สวัสดีเพื่อนสมาชิกทุกท่านครับ
ผมเป็นคนชอบอ่านรีวิวของเพื่อนสมาชิก ทั้งในห้องBlue planetและห้องก้นครัว เวลาอ่านรีวิวที่เที่ยว โรงแรมสวยๆ บางทียังไม่มีโอกาสได้ไปก็จะนึกเป็นภาพ แล้วดื่มด่ำมีความสุขไปกับรีวิวของท่านนั้นๆด้วย จนพอมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ไหนก็ใช้รีวิวเพื่อนสมาชิก ในการตัดสินใจและเตรียมตัวไปที่นั้นๆอีก เมื่อผมเองมีโอกาสไปเที่ยวบ้าง จึงอยากเขียนรีวิวฉบับสมบูรณ์ซักรีวิวหนึ่ง ไว้สำหรับอ้างอิงประกอบการตัดสินใจของท่านเพื่อนสมาชิก เวลาจะไปเที่ยวกัน รวมถึงเสมือนพาท่านไปทัวร์ด้วยกันผ่านภาพและคำบรรยายไปในตัวด้วยครับ
สถานที่เที่ยวในประเทศไทยที่โปรดของผม คือจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยหลายๆอย่าง คนน่ารัก อากาศดี ขนมอร่อย อาหาารถูกปาก โรงแรมรีสอร์ตสวยๆเยอะ ครั้งแรกที่ผมไปเที่ยวเอง ผมพักโรงแรมแชงกรีลา แต่ไปแวะทานขนมที่โรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ลดาราเทวี ซึ่งการแวะไปทานขนมครั้งนั้นประทับใจโรงแรมแห่งนี้มากๆ แค่เข้าไปในบริเวณโรงแรมก็รู้สึกเหมือนนั่งtime machineย้อนยุคไปอยู่ในวังอาณาจักรล้านนาสมัยหลายร้อยปีที่แล้ว
เมื่อกลับมาเชียงใหม่อีกครั้งจึงตัดสินใจมาพักที่นี่ทุกครั้งครับ ถือเป็นโรงแรมในฝันของผม ตั้งแต่แรกประทับใจในการไปทานขนมที่โอเรียนทอลช็อปหน้าโรงแรม จนวันนี้ มีโอกาสไปพักที่นี่ทั้งหมด4ครั้ง พาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวบ้าง ไปคนเดียวบ้าง รอบที่จะมานำเสนอในรีวิวเป็นรอบล่าสุดที่ไปพักมาเมื่อปลายเดือนกันยา เป็นเวลาสามคืน แต่ในการรีวิว ผมอาจขออนุญาตนำภาพจากหลายๆครั้งมานำเสนอบ้าง เพื่อความสมบูรณ์แบบของรีวิวครับ
ถือโอกาสนี้พาเพื่อนสมาชิกไปเที่ยวเชียงใหม่ ไปพักโรงแรมโปรดของผมด้วยกันครับ โรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ล ดาราเทวี
รีวิว Outlineครับ
เนื่องจากโรงแรมนี้รายละเอียดค่อนข้างเยอะ ผมขออนุญาตนำเสนอเป็น
3part อยากให้ผู้อ่านจินตนาการเหมือนเราเป็นคณะทัวร์แล้วไปทัวร์ด้วยกันนะครับ นี่เป็นโปรแกรมทัวร์ : )
partI : วันที่1 -นำท่านสู่เชียงใหม่โดยสายการบินไทยเที่ยวบิน TG102
-รายละเอียดต่างๆรอบๆโรงแรม ล็อบบี้ สระว่ายน้ำ SPA
-นำท่านเข้าพักห้องพักแบบDelux villa with plunge pool
-พาท่านทานอาหารกลางวันSunday brunchที่Akaligo
PartII -พาชมโอเรียนทอลช็อป ทานสารพัดขนม
-พาชมห้องพักที่แพงที่สุดแบบPenthouseที่เคยต้อนรับสุลต่านบรูไนและเจ้านายหลายๆพระองค์
-พาทานอาหารเย็นที่บุฟเฟต์ญี่ปุ่นTenkogu ที่ได้ชื่อว่าเด็ดสุดในเชียงใหม่
-turn downเข้านอนที่Villa
PartIII วันที่2
-นำท่านทานอาหารเช้าที่Akaligo
-ชวนท่านเล่นโยคะ ว่ายน้ำ และทำกิจกรรมของโรงแรม
-พาไปทานบุฟเฟต์ติ่มซำ ที่ห้องอาหารจีนFujian
-เปลี่ยนห้องพัก ไปพักแบบVilla with pool
- นำท่านdinnetที่ห้องอาหารฝรั่งเศส
วันที่3
-นำท่านเข้าพักห้องพักแบบColonial suit
-นำท่านใช้บริการSPAของโรงแรม
-dinnetที่ห้องอาหารไทยLe Grand lanna
Outlineคร่าวๆของผู้เขียนครับ อาจเปลี่ยนแปลงได้ระหว่างรีวิวจ้า ถ้าพร้อมแล้ว ไปเที่ยวด้วยกันเลยคร้าบบ
แค่รูปเปิดก้อสวยแล้ว รอชมค่ะ
จากคุณ : รั้วหลายสีเริ่มที่สนามบินสุวรรณภูมิครับ
คนรอบข้างผมบอกว่าผมหลงรักเชียงใหม่เข้าอย่างจัง
ผมเพิ่งเดินทางกลับจากAucklandถึงสนามบินสุวรรณภูมิวันเสาร์ เกือบสี่ทุ่ม
ตีห้าวันอาทิตย์ผมยัดของใส่กระเป๋าเท่าที่จำเป็น แล้วก็ออกจากบ้านมาสนามบินอีกครั้ง....เพื่อตรงไปเชียงใหม่
เป็นเที่ยวบินแรกของการบินไทยครับ TG102
ผมยังแฮงค์จากการเดินทาง12ชั่วโมงมาจากAucklandประกอบกับต้องตื่นเช้า เลยตัดใจใช้ไมล์ที่มีแลกตั๋วแบบRoyal silk class จะได้ไม่เหนื่อยกับการเดินทางมาก
เมื่อเช็คอินเสร็จ เจ้าหน้าที่ให้boarding passพร้อมlounge invitation
สำหรับใช้บริการloungeของสายการบิน
บรรยากาศในroyal silk loungeวันนี้ คนเยอะพอสมควร
ผมนั่งหลับไปงีบยาวๆ
ผมคงไม่มีโอกาสไปพักที่นี่ ขอตามจขกท ไปชมละกันครับ
ขอบคุณสำหรับรีวิวละเอียดๆนะครับ
พอเริ่มมีแรงก็ลุกไปหาอะไรทาน บริเวณไลน์อาหารของloungeภายในประเทศไม่ได้อุดมสมบูรณ์เหมือน international loungeที่จัดเต็มกว่า มีอาหารร้อนพวกพาสต้า ทอดมันกุ้ง
ส่วนของในประเทศจะเน้นอาหารรองท้องอย่างแซนวิซ คีซ Bakeryต่างๆ
ผลไม้ พอจะทานเป็นข้าวเช้าได้
จากคุณ : bas121
แต่ที่ดูเหมือนจะอยู่ท้องและมีรสชาติที่สุดสำหรับยามเช้าในloungeแห่งนี้
คือขนมจีบซาลาเปานี่แหละครับ
พอได้เวลาขึ้นเครื่อง gateของเที่ยวบินนี้เป็นbus gateทุกที
เป็นการนั่งรถbusไปขึ้นที่gateแบบงวง
ผมเดาว่า อาจะเพราะเครื่องBoeing747ลำนี้ของการบินไทย
จอดอยู่ตรงinternational gateกระมัง
เครื่องลำนี้ เห็นหลายๆท่านเรียกกันว่าป้า เนื่องจากอายุหลายสิบปีเข้าไปแล้ว
ปกติที่นั่งRoyal silk กับroyal firstของเส้นทางในประเทศ
การบินไทยขายราคาเดียวกัน
วันนี้เลยมีโอกาสได้นั่งfirst สบายไป
จริงๆผมว่าfirstของTGก็สวยไม่แพ้ใครเหมือนกัน
ขอเกาะล้อการบินไทย ไปด้วยคนครับ
จากคุณ : DevaPayuพอขึ้นเครื่อง cabin crewก็เริ่มดูแลเราด้วยน้ำอัญชัญ
จากคุณ : bas121บ๊ายบายกรุงเทพฯ
จริงๆผมก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปพักโรงแรมในฝัน โดยเฉพาะรอบนี้จองห้องพักแบบVilla ที่ไม่เคยพักมาก่อน แต่ด้วยความง่วงค้างจากการเดินทางมาจากAucklandเมื่อคืน พอขึ้นเครื่องปุ๊บก็ตั้งท่านอนท่าเดียว
เอนล่ะครับ 1ชั่วโมงก็ยังดี ฟิ่วว
จากคุณ : bas121แต่เอาเข้าจริง หนังตายังไม่ทันจะปิดดี
cabin crewก็เดินมาเสิร์ฟอาหารเช้า T T
อันที่จริงๆผมกะไม่ทานเพราะจะเก็บท้องไว้ทานบุฟเฟต์sunday brunchอันเลื่องชื่อที่ดาราเทวี แต่พี่สจ๊วต จัดจานทุกอย่างพร้อมซะเต็มยศ แถมมากางโต๊ะให้ เลยไม่ขัดศรัทธาครับ ^^
อาหารเช้าแบบง่ายๆในไฟลต์สั้นๆครับ
เป็นไข่ดาว ไส้กรอก หมูยอ แล้วก็ผลไม้
งีบได้ซักพัก เครื่องบินเริ่มลดระดับลง
ไม่นานก็ถึงเชียงใหม่ครับ
ตื่นเต้นมากๆ
เมื่อมาถึงโรงแรม ผมจะเริ่มพาทุกท่านเที่ยวโรงแรมล่ะครับ
จากในแผนที่ จินตนาการว่าตอนนี้เราอยู่ที่resort entranceนะครับ
แล้วค่อยๆเดินเข้าไปตรงที่เขียนว่าMain gateด้วยกันครับ
คงไม่มีโอกาสเดินทางหรูๆแบบนี้ ปกติจองแต่ตั๋วโปร ขอไปเที่ยวด้วยคนน้า....
จากคุณ : มะเฟืองรักเมืองไทยจากแผนที่ใน19#
เมื่อเราเดินเข้ามาที่main gate จะพบภาพนี้ครับ
โรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ลดาราเทวี ผู้ออกแบบตั้งใจสร้างให้เป็นเมืองเมืองหนึ่ง คล้ายๆเป็นอาณาจักรล้านนาโบราณ ศิลปะ การออกแบบ เครื่องใช้สอยต่างๆจึงเป็นดีไซน์ย้อนยุค แต่แอบซ่อนความทันสมัยต่างๆในยุคปัจจุบันเข้าไป เช่นเรือนไทยหลังคาสูง แต่มีแอบช่องแอร์ที่ปรับอุณหภูมิแต่ละโซนได้อย่างทันใจ ชุดhome theaterของboseที่มีลำโพงแบบcubeเล็กๆแปะซ่อนไว้ อ่างจากุซซี่ ฯลฯ
ด้วยความที่ผู้ออกแบบต้องการสร้างเป็นอาณาจักร ภายในบริเวณโรงแรม จึงมีครบ ทั้งวัด บ้านเรือน โรงเรียน ตลาด อาคารทำกิจกรรม พระราชวัง นาข้าว สวนผัก ฯลฯ
เมื่อผ่านmaingateนี้เข้าไป จะเป็นzoneของที่อยู่อาศัยของคนเมืองนี้
ดังนั้น บริเวณด้านหน้าgate ซึ่งก็เป็นบริเวณของโรงแรม จึงมีส่วนที่ผู้คนนอกเมือง สามารถเดินทางมาทำการค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้า ผลผลิตทางการเกษตร โดยไม่ไปรบกวนคนในเมือง โดยconceptนี้ โรงแรมจึงสร้าง
"กาดดารา" เป็นเหมือนตลาด มีร้านขายของต่างๆ Oriental shop ร้านอาหารจีนFujian และร้านอาหารไทยLe Grand lanna อยู่ด้านหน้าประตูเมือง
ตามความเชื่อล้านนาสมัยก่อน ที่เป็นช่วงที่มีศึกสงคราม ตลาดอยู่ด้านหน้าที่อยู่อาศัย เพื่อให้คนข้างนอกมาซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ แต่ห้ามมาอยู่บริเวณบ้านและวัง จะได้ไม่มีสปายสงครามเล็ดลอดเข้ามา
หน้าประตูเมือง มีสิงห์ ทำหน้าที่เป็นGuardian ยามเฝ้าประตู
สิงห์ที่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าเมืองตรงหน้าประตูเมือง
ทายซิครับ ว่าสิงห์ชาติอะไร : )))
เฉลยครับ พม่าครับผม วิธีสังเกตสันชาติสิงห์ดูที่สะโพก ถ้าสิงห์สัญชาติไทย ให้นึกถึงสิงห์เบียร์สิงห์น่ะครับ จะโก่งสะโพกขึ้น
แต่สิงห์หินสลักหน้าประตูดาราเทวีนี้ หย่อนสะโพกนั่งลงแบบนี้สิงห์พม่า
อย่าแปลกใจครับ ที่โรงแรมแห่งนี้จะมีศิลปะพม่าอยู่เกลื่อนกลาดไปหมด
เนื่องจากตอนสร้างโรงแรม เจ้าของว่าจ้างทีมนักประวัติศาสตร์วิจัยกว่า20คน ทำการศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมทั้งหมดของล้านนา จากทั้งทางสิ่งก่อสร้างที่ยังหลงเหลือและโบราณวัตถุ เพื่อจะทำให้โรงแรมนี้เป็นเหมือนอาณาจักรล้านนาในอดีตมากที่สุด
ซึ่งจากประวัติศาสตร์ ถ้าท่านจำได้ตอนเรียนม.ปลาย
