จากวัดพนัญเชิง วัดแรกที่ได้ไป ก็ยังไม่พบพระองค์สีดำขนาดใหญ่ ที่ดูน่าเกรงขาม ในวิหาร แต่ก็ได้เห็นหลังคาวิหารที่เป็นโครงไม้ระเกะระกะ อย่างที่เคยจำได้ในทริป 9 วัดเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ระหว่างที่เดินไปด้านหลังวิหาร ก็ได้สอบถามคนแถวนั้น เขาบอกว่า ให้ลองมาดูที่วัดใหญ่ชัยมงคล ใกล้ๆนี้ ผมก็เลยมายังวัดนี้ทันที ยังพอมีเวลา (ตอนนั้นเพิ่ง 5 โมงเย็นครึ่ง)ฟ้าไม่มืด ไม่กลับ...อิอิ
ตบท้ายด้วยสถานีรถไฟอยุธยาที่ นานแล้ว...กว่า 30 ปี ที่ไม่เคยได้มาครับ
ขอวางลิ้งค์ตอนแรก วัดพนัญเชิง ไว้ข้างล่างนี้ครับ
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11122517/E11122517.html
ออกจากวัดพนัญเชิง ก็ตรงมาทางทิศตะวันออก ตามถนนสายที่ 3477 ดังแสดงในแผนที่ข้างล่างทันที ระหว่างทางก็ผ่านจุดตัดทางรถไฟ แล้วก็ได้มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นอย่างไม่ทราบก็คือ รถไฟที่กำลังวิ่งผ่านด้านหน้าเป็น...รถจักรไอน้ำ น่าเสียดายที่คว้ากล้องถ่ายภาพออกมาไม่ทัน อีกทั้งผมติดอยู่ห่างจากทางรถไฟหลายคันเหมือนกัน แต่ถ้าคว้ากล้องทันก็คงได้รูป รถจักรที่มีควันโขมงกำลังแล่นผ่านหน้าได้ นับเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เนื่องจากวันนั้นเป็นวันแม่แห่งชาติ เป็นรถไฟเที่ยวกลับกรุงเทพฯ (เวลาเดียวกับที่ผมเคยไปดักถ่ายมาแถวๆ ถนนวงแหวนเมื่อวันคล้ายวันสถาปนาการรถไฟแห่งประเทศไทย 26 มีค. 2552 โน้น)
ผ่านจุดตัดทางรถไฟมา ก็ถึงสามแยกติดกับวัดใหญ่ชัยมงคลทันที ซึ่งจากแผนที่จะเห็นว่า เราสามารถมาวัดนี้จากถนนสายเอเชีย (เลขที่ 32) ได้ก่อนถึงทางต่างระดับอยุธยา
ภาพข้างล่างนี้คือ สามแยกติดกับวัดใหญ่ชัยมงคล จะมองเห็นเจดีย์ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ข้างหน้า ให้เลี้ยวซ้าย ไปเล็กน้อยก็จะถึงทางเข้าวัดด้านขวามือครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ก่อนเข้าวัดขอกางแผนที่ดาวเทียมในวัดให้ดูกันก่อน ว่ามีจุดสำคัญๆ อยู่ตรงไหนบ้าง พร้อมแสดงเส้นทางเดินเท้าและเดินรถภายในวัด ดังแสดงข้างล่างนี้ครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เลี้ยวเข้ามาก็เจอป้ายชื่อวัดขนาดใหญ่ พอๆ กับวัดพนัญเชิงฯ เลยครับ แต่ต่างกันที่หลังป้ายไม่ใช่วัด เป็นคลองรอบวัดแทน
ดูจากสายตาแล้วรถมากจริงๆ ประตูทางเข้าวัดก็เล็กจึงตัดสินใจวิ่งรถต่อไปที่หลังป้าย เพื่อหาที่จอด ซึ่งไม่ผิดหวัง ขับไปได้ไม่ไกลก็มีที่ว่างพอจอดริมคลองได้ แต่สมาชิกที่มาด้วยกันไม่มีใครลง ผมเลยต้องลุยเดี่ยวทำเวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดให้คุ้มค่าครับ
ตามมาชมต่อ.........ขอบคุณครับ
จากคุณ : low batt. [3 ต.ค. 54 11:48:09 ]A:223.207.91.154 X: TicketID:329936สวัสดีคุณ low batt. และคุณลุงแบเป้ ครับ มาติดตามกันต่อครับ
ตอนนี้กำลังเดินผ่านป้ายชื่อวัด มุมนี้เก็บภาพได้ครบเลยถ่ายมา เพราะด้านหน้ามีรถยนต์จอดกันเยอะ
ทางด้านหน้าป้ายจะเป็นส่วนหย่อม ซึ่งมีทางเดินเข้าตรงกลางพอดี ด้านหลังป้ายเป็นคลอง (ต้นคลอง) มีกุฏิเรือนไทยที่สวยงามเรียงรายกันไป
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)มาถึงประตูเข้าวัดแล้ว เป็นประตูเหล็กหล่อ มีรูปเจดีย์ใหญ่ (เจดีย์ชัยมงคล)ติดบนบานประตูด้วย เมื่อเดินผ่านเข้าไป ด้านซ้ายจะเป็นป้อมชำระค่าธรรมเนียมเข้าชมวัดและโบราณวัตถุ สำหรับชาวต่างชาติ ครับ ส่วนด้านขวาเป็นลานจอดรถ (เพิ่งเห็นตอนที่เดินเข้าไปครับ)
