรนั้นอยู่ก่อนเข้าถนนคนเดินนี่ ต้องซื้อบัตรแล้วเดินผ่านถนนนี่ไปอีกประมาณ 1-2 km จึงจะถึงทางเข้าปิงหมาหย่งจริงๆ
หลังซื้อบัตรเสร็จ ก็จะมีไกด์ ซึ่งได้รับอนุญาตจากทางการ ย้ำ! ได้รับอนุญาตแล้ว เข้ามากลุ้มรุมทึ้ง พยายามเสนอตัวมาเป็นไกด์ให้เรา น่ากลัวมากกกก แต่เราไม่เอาตามสูตรค่ะ ต้องเดินหนี จนแทบจะวิ่งหนี จึงจะรอดมาได้ หลังจากนั้น พอเดินเที่ยวๆ เอง เจอฝรั่งที่เขาซื้อบริการจากไกด์ รู้สึกไกด์ให้ข้อมูลดี ภาษาอังกฤษก็ดี แอบเสียดายนิดๆ เลยทำทีไปดูอะไรแถวๆ ฝรั่งคนนั้น เป็นการแอบฟังไกด์ไปในตัว หุๆ
กลับมาที่เดิม ถนนคนเดินที่ว่าค่อนข้างเงียบเหงา ส่วนใหญ่จะเน้นขายอาหาร แลดูชั้นสูงและมีราคา สำหรับนักท่องเที่ยวhigh-end
มาถึงที่ก็เดินผ่านจุดตรวจบัตร เราก็จะเข้าเขตปิงหมาหย่งกัน ปิงหมาหย่งนี้มีประกอบด้วยตึก 4 หลัง คือหลุมฝังสมบัติจิ๋นซี หลุมที่ 1,2,3 ส่วนอีกตึกคือพิพิธภัณฑ์จิ๋นซีค่ะ
เนื่องจากเพื่อนเราไม่สบายมากในวันนั้น รูปที่ถ่ายมาจึงมีไม่มาก
สามหลุมนี้แตกต่างกันอย่างไร?
สามหลุมนี้เป็นซากทัพ เอ้ย! เป็นซากกองทัพทหารปั้นดินเผา(เอ๊ะ หรือสัมฤทธิ์)ของจิ๋นซีฮ่องเต้เหมือนๆ กัน โดยหลุมที่ใหญ่ที่สุด คือหลุม1นั้น เป็นฉากของภาพที่เราเห็นกันจนชินตา ภาพกองทหารนับร้อย ยืนเรียงกันเป็นแถว ราวซ้อมรบอยู่ แถมหลุมนี้ค่อนข้างสว่าง หากต้องการพิสูจน์เรื่องที่เขาว่ากันมา ว่าทหารแต่ละคนหน้าตาไม่เหมือนกันนั้นจริงหรือไม่ สักเกตจากที่นี่ได้ไม่ยากเลยค่ะ ที่น่าดูอีกอย่าง คือมีซากหลุมฝังศพคนทั่วๆ ไปในยุคถัดมาฝังทับไว้ นี่เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้ขุดปิงหมาหย่งต่อไม่ได้
หลุมถัดมา เราไปหลุมสุดท้ายก่อน หลุมที่3 เป็นกองทหารม้ากองเล็กๆ ที่แตกต่างจากหลุมอื่นคือเราจะได้เห็นม้าและรถม้าที่สมบูรณ์ด้วยค่ะ หลุมถัดมา หลุมที่ 2 หลุมนี้จำไม่ค่อยได้ว่าเป็นไง แต่มีการจัดแสดงหุ่นของระดับแม่ทัพ เทียบกันกับทหารเลว เพื่อให้เห็นความแตกต่าง ว่าพวกเขาแต่งตัวต่างกันอย่างไร แยกกันอย่างไร มีการจัดแสดงอาวุธ หนึ่งในนั้นคือพวกหอก ดาบ เขาอธิบายว่า อาวุธที่ขุดพบจากหลุมของปิงหมาหย่งนั้น พบว่ามีการฉาบสารโครเมียมออกไซด์ ทำให้อาวุธคงทน แม้ฝังมานานหลายพันปี ก็ยังใช้ได้จริงค่ะ ที่สำคัญ คนยุคหลังเพิ่งจะมาพบเทคนิกนี้เมื่อปี 1930-1950 นี้เอง โอ้วววว แม่เจ้าโว้ยยยยย
ตึกสุดท้าย เป็นพิพิธภัณฑ์ปิงหมาหย่งค่ะ เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แต่มีของที่ล้ำค่ามาก นั่นก็คือ รถม้าของจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นของจำลองค่ะ แต่เป็นของจำลองที่จิ๋นซีฮ่องเต้สั่งทำขึ้น ด้วยเพชรนิลจินดา ทองคำเหล็กกล้า ทุกสิ่งอันมีค่าควรเมือง เท่าที่จะหาได้ในสมัยนั้น มี 2 ชุดค่ะ เห็นแล้วขนลุกเลย อีกอย่างที่เขาโชว์ คือเทคโนโลยีกลอนสลักต่างๆ ค่ะ เสียดายไม่มีป้ายอธิบายภาษาอังกฤษ เราจึงได้แต่ยืนดู แถมไกด์ของฝรั่งยังมาไม่ถึงด้วย เซ็งจริงๆ (ของก็ฟรี ยังจะบ่นมากอีก)
อีกห้องพูดถึงโครงการปิงหมาหย่งค่ะ พูดถึงว่าเขาพัฒนามาอย่างไร มีประโยคหนึ่งอ่านแล้วประทับใจมาก เขาบอกว่า “ ช่วงของการพัฒนาและบูรณะเสร็จสิ้นลงแล้ว ต่อไปนี้เป็นช่วงเวลาของการรักษา ซึ่งพวกเราเจ้าหน้าที่ จะรักษาไว้ด้วยเกียรติและชีวิต ”
พูดถึง เคยได้ยินมาว่า ปิงหมาหย่งที่เราเห็นอยู่นั้น เป็นแค่หลุมปลายๆ เป็นแค่ทหารปลายๆ แถวขององค์จิ๋นซีฮ่องเต้ เนื่องมาจากวิทยาการในปัจจุบันยังไม่สูงพอจะรักษาสภาพของหุ่นทหารไว้ และยังมีเรื่องที่ทาง เจ้าของแถวนั้นเขาไม่ยอมอีก เลยหยุดการขุดไว้เพียงเท่านี้ก่อน นึกภาพไม่ออกเลยว่า ถ้าวันหนึ่งเขาขุดต่อจนถ้วนทั่ว มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน อุว้าววว
มีเรื่องที่เราเกิดสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดจิ๋นซีฮ่องเต้อยากเป็นอมตะอย่างเขาว่าจริงๆ แล้วทำไมจิ๋นซีฮ่องเต้ จึงสร้างสุสานให้ตัวเองเสียใหญ่โตอย่างนี้ล่ะ?
