สวัสดีครับย่างเข้ากลางเดือนตุลาคมแล้ว สภาพอากาศที่ญี่ปุ่นตอนนี้กำลังเย็นสบายและดูจะหนาวเย็นเร็วกว่าปีก่อนๆด้วยซ้ำ บันทึกฉบับนี้ผมเขียนขึ้นจากการเดือนทางเมื่อวันที่ 22-24 ตุลาคมปีที่ผ่านมา ก็เกือบๆ 1 ปีมาแล้วที่เราสองคนได้ไปพักผ่อนที่ Nyuto Onsen กัน รายละเอียดบางอย่างอาจจะหลงลืมไปบ้างก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ไปชมกันเลยดีกว่าครับ

เช้าวันที่ 21 ตุลาคม 2553 หลังจากเดินทางจากกรุงเทพมาถึง Narita ผมก็เดินทางแบบสบายๆไป Utsunomiya เพราะวันนี้คุณภรรยายังนั่งทำงานอยู่ที่ Office กว่าจะได้เจอกันก็ตอนเย็นๆ รถไฟมาถึง Utsunomiya ก็เกือบๆเที่ยงแล้วผมจัดการเก็บสัมภาระแล้วพักผ่อนอยู่ที่ Apartment ไม่ได้ออกไปไหนเพื่อเตรียมพร้อมไว้สำหรับการเดินทางสู่ Nyuto Onsen ในวันรุ่งขึ้น

วันศกร์ที่ 22 ตุลาคมอากาศแจ่มใสหรือที่เรียกกันว่า Akibare เป็นใจให้ทริปนี้อีกแล้ว เราทั้งสองออกจาก Apartment ตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อไปรอขึ้น Shinkansen เที่ยวแรก

เราขึ้น Tohoku Shinkansen ไปลงที่ Sendai เพื่อเปลี่ยนรถไปขึ้น Akita Shinkansen หรือ Komachi  ซึ่งเป็นหนึ่งในสองขบวนที่เรียกว่า Mini Shinkansen เนื่องจากสามารถวิ่งบนรางรถไฟแบบปกติในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่ได้วางรางของ Shinkansen ได้ด้วย (อีกสายหนึ่งคือ Yamagata Shinkansen)

Akita Shinkansen จะวิ่งไปตามเส้นทาง Tohoku Shinkansen Main Line จนกระทั่งถึงสถานี Morioka ก่อนจะแยกทางเพื่อวิ่งไปยัง Akita ครับ

ใช้เวลาเดินทางจาก Utsunomiya รวม 3 ชั่วโมงพอดีเราก็มาถึงสถานี Tazawako ต้นทางของการท่องเที่ยวในทริปนี้แล้ว ซึ่งนอกจาก Akita Shinkansen แล้วยังมีรถไฟสาย Tazawako-sen วิ่งมายังสถานีนี้ด้วยครับ แต่มีจำนวนรอบต่อวัันน้อยมากๆทำให้เราต้องล้มเลิกความคิดที่จะประหยัดค่าเดินทางไป

มังกรที่เห็นในภาพมีส่วนเกี่ยวข้องกับทะเลาบ Tazawa-ko ด้วยซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไปครับ

สถานี Tazawa-ko ตั้งอยู่ที่เมือง Semboku จังหวัด Akita อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอย่างทะเลสาบ Tazawa-ko หรือหุบเขา Nyuto ตัวสถานีจึงค่อนข้างจะใหญ่พอสมควรเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก

เราเดินออกมาด้านนอกพบว่าวันนี้ที่ Tohoku อากาศแจ่มใสมากๆ แต่ตัวเมืองยังเงียบๆเป็นเพราะยังเช้าอยู่ไม่ถึง 10 โมงดี ร้านค้าที่ญี่ปุ่นอะไรๆก็ดีเสียแต่เปิดช้าและปิดเร็วไปหน่อย

จากสถานี Tazawa-ko ไปยัง Nyuto Onsen เราใช้บริการรถโดยสารของ Ugokotsu ค่าโดยสารเท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว ขึ้นรถไปกันเลยดีกว่าครับ

เส้นทางเดินรถจะต้องผ่านไปยังทะเลสาบ Tazawa-ko ด้วย ตอนนี้เรานั่งรถขมวิวไปก่อนพรุ่งนี้ถึงจะลงมาเที่ยวที่นี่กัน

จากทะเลสาบ Tazawa-ko รถบัสพาเราวิ่งไต่ระดับขึ้นเขาไปเรื่อยๆ โดยป่าไม้สองข้างก็กำลังเปลี่ยนสีกันเต็มที่ สำหรับที่นี่ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเป็นหลักนะครับ ถ้าใครชอบสีแดงๆอาจจะผิดหวังนิดหน่อย เมื่อรถมาถึง  アルパこまくさ (Arupa-Komakusa) ก็จะเห็นทิวทัศน์ของ Tazawa-ko จากมุมสูง สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาก็มักจะแวะชมวิวกันที่นี่ รวมทั้งคนที่จอง Shuttle Bus ของ Onsen ทั้งหลายที่ Nyuto Onsen ไว้ รถก็จะมารับที่จุดนี้เช่นกัน แต่พวกเราขอผ่านไปเนื่องจากอยากไปถึงที่พักให้เร็วที่สุดครับ