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ด้านขวามือ ก่อนถึงลานจอดรถ มีป้ายแนะนำการท่องเที่ยวของ ดีแทค ด้วย นับเป็นความร่วมมือร่วมใจของเอกชนรายนี้ ที่มีมานานแล้วครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ด้านซ้ายเป็นด้านหน้ากุฏิเรือนไทย แบบดั้งเดิมประยุกต์ คือที่พักอยู่ชั้นบน ส่วนชั้นล่างจากสมัยก่อนที่ปล่อยว่างไว้เฉยๆ ก็มากั้นเป็นห้องเพิ่มเข้ามา
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)มองไปข้างหน้าจะเห็นเจดีย์ใหญ่อยู่ตรงกลางพอดี การเข้าวัดต้องเลี้ยวไปทางซ้ายครับ มีป้ายบอกทางอยู่ตรงหัวมุมถนนด้านขวาพอดี
ต้องขอโทษที่ภาพมัวไปหน่อย เพราะเวลานั้นก็เย็นมากแล้ว แสงน้อย อีกทั้งต้องรีบเดิน มือเลยไม่นิ่ง ครับ
นี่เป็นป้ายบอกทางตรงหัวมุมถนนใกล้กับลานจอดรถ ชอบใจตรงที่มีรูปแสดงด้วย กันเข้าใจผิด ไอเดียที่ดี
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เดินมาถึงทางเข้าวัดแล้ว เป็นกำแพงเก่า เมื่อเข้าไปแล้ว ทางด้านซ้ายจะเป็นวิหารพระนอน (พระพุทธไสยาสน์) น่าสน ลองแวะเข้าไปดูกันก่อนนะครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เจอป้ายบอกรายข้อมูลเกี่ยวกับ วิหารนี้โดยย่อครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ถึงแล้วครับ องค์พระนอนอยู่ทางด้านขวามือ คนเยอะมากๆ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)คนบัง เดินมาเก็บภาพทางด้านเศียรพระบ้าง (เนื่องจากสถานที่แคบ เลยต้องนำภาพมาต่อกันครับ)
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เดินวนรอบองค์พระมาทางด้านหลัง เพื่อเก็บภาพในมุม Unseen
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เนื่องจากวิหารได้พังเสียหายไปเยอะ จนกำแพงด้านหน้าองค์พระเหลือนิดเดียว เลยได้ภาพมุมตรงระยะไกล ของพระนอนมาให้ชมกัน แต่ถึงกระนั้นก็ถ่ายรวดเดียวไม่ได้ต้องนำภาพมาต่อกันอีก
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ไหว้พระนอนเสร็จแล้วก็เดินกลับออกมาทางเดิม จะเห็นเจดีย์ขนาดกลางตั้งอยู่ตรงหน้า จากระยะทางที่ใกล้กว่าเจดีย์ใหญ่ จึงทำให้ดูเหมือนมีขนาดใหญ่กว่าครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เดินเข้าไปในวัดอีกเล็กน้อย พอหาช่องถ่ายภาพเจดีย์ใหญ่เต็มๆ ได้ถ่ายทันที ซึ่งก็ยังมีต้นไม้บังอยู่บางส่วน ทางเข้าอยู่ด้านข้างโบสถ์ครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เดินมาถึงโบสถ์แล้ว เห็นคนเข้าไปไหว้กันเยอะ ผมไม่ค่อยมีเวลา เลยขอไหว้จากข้างนอกก็แล้วกัน
เนื่องจากองค์พระที่เห็นในภาพนั้นมีขนาดใหญ่ จนผมคิดว่าเป็นองค์พระประธานในโบสถ์ (ส่วนใหญ่ก็นิยม ปางมารวิชัย ยิ่งมีซุ้มเรือนแก้วก็ดูคล้ายๆ กับพระพุทธชินราช) ผมเลยไม่ได้เข้าไปในโบสถ์ ที่ประตูทางเข้าอยู่ด้านหลังองค์พระพอดี ซึ่งถ้าไม่สังเกตุก็จะไม่เห็น
ด้วยความสัตย์จริงที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าองค์พระสีทองทีเห็นด้านหน้าโบสถ์ ว่าเป็นพระประธานก็เพราะ วิหารพระนอนที่ชำรุดเปิดโล่งเห็นองค์พระนอนจากข้างนอก ซึ่งโบสถ์ก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน คือผนังเปิดโล่ง เพียงแต่ ทางวัดได้สร้างหลังคาสังกะสีเพื่ออำนวยความสะดวกกับ สาธุชนที่มาไหว้พระเท่านั้น