----
รถม้าแห่งองค์จิ๋นซีฮ่องเต้ค่ะ
-ย่านมุสลิม-
บ่ายวันนั้นเราไม่ได้ไปไหนกันเท่าไหร่ เพราะเพื่อนเราไม่สบาย กลับไปนั่งๆ นอนๆ พอเย็นๆ ก็ออกมาเดินเล่นกัน
เราเคยเดินหาย่านมุสลิมกันมาแล้ว แต่หาไม่เจอค่ะพี่น้อง ทั้งๆ ที่เดินผ่านทางเข้าของมันหลายรอบมาก ก็ยังไม่สำเหนียกเลย ว่ามันมีตลาดอยู่ตรงนั้น ฮ่าๆๆๆ ไม่ทราบมีใครเป็นแบบเราบ้าง
เรื่องของเรื่องก็คือ หน้าตลาดมุสลิมอันลือลั่นนั้น ดันมีหอกลอง (หรือระฆังหว่า?) บังอยู่ ต้องเดินอ้อมด้านข้างของหอนั้นเข้าไป ว่ากันตามจริงก็มีแผงขายของของตลาดนั้น กินพื้นที่มาถึงข้างๆ หอที่ว่า เป็นสัญญาณบอกว่าถึงตลาดมุสลิมแล้วจ้า แต่เราก็เดินตาถั่วมากพอควร เอาแต่บ่นกันว่า เฮ้ย ตลาดอยู่ไหนหว่า ไหนบอกหาง่ายไง บุ่ยๆๆๆ
ในตลาดมุสลิมดังกล่าวนี้ เป็นตลาดคนเดิน มีของขายมากมายมหาศาลตลอดทางเดิน แต่เท่าที่สังเกตดู จะมีแค่ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ สับกับผลไม้ตากแห้ง สับกับขนมมุสลิม สินค้าพวกเดียวกันจะคล้ายๆ กัน และสินค้า 3 ชนิดนี้ จะวางสลับกันไปตลอดทาง ใครไม่เชื่อลองไปเดินดู เขาจะขายสลับกันเป็นแพทเทิร์นทีเดียว ราวเล่นอยู่กับความหวั่นไหวของนักท่องเที่ยว เห็นครั้งแรกอาจแค่อยากซื้อ เห็นครั้งที่สองที่สามอาจหลงกลได้ แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยค่ะ คือ ของเหมือนเดิม เห็นครั้งแรกก็ซื้อ(กิน) เห็นครั้งที่สองก็ซื้อ(กิน)อีก เปลี่ยนร้านไปเรื่อยๆ ฮ่าๆๆๆ
ความจริงตลาดมุสลิมเป็นทางตรงๆ ไปเรื่อยๆ แต่มีทางออกไปสองข้างเหมือนกัน ลองเดินๆ ดูได้ แต่ระวังรถด้วยนะคะ
----
ไม่มีรูปย่านมุสลิม
พักสายตากับรูปจากปิงหมาหย่งกันก่อน
นึกว่าจะไม่มาต่อซะแล้ว
ตอนนั้นไปเซี่ยงไฮ้ก็มาขอข้อมูลจากคุณ aey_omu ไปทีนึงแระ
นี่ก็กำลังจะไปเฉิงตู ซีอาน ลั่วหยาง ปักกิ่ง อาจจะต้องได้รบกวนอีกทีนะครับ ^^
-สุสานองค์หญิงหย่งไท่-
เช้าวันถัดมา เรามีเป้าหมายอยู่ที่สุสานบูเช็กเทียน ฟังจากที่เขาว่าๆ กันมา รถเมล์คันที่จะไปสุสานดังกล่าวออกตัวแต่เช้า ประมาณ 7 โมงเช้า พวกเราจึงตื่นกันแต่ไก่ยังไม่โห่ ฝ่าลมหนาวระดับพัดเราปลิว และฝ่าอุณหภูมิติดลบออกมากัน อาาา ลงทุนจริงๆตรู
พอมาถึง ปรากฏว่าไอ้รถคันนั้นมันดันออกประมาณ 8.30 =*= นี่ตรูจะมาเช้าเพื้อ...