รถบัสพาเรามาถึงปลายทางที่ป้าย Nyuto Osen เวลา 11:00 พอดี จากตรงนี้เราจะต้องเดินไปยัง Kuroyu Onsen ที่พักในคืนนี้กัน

สำหรับตารางเวลาเดินรถระหว่าง Tazawa-ko eki กับ Nyuto Onsen ดูได้จากลิงค์ด้านล่างครับ

http://www.ugokotsu.co.jp/ug/rosen/jikoku/da06.pdf

เส้นทางเดินในช่วงแรกจะเป็นป่าที่มีต้นไม้สูงใหญ่ซึ่งกำลังขับสีสันของฤดูใบไม้ร่วงกันอย่างเต็มที่

หลังจากเดินเป็นระยะทางสั้นๆผ่านป่าออกมาจะเป็นถนนโรยกรวดเลาะริมเขาไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ

ทางเดินเลียบธารน้ำ อากาศสดชื่นเป็นที่สุด สำหรับเพื่อนๆที่จะมาควรเตรียมแผนที่มาให้เรียบร้อยนะครับ เพราะเส้นทางเดินมีหลายแยกหลายเลี้ยวไม่ชัดเจนเท่าไหร่ พวกเราอาศัยถามทางไปเรื่อยๆประกอบกับดูป้ายชี้ทางเอาเป็นหลัก

เรามาถึง Magoroku Onsen ซึ่งเป็นบ่อน้ำแร่และที่พักแห่งแรกบนเส้นทางนี้  ก่อนจะเดินทางต่อไปก็ขอชมวิวบนสะพานข้ามลำน้ำซะหน่อย

ใกล้ถึงที่พักแล้วครับ อากาศก็หนาวเย็นลงเรื่อยๆเป็นเพราะเราค่อยๆเดินขึ้นเขามานั่นเอง

หลังจากเดินกันพอเหนื่อยก็มาถึง Kuroyu Onsen ที่พักของเรา ซึ่ง Kuroyu เป็น Osen ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับสองในเขต Nyuto Onsen รองลงมาจาก Tsurunoyu ที่เราไม่เลือก Tsurunoyu เป็นเพราะ Kuroyu อยู่ใกล้ยอดเขา Nyuto มากกว่าครับ เราวางแผนกันไว้ว่าถ้ามีเวลาจะปีนขึ้นยอดเขา Mt. Nyuto กัน

ห้องพักของเราเป็นห้องมุมทำให้สามารถชมวิวจากภายในห้องพักได้ด้วยครับ โชคดีหรือเค้าอ่านที่ผม Request ไว้ตอนจองก็ไม่รู้ อิอิ

ที่ Kuroyu นี่มีชื่อเสียงในหมู่นักเดินทางชาวไทยพอสมควร ช่วงที่ผมไปพักก็เจอกับครอบครัวคนไทยด้วย

ก่อนจะไปทำกิจกรรมอย่างอื่นก็ต้องเติมพลังกันก่อนครับเพราะได้เวลาอาหารกลางวันพอดี เมนูวันนั้นเป็นอะไรบ้างจำไม่ได้ ของน้องก้อยน่าจะเป็น Soba ส่วนของผมดูจากรูปแล้วคงเป็นข้าวหน้าเนื้อวัวเจ้าเก่า 300 ปี (Gyudon) เพราะตอนนั้นยังกินเนื้ออยู่ มื้อนี้พวกเราฝากท้องกันที่ร้านอาหารภายในที่พักครับ

ทานเสร็จก็ได้เวลาเข้า Onsen กันแล้ว  ระหว่างเดินไปบ่อน้ำก็แวะชมธรรมชาติเล็กๆน้อยๆภายในที่พักไปด้วย

เราประเดิมกันด้วย Rotenburo (บ่อกลางแจ้ง) ของที่นี่กันก่อนเลย โดย Rotenburo ของที่นี่จะมีทั้งบ่อรวมและบ่อแยกชายหญิงนะครับ จากภายในบ่อมองออกไปจะเห็นภูเขาที่มีป่าเปลี่ยนสีอยู่ใกล้ๆ แช่ Onsen ไปชมธรรมชาติไปมีความสุขจริงๆ ความรู้สึกนี้ต้องมาลองเองครับ