ภาพที่ทำให้ผมทราบ (เพิ่งทราบตอนเตรียมภาพโพสกระทู้เอง) ก็คือภาพข้างล่างนี้ ที่มองเห็นว่ามี แอร์อยู่ข้างใน เลยทำให้คิดว่า ต้องมีห้องอยู่ข้างใน มองไปมองมา อ้าว....ห้องยาวขนาดนี้ แสดงว่าเป็นโบสถ์แน่นอน ไม่ใช่แค่ห้องเก็บของหลังพระประธาน)
ผมเลยลองค้นหาภาพข้างในโบสถ์ จากกูเกิ้ล ได้มาดังภาพข้างล่างนี้ครับ
ข้อสังเกตุ โบสถ์แห่งนี้มีความแตกต่างจากโบสถ์ทั่วไปก็คือ หน้าต่าง ที่เป็นช่องเล็กๆ แนวตั้งเรียงกัน (Strip) จำนวน 6 ช่อง เหมือนช่องระบายลม (ไม่รู้ว่าจะกันฝนสาดได้หรือเปล่า)
ดูภาพองค์พระประธานแล้วคล้ายกับ พระทางภาคเหนือเลยครับ
ที่มาของภาพ :http://sermonsila.บล๊อกสปอต.com/2010/12/บล๊อก-post_5742.html
ถัดไปจาก โบสถ์เป็นศาลาเรือนไทยหลังใหม่ สวยครับ แต่ไม่มีเวลาเข้าไปชมใกล้ๆ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เข้าไปไหว้พระที่เจดีย์ใหญ่ กันดีกว่าครับ ความสูงทำให้รู้สึกท้าทายต่อการปีนป่าย และทำให้มีโอกาสมองวิวได้มากกว่า
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ภาพข้างบนยังถือว่าเก็บรายละเอียดไม่ครบสมบูรณ์ ขาดองค์พระด้านขวาไป จึงต้องเดินหามุมกล้องอีกครั้ง ซึ่งได้มาเท่าที่เห็นในรูปข้างล่าง ซึ่งผมได้นำไปเป็นภาพเปิดกระทู้ด้วย
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เดินเข้ามาในแนวกำแพงของเจดีย์องค์ใหญ่แล้วครับ มีคนถ่ายภาพกันเยอะจริงๆ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)งานนี้ผมไม่พลาดขึ้นไปข้างบนแน่ แม้เวลาจะใกล้ 6 โมงเย็นแล้วก็ตาม น่าเสียดายกับสมาชิกที่มาด้วยกันไม่ยอมเข้ามา ต้องมาดูภาพที่ผมถ่ายไว้แทนครับ
การมีโบราณวัตถุไว้ในวัด นั้นนับเป็นกุศโลบายในการชักนำชาวพุทธเข้ามาในวัดได้เหมือนกัน
รู้สึกสงสัยเหมือนกันว่าข้างบนนั้นมีอะไร พอเข้าไปก็ได้พบกับกรงครอบปล่องที่ทะลุพื้นลงไปข้างล่าง ? ดูแล้วแปลกจริงๆ ที่ปกติมักจะมีพระธาตุ หรือไม่ก็องค์พระอยู่ตรงกลางให้กราบไหว้
จากคุณ : มิราช (mirage_II)เพดานก็เป็นลักษณะปล่องกลมเช่นกัน แต่มีพื้นไม้ หรือเพดานไม้อยู่ข้างบนอีกที
ส่วนปล่องข้างล่าง ลองสอดกล้องเข้าไปดู คล้ายเหมืองแร่ มีคนอยู่ข้างล่างด้วย เหมือนกำลังขุดกรุ หรือทำอะไรสักอย่าง ซึ่งน่าจะเป็น คนของวัด เพราะผมมองไม่เห็นทางลงไปข้างล่างเลย
ภาพซ้าย : ลองเดินไปรอบๆ กรง ก็ได้พบกับองค์พระที่ปิดทองงดงาม ตั้งอยู่ในช่องหลืบบางช่อง
ภาพขวา : มองกลับออกมาตรงทางเข้า เป็นช่องแสงจ้า คล้ายอยู่ในปิระมิดเลยครับ
ภาพบนซ้าย : อีกสักภาพจากข้างในเจดีย์ ที่พอมองเห็นกรง (ผมยืนอยู่ข้างในหลังกรง) แต่แสงข้างในนี้น้อยมาก ภาพเลยออกมามัว ทำให้ต้องแสดงภาพให้ดูด้วยขนาดเล็กๆ
ภาพขวา : เสร็จแล้วก็ลงจากเจดีย์ละครับ เวลามีน้อย บันไดลงช่วงนี้เสียวพอควร เพราะไม่มีราวบันได ต้องค่อยๆ เกาะผนังลงไป ถ้าหากพลัดตก ก็ยาวลงไปถึงจุดพักบันไดตรงกลางเลย
ภาพซ้ายล่าง : ตรงจุดพักบันไดตรงกลาง นั้นจะมีบันไดเล็กๆ ซ่อนอยู่ทั้งสองข้าง น่าสนๆ ดูลึกลับดีเหมือนกัน
ผมขึ้นบันไดเล็กๆ มาแล้ว เป็นด้านขวา (ขณะมองออกจากเจดีย์) กะจะวนรอบเจดีย์ไปลงด้านซ้ายทีหลัง ได้เก็บภาพมุมมองเสียวๆ มาให้ดูกันครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)มองมาทางองค์พระด้านหน้าเจดีย์ ทั้งสององค์ครับ สังเกตุกำแพงหรือผนังรอบๆ องค์พระทั้งสองนั้นมีลักษณะแตกต่างกัน เนื่องจากพังทลายไม่เท่ากันนั่นเอง