อย่างที่เคยเล่าไป ลานจอดรถเมล์ระยะไกลข้างสถานีรถไฟนั้น เต็มไปด้วยรถเมล์หลากสายหลายหน้า สายที่เขียนในหนังสือlonely planet คือสาย y2 แต่ที่จริงเราต้องขึ้นสาย y3 กัน เข้าใจว่าเรื่องสายรถเมล์อาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ เพราะโบราณสถานรอบซีอานมีอยู่มหาศาล และยังมีการพัฒนา ขุดค้นปรับปรุงใหม่อยู่เรื่อยๆ ในอนาคตคงมีสายรถเมล์ระยะไกลผุดขึ้นมาอีกเป็นสิบๆ สาย พาไปที่นั่นที่นี่เต็มไปหมด น่าสนุกมากทีเดียวเชียวค่ะท่านผู้ชม
เรื่องสายรถเมล์นี้ทำพิษเราในภายหลัง
แรกสุดเราตั้งใจจะไปแค่เฉียนหลิง(สุสานบูเช็กเทียน) แต่กระเป๋ารถบอกว่าไม่ได้ เธอจะต้องไปทุกที่ตามที่สายรถเมล์นี้พาไป อะไรฟระ...เรางงกันชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มอ๋อ คือรถเมล์ระยะไกลแบบนี้ จะพาเราผ่านโบราณสถานหลายแห่ง พอผ่านแห่งหนึ่งก็ปล่อยลง รถก็จอดรอ นัดเวลากัน แล้วก็กลับขึ้นคันเดิม จากนั้นรถก็พาไปสถานที่ต่อไป ว่ากันง่ายๆ มันคือทัวร์จำเป็นที่รัฐบาลจัดขึ้นมาอุดช่องว่างเรื่องการเดินทางนั่นเอง
สุดท้ายเราก็เออออห่อหมก เพราะไม่มีทางอื่นที่จะไปเฉียนหลิงได้อีก นอกจากขึ้นรถคันนี้(ไม่ก็เช่ารถ ซึ่งเราคงไม่เอา)
---
ภาพฝาผนังจากสุสานองค์หญิงหย่งไท่
แปดโมงครึ่ง รถก็ออก มันดูเป็นทัวร์จริงๆ เพราะกระเป๋าก็เริ่มบรรยายเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเราฟังไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆ จากนั้นก็เริ่มเปิดซีรีส์เกาหลีฉบับภาษาจีนให้ผู้โดยสารดูกัน ผ่านไปสักชั่วโมงเราก็มาถึงโบราณสถานแห่งแรก
มีชื่อว่า "สุสานองค์หญิงหย่งไท่"
ถึงตรงนี้ขอให้ทุกท่านอ่านกันดีๆ ค่ะ
ลงจากรถมาปุ๊บ ก็จะมีอาคารประจันหน้ากับเราอยู่สองแห่ง แห่งหนึ่งคือตัวสุสานองค์หญิงหย่งไท่ อีกแห่งคือพิพิธภัณฑ์บูเช็กเทียน สองแห่งนี้แตกต่างกันมาก สุสานองค์หญิงหญิงนั้น มองเข้าไปจะเป็นลานโล่งๆ มีอาคารจีนซ้อนกันไปมาตามฉบับ ส่วนพิพิธภัณฑ์บูเช็กเทียนนั้น มองเข้าไปจะเป็นอุโมงค์ตรงๆ มืดๆ ภายในจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้ง บอกเล่าเรื่องราวประวัติขององค์จักรพรรดินี
ข้อแนะนำคือ ไม่ต้องเข้าพิพิธภัณฑ์ค่ะ เข้าสุสานองค์หญิงโลดเลย อย่าหาว่าไม่เตือน ฮ่าๆๆๆ
พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ หุ่นขี้ผึ้งไม่ค่อยสวย เรื่องราวดูน่าสนใจก็จริงแต่เราฟังไม่ออกอ่ะ แถมต้องเสียค่าไกด์เพิ่มด้วย สำหรับท่านที่คลั่งไคล้บูเช็กเทียนมาก เราก็ยิ่งไม่แนะนำ เพราะท่านคงรู้ประวัติพระนางดีอยู่แล้ว สรุปว่าเอาเวลาไปเข้าสุสานดีกว่า
องค์หญิงหย่งไท่เป็นพระธิดาของพระโอรสของพระนางบูเช็กเทียน (งงมั้ยเนี่ย) องค์หญิงองค์นี้จะว่าไปมิได้มีชื่อเสียงเรียงนามทางประวัติศาสตร์นัก เพราะพระนางสิ้นพระชนม์เสียแต่อายุยังน้อย คืออายุเพียง 17 ปีเท่านั้น สาเหตุนั้นประวัติศาสตร์มิได้กล่าวไว้ (ไม่ก็ จขกท อ่านไม่เจอ) แต่ข้อสำคัญคือสุสานของนางมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ และสามารถเป็นตัวแทนสุสานขนาดเล็ก ที่ไม่ได้ใหญ่โตโอฬาร แต่ครบธรรมเนียมของชนชั้นสูง
ความจริงสุสานของพระนางเคยโดนปล้นค่ะ ของล้ำค่าอะไรก็ไม่มีเหลือ ทว่ามีบางสิ่งที่ยังเหลือล้ำค่ากว่านั้น ได้แก่ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งดูเหมือนยังรักษาสภาพของโบราณไว้ อีกหนึ่งคือโลงศพของพระนาง และอีกหนึ่งคือสถาปัตยกรรม โครงสร้างของสุสานค่ะ
พอเข้าไปในเขตสุสาน จะมีอาคารจีนอยู่ซ้ายขวา ด้านหนึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงข้าวของจากแถบทะเลทราย และอีกด้านหนึ่งจัดแสดงข้าวของของชนชั้นสูงในยุคนั้น สองแห่งนี้น่าสนใจมากค่ะ แต่ต้องระวังเวลาไม่พอด้วย
เดินดุ่มๆ ต่อเข้าไป ตรงกลางจะเป็นสุสานของจริงแล้วค่ะ ตัวสุสานเป็นอุโมงค์ขุดลึกลงไปประมาณ 30 องศา พอเราเดินเข้าไปปุ๊บ ก็ให้รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทันใด โบราณสถานห่างหูห่างตาผู้คน มีนักท่องเที่ยวมาวันหนึ่งไม่เกินสิบกว่าคนแบบนี้...
นักท่องเที่ยวชาวจีนที่ขึ้นรถคันเดียวกับเรา ยังฟังไกด์อยู่ในพิพิธภัณฑ์บูเช็กเทียน เจ้าหน้าที่เฝ้าสุสานก็มีอยู่แต่ด้านหน้า เพื่อนตัวดีของเราก็กำลังเดินอย่างเชื่องช้าดูโน่นดูนี่อยู่ด้านหลังไกลออกไป
ที่ปลายสุดของอุโมงค์ เป็นห้องโถงเล็กๆ ค่อนข้างมืด มีเพียงแสงสลัวๆ จากปลายอุโมงค์ด้านบนส่องลงมา...ณ ที่แห่งนี้ มีเพียงเรา..และ...โลง!!!!!