เชียงใหม่เราเคยเป็นเมืองขึ้นพม่าในช่วงปีพ.ศ. 2101-2317
ดังนั้นสองร้อยกว่าปีที่พม่าปกครองเชียงใหม่ ล้านนาจึงซึมซับวัฒนธรรมต่างๆของพม่าเข้ามาเต็มไปหมด ดูไล่ตั้งแต่เจ้าสิงห์ห้อยสะโพกนี่แหละครับ
แวะมาชมครับ คุณบาส ตามชมฉบับเต็มด้วยคน
ที่นี่สวยน่าพักมากๆครับ
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ
จากภาพ21# ถ้ายืนอยู่หน้าประตูเมือง แล้วหันหน้าเข้าหาประตูเมือง
ด้านขวามือของท่านจะเป็นกาดดารา ที่ตั้งของร้านอาหารจีนFujian และOriental shopร้านขนมร้านโปรดที่สุดของผม
ส่วนด้านซ้ายมือของท่านจะเป็นร้านอาหารไทย Le grand lanna
อย่างที่ผมเกริ่นไว้ข้างต้น ตามconceptโบราณคือ จุดที่ทำการค้าขายอยู่ด้านหน้าประตูเมือง คนนอกเมืองมาทำbusinessบริเวณนี้ได้ แต่ห้ามเข้ามาบริเวณที่พัก
ซึ่งก็ไปตรงกับconceptของโรงแรม คือ เปิดให้คนนอกเข้ามาทานขนม มาซื้อของที่กาดดารา มาdinnerที่ร้านอาหารไทย ร้านอาหารจีน โดยไม่ไปรบกวนแขกในที่พัก แต่จริงๆแล้วถ้าแวะไปทานขนมเฉยๆแต่อยากเข้าไปเดินเล่นบริเวณโรงแรมก็ได้นะครับ ตอนผมมาครั้งแรก มาทานขนมเฉยๆ พนักงานขันรถbuggyพาเที่ยวทั่วโรงแรม เป็นความประทับใจแรกจนเป็นแฟนคลับโรงแรมนี้มาทุกวันนี้
มารอชมรีวิวเชียงใหม่ด้วยคนครับ
รอชมค่ะขึ้นชื่อว่ารีวิวครูบาสอาหารและของหวานจัดเต็มอยู่แล้ว ส่วนแมนดา
รินโอเรียนเต็ลดาราเทวีนั้นก็งามขนาด รอชมต่อนะคะ
กลับมาตั้งต้นที่ความเห็น21#ตรงประตูเมืองใหม่นะครับ
ถ้าท่านยืนด้านหน้า ประตูเมือง ด้านซ้ายมือของท่าน
จะเป็นร้านอาหารไทย Le grand lannaครับ(อ่านว่า เลอกรองลานนา)
ร้านอาหารนี้เป็นร้านอาหานเก่าแก่ร้านหนึ่งของเชียงใหม่ มีมาก่อนโรงแรมนี้นานทีเดียว ถ้าเทียบร้านอาหารนี้เป็นคุณยาย โรงแรมดาราเทวีก็เหมือนหลานวัยประถม1น่ะครับ
สมัยก่อนร้านอาหารนี้ ชื่อร้านอาหารบ้านสวน ส่วนพื้นที่ด้านในที่เป็นโรงแรมเป็นทุ่งโล่งๆ ร้านอาหารนี้เคยต้อนรับบุคคลสำคัญระดับประเทศอยู่หลายท่าน
เช่น ตรงด้านซ้ายของภาพ ท่านจะเห็นเรือนเรือนหนึ่งมีผ้าม่าน เรือนนี้เคยเป็นเรือนต้อนรับเจ้าหญิงไดอาน่ากับเจ้าฟ้าชายชาลล์ พอเจ้าหญิงเสียชีวิตไป ทางร้านจึงปิดห้องๆนี้ไว้ และตั้งชื่อว่า "ห้องไดอาน่า"
ด้านในร้านบรรยากาศแบบบ้านข้าราชการชั้นผู้ใหญ่โบราณ มีสวนร่มรื่น มีสระบัว มีโชว์รำไทยภาคเหนือช่วงดึก มีทั้งแบบindoor และoutdoor ที่นั่งแบบindoorมีห้องหนึ่ง ซึ่งเคยใช้รับเสด็จในหลวงของเรา จึงตั้งชื่อว่าห้องKing
ส่วนด้านขวาสุดของรูป เป็นยุ้งข้าว(rice barn) ซึ่งคนสมัยโบราณใช้บอกฐานะทางการเงิน ใครยุ้งข้าวใหญ่ แสดงว่าบ้านรวย
ตามไปชมดาราเทวีด้วยค่ะ
จากคุณ : Tikgazzaเกาะปีกเครื่องบินไปด้วยคนค่า^^
จากคุณ : หัวไชเท้าผู้กล้าหาญรีวิวนี้สวยมาก ๆ
จากคุณ : บ้านสามออตรงนี้เป็นยุ้งข้าวหน้าร้านอาหารไทยLe Grand lannaครับ
ถ้าท่านยืนอยู่หน้าประตูเมือง ยุ้งข้าวนี้จะอยู่ด้านซ้ายมือของท่าน
ขออนุญาตเล่าเกร็ดให้ฟังเผื่อน้องๆรุ่นหลังๆจะไม่ทราบครับ
ยุ้งข้าวก็คือที่เรือนไม้ที่ใช้เก็บข้าว ที่ผมบอกว่าคนโบราญใช้แสดงฐานะทางการเงิน คล้ายๆกับว่าสมัยนี้บางคนอาจมองกันจากตำแหน่งทางการงาน รถที่ขับ โทรศัพท์ที่ใช้ การแต่งกายสุดแท้แต่ แต่ว่าสมัยก่อนมีระบบที่เรียกว่าศักดินา ยิ่งมีตำแหน่งสูง ยิ่งรวยมาก ยิ่งมีที่นามาก และยิ่งที่นามาก ก็ยิ่งมีข้าวที่เกี่ยวได้มาก
ซึ่งย่อมต้องมียุ้งข้าวใหญ่นั่นเอง
ถ้าเป็นสมัยนี้คนบางกลุ่มอาจมีค่านิยมที่จะแต่งงานกับคนรวยๆ ผมมองว่าเป็นหลักชีววิทยาที่ว่า คนเราเลือกmatingกับคนที่มีความสามารถที่จะให้ลูกและดูแลลูกได้ดี บางคนจะมองว่ารวยคือมีabilityในการดูแลลูกและทำให้ผู้สืบสกุลเติบโตอย่างไม่ลำบากนัก
แต่วัฒนธรรมล้านนาสมัยก่อน ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
เช่น ผู้ชายจะต้องแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง ผู้หญิงเป็นผู้นำครอบครัว เป็นคนเก็บเงิน เพราะผู้ชายสมัยก่อนมักจะเสียเงินไปกับการดื่มเหล้า เล่นการพนัน
ที่นี้เมื่อแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิงแล้ว ผู้ชายทั่วๆไป มักจะไม่ค่อยเลือกไปแหยมกับสาวๆที่หน้าบ้านมียุ้งข้าวใหญ่ๆ เหตุผลก็คือ ถ้าทะลึ่งไปจีบสาวที่หน้าบ้านมียุ้งข้าวใหญ่ หมายความว่า ตาผู้ชายคนนี้ถ้าแต่งงานเข้าไป ต้องมาอยู่บ้านนี้ ผู้ชายคนนี้ก็ต้องถูกใช้ไถนาผืนใหญ่ และมีชีวิตที่เหนื่อยกว่าการแต่งงานกับสาวที่มีนาน้อยๆ
ดังนั้น ถ้าผมเป็นคนล้านนาสมัยก่อน
แล้วผมมาเห็นยุ้งข้าวหน้าเลอกรองลานนา ขนาดใหญ่เช่นนี้
ผมมีแนวโน้มจะไม่ไปจีบสาวบ้านนี้เด็ดขาด เพราะหมายถึงว่าผมต้องถูกใช้งานเยี่ยงทาสไถนาผืนโตนั่นเอง
อย่างไรก็ดี หลังจากฟังผมโม้มานาน ปัจจุบัน ยุ้งข้าวนี้
ใช้เป็นstationสำหรับรับส่งแขกโดยรถbuggy สมมุติผมไปตะลุยราตรีในเชียงใหม่ ซวนเซกลับมา จะเข้าไปvilla ก็มารอรถตรงใต้ถุนยุ้งข้าวนี่แหละครับ : )
แวะมาชมด้วยคนครับ
จากคุณ : stupidineถือโอกาสนี้สวัสดีเพื่อสมาชิกทุกท่าน ที่ให้เกียรติเข้ามาอ่านรีวิว
และกรุณาให้ความเห็น ให้giftด้วยครับ
เป็นกำลังใจให้กับผู้เขียนรีวิวมากๆครับ
สวัสดีงามๆ ยินดีต้อนรับไปเที่ยวด้วยกันนะครับ : ))
รอติดตามชมคร้าบ
ผมชอบความมีชีวิตชีวาของรีวิวนี้จัง
จะติดตามทุกตอนเลยนะคะ อ่าน outline แล้วน่าสนใจมากค่ะ
ติดใจรีวิวที่แล้วด้วยค่ะ ขนมจัดเต็ม น่ากินทั้งนั้น
เข้ามาในประตูเมือง ซึ่งเป็นอาณาเขตของที่พักของนครดาราเทวีเรียบร้อยแล้ว พาหนะที่จะพาเราเข้าไปที่ใจกลางนคร (lobby) คือรถม้าครับ
จากคุณ : bas121หรูตั้งแต่ตอนบินเลยอ่ะ
จากคุณ : boy next doorพาทุกๆท่านเดินผ่านประตูเมือง(ผมขออนุญาตให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ประตูเมืองนี้ชื่อประตู ไชยะดารา)
ด้านขวา ท่านจะพบอาคารหอประชุมขนาดใหญ่ ที่เห็นหัวพญานาคอยู่ลิบๆ ชื่อ หอจุมทอง(Jum thong Hall) ส่วนข้างๆหอจุมทองเป็นหอจุมเงิน
สองหอนี้ใช้จัดประชุมเลี้ยงสังสรร
ในภาพด้านขวาที่ท่านเห็น นั่นคือหอจุมทอง ด้านหลังจะมีหอสมุด
ชื่อหอจุมศรี ซึ่งเป็นสถานที่โปรดที่สุดในโรงแรมของผม (รองจากร้านขนม)
ส่วนด้านซ้ายมือ เป็นลานกว้าง ชื่อ ข่วงโขงขาว ภาษาเหนือคำว่า ข่วงแปลว่า ลาน ใช้จัดเลี้ยงและจัดแสดงการแจ้งครับ
หอจุมทอง ซึ่งตกแต่งด้วยศิลปะแบบเชียงทองหลวงพระบางของลาว
มีบันไดพญานาค ซึ่งเป็นลายที่เรียกว่า "มะกรคายนาค"
ตามมาลวงลับตับแตกของแมนดารินโอเรียนเต็ลดาราเทวี จากครูบาสค่ะ 555+
จากคุณ : NokJbzตรงราวบันได
ที่ผมบอกว่า เรียกว่า มะกรคายนาค (มะ-กะ-ระ หมายถึง จรเข้)
ท่านจะเห็นว่า จริงๆแล้ว ตรงราวบันได คือตัวจรเข้ อ้าปาก
แล้วนาคโผล่ออกมาจากปากจรเข้
หลายๆท่านพอเห็นรูปนาคแล้วอาจมีความรู้สึกเหมือนผมว่าเฮ้ย นี่มันนาคหรือนกแก้ว ท่านคิดไม่ผิดหรอกครับ
เพราะนาคที่โผล่มาจากคอหอยของจรเข้นี้เรียกว่า นาคปากแล หน้าตาคล้ายๆนกแก้ว ผมก็ไม่รู้ว่าในทางชีววิทยาจัดอยู่ในสปีชีย์ไหน
ปล. รีวิวนี้อาจจะรายละเอียดเยอะนิดนึง ด้วยผมต้องการให้เป็นความรู้ทางศิลปะวัฒนธรรมไทยของเราจุดหนึ่งนอกจากรีวิวโรงแรมด้วย บางจุดท่านที่ติดตามการถ่ายทอดสด ไม่สามารถข้ามไปอ่านตอนที่ต้องการเลยได้อาจจะเบื่อนิดนึง ต้องขออนุญาตท่านผู้อ่านไว้ตรงนี้ครับ ; ))
ขอไปด้วยคนนะครับ..........ขอบคุณครับ
จากคุณ : low batt. [5 ต.ค. 54 21:04:57 ]A:223.206.100.201 X: TicketID:329936ส่วนลวดลายที่ผมเรียนทุกท่านว่า เป็นของหลวงพระบาง
อาณาจักรล้านช้าง (ลาว)
สังเกตง่ายๆจาก การประดับด้วยกระจก ถ้าเป็นศิลปะลาวจะจัดเต็มด้วยการเอากระจกแปะๆๆ วาววับแบบนี้แหละครับ
ลายที่ท่านเห็นตรงทางเข้าหอจุมทอง ได้แรงบันดาลใจ(เป็นคำสุภาพของคำว่าcopt ^^) มาจาก วัดเชียงทอง ของหลวงพระบางครับ
ปาดเป็นหลักฐาน งามแต้ๆ คิดออด เชียงใหม่อีกล่ะ
จากคุณ : bsczaย้อกนกลับมาที่ภาพ38# เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาครับ
ด้านซ้ายมือ ท่านจะพบลานกว้างที่เรียกว่า ข่วงโขงขาว
มองไปไกลลิบๆเป็นเสมือนวัดของเมือง ซึ่งจำลองแบบมาจาก วัดไหล่หิน
เรียกว่า สุวรรณสถาน เป็นเหมือนแหล่งรวมใจของพนักงานในโรงแรม ใช้สวดมนต์ไหว้พระ ทำพิธีกรรมในวันสำคัญต่างๆ
บริเวณข่วงโขงขาว ท่านจะเห็นไม้แหลมๆปักอยู่ แล้วมีลายโลหะชี้ขึ้นชี้ลง
เรียกว่า ตุงกระด้าง เป็นตุงที่ทำจากโลหะ ใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ
ความเชื่อของคนล้านนาเชื่อว่า ตุงเป็นจุดเชื่อมระหว่างสวรรค์กับนรก
ด้านบนตุงติดกับสวรรค์(ที่ชี้ขึ้นด้านบน) ด้านล่างติดกับนรก จึงมักใช้ประกอบพิธีกรรม โดยเฉพาะในงานศพ หากผู้ตายพลาดพลั้งจะลงนรก ก็จะสามารถปีนตุงขึ้นสวรรค์ได้
ผมรู้สึกว่า การที่เราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมทั้งหลากหลายและยาวนาน มันมีคุณค่าและน่าภูมิใจมากๆ แต่ละอย่างที่มองไป มีเหตุมีผล มีstoryในตัวของมันเอง
ตามไปชมคร้าบ......