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ต้องขอโทษ เลือกภาพผิดครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ภาพขวา : ก่อนออกไปเดินรอบเจดีย์ สังเกตุเห็นบันไดฝั่งตรงข้าม สองสาวกำลังเดินลง เล่นเอาต้องลุ้นไปด้วย..ฮา
ภาพซ้าย : ลักษณะทางเดินเล็กแคบพอสมควร แต่ยังดีที่มีราวกั้นสูงพอสมควรเลยไม่รู้สึกเสียวเท่าใดนัก
เดินมาถึงด้านหลังเจดีย์แล้ว มีบันไดลิงขึ้นไปเกือบถึงยอดเจดีย์ด้วย คงมีไว้สำหรับซ่อมบำรุงองค์เจดีย์นะครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)วิวด้านหลังองค์เจดีย์ มองลงไปข้างล่างพบองค์พระสีขาว ประดิษฐานอยู่ในที่โล่ง ที่ดูคล้ายกับเคยเป็นวิหารมาก่อน เพราะสังเกตุได้จากเสาที่เรียงรายกัน กับแนวกำแพงเตี้ยๆ โดยรอบ (แต่จะใช่หรือไม่ ผมไม่ได้มีเวลาลงไปดูใกล้ๆ ถ้าผมมีโอกาสมาอีก ก็จะลองเดินมาแถวนี้บ้าง ดูสวยงามคลาสสิคดี ครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)จุดนี้นับเป็นชุดชมวิวแห่งหนึ่งเหมือนกัน มีคนขึ้นมาดูวิว และ ถ่ายภาพกันเยอะ ครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ผมเดินวนมาเกือบถึงด้านหน้าเจดีย์แล้ว เห็นเจดีย์ขนาดกลาง ที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้า ใกล้กับวิหารพระนอน มองจากข้างบนนี้ มีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับ รูปในคห.20
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)จากระเบียบด้านซ้ายของเจดีย์ใหญ่บนนี้(ทิศเหนือ) ลองเก็บภาพคลิ๊ปวิดีโอบ้าง
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เดินต่อมาถึงด้านหน้าเจดีย์ฝั่งซ้ายมือ (เมื่อมองออกจากเจดีย์) เก็บภาพในมุมเสียวหน่อย ก่อนจะกลับลงไปข้างล่าง
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ไม่ลืมเก็บภาพเป็นคลิ๊ปวิดีโอ ในมุมสุดเสียวตรงนี้กับเขาด้วย เพราะต้องไปยืนตรงระเบียงเหนือบันไดด้านหน้าที่มีพื้นที่เหยียบแคบนิดเดียว
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ภาพซ้าย : ก่อนลงจากเจดีย์ ขอเก็บภาพยอดเจดีย์จากด้านหน้าบนนี้ในมุมเงยสุดๆ ก่อนครับ
ภาพขวา : ลงมาแล้ว เก็บภาพเจดีย์อีกครั้ง ตรงนี้มีแผ่นป้ายข้อมูลของเจดีย์ด้วย
ตามไปไหว้พระด้วยคนครับ
จากคุณ : chak-krabเก็บภาพป้ายข้อมูลเกี่ยวกับเจดีย์ใหญ่ แห่งนี้มาให้ดูกันแบบ 2 ภาษาเลยครับ
พอสรุปได้ว่าเป็นเจดีย์ที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงสร้างไว้ หลังจากการทำสงครามยุทธหัตถี กับพม่า ในปี พ.ศ.2135 (พร้อมๆ กับเจดีย์ยุทธหัตถี ที่ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี) เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระองค์ แทนการประหารชีวิต แม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทัน ขณะที่ชนช้างกับพม่าครั้งนั้น
ลองค้นจากเน็ตดู พบว่า เจดีย์แห่งนี้ มีความสูงถึง 1 เส้น 10 วา หรือ 60 เมตร! นับเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในจังหวัดอยุธยามาจนปัจจุบัน
ที่มา : http://www.watyaichaimongkol.net/index.php?mo=3&art=135129
สวัสดีครับ คุณchak-krab : เชิญติดตามมาได้เลยครับ ช่วงนี้อาจเน้นประวัติศาสตร์กันหน่อย นะครับ