แม่เจ้าาาาาาาา เที่ยวสุสานมาไม่รู้กี่แห่ง ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรนัก ใครๆ เขาก็มาเที่ยวกัน เพิ่งมาสัมผัสเอาวันนี้แหละค่ะพี่น้อง ว่าสุสานของจริงมันเป็นเช่นใด! อ๊ากกกก ใครก็ได้เดินลงมาซะทีเซ่ๆๆๆๆ
ไม่มีแม้ลมพัดผ่านลงมา ห้องอับชื้นมืดสลัวแห่งนั้นค่อยหนาวขึ้นเรื่อยๆ เราข่มใจเดินเข้าไปใกล้
โลงศพขององค์หญิงมีขนาดใหญ่กว่าโลงของคนในปัจจุบันมาก คล้ายกับจะทำให้เหมือนเตียงบรรทม ในยามที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่
องค์หญิงหลับใหลอยู่ในนี้...ในโลงเหล็กกล้านี้...ใช่แล้ว ห่างกับเราแค่ความหนาไม่กี่เซนติเมตร พระเจ้า...นี่จะไม่มีราวหรือเชือกกั้นอะไรเลยเหรอไง
เราเดินถอยหลังออกมาช้าๆ ฉับพลันนั้น ก็พบตัวเองยืนอยู่กลางห้องโถงเล็กๆ สลัวๆ อีกแห่งหนึ่ง ฝาผนังเป็นรูปนางในกำลังยืนพัดวี ประกอบกิจประจำวันของพวกนาง รูปเหล่านี้รายล้อมอยู่รอบตัวเราราวมีชีวิต หันดูตามไปเรื่อยๆ อากาศเริ่มน้อยลง เริ่มเวียนหัว เอ๊ะ...พวกนางกำลังเคลื่อนเข้าใกล้เรารึเปล่านะ
เรารีบหมุนตัวกลัวไปยังทิศที่เดินลงมา เห็นแสงที่ปลายสุดของอุโมงค์อยู่ไกลๆ อาาาา...อยู่ๆ ก็คิดขึ้นมา พันกว่าปีก่อน สุสานแห่งนี้เคยโดนปิดตายไปแล้ว ใครสักคนอาจเคยมองภาพเดียวกันกับเราตอนนี้ พร้อมๆ กับที่แสงจากอีกฝั่งค่อยๆ ดับลง วันนี้ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นอีกครั้ง ถ้าสุสานถูกปิดลง.....
เราได้กลิ่นเย็นชื้นลอยมาแตะจมูก
--------
"นี่แกทำอะไรอยู่น่ะ..." เสียงเพื่อนดังลงมา พร้อมๆ กับที่เจ้าตัวเดินอย่างเร็วมาที่เรา เหมือนเราจะยืนนิ่งๆ ไป เพื่อนเลยเรียกให้ได้สติ เฮ้อ...ไม่รู้จะเล่าอะไรต่อแล้วค่ะพี่น้อง จริงๆ ก็ไม่ได้หลอนขนาดนั้น แต่สุสานองค์หญิงหย่งไท่เป็นสถานที่ที่น่ามาเสพบรรยากาศสุสานไร้ผู้คนจริงๆ ค่ะ
----
-เฉียนหลิง(สุสานบูเช็กเทียน)-
รถพาเราเดินทางต่อไปอีกสักพัก ก็จอดและปล่อยเราลงยังสถานที่แห่งหนึ่ง มันคือสถานที่ที่เราใฝ่ฝันอยากจะเห็นมาแสนนาน
สุสานบูเช็กเทียนแน่นอนล่ะว่ามีพื้นที่ใหญ่โต เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ใต้อาณัติของพระองค์ ล้วนถูกฝังเป็นสุสานลูกอยู่รายรอบ แต่ ณ วันนี้ ทางการยังมีบังอาจรบกวน ขุดสุสานพระองค์ขึ้นมาเล่นขายของ ทำได้แต่เพียงอวด"ทางเดินเข้าสุสาน" ของพระองค์ให้ชาวโลกได้ยินยลก็เท่านั้น
และนี่คือสิ่งที่เราใฝ่ฝันอยากเห็น มันคือ "อวี้เต้า" ทางเดินแห่งจิตวิญญาณ ทางเดินอันลาดไปสู่ภูเขา อันเป็นที่ฝังพระศพของพระนางบูเช็กเทียน
แรกสุดเพื่อนเราไม่รู้ว่าพวกเราจะมาดูแค่"ทางเดิน" พอมันรู้เลยโดนด่าเช็ด ฮ่าๆๆๆ เรื่องของเรื่องเพราะว่าเราพร่ำเพร้อถึงสุสานบูเช็กเทียนมาก เพื่อนเราเลยจินตนาการไปซะไกลลิบ
พอเดินมาถึง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า....
คือแก๊งอาม่าขายตุ๊กตาเสือ!!!