รูปเปิดสวยมากค่ะ g
ใกล้จะถึงlobbyแล้วครับ ตรงที่ทางจะข้ามสะพานไปที่lobby
ถ้าเลี้ยวซ้ายจะเป็นเขตที่พักแบบVilla เรือนไทยแบบต่างๆ เลี้ยวขวาเป็นที่พักแบบColonial suit
ในภาพด้านซ้าย ท่านจะเห็นภาพพญานาคที่ติดกับสนามหญ้าใช่มั๊ยครับ
จุดนี้เรียกว่า ซุ้มประตูโขง เป็นทางเข้าสู่สนามข่วงโขงขาว
ที่เรียกซุ้มประตูโขงเพราะ เป็นประตูที่เกิดจากรูปปั้นพญานาคหินสองตัว หันหางมาชนกัน แล้วตรงจุดที่หางชนกันเป็นประตูทางเข้าสนามหญ้าตรงนี้ จึงเรียก ซุ้มประตูโขง ตัวพญานาคที่ท่านเห็นด้านซ้านของภาพนี้จำลองมาจากวัดภูมินทร์จังหวัดน่านครับ
ตรงนี้คือซุ้มประตูโขงที่ผมเล่าให้ฟังครับ
เกิดจากหางพญานาคสองตัว (ตัวหนึ่งเห็นหัวอยู่ในภาพ48#) เอาหางมาชนกันกลายเป็นประตู
ตัวพญานาคจำลองมาจากวัดภูมินทร์ก็จริง แต่ตรงประตูโขงสีขาวขนาดใหญ่นี้นี้จำลองมาจากวัดพระธาตุลำปางหลวงครับ
ปกติถ้าท่านอยากลองนั่งรถม้ามา ก็จะมาลงหน้าlobbyตรงนี้
จากคุณ : bas121หรูหราสุดยอด เกาะติดตามชมต่อด้วยคนครับ
จากคุณ : แลเยี่ยมเยือนสุขถ้าจำไม่ผิดช่วงกลางปีคตุณบาสก็เพิ่งรีวิวไป กลับมาคราวนี้ไปพักแบบวิวล่าซะแล้ว อิจฉาจัง ส่วนเรื่องศิลปะนี่บรรยายละเอียดมาก ได้ความรู้เพิ่มเยอะเลย
จากคุณ : yuechanรีวิวนี้ผมตั้งใจให้เป็นเหมือนCultural tourไปในตัว เผื่อสำหรับเพื่อนสมาชิกท่านไหน อาจจะแวะไปทานขนม แวะไปเดินเที่ยวชมบริเวณต่างๆในโรงแรม หรือไปพักโรงแรม ท่านจะได้เข้าใจความหมายของจุดต่างๆ เป็นการเพิ่มอรรถรสในการเที่ยวได้ส่วนหนึ่งครับ ยังไงก็อย่าเพิ่งเบื่อเวลาผมโม้เรื่องตรงนู้นตรงนี้นะคร้าบบบ
ว่าแล้วก็พาขึ้นบันไดขึ้นไปlobbyกันดีกว่าครับ ตรงราวบันได้ เห็นแบบนี้ท่านที่ติดตามมาตั้งแต่ความเห็นแรกน่าจะพอจำได้ว่าเป็นตัว
มะกร(มะกะระ=จรเข้) อ้าปากแล้วมีตัวนรสิงห์ นั่งยองๆอยู่ครับ
นรสิงห์ หมายถึง ตัวเป็นสิงโตแต่หน้าเป็นคน ท่านั่งยองๆแบบนี้ ศิลปะพม่าครับ เด๋วเราเดินขึ้นไปด้วยกันนะครับ
ถ้าเดินขึ้นlobbyช่วงดึกๆก็จะเป็นฟิลล์นี้ครับ
จากคุณ : bas121แต่โดยทั่วไป เวลาที่ท่านมาเช็คอิน รถสามารถขึ้นมาบนlobby โดยขับผ่านทางขึ้นสีขาวด้านซ้าย
เด๋วผมพาท่านชมฟิลล์นี้บ้าง
lobbyของโรงแรมดาราเทวี เสมือนศูนย์กลางของอาณาจักร
มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า หอคำหลวง ชั้นบนเป็นจุดที่แขกโรงแรมใช้เช็คอินกับเช็คเอาท์ มีบาร์ชื่อ Horn bar ด้านหลังเป็นร้านอาหารAkaligo ส่วนด้านล่างเป็นofficeของผู้บริหาร แล้วก็shopต่างๆ
การสร้างLobbyอันอลังการนี้ สถาปนิกสร้างโดยใช้แนวคิดความเชื่อทางศาสนา จากวรรณคดีไตรภูมิ ที่ว่า จักรวาลประกอบด้วย พรหม-สวรรค์, มนุษย์ และภูมินรกเปรต โดยศูนย์กลางของจักรวาลทั้งปวง อยู่ที่เขาพระสุเมรุ
เขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางของจักรวาล มีทิวเขาล้อมรอบเป็นชั้นอยู่7ทิวเขาดังนี้
1. ยุคนธร 2. อิสินธร 3. กรวิก 4. สุทัศน์ 5. เนมินธร 6. วินันตก และ7.อัศกรรณ ซึ่งเป็นเขารอบนอกสุด ทิวเขาเหล่านี้รวมเรียกว่าเขาสัตตบริภัณฑ์
สถาปนิกตั้งใจทำหอคำหลวงหรือLobbyตรงกลาง ให้เสมือนเป็นเขาพระสุเมรุ
ดังนั้นท่านจะสังเกตเห็นว่า ตรงหลังคาของหอคำหลวงนี้จะมีทั้งหมด7ชั้น
ซึ่งหมายถึง เขาสัตตบริภัณฑ์ทั้ง7ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุนั่นเองครับ
ตามคติความเชื่อไตรภูมิที่ว่า เขาพระสุเมรุมีเขาสัตตบริภัณฑ์ทั้ง7ล้อมรอบ
ดังนั้น จากนี้เป็นต้นไปถ้าท่านเห็นศูนย์กลางของสิ่งปลูกสร้างใดๆที่หลังคาเป็นชั้นๆขึ้นไป7ชั้นแบบนี้ นั่นน่าจะสื่อถึงการเป็นเขาพระสุเมรุศูนย์กลางของจักรวาลนั่นเองครับ
บริเวณเขาพระสุเมรุ จะมีทะเลล้อมรอบเป็นชั้นๆ เรียกว่ามหานทีสีทันดร
นอกเขาชั้นนอกสุดเป็นมหาสมุทร
สวยเหมือนรีวิวที่แล้วเลยครับ
ขอบคุณครับ
ปล. อยากทราบว่า เจ้าของโรงแรมนี้คือใครเหรอครับ
และสระน้ำรอบๆLobby ที่เรียกว่า Colonial pool ก็สื่อถึง มหาสมุทรที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ นั่นเองครับ
รายรอบสระน้ำ จะเป็นอาคารที่พักแบบColonail suit
อ่านกระทู้นี้เพลินมากกกกกกกกกกก ชบประวัติศาสตร์เหมือนกันครับ ยิ่งรู้ยิ่งมันส์ ยิ่งสนุก
ตอนแรกก็อ่านไปเพลินๆ พอเลื่อนมาเจอรูปใน ความคิดเห็นที่ 16 อ๊ากกกก
คุณบาสหล่อขึ้น ไปทำไรมาหน้าใสเชียวววววว
ติดตามต่อครับ กำลังสนุกเลย
เด๋วท่านผู้อ่านจะหมดแรงก่อนนะครับ
เรามาเช็คอินเข้าที่พักกันเลยดีกว่าครับ
ตามสไตล์ของยี่ห้อโอเรียนเต็ล กลับมาพักครั้งนี้ พนักงานทักชื่อกันได้ทั้งโรงแรม เป็นที่ให้รู้สึกอบอุ่น พอเดินเข้ามาที่ล็อบบี้
ทางโรงแรมต้อนรับด้วยสร้อยดอกมะลิ คล้องคอระหว่างนั้นผมก็ไปนั่งรอที่ชุดที่นั่งตรงlobby แนวๆดี สัมภาระผม ดูเหมือนbutlerจะขนไปรอที่ห้องเรียบร้อยแล้ว
ผ้าเย็นกลิ่นยูคาลิปตัสกับชาตะไคร้
ดูเหมือนแต่ละจุดในโรงแรมจะมีผ้าเย็นกลิ่นเฉพาะตัว
เช่น ถ้าไปนั่งอ่านหนังสือห้องสมุดจะมีผ้าเย็นกลิ่นนึง ชาชนิดนึง
แต่ถ้าเดินผ่านสปาไปนั่งเล่นแถวนั้น สตาฟผู้ใจดีก็จะมีผ้าเย็นอีกกลิ่นหนึ่ง ชาอีกชนิดหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมมาดูแลเรา
ตามมาชมที่พักแสนหรูด้วยครับ
จากคุณ : tiger's nestเช็คอินไม่ถึงห้านาที แค่เซ็นชื่อในเอกสารที่พิมข้อมูลทั้งหมดของเราไว้แล้ว แกร๊กเดียว จากนั้นก็จะได้ชุดกิฟเซ็ต เป็นกุญแจ ซึ่งก็จะมีฝรั่งคอมเพลนว่า ทำไมไม่เป็นการ์ด
คือจริงๆconceptที่นี่คือย้อนยุคมายุคโบราณนอนเรือนไทยไม้สักทองทั้งหลัง อะไรแบบนี้ ทางโรงแรมเลยพยายามทำเครื่องไม้เครื่องมือให้เข้ากับบรรยากาศไปด้วย
นอกจากกุญแจแล้วก็จะมีแผนที่ขนาดใหญ่พับสอดอยู่ แล้วก็ตารางกิจกรรม พวกโยคะ ปลูกข้าว ทำนา รำไทย นั่งสมาธิ cultural tourอะไรพวกนี้ ซึ่งมีให้เลือกทำทั้งวัน
วันนี้ห้องพักผมเป็นแบบVilla จริงๆผมเองชอบห้องพักแบบVillaมากกว่าแบบSuit เนื่องจากเป็นส่วนตัวมากๆเหมือนมีบ้านไม้สักทองทั้งหลังอยู่ริมท้องนาเป็นของเราทั้งหลัง ได้บรรยากาศมากๆ แต่่ครั้งแรกที่มาไม่กล้านอนคนเดียว โรงแรมนี้ของเก่าเยอะ กลัวดึกๆพบอะไรเข้า แต่ครั้งนี้เป็นไงเป็นกัน จะเจออะไรให้มันเจอ นึกเล่นๆว่าถ้าเจออะไรเข้าจะได้นำมาเล่าในรีวิวได้มีรสชาติขึ้น เลยพักแบบVilla
วันนี้โรงแรมจัดVilla15ให้ครับ
เนื่องจากโรงแรมนี้ จริงๆคือเมืองย่อมๆเมืองหนึ่ง
ขนาดร่วม160ไร่ การเดินทางไปไหนมาไหนช่วงแรกๆที่ยังไม่คุ้นเคย
อาจะใช้บริการรถbuggy แต่หลังๆพอผมคุ้นเคยผมก็มักขี้จักรยานหรือเดินชมความเขียวขจีของรีสอร์ตมากกว่า
ผ่านVillaหลังแล้วหลังเล่า ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ
ทุกVillaจะมีคูน้ำเล็กๆล้อมรอบ ซึ่งจากเส้นทางสัญจรจะเข้าสู่Villaแต่ละหลัง
จะมีสะพานไม้เล็กๆ
ที่ใช้ไม้เป็นสิ่งสืบทอดมาจากสมัยก่อน เผื่อเวลามีแขกไปใครมา หรือแม้แต่ขโมยมาเยี่ยมบ้าน เวลาจะเข้าไปก็จะมีเสียงให้เจ้าของบ้านได้ยินตอนผ่านสะพานไม้ตรงนี้
ซึ่งในโรงแรมทางเข้าใหญ่ด้านหน้าสุดที่รถวิ่งเข้ามาบริเวณกาดดารา ตรงนั้นก็เป็นสะพานไม้ เวลาใครจะเข้าจะออก สมมุติยามหลับอยู่ก็จะตื่นเพราะเสียงล้อรถกระทบไม้นี่แหละครับ
Villaที่ผมพักวันนี้ เป็นVilla15
ก่อนที่จะพาไปชมVilla ผมอยากพูดถึงการบริการ....
ผมคิดว่า นี่แหละ บริการแบบโอเรียนเต็ลของแท้ดั้งเดิม ที่คนไทยเราภูมิใจว่า Thai hospitalityเราอันดับ1ของโลกมาเสมอ
พนักงานทุกคนจำชื่อได้หมด แม่บ้าน butler สตาฟห้องสมุด ไปจนถึงครูที่ฟิตเนส ทั้งๆที่ผมไม่เคยพบท่านเหล่านั้นมาก่อน สตาฟที่frontที่เช็คอินให้ผมและพาผมมาที่villaเป็นท่านเดียวกับที่เคยต้อนรับผมทุกครั้ง ระหว่างทางจากlobbyไปvillaถ้าพบแม่บ้าน หรือสตาฟท่านไหน ทุกท่านก็จะสวัสดีแล้วก็ทักว่า ยินดีต้อนรับกลับอีกครั้งนะครับคุณบาส น่าประทับใจมากๆ ผมไม่มายด์ว่าจะเตี๊ยมกันไว้ก่อน แต่ถ้าทุกโรงแรมสร้างความรู้สึกอบอุ่นให้แขกได้แบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ
เมื่อมาถึงVilla Butlerที่มาดูแลผมเป็นButlerท่านเดิม จัดการเตรียมจักรยาน "คันเดิม" ที่ผมเคยไปยืมจากฟิตเนสครั้งที่แล้วมารอหน้าvilla
สุดยอดด
เปิดประตูเข้ามา จะพบสระบัว แล้วก็สิงห์เฝ้าบ้าน
จากคุณ : bas121ตามดูอย่างใจจดจ่อค่ะ จะตามครูบาสไปเร็วๆนี้ค่ะ
มี Voucher 3 วัน 2 คืนของที่ดาราเทวีไว้ กะว่าจะไปใช้ช่วงเดือน พ.ย.
เมื่อวันที่ 1 ตุลา ก็ไปซื้อ Macaroon มากล่องใหญ่ๆ ค่ะ ตอนนี้ยังอยู่ในตู้เย็น ทานยังไม่หมดเลยค่ะ
เปิดประตูเข้าไป
ชั้นล่างเป็นบริเวรห้องนั่งเล่น ครัว ห้องอบไอน้ำ Home theater
ระเบียงยื่นออกไปบริเวณท้องนา สระน้ำเล็กๆเอาไว้แช่น้ำนวดตัวริมท้องนา
ต้องขอเล่าให้ฟังก่อนครับ ว่าจริงๆเรือนVillaนี้เป็นไม้สักทองทั้งหลัง แต่ด้วยความที่ บ้านเรือนไทย จริงๆไม่มีชั้น1 ปกติบริเวณชั้น1นี้เป็นใต้ถุน เปิดโล่ง
แต่VillaแบบDeluxe villa ประยุกต์เรือนไทยด้วยการทำชั้น1เป็นindoor
เลยออกมาในรูปแบบผสานกันระหว่างไม้กับคอนกรีต
เรื่องรู้ใจแขก ไม่มีใครเกินที่นี่
คนในครอบครัวผมทราบดีว่าผมชอบขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจ
ดูเหมือนที่นี่ก็ไม่พลาด จะทำให้แขกที่มาพัก รู้สึกเหมือนเป็นคนในครอบครัว คือ "รู้ใจ" อะไรทำให้เธอมีความสุขฉันรู้ และฉันจะทำให้
ผมเดินๆสำรวจห้องนั่งเล่น มีเบาะผ้าไว้นอนดูทีวี มีชุดhome theaterของBose5ลำโพงสีดำ ติดอยู่รอบๆห้องนั่งเล่น มีgrand piano เสียดายเจ้านายใหญ่ผมไม่มา คุณเธอชอบเล่นเปียโนเสียด้วย อดคิดถึงไม่ได้
เห็นบนโต๊ะมีอะไรวางไว้ คาดว่าเป็นwelcome set!
ต้องบอกว่า ถึงแม้โรงแรมในเครือนี้ จะเซอรไพรซ์ผมเกือบทุกครั้ง ไม่ว่าไปทานอาหาร หรือไปพักที่โรงแรม
ผมก็ไม่เคยไม่ตื่นเต้นกับการเซอรไพรซ์
ครั้งนี้ ดาราเทวีเอาใจคนชอบของหวานอย่างผม
ด้วยของโปรดผมล้วนๆ มาการอง the top ราสเบอรีเค้ก
แล้วก็เห็นแว๊บๆเป็นช็อคโกแลตรูปพัดตราlogo mandarin Oriental
ตรงกลางพระเอกของจาน เป็นmilk ช็อคโกแลตทรงกลม ไส้ข้างในเป็นช็อคโกแลตมูสกับมาการองช็อคโกแลต
ใส่หมวกเป็นไวท์ช็อคโกแลตรูปหมวกเชฟ แปะด้วยช็อคโกแลตตราพัดสีทอง!!
partที่ตื่นเต้นที่สุดของผมในการมาพักที่นี่ คือการลุ้นว่า วันนี้โรงแรมจะจัดอะไรมาต้อนรับผมนี่แหละครับ
คงคล้ายๆกับเวลาไปเลอนอมังดี ที่โอเรียนเต็ลกรุงเทพฯ ผมก็จะนั่งลุ้นว่าวันนี้เชฟจะทำขนมอะไรมาให้ผมทาน
(อ้างอิงจากกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/food/topic/D11132729/D11132729.html )
ครั้งก่อน ที่ผมมาที่นี่ โรงแรมจัดsetต้อนรับเป็นแบบนี้....