เดินออกมา หันกลับไปเก็บภาพบริเวณด้านหน้าเจดีย์อีกครั้ง ต้องขออภัยที่ภาพไม่ชัด เพราะใกล้ค่ำ เวลาตอนนั้นประมาณ 6 โมงเย็นพอดี
เดินมามองทางด้านข้างเจดีย์ ทางไปยังองค์พระสีขาวด้านหลังเจดีย์ ที่แสดงในภาพคห.40
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)หันมาทางด้านโบสถ์บ้าง จะเห็นองค์พระตั้งไว้เรียงราย สังเกตุให้ดีตรงหน้าบันของโบสถ์จะเห็นเหล็กเส้นมากมายโผล่ออกมา คงเตรียมไว้สำหรับเพื่อการตกแต่งในอนาคตครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ผมเดินออกมาทางด้านหน้าโบสถ์ มีป้ายข้อมูลเกี่รวกับวัดใหญ่ชัยมงคลแห่งนี้ ผมเลยถ่ายภาพมาให้อ่านกันครับ
พอสรุปได้ว่า วัดนี้สร้างมานานตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย เพื่อเป็นที่พักของคณะสงฆ์ที่ไปบวชเรียนจาก สำนักพระวันรัตนมหาเถรจากลังกาทวีป ที่ชื่อว่า "คณะป่าแก้ว" วัดนี้จึงได้ชื่อว่า "วัดป่าแก้ว" ต่อมาคนเลื่อมใสมาก จึงได้มีการแต่งตั้งตำแหน่งสูงสุดของสงฆ์นิกายนี้ว่า "สมเด็จพระวันรัตน" ตำแหน่งพระสังฆราชฝ่ายขวา
โบสถ์วัดนี้เคยมีประวัติ พระเฑียรราชา เคยไปเสี่ยงเทียนแข่งบารมีกับขุนวรวงศาธิราชมาแล้ว ก่อนที่จะได้ครองราชในเวลาต่อมา
ส่วนเจดีย์ ก็ดังที่กล่าวมาแล้วใน คห.48 ส่วนชื่อของวัด นั้น เนื่องจากเป็นพระอารามหลวง มีพระเจ้าแผ่นดิน เจ้านายมาผนวช กับ ทำพระราชพิธีอยู่บ่อยๆ พื้นที่วัดก็ใหญ่โต ชาวบ้านจึงนิยมเรียกว่า วัดใหญ่ (คล้ายๆกับ ที่ จ.พิษณุโลก) เมื่อต่อมามีการสร้างเจดีย์ ชัยมงคล จึงได้เรียกชื่อรวมๆกันว่า วัดใหญ่ชัยมงคล ครับ
ก่อนกลับ เหลือบเห็นป้ายบอกทางไป ตำหนักสมเด็จพระนเรศวมหาราช ตรงด้านหลังหอกลอง(ระฆัง) โดยมีช่องเล็กๆ พอเดินผ่านกำแพงออกไปข้างนอกได้ ไหนๆ ก็มาแล้วเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ระหว่างเดินบนสะพาน ก็หันไปดูวิวทั้งสองข้างทาง สวยร่มรื่นมาก โดยเฉพาะยามเย็นแบบนี้ คงมีคนแถวนี้เข้ามาพักผ่อนกันบ้างพอสมควร
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ผมเดินข้ามสะพานมาแล้วก็เป็นถนนรอบคลอง(รอบวัด) หันกลับไปเก็บภาพเจดีย์ใหญ่ ชัยมงคลอีกที
เพื่อนๆ ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมแดดกลับมาสว่างได้ ทั้งๆ ที่ตอนอยู่หน้าเจดีย์ นั้นก็เริ่มมืดแล้ว เป็นเพราะในวันนั้นผมแวะมาที่นี่ก่อน ไปขึ้นเจดีย์ครับ แต่เพื่อให้เนื้อหาต่อเนื่องในฝั่งวัดจึงนำเสนอไปในคราวเดียวกัน แล้วค่อยมานำเสนอด้านตำหนักฝั่งนี้ทีหลังครับ
มาถึงด้านข้างตำหนักสมเด็จพระนเรศวรฯ แล้วครับ หันกลับไปดูเจดีย์ใหญ่ เพื่อให้เป็นพื้นหลังของภาพสวยๆ ครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ตรงนี้เป็นด้านหน้าของตำหนักครับ มีไก่(รูปปั้น) มากมาย เพราะพระนเรศวรฯ พระองค์โปรดไก่มาก ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ตรงนี้ เป็นรูปปั้นไก่ตัวใหญ่ หุ้มด้วยกระเบื้องสีทอง กับ สีเงิน อร่ามแวววับเลยเชียว
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)มาเก็บภาพรูปปั้นของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกัน เริ่มจากข้างนอก และข้างใน เนื่องจาก ตั้งอยู่ในห้องกระจกเลยทำให้การถ่ายภาพทำได้ยากมาก (เพิ่งสังเกตุเห็นเดี๋ยวนี้เองว่า มีประตูด้านหน้า ซึ่งถูกเปิดออกให้ ผู้ที่เขามาสักการะได้เห็นชัดๆ ในวันนั้นยอมรับว่าดูไม่ออกเหมือนกัน แถมมีคนเยอะ เกรงใจคนที่เขานั่งไหว้อยู่ เลยต้องรีบๆ ถ่ายภาพมาครับ)