ปีนี้ปีเสือ จึงมีตุ๊กตาเสือขายกันเกลื่อนเมือง เราก็ซื้อกับเขาอยู่ตัวหนึ่งเหมือนกัน พออาม่าแก๊งนี้รุมเข้ามา แรกสุดเลยกะจะเดินหนี ที่ไหนได้พออาม่าแกเสนอราคามาเท่านั้นล่ะ....อ๊ากกกกกก แล้วไอ้เสือที่ตรูซื้อไปเมื่อวานนั่นมันอะไรกัน! หน้าตาก็ไม่ต่างกันมากนัก มันเป็นเสือศักดินาหรือไงฟระ! ทำไมราคามันแตกต่างขนาดนี้ ม่ายยยยยยย
เราเลยซื้อมาอีกสองตัว จะเอาไปฝากหลานที่เพิ่งเกิด เฮ้อ ดีไม่ของขึ้นเหมาของแกหมด
ไร้สาระมากค่ะ มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวของเรากันดีกว่า สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเรา คือทางเดินหินอ่อนสีขาวขนาดมหึมา (ซึ่งมีแก๊งอาม่ายืนดักรออยู่) พอเดินตัดผ่านประตูทางเข้าเข้าไป เราก็จะยืนอยู่บนตรงกลางของทางเดินนั้นพอดี ตรงกึ่งกลางทางเดินจะเป็นจุดที่ต่ำที่สุด ซ้ายมือ เป็นทางเดินค่อยๆ ลาดสูงขึ้นไป ปลายทางเป็นสุดเขตสุสาน นอกเขตจะเป็นผาลาดลงไปอีกที อีกด้านทางเดินจะหรูหราขึ้นเรื่อยๆ ลาดขึ้นไปยังภูเขาอันเป็นที่ฝังพระศพ
คิดว่าหลายท่านในนี้คงมีโอกาสได้ไปเที่ยวกันมาแล้ว หรือบางท่านอาจเคยเห็นเคยได้ยินมา สองข้างทางของทางเดินที่ว่า มีตุ๊กตาหินอ่อนขนาดมหึมา สลักเป็นรูปสิงสาราสัตว์ต่างๆ แต่ละตัวก็มีความหมายโดยนัยของมัน บ้างก็หมายถึงความองอาจ ความรุ่งเรืองอะไรก็ว่าไป บ้างก็เป็นสัญลักษณ์โดยนัย ถึงอำนาจที่มีเหนือประเทศราชต่างๆ
พอเดินไปทางที่ลาดขึ้นไปยังหุบเขาเรื่อยๆ รูปปั้นสัตว์ก็จะกลายเป็นรูปปั้นขุนนาง ตรงปลายทางก็จะมีกลุ่มขุนนางกำลังประชุมรอรับเสด็จกันอยู่
จุดนี้ถ้ามองลงไปจะเห็นทางเดินทั้งเส้น จะว่าไปตัวทางเดินและรูปปั้นก็ไม่ได้สวยงามเหนือจินตนาการอะไรมากนัก แต่มันสร้างได้พอเหมาะพอเจาะ ก่อเกิดเป็นภูมิลักษณ์ที่สวยสดงดงามยิ่งนัก
ถ้าให้นึกภาพออก จุดนี้เขาว่ากันว่าเป็นต้นแบบ lord of the rings บางฉากด้วยค่ะ ดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่กลมกลืนกับธรรมชาติอย่างไม่มีที่ติ
ด้านข้างทางเดินจะมีป้ายสลักมหึมาอยู่ต้นหนึ่ง เดิมทีป้ายนี้ไม่มีอะไรสลักไว้ เพราะพระนางบูเช็กเทียนเห็นว่า ความดีงามของพระนางขอให้คนรุ่นหลังเป็นผู้ตัดสิน ปัจจุบันจึงมีผู้มาตัดสินให้หลายท่าน เป็นองค์จักรพรรดิในรุ่นหลังบ้าง ปราชญ์ที่มีชื่อเสียงบ้าง มาสลักเสลาให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา โชคดีที่ยังไม่มีปราชญ์ชั้นผู้น้อย ชนิดชอบขีดๆ เขียนๆ ตามประตูห้องน้ำมาสลักกับเขา ไม่งั้นเสานี้คงเข้าขั้นแนวขึ้นอีกมาก
ถ้าหากท่านมีเวลา สามารถขี่ม้าขึ้นเขาได้ด้วย แต่เรามีเวลาไม่มากเท่าไหร่ ก็ขอผ่านแล้วกัน (แอบเสียดาย ใครได้ขึ้นเขาไปเอามาอวดบ้าง)
เรากินข้าว(มาม่า)มื้อเที่ยงกันที่นี่ ก่อนที่รถจะพาเราเดินทางต่ออีกนานนับชั่วโมง เพื่อไปยังวัดฝ่าเหมินซื่อ
------
สังเกต ในรูปจะมีแก๊งอาม่าขายเสืออยู่ลิบๆ ด้วย
-ระหว่างทางเดิน-
ถ้าจะนับว่า ช่วงเวลาบนรถเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งก็ไม่ผิดนัก ช่วงเวลาจากสุสานพระนางบูเช็คเทียนไปวัดฝ่าเหมินซื่อค่อนข้างไกลมาก ใช้เวลาเดินทางกว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ชาวจีนในรถส่วนใหญ่สลบไสลกันไปหมด เหลือแต่ชาวไทยคนหนึ่งที่ยังตื่นตาค้างอยู่
ไม่มีรูปถ่ายค่ะ บอกไว้ก่อน เพราะถ้าจำไม่ผิด เพื่อนเรามันเฝ้าเง็กเซียนไปแล้วในขณะนั้น เหลือแต่เราคนเดียวเท่านั้น จึงขอบอกเล่าภาพที่พบผ่านทางตัวอักษรก็แล้วกัน