จากคุณ : bas121เป็นช็อคโกแลตรูปช้างครับ
ตรงกลางตอนแรกผมเห็นนึกว่ารูปปั้น ปรากฏเป็นช็อคโกแลต
สวยวิจิตรเสียจนไม่กล้าทาน แพ็คกลับกรุงเทพฯไปแช่ช่องฟรีสไว้
ด้านหน้าช้างเป็นช็อคโกแลตแล้วก็ มาการองรสกุหลาบ กับรสกาแฟ
ที่น่าสนใจมากๆคือ ด้านหลังงวงช้าง
มาการองสีขาวๆ นั่นคือมาการองรสต้มข่าไก่!!!
หาชิมให้ได้นะครับ ผมไม่คิดว่ามันจะwork
แต่กลับอร่อยมากๆ เป็นขนมที่ชิ้นแข็งๆจะค่อยๆละลายหายไปในปาก
รสหวาน เผ็ดนิดๆ เปรี้ยวเล็กๆ ทานกับfillingด้านในแล้ว เป็นอีกรสชาติที่ลงตัวและเป็นเอกลักษณ์มากๆ
อย่างไรก็ตาม ของต้อนรับจานนี้ผมให้ช้างเป็นพระเอก
ที่ผมเคยได้ยินตั้งแต่เด็ก ว่าโอเรียนเต็ลบริการดีๆๆ ตอนนี้ผมมาสัมผัสเองถึงเข้าใจ butlerชอบแอบมาทำอะไรที่ไม่คาดฝันไว้ให้ ที่เห็นได้เป็นรูปธรรม เช่น
-เตรียมทุกอย่างที่ผมชอบไว้ในvilla เช่น จุดตะเกียงน้ำมันหอมระเหยกลิ่นมินท์ ซึ่งเป็นกลิ่นโปรดของผม ครั้งที่แล้วผมเอามาจุดเองและขอไฟแช็คกับbutler รอบนี้butlerจุดเตรียมไว้ให้ทั้งบ้าน พร้อมtea candle2กล่อง ไฟแช็ค วางไว้ให้ผม คือผมเป็นพวกบ้าEssential oilหอมๆ
-ปอกมะม่วงกับแก้วมังกรผลไม้โปรดของผม ทิ้งไว้ให้ในตู้เย็นหลังทานมื้อกลางวัน!!!
-unpackกระเป๋าผม ไว้รอก่อนผมขึ้นไปบนห้อง นำเสื้อผ้าทุกตัวออกมารีด แขวนในตู้ พับผ้า ชั้นในทั้งหลายอย่างเป็นระเบียบใส่ตู้
-หนังสือในกระเป๋าทุกเล่มbutlerนำไปวางบนโต๊ะ โดยใส่ที่ขั้นหนังสือของดาราเทวีไว้ให้ทุกเล่ม
-ครีม ซีรีมทั้งหลายของผม butlerจัดเรียงบนผ้า ไว้ตรงอ่างล้างหน้า แบบเดียวกับที่ผมเคยเรียงตอนมาครั้งที่แล้วเป๊ะๆ! (อันนี้ผมไม่ทราบว่าตั้งใจหรือบังเอิญ แต่เรียงเหมือนที่ผมเรียงเองประจำไม่มีผิดเพี้ยน)
-เตรียมขนมไว้ให้ทานก่อนนอนทุกคืน แล้วเขียนไว้ว่า
Welcome back khun BAS T T ปลื้มมมมมสุดๆ
ยังคงปลื้ม ตื่นเต้นกับwelcome dessertครับ ^^
จากคุณ : bas121มัวแต่ตื่นเต้นกับขนม
พาเพื่อนๆไปรีวิวVillaต่อดีกว่าคร้าบบ
จุดที่ผมถ่ายภาพในรูปนี้ ด้านหลังจะเป็นครัวครับ
ในครัว ก็จะมีเตาอบ เครื่องชงกาแฟ เตาไฟฟ้า เครื่องครัวอยู่ในตู้
แล้วก็มีตู้เย็นขนาดใหญ่กับซิงค์น้ำ
จาก78# กล่องไม้ที่วางอยู่ด้านขวาไมโครเวฟ
เปิดมาจะพบชาชนิดต่างๆ น้ำตาล ครีม
ส่วนนี้เป็นtoilet สำหรับห้องนั่งเล่น
อ่างล้างหน้า แล้วก็ห้องอาบน้ำแบบอบไอน้ำ
อ่างล้างหน้าบริเวณห้องนั่งเล่น
ภาพสะท้อนในกระจกจะเห็นห้องอบไอน้ำ
ห้องอบไอน้ำ มีที่อาบน้ำแบบน้ำฝนและแบบฝันบัว
เป็นหินอ่อนทั้งห้อง ด้านหลังมีที่นั่ง สำหรับอบไอน้ำ
shower jel, shampoo, conditioner
ของที่นี่เป็นกลิ่นlemongrassทั้งหมด ใส่ในขวดคริสตัล
ในvillaหนึ่งจะมีแบบนี้ให้สามset ตรงห้องอาบน้ำข้างล่าง
ห้องอาบน้ำข้างบน แล้วก็ตรงอ่างจากุซซี่ แม่บ้านจะคอยขยันแอบมาเติมให้เต็มขวดตลอดเวลาที่เราไม่อยู่
เฉพาะสบู่lemongrass มี6ก้อน ต่อvillaต่อวัน
ผมพักสี่วัน ขนสบู่กลับแทบยี่สิบก้อน แบบว่าชอบมากๆ+งก
ใช้จริงๆก้อนเดียว ที่เหลือเก็บไส่ตู้save
toiletบริเวณชั้นล่าง ไม่แน่ใจว่าตรงภาพวาดในห้องน้ำนี่
จะเรียกว่ารู้ใจแขกด้วยรึเปล่า
พาไปดูตู้ทีวี อันนี้ตรงที่เปิดตู้
แนวมากๆ หวัดดีฮัฟ
อีกจุดที่บันเทิงผมมากๆตลอดเวลาที่มาพัก คือตู้ทีวีที่นี่....
ซึ่งบรรจุชุดhome theaterของBOSS ลำโพงเทพๆ5ลำโพง ติดอยู่รอบบริเวณห้องนั่งเล่น แล้วก็ที่นี่มีห้องสมุดที่มีDVDหนังให้ยืมหลายพันเรื่อง
เวลามาที่นี่ ผมมักจะพกCD Michael Jacksonมาด้วย
เปิดเพลงทีก็เอาให้สะเทือนเขาพระสุเมรุกันไปเลยย
ขออนุญาตอธิบายแปลนชั้นล่างคร่าวๆครับ
ตรงด้านที่เราเปิดประตูเข้ามาจากนอกบ้าน เข้ามาในห้องนั่งเล่น(ด้านที่อยู่ติดกับเปียโน)
ด้านนั้นจะมีประตูอีกประตูหนึ่ง สำหรับออกไปเพื่อขึ้นบันได ที่อยู่นอกบ้านไปยังเรือนไทยชั้นสอง
ส่วนอีกด้านหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับด้านที่เราเปิดประตูเข้ามา เป็นด้านที่มีชุดday bedไว้นอนดูทีวี ด้านนี้เมื่อเปิดประตูออกไปจะพบภาพนี้ครับ
มีสระเล็กๆตรงระเบียง ไว้แช่น้ำเล่นริมท้องนา
คิดถึงคุณเจ้านายมากๆ ผมว่าถ้ามากันสองคนและแช่น้ำด้วยกัน คงโรแมนติกสุดๆ ข้างๆมีโต๊ะเก้าอี้ไว้นั่งจิบชาริมนากันยามเช้า
บริเวณสระ จะมีปุ่มปรับเป็นน้ำอุ่นได้
เผื่อหน้าหนาว
ในขณะเดียวกัน สระนี้ก็เป็นจากกุซซี่ไว้นวดหลังได้ในตัว
จากคุณ : bas121ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้เกียรติเข้ามาอ่าน และให้กำลังใจผู้เขียนผ่านทางความเห็นและกิฟครับ : )
คืนนี้นอนก่อน พรุ่งนี้พาไปชมห้องนอน เรือนด้านบน
และออกไปทัวร์ดาราเทวีนครนี้ด้วยกัน
มีที่สวยๆและเรื่องจะเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังอีกเยอะแยะเลยคร้าบบ
ก่อนจะพาท่านชมชั้นบนพรุ่งนี้
ผมขอทิ้งท้ายเป็นควิซนิดนึงครับ เรียนเชิญทุกท่านมาแชร์ความคิดเห็นกันครับ
เรื่องมีอยู่ว่า ในเวบtripadvisor โรงแรมดาราเทวีเป็นหนึ่งโรงแรมที่มีจำนวนผู้voteและให้ความคิดเห็นในด้านบวกเลอเลิศอย่างบ้าคลั่งมากที่สุดโรงแรมหนึ่ง แต่ก็ยังไม่วายมีแขกคอมเพลน ติติงมาในบางประเด็น
เช่น เท่าที่ผมเคยอ่านเจอ
มีฝรั่งบางท่านวิจารณ์ว่า Stupid design, why they put the stair outside the villa คือบ่นว่า โรงแรมออกแบบได้งี่เง่ามาก ที่เอาบันไดไปอยู่นอกบ้าน
ถ้าเราจะให้เหตุผลแบบกำปั้นทุบดินก็คือ เรือนไทยสมัยก่อนเรามันเป็นแบบนั้นและโรงแรมตั้งใจจะจำลองวิถีชีวิตแบบไทยๆ จึงต้องให้บันไดอยู่นอกเรือนตามแบบไทยโบราณ
คำถามที่ผมขออณุญาตให้เป็นควิซไว้ก่อนนอนคือ
เหตุใดคนไทยโบราณจึงสร้างเรือนไทยโดยให้บันไดอยู่นอกเรือนครับ : )
ถ้าท่านมีไอเดีย เรียนเชิญมาแชร์กันนะครับ พรุ่งนี้ผมเข้ามาเฉลยและรีวิวต่อคร้าบบบ good night ครับบ
คห. 16 ครูบาสหน้าใสกิ๊กเลยค่ะ หล่อขึ้นด้วย อิๆๆ
ตามมาชมรีวิวนะคะ ^_^
สวยมากมายค่ะครูบาส
อลังการณ์มาก
^^
ตอบแบบงูๆปลาๆครับ
เพราะ...เรือนไทยสมัยก่อนใต้ถุนเปิดโล่ง
เลยไม่มีบันไดในบ้าน...คือมาถึงหน้าบ้านแล้วก็เดินขึ้นบ้านได้เลย
เดาๆล้วนๆ...
แต่อยากบอกว่า ไม่ได้ล็อคอินมาตั้งนาน เจอกระทู้ดีๆได้ความรู้ขนาดนี้
เลยขอเข้ามาลงชื่อสักหน่อยคับ
ตามมากิน macaroon ด้วยค้าบบบ
อิอิ
แอบถามหน่อยครับ ว่าครูบาส
ได้นั่งเจ้านี่จากสนามบินมาไหมครับ แบบว่า ชอบบบบ
อิอิ
โรงแรมในฝันของผมเหมือนกัน อยากจะไปกับคุณ รู้ใจ ซะจริง ๆ รีวิวดีมากครับ
จากคุณ : Teppz..แบกใจสะพายเป้ขอร่วมสนุกตอบคำถามกับครูบาสด้วยนะคะ^^ คิดว่าทื่คนไทยโบราณสร้างบันไดไว้นอกเรือนเพราะบันไดสามารถถอดเก็บเข้าบ้านได้ จึงช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายหรือขโมยเข้าสู่บ้านได้โดยง่ายค่ะ
จากคุณ : เขียนบน iPhone (แมวดำน้อย)ขอไปเที่ยวด้วยคนครับ
จากคุณ : คาเมะนาชิสวรรค์บนดินแท้ๆสวยงามมากๆครับ
จากคุณ : coffee kremหรูหราอลังการมากๆค่ะ ^O^
จากคุณ : ตาฟาง...หรูหราเกินคำบรรยายจริงๆ ครับ
ชอบสระว่ายน้ำที่นี่จังเลยครับ ดูอลังการมากๆ ^^
พาทุกท่านไปชมVilla ต่อนะครับ
ย้อนความเดิม จากรั้วบ้านๆเดินเข้ามาจะพบห้องนั่งเล่น ในภาพประตูนั้นจะอยู่หลังสระน้ำน่ะครับ ในห้องนั่งเล่นมีชุดhome theaterของboss โต๊ะทานข้าว ห้องครัว ห้องอบไอน้ำ toilet เปิดไปด้านนอกเป็นระเบียงๆไว้นั่งจิบชาริวท้องนา มีสระเล็กๆไว้แช่น้ำ
ด้านเดียวกับประตูที่เปิดเข้ามา มีอีกประตูหนึ่ง เมื่อเปิดออกมาจะพบบันไดสำหรับขึ้นเรือนชั้นบนครับ
ขอบคุณเพื่อนสมาชิกที่กรุณาช่วยให้ความเห็นตอบควิซเกี่ยวกับเรื่อง ทำไมบันไดเรือนไทยต้องอยู่ด้านนอกครับ
ผมขออนุญาตอธิบายจุดนี้แบ่งเป็นสองด้าน
ถ้ามองด้านสถาปัตยกรรม
เหตุที่บันได้อยู่นอกบ้าน แทนที่จะอยู่ด้านในจะได้ขึ้นจากชั้น1ขึ้นเรือนได้ง่ายๆ เพราะสมัยก่อนบ้านเรือนไทย ไม่มีชั้นล่างครับ ชั้นล่างเป็นใต้ถุนเปิดโล่ง ดังนั้นเมื่อไม่มีชั้นล่าง จึงไม่มีเหตุต้องมีบันไดจาก"ชั้นล่าง"ขึ้นชั้นบน
แต่บันไดมักจะอยู่ด้านนอก เป็นทางเดินขึ้นเรือนเท่านั้น สมัยก่อนที่อยู่จริงๆคือเรือนด้านบน ใต้ถุนมักมีไว้เลี้ยงสัตว์ หรือรับแขก โดยบันได้มักขึ้นจากบริเวณที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวของบ้าน เช่นบริเวณที่ใช้อาบน้ำ ขึ้นสู่เรือน
เหตุผลทางวัฒนธรรมคือ
เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของเจ้าของบ้าน โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกสาว สมัยก่อนลูกสาวนี่จะไปโชว์ตัวพร่ำเพรื่อไม่ได้ ต้องถูกเก็บตัวอยู่บนเรือน สมมุติมีแขกมาอยู่บริเวณใต้ถุนเรือน พ่อแม่มาต้อนรับแขก ลูกสาวจะไม่มีสิทธิ์ออกมาเมาท์แตกปะปนกับผู้ใหญ่บริเวณใต้ถุน แต่สามารถมาถึงบ้าน อาบน้ำ แล้วเดินขึ้นเรือนได้ โดยไม่ต้องเข้าไปโชว์ตัวบริเวณรับแขก
ท่านนึกภาพว่า ถ้าบันไดอยู่บริเวณใต้ถุน แล้วคุณพ่อคุณแม่มีแขกมาเยี่ยมพร้อมลูกชายแขก พ่อแม่ต้อนรับแขกอยู่ ลูกสาวที่บ้านอาบน้ำ ห่มผ้าถุง บริเวณลานด้านล่าง แล้วจะเดินขึ้นไปแต่งตัวบนเรือน หากบันไดอยู่ด้านในบริเวณรับแขก ลูกสาวก็ต้องเดินห่มผ้าถุงผ่านบริเวณรับแขก ซึ่งคนสมัยก่อนท่านถือกันมากเรื่องของลูกสาว ที่ยังไม่แต่งงานแล้วจะไปเที่ยวโชว์ตัวแบบนี้ๆไม่ได้
ผมว่าการออกแบบทุกจุดของโรงแรมนี้ ถ้าเป็นชาวต่างชาติที่ขี้บ่นๆหน่อยอาจจะวีนได้ ประมาณว่าของชั้นวางอยู่ห้องรับแขกด้านล่าง ดึกๆชั้นต้องวิ่งออกนอกเรือนมา ฝนตกบ้าง ยุงบ้าง เพื่อมาหาของในห้องรับแขก
แต่ถ้าคนไทย หรือคนต่างชาติที่ต้องการจะมาexperienceวัฒนธรรมจริงๆ
จะพบว่า ทุกรายละเอียดของโรมแรมนี้ มีstoryในเชิงวัฒนธรรมทั้งสิ้น
เด๋วผมพาทุกท่านขึ้นไปสำรวจบนเรือนกันครับ
ได้ความรู้เยอะมากเลยค่ะ มารีวิวเร็วๆนะคะ รออ่านอีกค่ะ
ปล.ปกติคุณ บาสทาน macaroon กับเครื่องดื่มอะไรคะ
เดินขึ้นบันไดมา ก่อนเข้าเรือน บริเวณระเบียงมีเบาะไว้ให้นั่งเล่น
จากคุณ : bas121พอเดินเข้าไปในเรือน สิ่งแรกที่ท่านจะพบคือ รูปสลักหินเก่ารูปคุณป้าหน้าตาเป็นมิตรยิ้มแฉ่งทำท่าต้อนรับเราเข้าเรือน ตรงหน้าพอดี
ถ้าท่านยืนประจัญหน้ากับคุณป้า เรือนทางขวามือของท่านเป็นเรือนนอน ส่วนเรือนทางซ้ายทั้งเรือนเป็นเรือนอาบน้ำ ส่วนห้องที่อยู่ด้านหลังคุณป้าเป็นห้องทำงาน
ในภาพผมถ่ายรูปจากตรงด้านซ้าย
ถึงคุณป้าจะหน้าตาใจดี แต่ด้วยความที่ผมมานอนคนเดียว
ตอนดึกๆเวลาผมลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วเดินผ่านคุณป้า
บนเรือนไม้สักทองกลางนา ลมพัดหวิวๆแบบนี้ บางทีก็อดสั่นไม่ได้
แต่อย่างน้อยผมก็รักรูปปั้นหินคุณป้านี่มากกว่ารูปปั้นหินที่วางตรงทางเข้าเรือนครั้งที่แล้ว....อย่างน้อยคุณป้าก็ยังยิ้มเป็นมิตร
เด๋วความเห็นต่อไปผมให้ดูว่า รอบที่แล้วที่ผมมาพักvillaแบบเดียวกันนี้
รูปปั้นหินเป็นรูปอะไร....