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)สวัสดีค่ะ คุณมิราชช พักนี้ไม่ค่อยได้เห็นลูกศรสีชมพูก็ชักคิดถึง ดีใจที่ได้เที่ยววัดนี้ อยากไปตั้งแต่อ่านนิยายเรื่องเรือนมยุรา แต่ไม่มีโอกาสสักที
วันนี้ได้ตามคุณมิราชชเที่ยวซะชื่นใจเชียวค่ะ
ภาพล่าง : ผมเดินกลับมาวัด แต่ระหว่างผ่านถนน ก็หันไปเก็บภาพด้านทิศใต้ ที่เป็นทางออกของรถยนต์ครับ
ภาพซ้ายบน : มีป้ายบอกทางด้วย เห็นชื่อ "สำนักงานจัดการผลประโยชน์วัดใหญ่" ทำให้คิดไปว่า มีผลประโยชน์เยอะ แต่คงเป็นการบริหารจัดการในเชิงโบราณสถาน และสวนสาธารณะ ไปด้วยครับ
ภาพขวาบน : สะพานข้ามกลับไปวัด คนละอันกับที่ผมข้ามมาครับ
สวัสดีครับ คุณป้าฟู : คงพลาดชมในตอนที่ 1 ไปนะครับ ติดตามไปได้ตามลิ้งค์ในหน้าแรก วัดพนัญเชิงฯ ครับ แต่สำหรับนิยายเรื่อง "เรือนมยุรา" แล้ว ผมลองค้นดูในเน็ตพบว่าเกี่ยวข้องกับ วัดไชยวัฒนาราม ครับ ไม่ใช่วัดใหญ่ชัยมงคลนะครับ ได้ภาพคุณแหม่ม แคทรียา แมคอินทอช กับ น้องส้มฉุน ด.ช. อิศรา กิจนิตย์ชีว์ ที่ออกฉายไปในปี พ.ศ.2540 โน้นครับ
ที่มา: http://www.oknation.net/บล๊อก/smallwife/2010/09/15/entry-1
บนเส้นทางกลับ (ผมได้มาขึ้นรถแล้ว หลังจากปล่อยให้พวกเขารอนานถึง 40 นาที) บนเส้นทางออกจากวัด ต่อจาก ภาพล่างคห.61 ไป ก็ได้พบกับ ตำหนักรัชกาลที่ 5 ซึ่งดูเหมือนยังไม่เสร็จสมบูรณ์นัก ตั้งอยู่เกือบจะกลางน้ำ แต่ถ้าดูในแผนที่ คห.3 ก็จะพบว่าไม่ใช่เกาะ มีส่วนติดกับแผ่นดินใหญ่ ในอีกด้านหนึ่งของสะพานข้ามครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ขับเลยมานิดนึงก็เห็นสะพานทางเข้าไปตำหนักรัชกาลที่ 5 แล้วครับ เห็นรถจอดอยู่ข้างหน้า คงมีคนเดินเข้าไปเที่ยว แต่วันนี้ผมไม่มีเวลา (เวลาตอนนั้น 18:19 น.) เดี่ยวต้องไปสถานีรถไฟอยุธยา ไม่ใช่ไปขึ้นรถไฟกลับบ้าน แต่ไปเก็บภาพระลึกถึงความทรงจำเก่าๆ สมัยเด็กๆ ครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ขออีกสักภาพชัดๆ ตำหนักรัชกาลที่ 5 จะว่าไปก็ดูคล้ายกับเจดีย์ของวัดจีนเลยนะครับ ถ้ามีเวลาน่าจะแวะเข้าไปชมบ้าง อย่างน้อยก็วิวสวย บรรยากาศดีมากเลยครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เนื่องจากสถานีรถไฟอยุธยาอยู่ไม่ไกลจากวัดใหญ่ชัยมงคลนัก เลยทำให้มาถึงสถานีไม่มืด คือ ประมาณ 6 โมงเย็นครึ่ง ผมไปจอดรถด้านเหนือสถานีแล้วก็ลุยบรรเลงเพลงถ่าย...ทันทีครับ
จากภาพข้างล่างนี้ เป็นภาพด้านหลังสถานี ดูแล้วมืด เพราะผมถ่ายในตอนหลังใกล้จะกลับครับ (แต่ต้องนำมาแสดงก่อนเพื่อให้เนื้อเรื่องดูราบรื่น)
เข้ามาในบริเวณอาคารสถานี เห็นเก้าอี้นั่งแล้วทำให้นึกถึงอดีตได้มาก ยังคงใช้แบบเดิมๆ ทำให้เป็นเสน่ห์ดึงดูด นักท่องเที่ยวได้ดีครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เดินผ่านมาทางหน้าสถานี ถ่ายป้ายชื่อแบบเก่าเหนือทางเดินเข้ามาไว้หน่อย ก่อนออกเดินสำรวจขอเข้าห้องน้ำก่อนละครับ ตกแต่งได้สวยน่ารักดี
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)บริเวณชานชาลาด้านในติดกับอาคารสถานี ครับ คนเยอะพอสมควรเลย