สิ่งที่เราเห็นคือภาพชุมชนชนบทของจีนแท้ๆ ตึกรามบ้านช่องสองข้างทาง เป็นอย่างที่เคยเห็นในหนังเรื่องความรักของแม่...จะมีคนเคยดูมั้ยหว่า คือเป็นเรื่องในยุคนี้ของจีนล่ะค่ะ บ้านจนมากๆ แต่แม่ดี พยายามสอนลูกให้ตั้งใจเล่าเรียน เนื้อเรื่องก็ประมาณว่า เล่าถึงความยากลำบากของแม่(ซึ่งสะท้อนภาพคนจน)ในการหาเงินมาส่งเสียให้ลูกได้เล่าเรียน เป็นหนังดีมาก แต่ฉายตอนตีสาม! ใครจะมานั่งรอดูฟระ (นอกจากแม่ จขกท ฮ่าๆๆ) เอ่อ...หลุดประเด็นอีกแล้ว คือจะบอกว่าหน้าตาบ้านเรือนคล้ายคลึงกับที่เห็นในหนังเรื่องนั้น มันจะเป็นบ้านอิฐ ก่อขึ้นมาแบบเป็นเหลี่ยมๆ ไม่มีลูกเล่นพลิกแพลงอะไรทั้งนั้น เอาว่าให้กันลมกันหนาวได้ สีบ้านก็เป็นสีอิฐแบบนั้น ถ้าอยู่ไกลตัวหมู่บ้านหน่อย รอบๆ บ้านจะเป็นสวนผัก สวนผลไม้ หลังบ้านลิบๆ จะเป็นทุ่งนาไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่รู้ของบ้านไหนบ้างแฮะ บางบ้านก็จะมีลา มีม้าอยู่ด้วย นอกจากสวนแล้ว ก็จะมีฮวงซุ้ยของบรรพบุรุษอยู่รอบบ้าน มีการประดับประดาอย่างดี หินหลุมนี่จะเป็นอย่างดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ คะเนจากตาแล้ว หลายๆ บ้านให้ความสำคัญกับป้ายหลุมศพมากกว่าตัวบ้านเสียอีก เรียกได้ว่าความกตัญญูยังเป็นคุณธรรมสูงสุดของชาวจีนจริงๆ
----
บ้านเรือนแถบนั้น แต่นี่ถ่ายจากอวี้เต้าค่ะ
มากันที่หมู่บ้าน รถของเราแล่นแผ่นถนนสายหลักของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เผอิญวันนั้นเขามีตลาดนัดหรือไงไม่ทราบ คนเต็มเลยค่ะ แต่ละคนก็ใส่เสื้อผ้าแบบที่เห็นในหนัง ที่คล้ายๆ เสื้อม่อฮ่อมสีหม่นๆ มาเดินจับจ่าย บ้างก็นั่งขาย ร้านรวงอะไรก็วางกับพื้น พวกบ้านเรือนก็คล้ายกับที่เห็นก่อนหน้านี้ แต่ออกจะสร้างติดๆ กันหน่อย ส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านค้า เห็นขายผักบ้าง ขายเนื้อบ้าง ขายของชำบ้าง คละๆ กันไป แต่ยังไม่เห็นมีร้านจำพวกอินเตอร์เน็ต ดอทเออะไรแม้แต่ร้านเดียว ยังคงเป็นร้านที่ขายเฉพาะปัจจัยสี่กับบุหรี่เท่านั้น
ขอบอกว่า ให้อารมณ์เหมือนหลุดเข้าไปในหนังยังกับแกะ แบ๊ะๆ
มากันถึงเรื่องธรรมชาติ พอรถออกจากสุสานบูเช็กเทียน มันก็แล่นขึ้นที่ราบที่สูงหน่อย (จะเรียกที่ราบสูงก็ดูยิ่งใหญ่ไป) เรานั่งอยู่ชิดหน้าต่าง มองออกไป เห็นทัศนียภาพรอบด้านอย่างชัดเจน ด้านหนึ่งนั้น เห็นแผ่นดินขาดออกเป็นสองส่วน มีเหวซึ่งยาวและลึกกั้นกลาง บนแผ่นดินฝั่งนี้ล้วนเป็นทุ่งนา แต่อีกฝั่งกลับเป็นหินสีแดงแห้งแล้ง ให้ออกมาเป็นภาพที่ดูแปลกประหลาดดีชะมัด ที่ประทับใจที่สุด เห็นจะเป็นการที่เรามองเห็นไปรอบๆ ได้จนสุด “ลูกหูลูกตา” จริงๆ ตอนนั้นรู้สึกเหมือนได้เห็นเส้นขอบฟ้าซึ่งเกิดจากแผ่นดินชนฟ้าเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เกิดมา ถ้าไม่ใช่ที่ทะเลแล้ว เราก็ไม่เคยเห็นเส้นขอบฟ้าบนแผ่นดินชัดๆ มาก่อน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีตึก มีบ้าน มีภูเขาอะไรสักอย่างบัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท้องฟ้าในชีวิตประจำวัน มันหดเล็กลงทุกวัน เพราะโดนตึกปิดจนจะหมดอยู่แล้ว
เป็นครั้งแรกที่เห็นเส้นขอบฟ้ากับแผ่นดินชัดๆ แต่เราปลุกเพื่อน แล้วหยิบกล้องออกมาไม่ทันจริงๆ
----
ตัวอักษรเป็นพรืด พักตากันหน่อย
ถ่ายจากอวี้เต้าเช่นกัน จะเห็นนาขั้นบันได และแนวหินราบสูงอยู่ลิบๆ ค่ะ
เสียดาย มีสายไฟผ่านหน้าเล็กน้อย
-วัดฝ่าเหมินซื่อ-
ในที่สุดก็มาถึงที่เที่ยว ซึ่งไม่ใช่สุสานจนได้ เฮ้อ หลอนกันมานาน มาไหว้พระทำบุญกันดีกว่า
วัดฝ่าเหมินซื่อ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายของทริปในวันนี้ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายก่อนอำลาแผ่นดินใหญ่ด้วย
รถที่เรานั่งมาถึงวัดฝ่าเหมินซื่อในที่สุด เรามองจากระยะไกล เห็นอาคารสีเหลืองสุกปลั่งใหญ่โตโอ่อ่า ดูมีราคาและทันสมัยจากระยะไกลๆ แรกสุด เรานึกว่า เอ๊ะนี่เขามีศูนย์ประชุมอะไรกันอยู่กลางป่ากลางเขาอย่างนี้นะ (และเมื่อไหร่จะถึงวัดซะทีล่ะเนี่ย) แต่จู่ๆ รถที่เรานั่ง ก็หักศอกเลี้ยวเข้าศูนย์ประชุมซะอย่างนั้น แล้วเจ้าหน้าที่ก็ประกาศว่า มาถึงวัดฝ่าเหมินซื่อแล้วจ้า