รอบที่แล้วที่ผมมา....รูปปันหินเป็นรูปลุงนี่ ยืนชี้หน้าผมอยู่...
เปิดเข้ามาเรือนนอนล่ะแทบผงะ ยิ่งดึกๆ เวลาเดินไปเข้าห้องน้ำ เปิดไฟสว่างขึ้นมา นึกว่าพม่าบุกเผาเรือน
ถ่ายรูปกับคุณป้า แชะ
เจ้าของโรงแรมนี้ ชื่อคุณสุเชษฐ์ครับ ซึ่งทำธุรกิจเป็นดีลเลอร์รถIsuzu
โดยเริ่มจากเป็นเจ้าของร้านอาหารบ้านสวน หรือเลอกรองลานนาในปัจจุบัน
แกเป็นคนชอบสะสมของเก่า แล้วก็หลงใหลในอารยะธรรมล้านนา
ตอนทำโรงแรม แกเลยขุดกรุของเก่าทั้งหมดมาไว้ในvilla ท่านที่มาพักคนเดียวครั้งแรกแบบผมแรกๆอาจจะไม่คุ้นเคย แต่อยู่ๆไปหลายๆคืนจะเริ่มไม่กลัวและเปลี่ยนเป็นความดื่มดำกับstoryของของแต่ละชิ้นมากกว่า
พอขึ้นเรือน ทักทายสวัสดีคุณป้าปุ๊บ
ขวาหันไปชมห้องนอนกันดีกว่าครับ
ด้วยความที่เป็นเรือนไทย หลังคาสูง ทำให้รู้สึกโปร่งสบาย
ที่ผมชอบอีกอย่างหนึ่งคือ ช่องแอร์ๆเล็กๆ ที่แอบอยู่ตรงหลังคาเรือนไทย
ซึ่งแต่ละห้องของvilla จะควบคุมอุณหภูมิได้เฉพาะห้องนั้นๆได้ดังใจ ผมเป็นพวกขี่้ร้อน ผมจะตั้งอุณหภูมิไว้ประมาณ16องศา ซึ่งแอร์ก็เย็นเร็วได้ดังใจสั่ง
ตอนพาคุณแม่มาเที่ยว เห็นดึกๆแม่ไปนั่งขดอยู่ที่ห้องน้ำ ผมเดินไปถามว่าคุณแม่ครับ ทำไมไม่นอน แม่บอกว่าแม่หนาว ><
Facilityในห้อง ก็มี
เตียงแบบking bed ผมว่าใหญ่พอจะนอนสามคนได้สบายๆ
ตรงด้านขวาของภาพเป็นห้องทำงาน ซึ่งมีตู้เย็นเล็กๆพร้อมมินิบาร์อยู่
ในห้องนอนมีตู้ทีวี+DVDแบบที่หันจอทีวีมาทางเตียงได้
มีเครื่องเสียงBoseตรงหัวเตียง เก้าอี้นั่งเล่นสองชุด
ครั้งก่อนที่ผมพาคุณพ่อคุณแม่มาเที่ยว จองแบบเตียงคู่
จะมีอยู่ที่Villa10 ลักษณะจะคล้ายๆกันเกือบทั้งหมด
แต่เป็นเตียงคู่แบบนี้
ถ้ามากับแฟน เตียงเดี่ยวworkกว่าเยอะ
ห้องทำงานแยกออกมาจากห้องนอน
เปิดม่ายออกจะเห็นท้องนา ด้านหลังมีน้ำเปล่าของโรงแรม กระติกน้ำแข็ง
แล้วก็ตู้เย็น
ที่วางอยู่บนโต๊ะ เป็นหนังสือชื่อ Lanna Reinessance
ซึ่งผมอ่านอยู่หลายวันก่อนนำมาเขียนรีวิวนี้
จัดเป็นบรรนานุกรมของกระทู้นี้ได้เลยครับ
"ความรักไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียง....ไปที่ระเบียงบ้างก็ได้"
ช่วงเช้าๆลุกขึ้นมาจากเตียง มองผ่านมุ้งออกไปจะเห็นระเบียงของห้องนอน
คคห.75 Welcome black Khun Bas คุณครูขา เค้าสะกดผิดค่ะ
จากคุณ : snowpokโอเรียนเต็ล น่าจะให้ครูบาส เป็นแบนด์แอมบาสเดอร์เนอะ :)
เห็นชื่อปุ๊บ รู้เลยว่าต้องมีอะไรดี และ รู้เลยว่าต้องได้อ่านกันเพลินแน่นอน
ขอบคุณครูบาสมากค่ะ สำหรับรีวิวเต็มอิ่มแบบนี้
ชอบจริงจริงเลยค่ะ
พอดีอินเตอร์เน็ตมีปัญหา เลยหายไปช่วงนึงครับ : )
พาออกไปสำรวจวิลล่าต่อนะครับ
ในห้องนอน มีห้องทำงานอยู่ในตัว พอเปิดม่านออกมาจะพบระเบียง แล้วก็ศาลายื่นจากระเบียงออกไปให้สัมผัสบรรยากาศท้องนา
ผมค่อนข้างตื่นเต้นมากๆ โดยส่วนมากผมมักจะเที่ยวแบบcity tour
พักcity hotel เลยไม่เคยมีโอกาสสัมผัสบรรยากศแบบนี้
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้นอนในบ้านเรือนไทย กลางท้องนาแบบนี้
เขียนรีวิวด้วยความตื่นเต้นและความสุขครับ
ระเบียงกว้างพอจะแบ่งทีมเตะฟุตซอลได้ทีเดียว
จากคุณ : bas121วิวจากระเบียงวิลล่าผม กลางท้องนา
คนไทยเราอาจจะคุ้นเคยกับท้องนา แต่ส่วนใหญ่ชาวต่างชาติที่มาพักที่นี่
มักจะตื่นเต้นเวลาได้นอนกลางท้องนา
มองจากบริเวณระเบียงเข้าด้านใน
ท่านจะเห็นมีเรือนสองเรือน ด้านซ้าน เรือนนอน
ตรงประตูซ้ายสุดเป็นของห้องนอน หน้าต่างกระจกตรงกลางของห้องทำงาน
และเรือนขวาสุดเป็นเรือนห้องน้ำ
ในความเห็นผม ผมมองว่าโรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่ถ่ายรูปไม่ค่อยขึ้น
อาจด้วยความที่เป็นโรงแรมสไตล์เมืองล้านนาโบราณในจินตนาการ
เวลารูปออกมาเลยดูเก่าๆไม่ค่อยหรูหรา เหมือนcity hotel
ผมเองก็รู้สึกแบบนี้ตอนดูภาพในเวบโรงแรม รวมถึงรีวิวเก่าๆช่วงตัดสินใจไปพัก แต่ท่านต้องลองได้แวะเข้าไปเที่ยว แล้วลองให้พนักงานพาชมห้อง
จนได้เข้าไปเห็นในเรือนไม้สักทองแบบนี้จริงๆ ฟิลล์มันจะต่างกันแบบคนละเรื่องไปเลย
อาจเพราะว่า ปกติเวลาผมเห็นบ้านเรือนไทย หรืออาคารโคโลเนียล ผมมักจะนึกถึงบ้านเก่าๆโทรมๆ หรือสถานที่ราชการที่ไม่ค่อยสะอาดสไตล์หัวลำโพง ร้อนๆอับๆ พอผมเห็นภาพโรงแรมเป็นเรือนไทย กับห้องแบบโคโลเนียล ผมเลยเอามาเชื่อมโยงกัน
พอเข้ามาอยู่จริงๆ ฟิลล์คือ โอ่อ่า เย็นสบาย สะอาด แล้วก็หอมไปทุกจุด ต้องให้เครดิตแม่บ้านด้วยเพราะ ไม่มีฝุ่นเลย เนี๊ยบไปทุกจุดในวิลล่า
โคมไฟข้างๆเตียงทั้งสองข้าง
โคมไฟที่นี่จะเป็นแนวนี้หมด คือเป็นหินสลักแบบต่างๆกันไป หัวเตียงแต่ละข้างก็คนละรูปกัน โต๊ะทำงาน ห้องนั่งเล่น ไปจนถึงล็อบบี้ ก็จะมีลักษณะต่างกันไป
ตรงโต๊ะหัวเตียง
ถัดจากโคมไฟมีเครื่องเสียงbose ชุดเล็กๆไว้เปิดเพลงบรรเลงเบาๆฟังก่อนนอน
ช่วงก่อนนอน แม่บ้านก็จะมากางมุ้ง ให้ออกมาประมาณนี้
เป็นค่ำคืนที่เพอร์เฟ็คมากๆ ขาดไปอย่างเดียวคือ ต้องนอนคนเดียว T T
ถ้ามาhoneymoon แล้วได้ผ่านค่ำคืนไปด้วยกันในมุ้ง คงโรแมนติกทีเดียว
พาไปชมห้องน้ำชั้นบนเรือนกันบ้างครับ
ย้อนไปในภาพที่107# เวลาเดินขึ้นบันไดมาบนเรือน เลี้ยวขวาจะพบเรือนนอน ระเบียง แล้วก็ห้องทำงานดังที่ผมได้พาทุกท่านไปชมมาแล้ว
ทีนี้เราลองเลี้ยวซ้ายบ้าง
จะพบห้องน้ำ
ส่วนตัวผม นี่เป็นห้องน้ำในห้องนอนของโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมาทีเดียว ขนาดพอๆกับห้องDeluxe studioของโรงแรมทั่วๆไป
น่าประทับใจbutlerมากๆ
อย่างที่ทราบๆกัน โดยทั่วไปผู้ชายเราจัดกระเป๋าเองเที่ยวคนเดียว ก็มักจะยัดๆๆอัดเข้าไป ไม่ได้พับด้วยซ้ำ เสื้อผ้าก็จะยับๆหน่อย
Butlerค่อยๆเอาออกมารีดทีละตัวแล้วนำขึ้นไม้แขวน พับถุงเท้ากับชั้นในวางในตู้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ในบริเวณของส่วนแต่งตัว
ในห้องน้ำประกอบด้วย อ่างจากกุซซี่ ห้องอาบน้ำแบบoutdoor แล้วก็toilet
Butlerเรียงอุปกรณ์ต่างๆของผมไว้บนอ่างล้างหน้า
โดยทุกอย่างที่นำออกมาวางตั้งแต่หนังสือ ที่ชาร์ตมือถือ ยันโลชั่นต่างๆ
บัตเลอร์จะวางบนผ้าขาว
ของใช้ในห้องน้ำต่างๆ
แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ที่โกนหนวด ครีมโกนหนวด สำลี เข็มด้าย ผงซักฟอก
ผมเก็บใส่ตู้เซฟทั้งหมด พักสี่วันวันสุดท้ายตู้เซฟแทบเต็มจากของที่ระลึกพวกนี้ ฮึ่มๆ
Toiletชั้นบน ตามสไตล์มีชั้นวางรูปปั้นหิน ของเก่าต่างๆ มีกระดาษปากกาตราโรงแรมไว้ให้โน้ตไอเดียดีๆที่อาจเกิดขึ้นมาระหว่างช่งเวลาแห่งความสุข
ห้องน้ำตรงนี้สามารถเปิดม่านแล้วเปิดเป็นoutdoorได้ กรณีหน้าหนาวอากาศดีๆ เปิดหน้าต่างชมนกชมไม้น่าจะสดชื่น แต่หน้ามรสุมแบบนี้ขืนเปิดหน้าต่าง ค่ำๆยุงคงแห่กันมารับน้องผมเป็นแน่
ห้องอาบน้ำ แบบoutdoor พื้นเป็นหินอ่อน แล้วก็มีแท่นให้นั่งอาบ
บริเวณนี้มีพื้นที่ที่ยื่นออกไปเป็นระเบียง ไว้ให้สูดอากาศบริสุทธ์ของท้องนาขณะอาบน้ำ ผมชอบบรรยากาศการใช้ห้องอาบน้ำตรงนี้ช่วงเช้าตรู่ อากาศดีมากๆ ได้ยินเสียงไก่ขัน ได้ยินเสียงนกร้อง มองออกไปผ่านเรือนอาบน้ำไปยังทุ่งนา
จากภาพ ห้องอาบน้ำ มีฝักบัวทั้งแบบถือ แบบน้ำฝนที่ติดอยู่บนเพดาน
แล้วก็แบบที่พ่นออกมาจากข้างฝา ที่เป็นจุดดำๆติดตรงกระเบื้องสีเหลือง
ตรงนั้นจะฉีดน้ำมาเข้าหาตัวเรา โดยปรับทิศทางได้
อีกส่วนที่ผมชอบมากๆคือจากุซซี่
โดยเฉพาะเวลาเทbath gelที่มี essential oilกลิ่นlemongrassของสปาโรงแรม
แล้วมันขึ้นมาเป็นฟองๆ ในขณะที่เปิดจากุซซี่ให้น้ำพ่นมานวดหลัง นอนแช่น้ำตีฟองอุ่นๆ กลิ่นหอมๆ เป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายมากๆ
จากุซซี่จะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ
จากคุณ : bas121ฟิลล์นี้คล้ายๆลงกะทะทองแดง แต่เป็นกะทะทองแดงที่ไม่ร้อนเกินไป
และอยู่ในสวรรค์ไม่ใช่นรก ^^
และนี่คือvillaแบบโปรดของผมที่ดาราเทวีครับ
Villa15
เพื่ออรรถรสในการรับชมรีวิว
ผมจะขอเรียนรบกวนให้ท่านผู้อ่านกลับไปดูแผนที่ใน19#
หาทุ่งนาที่เขียนว่า north rice field
พบมั๊ยครับ ด้านขวาของnorth rice field จะพบวิลล่า15 คือวิลล่าที่เราเช็คอิน เข้าพักด้วยกันเมื่อสักครู่ครับ
ทีนี้ จากในแผนที่ ท่านจะพบว่า villa15อยู่บริเวณวงเวียน ซึ่งเด๋วผมจะพาท่านเดินลัดท้องนา โดยเดินไประหว่างวิลล่า11และ88 ท่านจะเห็นเส้นทางเดินลัดท้องนา เพื่อจะข้ามไปหมายเลข24 คือส่วนของสระน้ำ ที่ชื่อ สระสอยคำด้วยกันครับ