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ตอนนี้รถไฟออกไปแล้วพอดี ผมขอเริ่มเดินสำรวจก่อนละครับ โดยเดินไปทางใต้ของสถานีก่อน เจอป้ายชื่อสถานีก็เก็บภาพไว้ ถ้าเสาเป็นสีสดๆ แบบนี้ ดูแปลกตาดีครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)เป้าหมายที่ผมต้องการมาเห็น ก็คือ สะพานรถไฟด้านใต้ ที่ข้ามคลองบ้านบาตร อันเป็นภาพที่มีคนถ่ายคลิ๊ปรถจักรไอน้ำกำลังแล่นผ่านสะพานแห่งนี้แล้วมีคนถามว่าสะพานอะไร ซึ่งมีคนตอบได้ถูก เพราะสังเกตุสะพานรถยนต์ข้างหลังครับ ผมไม่ได้มานานยังคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีสะพานรถไฟอยู่ใกล้สถานีขนาดนี้
ในภาพขวา ขวาสุด สังเกตุให้ดีว่ามี เจ้าตูบ มาช่วยยืนดูสะพานเป็นเพื่อนให้ด้วย..ฮา
ภาพซ้าย : ระหว่างทางเดินไปยังสะพาน เจอ "งวงช้างลาย" อันนี้เข้าให้ พอคาดเดาได้ว่าเป็นท่อน้ำ ที่ใช้เติมหัวรถจักรไอน้ำ ที่ต้องมีขนาดใหญ่ ไม่งั้นคงใช้เวลานานกว่าจะเติมได้เต็มถัง....ไม่ใช่เบนซิน ซุปเปอร์ ที่จะเต็มถังกันไม่กี่นาที..ฮา ดูจากภาพนี้แล้ว คิดว่า งวงช้างนี้น่าจะหมุนไปยังรางได้โดยยกคันโยกขึ้นมาจากตำแหน่งล๊อคก่อน แล้วค่อยโยกมาทางรางรถไฟ ครับ
ภาพขวา : ถัดไปอีกนิด ก็คือ ถังเก็บน้ำใช้เติมหัวรถจักรไอน้ำ ที่มีท่อส่งน้ำมายังงวงช้างลายข้างล่างนี้ครับ
เดินมาได้ไม่ไกลนัก ก็ต้องหยุดไว้แค่นี้ พอที่จะเก็บภาพสะพานได้เต็มๆ ชัดๆ หน่อยเท่านั้น เพราะใกล้มืดเต็มที เดี๋ยวจะดูอีกด้านของสถานีไม่ทัน
สะพานที่สร้างใหม่ด้านซ้ายมือ นับเป็นสะพานที่แปลกเหมือนกันที่สร้างได้สูงเกินโบกี้รถไฟแต่กลับไม่มีคานด้านบน เหมือนสะพานข้ามแม่น้ำทั่วๆ ไป สร้างเป็นแผ่นตั้งไว้เฉยๆ
ตอนนี้ผมหันหลังกลับมาสถานีแล้วละครับ เห็นใกล้ๆ นี่เดินไกลไม่น้อยเลย ยิ่งเวลาน้อยๆแล้วละก็.... เมื่อไหร่จะถึงๆๆ สักที
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ภาพซ้าย : มาถึงหน้าสถานีแล้วครับ ได้ยินเสียงบอกว่ารถไฟกำลังจะเข้าพอดี งานนี้มีฟลุ๊คครับ ได้ถ่ายภาพรถไฟและผู้คนขึ้นลงด้วย
ภาพขวา : ตรงทางเดินข้ามรางรถไฟหน้าสถานี นี้มีป้ายเตือน ระวังรถไฟด้วย ทำเป็นซุ้มประตูเลย ข้ามไปฝั่งโน้นเป็นวิหารพระสุริยมุณี หรือหลวงพ่อคอหัก มีประวัติพอสังเขปดังนี้
พระสุริยมุนี หรือ หลวงพ่อคอหักนี้ เป็นปางนาคปรก สมัยทวราวดี ได้ถูกค้นพบในปี พ.ศ.2475 โดยนายพวง อุณจักร นายสถานีรถไฟอยุธยา กับพนักงานรถไฟที่กำลังรวบรวมพระพุทธรูปโบราณจากบริเวณวัดร้างหัวกระบือ ซึ่งเป็นวัดโบราณที่อยู่ในเขตที่ดินการรถไฟ ฯ ซึ่งสภาพที่พบครั้งแรกนั้น มีความเสียหายที่ พระพักตร์และพระศอ(คอ) ทางพนักงานรถไฟได้นำมาบูชาและขอหวย ทำให้ค้าขายร่ำรวยกันจนมีชื่อเสียง จนต่อมาก็มีการสร้างวิหารไว้ให้บูชากัน
อนึ่ง หลวงพ่ออั้น คนฺธาโร แห่งวัดพระญาติการาม ต.ไผ่ลิง อ.อยุธยา ได้ทำพิธีบรรจุมวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านใช้สร้างพระเครื่องพระสุริยมุนีเนื้อดินที่ใต้ฐานพระสุริยมุนี และให้คณะศิษย์ของท่านทำนุบำรุงวิหารพระสุริยมุนีจนสวยงามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีความอัศจรรย์อย่างหนึ่งของพระสุริยมุนี หรือหลวงพ่อคอหักก็คือ ไม่ว่าจะวัดความกว้าง ความยาวจากส่วนใดขององค์พระ ก็มักลงท้ายด้วยเลข 9 เสมอ เช่น หน้าตักกว้าง 69 ซม. ความสูง 89 ซม. แท่นประทับกว้าง 89 ซม. ช่วงพระอังสาวัดได้ 39 ซม. ช่วงพระกัปปะวัดได้ 49 ซม. เป็นต้น
ถ้าใครผ่านมาแถวนี้ ก็แวะมาไหว้ท่านขอพรได้นะครับ ส่วนตอนนั้น ผมเองก็ไม่ทราบว่ามีวิหารพระแถวนี้ เพราะไม่ทันได้อ่านป้าย เพิ่งมาเห็นตอนจัดเตรียมภาพโพสกระทู้นี่แหละ (นี่คือประโยชน์ของการโพสกระทู้ ที่ได้สาระหลังการท่องเที่ยวเพิ่มเติมจากการไปเที่ยวเฉยๆ อันเปล่าประโยชน์)