ณ จุดนี้ ขอเล่าด้วยความคับแค้นใจ เราฟังประกาศไม่ถนัดนัก จึงถามเจ้าหน้าที่อีกรอบ ถึงเวลารถออก เขาบอกว่ารถจะออกในอีก 1 ชั่วโมง พวกเราจึงรีบเร่งวิ่งกันออกมา สถานที่ดูใหญ่โตขนาดนี้ 1 ชั่วโมงไม่น่าจะทันแน่
พวกเราหารู้ไม่ว่า รถจะออกใน 1 ชั่วโมงก็จริง แต่เราไม่จำเป็นต้องกลับกับรถ วัดฝ่าเหมินซื่อนี้ เป็นวัดที่รถเมล์ทัวร์ของทางการหลายหลากสายมาลง และตั๋วของเราก็เป็นตั๋วเฉพาะขาไป อย่างไรก็ต้องซื้อตั๋วขากลับอีกทีอยู่แล้ว ทางที่ถูกต้องคือ ลงจากรถคันที่เรานั่งมา เที่ยววัดฝ่าเหมินซื่อซะให้พอ แล้วค่อยนั่งรถสายไหนก็ได้ กลับตัวเมืองซีอาน (มีรถเมล์มากมายจอดคอยอยู่ในลานจอดรถ)
แต่พวกเราไม่รู้ และหลังเข้าใจอย่างเต็มเปาว่าต้องออกมาให้ทัน 1 ชั่วโมง
เราซื้อตั๋วราคากว่า 100 หยวนเข้าไปด้านใน รีบวิ่งเข้าไปอย่างสุดแรง ภาพแรกที่เห็นด้านหน้า คือสระคนขุดขนาดใหญ่ ตามด้วยทางเดินที่ทั้งกว้าง ทั้งไกลสุดลูกหูลูกตา ประดับประดาด้วยพระพุทธรูปขนาดยักษ์ทั้งสองข้างทาง
ทางเดินนั้นยาวจริงๆ ค่ะ เราวิ่งอยู่นาน กว่าจะถึงทางที่เราต้องการ ตัววัดฝ่าเหมินซื่อแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือวัดเก่า มีมาแต่สมัยโบร่ำโบราณ และตัววัดบูรณะใหม่ ซึ่งสร้างอย่างใหญ่โตโอฬาร แน่นอน พวกเราเลือกส่วนวัดเก่าค่ะ
หากเดินเข้ามาจากด้านหน้า เมื่อเดินถึงระยะหนึ่ง จะมีทางออกขวา นั่นคือทางไปส่วนวัดเก่า วัดฝ่าเหมินซื่อนั้น เดิมเป็นที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุส่วนนิ้วพระหัตถ์ มีหอคอย 12 ชั้นเป็นไฮไลท์ อย่างไรก็ตาม ขณะที่เราไปถึง หอคอยกำลังบูรณะ ห้ามเข้า T.T เราเดินวนรอบวัดเก่า และรีบวิ่งออกมากัน ขณะนั้นเวลาผ่านไป 45 นาทีกว่าแล้ว (คิดดู ขนาดวิ่งมานะเนี่ย ใหญ่ขนาดดด)
เราวิ่งกลับออกมาทางเดิน มองทางเดินใหญ่โต เห็นคนที่มากับรถทัวร์เดียวกันกับเรา ยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป ตามทางไปยังหอคอยของส่วนวัดใหม่ ซึ่งเป็นที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุในปัจจุบัน ขณะนั้น อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเขาดูไม่รีบกันเลยล่ะ ใจหนึ่งอยากจะวิ่งเข้าไปถาม แต่เขาก็อยู่ไกลเกินจะวิ่งไปและกลับ และไปให้ถึงรถในเวลาที่เหลืออยู่เท่านั้น สุดท้าย เราตัดใจวิ่งกลับออกไปตามทางเดิน
-----
ที่เห็นอยู่นี้คือ หัวเราแทบไม่พ้นฐาน
อันที่จริง ถ้าตอนนั้นเราวิ่งไปถาม คงได้คำตอบไปนานแล้ว ฮือๆๆๆ
เราวิ่งออกจากวัดด้วยสภาพเหงื่อไหลไคลย้อย แม้อยู่ในอากาศเฉียด 0 องศาก็ตามที
เมื่อมาถึงที่จอด ก็ต้องช็อคเมื่อเห็นว่ารถเพิ่งออกไปไม่นาน แถมที่สำคัญ พี่เจ้าหน้าที่ซึ่งควรจะไปกับรถ กลับอยู่เช็ดรถเมล์ทัวร์คันข้างๆ อยู่ พร้อมทำหน้าฉงนและถามเราว่า กลับออกมากันทำไมเร็วขนาดนี้
หลังการพูดคุยเล็กน้อย พวกเราถึงบางอ้อ ที่แท้เราเข้าใจผิดไปไกล ก่อนจะหันมองหน้ากัน เกิดหลายอารมณ์ขึ้น ทั้งเสียดายเงิน(แน่นอน อันนี้สำคัญสุด) เสียดายโอกาส (แน่นอนว่า จะไม่ยอมเสียเงินเข้าไปอีก แสดงว่า ชาตินี้คงไม่ได้กลับมาดูวัดนี้แล้ว) และแค้นใจถึงที่สุด (ซึ่งก็ไม่รู้ว่า ตกลงกรูแค้นใครฟระ) ฮือๆๆๆๆ
ทั้งนี้ เพื่อนเราเสียดายของ มันนึกว่าจะกลับคันเดิม จึงเผลอทิ้งหมวกใบหนึ่ง ซึ่งเป็นของที่ได้มาอย่างมีความทรงจำดีๆ ไว้ในรถคันนั้น น่าสงสารมาก
เราจึงจบการเดินทางของวัน และของแผ่นดินใหญ่ไว้ด้วยความเศร้าความเสียดายประการฉะนี้
----
ภาพรวม
ขอเพิ่มเติมเรื่องวัดฝ่าเหมินซื่อหน่อย คือส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบวัดนี้อย่างบอกไม่ถูก = =;; ตัววัดใหม่ดูโอ่อ่าใหญ่โตก็จริง แต่ลักษณะเหมือนพยายามทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างชัดเจน มีโรงแรมด้านใน มีบาซ่าร์สำหรับขายของด้านใน มันพูดไม่ถูกแฮะ ดูจงใจขายของแปลกๆ ค่ะ แถมหลายวันให้หลัง เรายังเห็นวัดนี้โฆษณาออกทีวีที่ฮ่องกงอย่างใหญ่โต เชิญชวนให้คนมาเที่ยว(ค่าเข้าแพงมาก) ดังนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าผ่านหรืออยู่ในรายการทัวร์ ถ้าต้องมาเอง คงจะไม่มาอีก แม้จะยังเที่ยวด้านในได้ไม่ครบก็ตามที