ในภาพนี้คือบริเวณวงเวียนของวิลล่าต่างๆในแผนที่ครับ
เดินลัดเลาะข้ามท้องนา ไปชมสระว่ายน้ำด้วยกันครับ
ที่ท่านเห็นในภาพ อาคารด้านขวา คือหอคำน้อย
สมัยก่อนใช้เป็นlobbyเล็ก สำหรับเช็คอินในส่วนของvilla ช่วงหลังรวมไปเช็คอินที่หอคำหลวง lobbyใหญ่ทั้งหมด
ส่วนอาคารด้านซ้ายคือห้องอาหารฝรั่งเศส (Farang-ses)
และด้านซ้ายสุด เป็นสระลอยคำครับ
จากภาพ137# พอท่านเดินข้ามมาอีกฝั่ง ยืนตรงห้องอาหารฝรั่งเศส
แล้วหันกลับไปถ่ายรูปทุ่งนา จะเห็นวิลล่าทั้งหลายเรียงรายอยู่ตามท้องนา
ได้ภาพออกมาประมาณนี้ครับ
สมัยก่อน แขกในส่วนของวิลล่าจะทานอาหารเช้ากัน ตรงระเบียงของหอคำน้อย ตรงกันข้ามภาพ137# ที่เราเดินข้ามมาด้วยกัน
เด๋วนี้อาหารเช้าทั้งแขกแบบโคโลเนียลและวิลล่าไปทานกันที่ห้องอาหาร
Akaligoครับ
ถ้ามองจากแผนที่ใน19# บริเวณที่เสิร์ฟอาหารในภาพ เป็นหมายเลข 24ครับ
หอคำน้อย ห้องอาหารฝรั่งเศส สระว่ายน้ำ ฟิตเนส และสปา อยู่บริเวณเดียวกันทั้งหมด
เด๋วเราเริ่มเดินทัวร์กันจากสระลอยคำครับ
ตามคติความเชื่อโบราณ ถ้าภาพเปิดกระทู้(หอคำหลวง=lobby)
คือเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางของจักรวาล ที่มีมหาสมุทรล้อมรอบ (เปรียบได้กับColonial poolใน 58#)
บริเวณในโรงแรมก็เปรียบได้กับภูมิต่างๆ ที่เป็นที่อยู่ของเทวดา มนุษย์
ที่อยู่ของมนุษย์ในโรงแรม ผมอนุมานว่า น่าจะเปรียบได้กับชมพูทวีป
ตามตำนานในชมพูทวีปจะมีสระน้ำขนาดใหญ่ ชื่อสระอโนดาตอยู่ในป่าหิมพานต์ เป็นที่อยู่ของสัตว์หิมพานต์อย่างพญานาค
แม้ตามตำนานจะเชื่อว่า ธารน้ำทั้งหลาย จะไหลลงสระอโนดาต
แต่สำหรับสระอโนดาตอย่างสระลอยคำ ไม่ได้เป็นที่รวมของธารน้ำทั้งหลายของโรงแรม ไม่งั้นคงไม่สะอาดพอให้เราว่ายกันเป็นแน่
ตามตำนานพื้นสระอโนดาต เป็นแผ่นหินกายสิทธิ์ ชื่อมโนศิลา บริเวณที่เป็นดิน ก็เป็นดินกายสิทธิ์ชื่อหรดาล (ใช้ถูตัวได้ดี) น้ำใสแจ๋วสะอาด ท่าอาบน้ำ มีมากมาย เป็นที่สรงสนานแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย รวมถึงเหล่าผู้วิเศษผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย เช่น ฤๅษี วิทยาธร ยักษ์ นาค เทวดา เรื่องนี้อาจจะเปรียบได้ว่าน้ำในสระลอยคำเป็นสระน้ำเกลือได้มาตราฐานความสะอาดระดับโลก จะมีการตรวจวัดคุณภาพน้ำวันละหลายๆครั้ง
สิ่งที่สระอโนดาตจริงๆอาจไม่มี คือ เสียงเพลงไทยล้านนา ที่ท่านจะได้ยินใต้น้ำ ตอนดำน้ำลงไป
เมื่อท่านฟังตำนานความเชื่อของการสร้างสระลอยคำตรงนี้แล้ว
คงไม่แปลกใจที่จะพบพญานาคพ่นน้ำ บริเวณสระลอยคำ
จากตำนานที่ว่า สระอโนดาตเป็นที่สรงน้ำของฤาษีและผู้วิเศษทั้งหลาย
รอบๆสระลอยคำจึงมีรูปปูนปั้นรูปฤาษีดัดตนท่าต่างๆ
รวมถึงพยายามทำบรรยากาศโดยรอบให้คล้ายๆป่าหิมพานต์ในชมพูทวีป
บริเวณนี้จึงเป็นสระว่ายน้ำที่ร่มรื่นทีเดียว
จากภาพที่142# บริเวณที่เป็นอิฐๆข้างสระ เป็นลักษณะคล้ายๆอุโมงค์ ด้านบนมีเรือนโยคะ
ถ้าท่านเดินเข้าไปในประตูอุโมงค์อิฐนี้ จะพบบรรยากาศดังภาพ
เป็นห้องแต่งตัว ห้องอาบน้ำ ห้องอบซาวน่า
อุโมงค์นี้จำลองมาจากวัดอุโมงค์ ลายภาพเขียนบริเวณผนังของจุดนี้
จิตรกรใช้วิธีเขียนภาพแบบ "Fresco" คือวาดตอนปูนยังเปียกๆอยู่ ถ้าแห้งแล้วจะวาดต่อไม่ได้ ฉะนั้นจิตรกรต้องสร้างสรรค์งานศิลปะแข่งกับเวลา ขณะวาดรูปเหล่านี้
จากอุโมงค์ใน 144#
ท่านจะพบช่องสามช่องด้านขวา ช่องแรกเป็นห้องน้ำชาย
ตรงกลางเป็นทางออกไปสระว่ายน้ำ ส่วนช่องสุดท้ายเป็นห้องน้ำหญิง
ถ้าท่านเดินไปจนสุด มีบันไดขึ้นไปดาดฟ้าอุโมง เป็นเรือนโยคะ ค่ายมวย และสนามหญ้าอาบแดด
เด๋วผมพาทุกท่าน เดินเลี้ยวขวาเข้าช่องแรก
จะพบห้องแต่งตัวชายในภาพ
ที่ชอบมากๆคือแม้แต่ห้องอาบน้ำในสระว่ายน้ำ
โรงแรมก็จัดเต็ม ด้วยการวางผลิตภัณฑ์ราคาแพงของสปาโรงแรม
ทั้งshower cream shampoo conditioner lotion กลิ่นjasmine
อันเลื่องชื่อของโรงแรม
หอมมากๆ ถ้าท่านผ่านเข้าไปแถวสปาโรงแรมแล้วท่านชอบอะไรพวกนี้
แนะนำให้ลองหาโลชั่นกลิ่นมะลิของเทวาสปามาใช้
เมื่อแต่งตัวเตรียมว่ายน้ำ หาที่นั่งได้ พนักงานก็จะมาปูผ้าเช็ดตัวให้เราสองผืน
แล้วก็นำน้ำ น้ำแข็ง ผ้าเย็นกลิ่นมินท์ แล้วก็ครีมกันแดดมาให้
ชอบดีไซด์ของ ฝักบัวตรงนี้
เป็นฝักบัวจริงๆ ไว้ล้างตัวหลังขึ้นจากสระ
ตอนนี้หิวแล้วครับ พาเดินเที่ยวแล้วเด๋วไปทานอาหารกลางวันด้วยกันดีกว่า
จากสระว่ายน้ำ จะเดินไปห้องอาหารAkalogiที่หอคำหลวงหรือล็อบบี้ใหญ่
เดินผ่านหอคำน้อย ด้านขวาในรูป ผ่านเทวาสปา ด้านซ้ายในรูป
จะไม่กล่าวถึงก็คงไม่ได้ครับ สำหรับสปาที่น่าจะสวยที่สุดในโลกอย่างเทวาสปาของโรงแรม
ซึ่งจำลองแบบมาจากพระราชวังมัณฑะเลย์ของพม่า ซึ่งก่อนผมจะเขียนบทความนี้ ตอนผมอ่านบทความเกี่ยวกับพระราชวังมัณฑะเลย์ ความเป็นจริงๆคือพระราชวังมัณฑะเลย์ปัจจุบัน เป็นอันที่สร้างขึ้นใหม่ เนื่องจากของเก่าถูกเผาเรียบระหว่างสงคราม (ไม่ได้บอกว่าสงครามกับใครและใครเผา แต่จริงๆเราน่าจะพอเดากันได้ แหะๆ) องค์ที่สร้างขึ้นใหม่ก็ไม่สวยเหมือนเดิม
เหลือที่เป็นวังมัณฑะเลย์ที่เป็นงานไม้สักทองสลักลายของแท้ดั้งเดิมที่รอดจากการถูกเผาจริงๆ
เป็นส่วนที่พระเจ้าธีปอของพม่า มอบให้กับวัดชเวนันดอว์ ส่วนวังที่ไม่ถูกเผาปัจจุบันจึงเป็นส่วนของวัดชเวนันดอว์ ของพม่านั่นเอง
ซึ่งในความเห็นผม.....เทวาสปาสวยกว่าเยอะครับ ความงามของเทวาสปาบางส่วนดูได้จากภาพในความเห็น1# ซึ่งเป็นภาพถ่ายจากระเบียงของห้องพักแบบpenthouse residence
ซึ่งผมจะพาทุกท่านไปชมอย่างละเอียดในpartถัดๆไป ตอนนี้ไปทานข้าวกันก่อนดีกว่าครับ
ก่อนจะถึงหอคำหลวง ล็อบบี้ใหญ่
ผ่านamphitheater ที่เคยเป็นลานรำฟ้อนของร้านอาหารบ้านสวน(le grand lannaปัจจุบัน)
ปัจจุบันใช้เป็นที่จัดevent อดจะถ่ายภาพมาฝากไม่ได้
พญานาคตรงมุมนี้หน้าตาดุจัง
ช่วงนี้ฝนตกตลอด อิฐที่นี่มอสขึ้นแทบทุกก้อน ค่อนข้างขี่จักรยานยากนิดนึง
มีแขกล้มกันหลายท่านเหมือนกัน
สังเกตราวบันได เป็นมะกรคายนาค เช่นเคยครับ
ตัวจรเข้อ้าปากแล้วนาคโผล่มาจากปากจรเข้อีกทีหนึ่ง
ด้านหลังamiphitheater เดินผ่านคนเดียวช่วงดึกๆ ได้บรรยากาศชวนขนหัวลุกดีเหมือนกัน กลัวเห็นเงาคนมาฟ้อนรำอยู่แถวๆลานนั้นตอนตี3
จากคุณ : bas121แป๊บเดียวก็วนมาถึงด้านหน้า เลี้ยวซ้ายก็พบหอคำหลวงแล้วครับ
ไปทาน Sunday brunch กันดีกว่า
ขอoutlineหอคำหลวงอีกรอบนะครับ
หอคำหลวงหรือล็อบบี้กลางของโรงแรม ใช้เป็นที่เช็คอิน
ด้านขวาเป็น hornbar ด้านหลังเป็นห้องอาหารAkaligo
ส่วนด้านซ้ายของหอคำหลวง
เป็นอาคารแบบพม่า มีแพลนจะทำเป็น ดาราเทวีสูท ห้องเก็บไวน์
และห้องอาหารญี่ปุ่น
ผมว่าถ้าทำห้องอาหารญี่ปุ่น คงต้องอัดกับร้านอาหารญีปุ่นที่เคลมว่าดีที่สุดในเชียงใหม่ อย่างร้านtenkogu ตรงข้ามโรงแรมกันหน่อบ
นี่คือด้านหน้าห้องอาหารAkaligo
ซึ่งเสิร์ฟบุฟเฟต์อาหารเช้า และSunday brunch
เป็นห้องอาหารเมดิเตอเรเนียน
ถ้ามองจากทางด้านหลังขึ้นมา
ห้องอาหารAkaligoคืออาคารที่มีหลังคาไม้สามชั้น
มีทั้งส่วนที่เป็นindoorและส่วนที่เป็นoutdoorยื่นมาริมระเบียงสีขาวๆ
จะเป็นวิวของทะเลสาปภายในColonial wing
เปิดประตูเข้าไป จะพบรูปเทวดารูปแบบต่างๆ
จากคุณ : bas121โต๊ะของผมวันนี้เดินเลี้ยวขวาเข้าไปก็พบทันที
จากคุณ : bas121เพื่อความสดชื่น
เริ่มต้นมื้อด้วยน้ำผลไม้คั้น น้ำแตงโม น้ำสับปะรด และน้ำแอปเปิ้ลเขียว
น้ำผลไม้สดอร่อย มีที่มาจากจุดนี้นี่เอง
ใช้ผลไม้เข้าเครื่องสกัดออกม่าเป็นแก้วๆ
สเตชันนี้เหมือนจะจำลองเป็นร้านผลไม้ตามตลาดทางเหนือ
ไปเดินสำรวจไลน์บุฟเฟต์เลยดีกว่า
ของคาวช่างเค้า ไว้ค่อยว่ากัน อย่างผมต้องไปหาขนมทานก่อน
ละลานตามากๆ ไม่แพ้ลอร์ดจิมเลยซักนิด
วันนี้ดีใจมากๆที่มีพิทาชิโอโดมของโปรดของผมอยู่ในไลน์บุฟเฟต์ด้วย
จากคุณ : bas121ผมคอมเมนต์ว่า อาจจะแพ้ลอร์ดจิมเรื่องไลน์ไม่สวยเท่าไหร่
คือตัวขนมสวยมากๆ ความหลากหลายยอดสุดๆ (โดยเฉพาะถ้าเทียบกับว่าคุณจ่ายหัวละ444++หลังใช้บัตรส่วนลด) รสชาติเทพมาโปรด
แต่ว่าผมว่าขาดในเรื่องของการรักษาความเย็น คือของหวานแบบนี้ต้องทานเย็นๆ ถึงคุณภาพเต็มร้อย บางทีเด๋วผมจะเขียนอีเมล์ไปคอมเมนต์เชฟในเรื่องของการหาวิธีรักษาความเย็นในไลน์ขนม เช่น หล่อเป็นน้ำแข็งแล้ววางขนม หรือทำเป็นไลน์เย็น เอาน้ำแข็งบดยัดไว้ด้านใต้ ไลน์หวานที่นี่จะไร้เทียมทาน
รีวิวนี้จัดเต็มครับ!!