หลังจากที่ข้ามรางไปยืนรอรถไฟที่รางนอกสุด ไม่นานก็เริ่มเห็นแสงไฟหน้ารถส่องมาแต่ไกล จากชานชาลาไม้แบบนี้ ทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ได้ดี จะแตกต่างก็ตรงไม่ใช่หัวรถจักรลากเท่านั้น
คิดๆ ดูก็แปลกตัวเองไม่ได้ขึ้นรถไฟ แต่ดันมาดู มาลุ้นคนขึ้นลงรถไฟกัน..ฮิฮิ
เสร็จแล้วก็เดินไปทางด้านเหนือของสถานี เพื่อมองหาจุดที่ผมเคยลงรถไฟสมัยเด็กๆ เพื่อมาต่อรถไปยัง อ.ป่าโมก ข้ามเรือไปขึ้นรถไป อ.ผักไห่ ลงเรือเข้าไปบ้านเดิมของคุณแม่ผมที่ ต.ลาดชะโด ครับ โอย..มันช่างยุ่งยากจริงๆ ผมเองก็เคยไปตามย้อนอดีตถ่ายภาพ จุดลงเรือ ขึ้นรถต่างๆ จนครบมาแล้วในช่วงปี 2539 โน้นครับ ส่วนใหญ่ไม่ทัน เขาเลิก กลายเป็นเล้าหมู ร้าง เพราะย้ายไปที่อื่นหมดแล้ว
แต่พอได้เดินมาด้านนี้ ก็ได้พบกับศาลาไม้เล็กๆ ตรงชานชาลา ก็ให้เกิดความรู้สึกแปลกใจ น่าสนใจเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามชานชาลาอันเปล่าเปลี่ยวและยาวไกล จนมีเสียงโทรศัพท์จากสมาชิกที่รออยู่ในรถให้กลับได้แล้ว เมฆครึ้มมาก ฝนกำลังจะตกแล้ว....
จากภาพกลางจะมองเห็นวัดธรรมนิยม อยู่ใกล้ๆ ด้วยครับ
แหม....รู้สึกเสียดายเหมือนกัน กำลังสบายๆ ชิวๆ เลย ต้องหยุดสำรวจไว้แค่นี้ หันกลับไปสถานี ก่อนละครับ เดินผ่านวงช้างลาย อีกอัน ตรงด้านเหนือนี้ก็มีกับเขาด้วย แต่ตรงนี้ไม่มีถังน้ำ เขาอาจเดินท่อมาจากถังเดียวด้านใต้ก็ได้ แต่ปัจจุบันนี้คงเลิกใช้แล้ว เพียงแต่ปล่อยไว้เชิงโบราณวัตถุไป
เวลาตอนนั้นใกล้ หนึ่งทุ่มแล้ว ต้องกลับก่อนละครับ ถ่ายภาพแทบไม่ได้แล้ว ฝนก็เริ่มลงเม็ดมาอีก.... ขออีกภาพ แสงไฟกระทบราง สวยไม่เบา..
ขอจบกระทู้ในตอนนี้ ด้วยร้านอาหารไทย "ช.ช้างยกครก" แถวๆ บางบัวทอง ในเวลา 3 ทุ่มครับ นับเป็นการสิ้นสุดการเดินทางในวันแรก การค้นหาพระองค์สีดำยังไม่เสร็จสิ้น ใน 10 วันต่อมา คือ 22 สิงหาคม ผมก็ได้ออกเดินทางมาอยุธยาอีกครั้ง ครับ คราวนี้ มุ่งไป วัดมงคลบพิตร ที่ค้นหาข้อมูลจากในเน็ตว่า หลวงพ่อท่านเคยมีสีดำ ครับ คอยติดตามชมในตอนต่อไปนะครับ ซึ่งได้แวะสำรวจ วัดพระศรีสรรเพชร เป็นของแถมด้วยครับ
จากคุณ : มิราชช (mirage_II)ตามมาไหวพระ เที่ยวอยุธยาต่อครับ รีวิวละเอียดดีจังเลยครับ
ตามมาเที่ยวต่อครับ
จากคุณ : tiger's nestขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
จากคุณ : Destiny-Boyตามมาชม (อีกแล้ว) ครับ
กำลังคิดถึง รีวิวละเอียดๆ สไตล์คุณมิราชช อยู่พอดีเลย
ขอบคุณมากๆค่ะ
จากคุณ : สาวหน้าใสสวัสดีครับ คุณP.S. i love you, คุณtiger's nest , คุณ ต้มมะระหมู และคุณสาวหน้าใส : ขอบคุณเช่นกันที่คอยติดตามมาตลอด
มาต่อแล้วนะครับ ตอนที่ 3 : วิหารพระมงคลบพิตร
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11167148/E11167148.html
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ^^
จากคุณ : สามแซ่.
ขอบคุณคุณมิราชชสำหรับภาพสวยๆ........
โดยเฉพาะ คห. 32
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจดีย์ยุทธหัตถี น่าหาชมได้ในกระทู้ของ อสท. ที่นี่.............
http://www.osotho.com/th/webboard/answer.php?GroupID=&searchKey=&searchFrom=&searchTo=&PageShow=1&TopView=&QID=961
มีข้อมูลมากมายให้อ่าน.
.