หลังกลับถึงซีอาน เพื่อนขอไปทำใจที่หมวกหาย ส่วนเราแวบไปเที่ยววัดต้าเยี่ยนถ่ามาค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา คิดว่าเล่าไปคงไม่สนุกและไม่เห็นภาพเท่าไหร่ แถมเที่ยวแบบรีบๆ ด้วย จึงขอข้ามไปค่ะ
เช้าวันรุ่งขึ้น เราออกเดินทางกันแต่เช้า(มาก) ประมาณตี 5 ได้ ฝ่าลมหนาว ที่น่าจะหนาวสุดในทริป ขณะนั้นประมาณ -2 องศาได้ ไปขึ้นรถshuttle bus ต่อไปยังสนามบิน
เราจากแผ่นดินใหญ่ไปด้วยประการฉะนี้
----
ส่วนวัดฝ่าเหมินซื่อเก่า
เพิ่มเติมเหตุการณ์หลังจากนั้น
เราลงเครื่องกันที่เสินเจิ้นค่ะ หน้าสนามบิน มีรถตรงไปที่มงกกเลยด้วย แต่เราอยากไปจัดการเรื่องโทรศัพท์กับบัญชีธนาคาร และอะไรอีกนิดหน่อย จึงทำเหมือนเดิมคือขึ้นรถบัสไปสถานีรถไฟ เจ๊คนขายมือถือจำพวกเราได้ และตกใจมาก เจ๊บอกนี่ลื้อยังไม่กลับบ้านกลับเมืองกันอีกเหรอเนี่ย แรงจริง 5555
โทรศัพท์มือถือ เบอร์ของแผ่นดินใหญ่ใช้ที่ฮ่องกงได้ค่ะ แต่ราคาจะแพงกว่าหน่อย จำไม่ได้ชัดว่าเท่าไหร่ แต่อยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้
ส่วนบัญชี ถ้าไม่ใช้บัญชีแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะเบิกเงินทั้งหมดออกมาให้เรา แล้วบัญชีก็จะปิดไปเอง ตรงนี้มีเหตุเกิดขึ้น(อีกแล้ว) คือ ตอนขามา เราจำได้ว่า มีพนักงานคนหนึ่ง ได้ตำแหน่งยอดแย่ของธนาคาร (เขามีโหวตด้วยอ่ะ) เราจำหน้าได้ เพราะตอนนั้น เขากำลังโดนฝรั่งด่าอยู่ มาคราวนี้เป็นคนปิดบัญชีให้เราค่ะ เราก็ใจหายใจคว่ำ ว่าจะมีอะไรไหม ปรากฏก็เบิกเงินออกมาครบดี เราวางใจ พากันเดินผ่านด่านเข้าฮ่องกง พอถึงฮ่องกง เจ้าหน้าที่คนนั้นดันโทรมา บอกลืมให้เราเซ็นต์รับเงิน ซะงั้น เขาพูดสั่งให้เรากลับไปเซ็นต์ แต่เราไปไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะไม่มีวีซ่าแล้ว ตอนนั้น เขาบอกเราว่าจะเอามาให้เราเซ็นต์ที่ฮ่องกง!!! แต่สุดท้าย ถึงวันนัดหมาย ก็ไม่มาตามนัด กรุละเซ็ง
สำหรับการผ่านด่าน ไม่มีอะไรมาก ฮ่องกงกับแผ่นดินใหญ่ห่างกันเพียงคลองเล็กๆ กั้นเท่านั้น การผ่านด่านก็เพียงเดินข้าม สามารถเดินเข้าด่านได้จากสถานีรถไฟเสินเจิ้นเลยค่ะ หาทางไม่ยากเลยค่ะ
-----
จบกันไปแล้ว กับ xian จะให้รอนานถึงพ.ศ.ไหนเนี่ย รีวิวฉบับนี้!!!
พรุ่งนี้มาต่อกันที่ฮ่องกง เซียงก่าง ค่ะ
หอคอยแห่งวัดฝ่าเหมินซื่อ ฮือๆๆๆ
----
เพิ่มเติม
เราแอบส่งหลังไมค์ไปหาผู้อ่านที่ติดตามมาตลอดๆ หรือมาตามตัวเราในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาบางท่าน
ไม่ทราบเป็นการรบกวนรึเปล่าค่ะ เราเพียงคิดว่า การที่เราหายตัวไปนาน ควรจะต้องรับผิดชอบตัวเองด้วยการส่งหลังไมค์สั้นๆ แจ้ง ถ้ารบกวนต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ
อยากไปแบคแพ็กนานๆแบบนี้มั่งจัง
จากคุณ : ค่ง หยาง เจี่ยนรีวิวมารธอน เขียนต่อเนื่องกันจะดีมาก
จากคุณ : ห้าสิบกะรัตขอบคุณค่ะ
จากคุณ : เหม่ง-เป่ง-มันเห็นแล้วอยากไปแบปเป้เที่ยวแบบนี้บ้างครับ น่าสนุกมาก
จากคุณ : Destiny-Boyขอบคุณครับ
จากคุณ : TheFootballมาต่อแล้วววว
ตอนที่ 12 ยามเมื่อข้ามคลองมา "ฮ่องกง"
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11143035/E11143035.html
แฮ่ก ๆ เหนื่อยจัง อ่านมาตั้งแต่เช้า ตั้งกะตอนที่ 1 -*- ตอนที่ 12 ต่อเลยแล้วกัน รีวิวได้สนุกมากครับ
จากคุณ : lnwraijinตามมาเที่ยวอีกพร้อมให้กิฟท์แทนคำขอบคุณค่ะ ชมรวดเดียวเลย กำลังตามไปกระทู้นู้นต่อ ช่วยเก็บเข้าคลังกระทุ้ไว้ให้นะคะ
จากคุณ : สาวหน้าใสขอบคุณมากค่ะที่เรียกมาอ่านต่อ ขอบอกว่าไม่รบกวนเลยเขียนเรื่องได้สนุกข้อมูลแน่นปึ๊ก
จากคุณ : Aggie boy