จากคุณ : bas121ผมทานเครมบูเร่บ่อยจนบางทีเริ่มจะเบื่อ
แต่นี่เป็นเครมบูเร่น้ำเต้าหู้ หอมมากๆๆๆ ทีรามิสุที่นี่ก็แทบละลายในปาก
อีกจุดหนึ่งที่ผมได้ส่งเมล์ไปเรียนคอมเมนต์เชฟคือ
ถ้าคุณนึกถึงดาราเทวี คุณนึกถึงอะไร
โอเคฝรั่งอาจนึกถึงควายไถนา บ้านเรือนไทย บลาๆๆ
แต่ถ้าถามคนไทย ถามคนเชียงใหม่
พูดถึงดาราเทวี ผมเชื่อว่า ส่วนมากก็จะนีกถึง มาการอง!!!
แล้วมาการาองของผมอยู่หนายยยยยคร้าบบบบบ
ผมบ่นไปอย่างงั้นแหละ จริงๆแค่ที่มีในไลน์ผมก็เอนจอยสุดๆแล้วล่ะครับ
แต่อันนี้ผมเก็บความเห็นมาจากบางท่านที่ตั้งใจมาทานมาการาองแล้วหาไม่เจอในไลน์
คำถามยอดฮิตเวลารีวิวบุฟเฟต์ครับ
ครูบาส ขนมอะไรอร่อยและพลาดไม่ได้ในไลน์บุฟเฟต์
ผมไม่ได้กวนนะครับ แต่ตอบจากใจจริงว่า
หยิบให้ครบทุกอย่าง อย่างละชิ้น พยายามทานให้ครบ
เพราะอร่อยสมบูรณ์แบบทุกอย่างจริงๆ
เป็นบุฟเฟต์ที่ผมยกให้ของหวานอร่อยที่สุดในดวงใจผม
ในระดับเดียวกับลอร์ดจิม นอมังดี และริทแอนด์คาร์ตัน สิงคโปร์ทีเดียว
จัดมาให้ครบอย่าให้ขาดซักชิ้นครับ
ของคาวว่ากันทีหลัง อ้วนเป็นอ้วนครับ
หลังกลับจากดาราเทวี ที่ซึ่งผมทานบุฟเฟต์วันละสามมื้อ สี่วันรวด
จากที่ผมเคยหุ่นเพรียวบาง ลมพัดปลิว ตอนกลับไปพบแฟนใหม่ๆ
แฟนเรียกผมว่า ไงเจ้าอ้วน ><
ส่วนไลน์ของคาว ที่โดดเด่นสำหรับคนเชียงใหม่ เห็นจะเป็นไลน์อาหารญี่ปุ่น
จากคุณ : bas121ประทับใจความสด หลากหลาย
และการนำเสนอของไลน์อาหารญีปุ่นที่นี่มากๆครับ
จานอาหารญี่ปุ่น ทานอุ่นเครื่อง
ซูชิทูน่า ซูชิแซลมอน ซูชิปลากะพง
แซลมอนซาชิมิ หอยปีกนก และหนวดปลาหมึกยักษ์
อีกไลน์ที่ไม่ควรพลาด
คือseafood on ice
มีกั้ง กุ้ง ปู ปลาหมึก หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ หอยเชลล์
ที่ผมประทับใจและมองว่าmodernมากๆ คือ
แทนที่จะให้ทานกับ แตงกว่า แครอท ผักต่างๆ
เชฟทำผัก ผลไม้ เครื่องปรุงเหล่านั้น เป็นคาเวียร์ ลักษณะเป็นไข่ฟองๆคล้ายไข่ปลาคาเวียร์ ไข่กุ้งพวกนั้น แล้วพอกัดไปจะมีน้ำคั้นของเครื่องปรุงเหล่านั้น
เช่นในภาพ คาเวียร์แครอท คาเวียร์แตงกว่า คาเวียร์บีทรูป
เจ๋งงง
จานseafood ทานกับทาบาสโกซอส
และน้ำจิ้มซีฟูด แอบตักยำส้มโอมาทานแกล้ม
อาหารทะเล สด อร่อยเหาะไปเลย
จากคุณ : bas121ขออนุญาตเบรกพักครึ่งนะครับ เด่วมารีวิวต่อคร้าบบบ
ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามกันถึงตรงนี้ครับ : ))
สวัสดีครับคุณบาส ขอตามมาชมด้วยคนนะครับ ภาพสวยมาก
หลังๆมานี่ไลน์ของหวานของน้อยลงทุกที ไม่ค่อยหลากหลายเหมือนเมื่อก่อนอ่ะครับ อยากให้มีขนมหลากหลายเหมือนเดิมจังเลย แถมตอนนี้เพิ่งได้ข่าวมาว่าทางโรงแรมมีการปรับราคาซันเดย์ บรันช์ใหม่จากเดิม 880++ เป็น 1200++ เดี๋ยวคงต้องไปพิสูจน์ราคาใหม่ว่าจะมีอะไรใหม่ๆเพิ่มมาบ้าง
เรื่องมาการงไม่มีบนไลน์น่าจะเป็นเพราะว่าถูกทรานเฟอร์ไปที่ร้านขนมเค้าหมดแน่ๆเลยครับ ๕๕
บุฟเฟ่ต์ติ่มซำที่ฟูเจี้ยนก็ขึ้นราคาจาก 599 บาท เป็น 818++ ครับครูบาส แต่รายการอาหารเหมือนเดิมทุกอย่าง ราคาใกล้เคียงกับchina house วันธรรมดาแต่ของมีให้เลือกน้อยกว่า T^T
แวะเข้ามาลงชื่อครับ
ถ่ายรูปสวยมากครับ คุณบาส :-)
เข้ามาอ่านตอนกลางคืน เจอไลน์ของหวาน หิวอ่ะ
ติดตามชมอยู่นะคะ ภาพสวย วิวแจ่ม ห้องเริ่ด ขนมสุโก้ยยยยยย!!!!!!!
สงสัยต้องคิดสถานที่ฮันนีมูนใหม่ เปลี่ยนจากทะเลมาภูเขาดีไหมน้า
ขอบคุณสำหรับรีวิวสวยมากๆค่ะ
จากคุณ : สาวหน้าใสตามเที่ยว ตามหม่ำค่ะ
พามาชิมSunday brunchที่ห้องอาหารAkaligoกันต่อครับ
เนื่องจากAkaligoเป็นห้องอาหารเมดิเตอเรเนียน อาหารในไลน์บางส่วนจึงหนักไปในทางอิตาเลียน กรีก เน้นมะเขือเทศ น้ำมันมะกอก เป็นอาหารสุขภาพซะมาก แต่ไลน์นี้ผมขอบาย แฮ่ๆ
นำรูปมาฝากกันครับ ดูละลานตา
โดยทั่วไปเมนูอาหารเรียกน้ำย่อยจะเป็นประมาณนี้ครับ
ผมcopyมาจากเมนูที่ให้เชฟส่งมาให้ เป็นข้อมูลสำหรับเพื่อนสมาชิกที่จะไปทาน
Marinated salmon with fresh herbs and saffron sauce
Roasted duck and BBQ pork
Chicken and duck liver mousse with grissini stick
Roasted purple eggplant salad with balsamic vinegar
Beef carpaccio with white truffle oil and rocket salad
Baby potatoes cup with vodka Chantilly and lump fish caviar
Mixed lettuces with smoked duck, warm giblet confit and garlic croutons
Tomato and mozzarella salad with pesto dressing
Grilled pumpkin salad with feta cheese, quail egg
Selection of mesclun with assorted dressing and condiments
Assorted cold cuts with pickled cucumber
Smoked trout with soya bean salad, radish and roasted sesame seed
Caesar salad make by your own
Cheese platter with home made bread and grissini
Assorted Dim Sum
Sushi and Sashimi
รายการอาหารจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆแต่ละอาทิตย์
Mild smoked Atlantic salmon with trimmings
Roasted duck and drunken chicken
Barotti bean salad with sun dried tomatoes and sweet corn
Sweet rock melon with Parma ham
Tomato and mozzarella salad with pesto
Vegetables parfait in shooter
Carpaccio of beef with Parmesan shaving
Celery, apple, orange with smoked duck
Hors doeuvre mueng
Thai exotic fruits salad with prawns, crispy shallots and coconut
Fish galantine with sour cream and dill sauce
Tuna mille feuille
Selection of mesclun with assorted dressing and condiments
Cheese platter with home made bread and grissini
Assorted cold cuts
Assorted Dim Sum
Caesar salad make by your
ไลน์บุฟเฟต์ที่เชียงใหม่ คงขาดอาหารเจ้าถิ่นไปไม่ได้
ไส้อั่ว หมูยอ แคปหมู น้ำพริก
ไส้อั่วทานกับน้ำพริก อร่อยมากๆๆๆ
แกล้มด้วยseafood คาเวียร์ผักรสต่างๆ ทานกับน้ำจิ้มseafood
ส่วนอาหารจีนก้มีพวก เป็ดย่าง หมูแดง แล้วก็ติ่มซำ
จากคุณ : bas121อาหารสุขภาพ โซบะกับseared Tuna
เส้นโซบะทำจากแป้งบัควีค มีโปรตีนสูงกว่าเต้าหู้
กรดอะมิโนจำเป็นในเส้นโซบะเกือบเท่าๆกับปลา
ช่วงกลับมาจากดาราเทวี ผมไดเอตโดยการทานแต่โซบะกับseafood
น้ำหนักถึงลงมาเท่าเดิม ช่วงอยู่ดาราเทวีหุ่นอย่างกับคนท้อง8เดือนอะครับ
เมนคอร์สวันที่ผมไปทาน ผมทานแกะ เนื้อเซอรอย แล้วก็พวกอาหารไทย ข้าวอบสับปะรด แกงเผ็ดเป็ดย่าง
จากคุณ : bas121Active stationจะอยู่ตรงกลาง
ถ้าท่านอ่านบทความนี้ตั้งแต่แรก เห็นในภาพนี้น่าจะพอเดาได้ว่า stationด้านขวา แหลมๆตรงนั้นคือ เขาพระสุเมรุ จำลองนั้นเอง
ส่วนของActive stationก็จะมีพวกSushi ปลาดิบ กุ้งเทมปุระ pasta เนื้อ แกะ ปลา
เชฟดูน่าตาเครียดๆ สงสัยแขกเยอะจัด
ต้องยอมรับว่า เป็นSunday brunchที่popularที่สุดในเชียงใหม่อย่างแท้จริง
ยึดเอาราคาที่ผมไปทานหัวละ888++ แล้วท่านที่ไปทานส่วนมากไปกันโต๊ะละสองท่าน มีบัตรdine in styleบัตรสมาชิกของโรงแรมนี้ ได้ส่วนลด50%
เหลือหัวละ444++
ตอนสมัครบัตรdine in style เค้าจะมีคูปองเงินสดใบละ200มาให้ห้าใบ
ผมก็ใช้คูปองนี้อีก สรุปตอนไปทานกับคุณแม่ เหลือหัวละไม่ถึง400
ปู ปลา กุ้ง หอยเชลล์ แกะ pasta สารพัดขนม เครปซูเซ็ต
ผมว่าคุ้มมากๆ 400กว่าบาทนี่ ไปทานโอเรียนทอลช็อปกรุงเทพฯ
สั่งได้แค่มาการอง6ชิ้นกับthe topชิ้นนึง ><
Carving station วันนี้เป็น Roasted strip loin with black pepper crust
ส่วนด้านขวาเป็นกุ้งเทมปุระ
Station Pasta ครีเอตได้ตามใจเราว่าอยากทานแบบไหน ซอสอะไร รสยังไง เชฟก็จะปรุงให้
จากคุณ : bas121เนื้อเก้งดิบ ><
มาทั้งขาเลย
ชื่ออย่างเป็นทางการของมื้อนี้ ชื่อ Sunday Jazz
ดังนั้นบรรยากาศจะออกแนวสนุกสนาน มีดนตรีแจ๊สบรรเลง
ไลน์ขนม ไม่ต้องพูดถึง
ในความเห็นผมผมว่า อร่อยทุกอย่าง และหลากหลายพอจะทานได้ครบทุกอย่างอย่างละชิ้นสองชิ้นได้พอดี
ผมยกให้เป็นหนึ่งในไลน์บุฟเฟต์ที่ขนมอร่อยที่สุดในมาตราฐานเดียวกับลอร์ดจิม แต่ผมอาจจะตื่นเต้นกับที่นี่มากกว่าลอร์ดจิม เหตุผลง่ายๆคือ ผมทานขนมลอร์ดจิมมาสี่ปี จนบางครั้งก็เริ่มอยากหาอะไรใหม่ๆทาน มาพบที่นี่ที่คิดว่าใช่เลย
ไลน์ขนมผมคิดว่าขาดไปสองอย่าง คือ การรักษาความเย็น กับขนมไทย
เวลาคนต่างชาติมาทาน ไลน์บุฟเฟต์ในไทย บางทีเค้าอาจจะโหยหาขนมไทยอย่าง ข้าวเหนียวมะม่วง ลูกชุบ ขนมครก ทับทิมกรอบ
station ขนมร้อน
จากคุณ : bas121Crepe suzette และChocolate soufflé
ไม่ควรพลาดทั้งสองอย่าง
ผมแนะนำให้ตักไอศครีมวนิลาโปะลงไปกับทั้งเครปซูเซ็ตและซูเฟล
อร่อยมากๆ
คนเรามีวิธ๊หาความสุขที่แตกต่าง บางท่านชอบแต่งรถ เวลาได้อยู่กับรถสวยๆที่ตัวเองชอบก็มีความสุข บางท่านชอบเครื่องเสียง บางท่านชอบเล่นเกมส์
คนเราเกิดมาชีวิตนึง ผมว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักแล้วก็อยู่กับคนที่เรารัก อย่างผมเองสิ่งที่ผมชอบทำมากๆในชีวิตมีสองอย่าง คือสอนหนังสือกับทานขนม
ช่วงเวลาที่ได้ทานขนมโปรดจึงเป็นมวลความสุขก้อนใหญ่ของผม
เหมือนเป็นสุนทรีย์เล็กๆ ดื่มดำกับความน่ารักของขนมแต่ละชิ้นและรสชาติของมันก่อนจะทานเค้า คล้ายๆชื่นชมความงามของคนที่เรารักก่อนที่จะรับประทานเค้า เอ๊ะ ติดเรตป่าวคับเนี่ย ^^
ปิดท้ายมื้ออาหารอย่างสมบูรณ์แบบ
โดยสรุป Akaligoเป็นSunday brunchที่ไม่เควรพลาด เมื่อท่านมาเยือนเชียงใหม่ ด้วยคุณภาพอาหาร ความหลากหลาย รสชาติ ถึงอาจจะเทียบไม่ได้กับหลายๆโรงแรมในกทม.ที่นำเสนอLobster ปูอลาสกา ฟลัวการ์ในไลน์
แต่ถ้ามองcost performanceเทียบกับราคาที่จ่าย ถือว่าคุ้มเอามากๆ
บางครั้งผมก็งงทางโรงแรม อาหารเช้าที่นี่หัวละ1100 แต่Sunday brunchซึ่งอาหารอลังกว่าอาหารเช้าเยอะแยะ กลับหัวละ888 อย่างที่ผมบอกไป ถ้าท่านมาทานบ่อยๆก็สมัครบัตรdine in styleของโรงแรมไว้ ลด50% เหลือหัวละ444++ เป็นราคาที่ไม่น่าเชื่อเอามากๆ โดยเฉพาะถ้าเทียบกับราคาบุฟเฟต์ในระดับเดียวกันในกรุงเทพฯ
แต่เห็นน้องเด็กน้อยจี๊ดจิ๋วบอกว่า โรงแรมจะขึ้นราคาsunday brunch อันนี้ผมก็ยังพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะเวลาจะดูว่าอะไรแพงหรือถูก ต้องดูที่สิิ่งที่สินค้านั้นนำเสนอ ถ้าขึ้นราคาแล้วของเด็ดๆในไลน์อยู่ครบถ้วน มีเพิ่มอาหารเจ๋งๆพรีเซนต์ล้ำๆมา ก็ยังถือว่าไม่แพง เด๋วไว้เดือนหน้าผมกลับไปทานอีกครั้งแล้วจะมาเล่าสู่กันฟังครับ แต่ถ้าท่านใดไปทานมาแล้วก็อย่าลืมมารีวิวแล้วเรียกผมไปดูด้วยนะคร้าบบบ : )
เดินออกจากAkaligo ข้างๆจะมีบันไดลงไปยังสระน้ำColonial pool
อย่างที่ผมเรียนท่านผู้อ่านไว้ข้างต้นว่าโรงแรมขนาด160ไร่เช่นนี้ มีรายละเอียดเยอะมากๆ เราค่อยๆเที่ยว ค่อยๆชิมไปทีละจุด
ในpartI เราได้เดินชมบริเวณในโรงแรมบางส่วน สนามข่วงโขงขาว หอประชุม ล็อบบี้ แล้วก็พาไปชมVillaที่ผมพัก ไปชมสระว่ายน้ำลอยคำ ก่อนพามาทานSunday brunchกัน
เพื่อไม่ให้รีวิวยาวจนเกินไป ในpart1 ผมขออนุญาตสรุปส่งทุกท่านตรงนี้ครับ : )
หวังว่าทุกท่านคงมีความสุขอิ่มเอิบเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยกันกับรีวิวนี้ครับ
ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านอีกครั้ง ที่ติดตามและให้กำลังใจผมครับ
รอติดตามpart2กันนะครับ จะพาไปตะลุยทานขนมที่Oriental shop
พาไปชมPent house suit ที่เคยใช้ต้อนรับราชวงศ์ แล้วก็ไปดินเนอร์กันที่Le Grand lannaครับ
have a wonderful weekendครับ
สวยมากคะ
ขอบคุณนะคะ
ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆค่ะ
จากคุณ : Hathiถ่ายออกมาสวยงามมากครับ
ความเห็นของผมมั่งนะครับ
ผมไม่ชอบสบู่-แชมพู-โลชั่น ฯลฯ เอาเสียจริงๆเลย
กลิ่นหนะโอเคเราะผมก็ชอบตะไคร้หอมอยู่
คุณภาพมันไม่แตกต่างกับของตามโรงแรมทั่วๆไป
อาบแล้วตัวแห้งมากมาย โลชั่นก็งั๊นๆ
ปล. V 15 ไม่มี outdoor shower หรือครับ
อลังการมากๆ ค่ะครูบาส เหมือนได้ไปเที่ยวเองเลยค่ะ
จากคุณ : ชลันธรต้องบอกว่า ครูบาสเป็นแรงบันดาลใจให้เราไปพักที่นี่
ส่วนตัวยอมรับว่า เลิศ เริ่ด เริ่ด เลยค่ะ
อย่างไรก็ตาม หลายๆอย่าง เราก็ไม่ได้คิดว่าดีเว่อร์ขนาดนั้น
1. เราหลงทางในโรงแรมตลอด (ทั้งๆที่เราว่า sense ทิศทางเราก็ดีพอสมควรนะ)
2. พนักงานไม่ได้จำชื่อเราได้ทุกคน เหมือนที่จำครูบาสได้ เช่น ไปห้องสมุด หรือขอยืมจักรยาน ก็ยังต้องถาม number of villa
อาจจะขึ้นกับหลายๆปัจจัยด้วยมั้งคะ เช่น ครูบาสเป็นแขกที่น่ารัก พนักงานทุกคนเลยหลงรัก ประมาณนี้
แต่แค่นี้ก็ถือว่าโรงแรม ok มากแล้วค่ะ ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปอีก
ได้ไปพักสักคืนคงดีไม่น้อยยยยยย ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ
จากคุณ : ส่วนหนึ่งของประเทศไทยตามลิ้ง มาจาก ห้องก้นครัว พลาดได้ไง หว่า อยู่ห้อง บลู แท้ ๆ ฮิ๊ว ๆ
อลังมาก ๆ ขอบคุณครับ รอชมตอนต่อไป ครับ
ครูบาสคะ หลังๆ ดูรูปอาหารไม่ได้อ่า เสียดายจริง
แต่โรงแรมสวยมาก เข้าไปแล้วนึกว่าตัวเองเป็นเจ้านางมณีริน
208# เรียนคุณclip_pee
อ่า ไม่น่าจะใช่เพราะผมน่ารักนะคร้าบบ ผมออกจะเอาแต่ใจ ฮ่าๆ แต่คิดว่าที่พนักงานทำชื่อผมได้ทั้งโรงแรม ผมเดาว่า น่าจะมาจากการที่ผมเป็นreturn guestน่ะครับ พอกลับไปอีกรอบเค้าจะมีข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับผม แล้วบรีฟกับพนักงานทุกคนในโรงแรมก่อนที่ผมจะเข้าเช็คอินอีกครั้งหนึ่ง
พอกลับไปพักใหม่ พนักงานเลยรู้ใจแล้วก็จำชื่อได้น่ะครับ
อีกส่วนหนึ่ง ผมเดานะครับ ปกติโรงแรมแบบนี้มีฝ่ายเก็บความเห็นต่างๆเกี่ยวกับโรงแรมตามอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว ตอนที่ผมไปทานขนม แล้วเขียนรีวิว แล้วมีรูปผม อาจจะใช้รูปตรงนั้นเป็นส่วนหนึ่งในการบรีฟกันระหว่างพนักงานตอนผมไปพักมั้งครับ
เพราะว่า ผมประหลาดใจมากๆว่าทำไมพนักงานจำชื่อผมได้หมด ผมเลยถามbutlerที่ดูแลผมว่า พี่ครับ พี่จำผมได้ผมไม่แปลกใจเพราะผมมาสามครั้งแล้ว แต่เดินไปไหนแล้วท่านที่ไม่รู้จักผมทักชื่อผมได้นี่หมายความว่ายังไงหรอครับ
พนักงานเล่าให้ผมว่า เพราะว่า ทางโรงแรมจะมีการหาข้อมูลเกี่ยวกับแขกคนนั้นๆก่อนมาเข้าพัก รวมทั้งรูปถ่าย (ซึ่งในเคสผมคงหาไม่ยาก ><) ผมก็ถามว่าหายังไงครับ เค้าบอกว่า มีการส่งข้อมูลกันระหว่างโรงแรมในเครือแมนดาริน เช่น ผมเองเคยพักที่โอเรียนทอลสิงคโปร์ เป็นแขกประจำห้องอาหารที่โอเรียนทอลกรุงเทพฯ พอมาพักเชียงใหม่ ข้อมูลทั้งหมดของผม ทั้งจากกรุงเทพฯและสิงคโปร์ จะถูกส่งมาที่เชียงใหม่
และก่อนผมเข้ามาพัก ข้อมูลทั้งหมดนี้จะถูกกระจายไปยังสตาฟต่างๆทั่วโรงแรม ทุกๆเช้า พนักงานจะมีการบรีฟว่า วันนี้มีแขกกี่ห้อง แต่ละห้องแขกชื่ออะไรบ้าง ชอบอะไรบ้าง อะไรประมาณนั้น
เป็นเหตุผลที่ ตอนผมเดินในโรงแรม พนักงานที่ผมไม่เคยพบมาก่อนทักผมว่า สวัสดีค่ะครูบาส เป็นยังไงบ้างคะ วันนี้ดูหนังไปกี่เรื่องแล้ว??!!!
เหตุอาจเกิดจากรอบที่แล้วที่ผมไปพัก ผมยืมหนังจากห้องสมุดมาทุกวัน วันละหลายๆเรื่อง เลยถูกบันทึกข้อมูลไว้แบบนั้นอะครับ
^^
ปล. ผมชอบห้องสมุดของที่นี่มากๆเลยครับ
ตามมาดูแบบเงียบ ๆ พร้อมกับรอวันให้ครูบาสพาทัวร์จริงอะไรจริงค่ะ ^^
ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ยอมรับว่าทำเอาอยากมีโอกาสได้พักที่นี่จริง ๆ ด้วย
ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ภาพสวยด้วย ^^
เห็นด้วยว่าการถ่ายรูปสถาปัตยกรรมแบบลักษณะนี้ เวลาถ่ายทอดออกมามันจะขาดความขลัง อารมณ์ที่ได้จากภาพถ่ายจะแตกต่างจากการได้สัมผัสจริง ๆ เอาไปเลยสามกีบสำหรับความตั้งใจในการรีวิวนะครับ
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ
อลังการมาก ๆ ค่ะ ดูรีวิวนี้แล้วอยากไปตามรอยจริง ๆ
รอชมต่อ Part2 นะคะ
ทำเอาผมขนลุกไปหลายภาพเลยครับ หุหุ
ขอบคุณสำหรับรีวิวอภิมหาที่พักนะครับ
รอชมตอนต่อไปครับผม
จากคุณ : จิ้งจอกหลงกรุง#75 Welcome Black ???
จากคุณ : WeZoaXสวยมากๆๆๆๆๆเลยค่ะ ถ้ามีโอกาสอยากจะไปสัมผัสให้ได้ซักครั้ง
จากคุณ : โบอิ้ง (Oshiri)ครูบาสเดินทางบ่อยๆ อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะคะ
ไม่อยากให้ครูเจ็บล้มป่วยไปเหมือนครั้งก่อน
เข้ามาดูรีวิวครูบาสแล้วไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ
ชีวิตนี้ไม่มีโอกาสได้กินแอบดูรีวิวครูบาสก็อิ่มอกอิ่มใจเหมือนได้กินเองแล้วค่ะ
ขอบคุณนะคะ
#217 ผมเพิ่งเห็นนะเนี่ย สะกดผิด จริง ๆ ๆด้วยครับ
เดี๋ยวต้องกลับไปกระซิบบอกเชฟอุเทน (พี่เท่ห์) ซักหน่อยแล้ว
:-P
220# จริงๆผมก็แอบเห็นตั้งแต่แรกเหมือนกันอะครับ แต่มองข้ามไป
เพราะว่า เห็นความเอาใจใส่ความตั้งใจที่เชฟอุตสาห์ทำขนมสวยๆ อร่อยๆมาให้ทานมากกว่าจะแค่เรื่องสะกดผิดอะครับ : )))))
ขอบคุณครูบาสครับสำหรับรีวิวสวยๆ รายละเอียดเยอะดีครับ ตามมาจากก้นครัวครับ
ความเห็นที่ 149 ครูบาสสะกดชื่อห้องอาหารผิดน่ะครับ แหะๆ ความหมายเปลี่ยนเลยทีเดียว ^^
ขอบคุณสำหรับรีวิวที่ละเอียดมากๆค่ะ พร้อมทั้งเกร็ดความรู้อีกมากมาย
เคยไปพักที่ Colonial suite ค่ะ ไม่กล้าพักห้องแบบ villa แหะๆ
พนักงานบริการดีมากค่ะ อาหารอร่อยมากๆ
พี่บาสสุดยอดอีกแล้วววว
จากคุณ : nann*kyuขอบคุณมากๆๆเลยค่ะ เหมือนได้ไปเที่ยวด้วยเลยค่ะ
จากคุณ : วันรักมะลิหอมเจอรีวิวคุณบาส ยิ่งทำให้อยากไปพักมากขึ้นอิก จนต้องรีบหาวันไปพัก ซะแล้ว
จากคุณ : Teppz..แบกใจสะพายเป้มีคุณค่ามากค่ะ รีวิวที่ดีที่สุด
จากคุณ : ไฮเดรนเยียรออ่าน ภาค 2
ละเอียด ใส่ใจ ดีมาก
รออ่าน Part2 อยู่นะคร้าบบบ
จากคุณ : aquanoxxขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ^^
จากคุณ : สามแซ่ตอนแรกเข้ามาอ่านรีวิวเพราะตามหาชาลานนาทีที่มีคนบอกว่าขายอยู่ที่กาดดารา เหลือบไปเห็นโลโก้พี่บาสที่มุมรูป เลื่อนลงมาอีกหน่อยใช่เลย :)) สุดท้ายเลยอ่านจนจบ รีวิวละเอียดมากเลยค่ะ ได้ความรู้มากๆ รูปก็สวยชัดทุกรูปเหมือนกัน ไว้หนูหาเงินได้เยอะๆแล้วไม่พลาดแน่นอนค่ะ อยากพาคุณพ่อคุณแม่มาพักบ้าง :)))
จากคุณ : แอน [3 พ.ย. 54 03:46:11 ]A:58.10.84.18 X: TicketID:336583ขำตอนเล่าเรื่องรูปปั้นพม่ายืนชี้หน้าอ่ะค่ะ อุอุ
จากที่เคยมองโรงแรมนี้ว่าไม่แนวเรา สงสัยคงต้องหาโอกาสไปลองฟังเสียงเพลงล้านนาใต้สระน้ำซักสองคืนพอให้ได้ฟีลซะหน่อยแล้ว
ขอบคุณสำหรับกะทู้ดีๆนะค๊ะ เคยเจอคุณบาสครั้งนึงแต่ไม่กล้าทัก ที่ คิโนะ พารากอน ตรงมุมหนังสือ bio ^^
ปล. ปกติอยู่ห้องบีพีนะแต่ไม่เห็นกะทู้นี้ มาเสิร์ชเจอเพราะอาทิตย์หน้าจะเชียงใหม่เลยว่าจะแวะไปกินมาการองซะหน่อย เลยได้อ่านรีวิวยาวเลย