บริเวณเรือนพักที่แยกออกมาจากเรือนหลัก

แช่น้ำกันสบายตัวแล้ว กิจกรรมต่อไปก็คืออกไปเดินสำรวจธรรมชาติรอบๆที่พักกัน แต่เนื่องจากเราใช้เวลาในการทานอาหารและแช่ Onsen นานไปหน่อยทำให้มีเวลาไม่พอที่จะขึ้นไปพิชิตยอดเขา Nyuto ซะแล้ว จึงต้องเปลี่ยนแผนเป็นการเดินลงไปเที่ยวหุบเขาด้านล่างแทน

ออกเดินจาก Kuroyu จะเห็นควันของบ่อน้ำร้อนลอยคละคลุ้งไปทั่ว

ที่นี่นอกจากใบไม้เปลี่ยนสีแล้วยังมีดอกหญ้าที่เราสองคนชอบมากๆเต็มไปหมด เหมือนเวลานั่งรถไปเที่ยวทางเหนือตอนหน้าหนาว ทำให้เราทั้งคู่ประทับใจกับบรรยากาศที่ Nyuto Onsen มากๆเลยครับ

ก่อนจะลงไปเดินเที่ยวที่หุบเขาด้านล่างก็ขอแวะไปสำรวจเส้นทางขึ้น Mt.Nyuto ซะหน่อย

ผบ.หมู่ของเราเดินนำเข้าป่าไปแล้วครับ ตรงนี้เป็นป่าจริงๆมีเพียงเส้นทางเดิน Trekking เล็กๆที่มองเห็นบ้างไม่เห็นบ้างให้สังเกตเท่านั้น คุณลุงที่เดินสวนลงมาจากยอดเขาเตือนให้ระวังหมีด้วย

เราเดินมาสุดทางกันที่ริมลำธารแห่งนี้ครับ เนื่องจากเดือนตุลาคมฟ้าจะมืดเร็วมากแค่ 5 โมงเย็นก็มืดแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันเดินลงไปดูที่หุบเขาด้านล่าง

ทางเดินลงหุบเขาด้านล่างช่วงแรกๆก็เป็นทางเดียวกับที่เราเดินจากป้ายรถเมล์มายัง Kuroyu นี่แหละครับ ผ่านป่าเปลี่ยนสีลงไปเรื่อยๆ

ข้ามสะพานมายัง Magoroku Onsen อีกครั้ง

ผ่านถนนโรยกรวดที่คราวนี้เดินสบายกว่ามากเป็นเพราะเรากำลังเดินลงนั่นเอง

ในที่สุดก็ลงมาถึงหุบเขาแล้วครับ ที่นี่พวกเราก็นั่งเล่นนอนเล่น เดินชมใบไม้เปลี่ยนสีสองข้างทางรับอากาศบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ

ถ้าใครมีเวลาเยอะๆจะเอาอาหารกลางวันมานั่งทานกันริมลำน้ำแบบนี้ก็ไม่เลวนะ

เสน่ห์ของ Onsen สำหรับผมก็คือการได้ชมธรรมชาติในบริเวณรอบๆไปด้วย เพราะ Onsen ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่กลางป่าเขาเพื่อความบริสุทธิ์ของน้ำ ทำให้ผู้ที่เข้ามาพักได้ชื่นชมกับบรรยากาศสวยๆไปในตัว

น้องก้อยกำลังเพลิดเพลินกับธรรมชาติของชนบทญี่ปุ่น ตั้งแต่เค้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เดือนสิงหาคมก็เพิ่งจะมีครั้งนี้แหละครับที่เราได้มาเที่ยวชมธรรมชาติของท้องที่ห่างไกลในประเทศนี้

จากถนนใหญ่จะมีทางเดินปูด้วยไม้ให้เดินเลาะริมลำห้วยไปได้ด้วยครับ

เดินเที่ยวกันพอสมควรแล้วพวกเราก็มาแช่เท้าคลายเมื่อยกันที่ Ashi-onsen ของที่พักแถวๆนั้นครับ น้ำกำลังอุ่นสบายแก้ปวดแก้ล้าจากการเดินทางได้ดีจริงๆ

ฟ้าเริมจะมืดแล้ว ได้เวลาที่เราสองคนจะต้องกลับไปยัง Kuroyu เพื่อทานอาหารเย็นและแช่ออนเซ็นกันอีกครั้ง

ภาพจากบริเวณหน้า Okama Onsen จุดเริ่มต้นของการเดินทางกลับครับ

ทันทีที่กลับมาถึง Kuroyu เราก็ลงออนเซ็นกันอีกครั้ง ก่อนจะออกมาทานอาหารที่ทาง Kuroyu เตรียมไว้ ซึ่งรสชาติก็สดอร่อยเพราะส่วนใหญ่จะใช้ผลิตภัณฑ์ตามธรรมชาติจากพื้นที่นั้นมาปรุงอาหาร

ตื่นเช้ามาเราก็ไปทานอาหารเช้ากันที่ห้องอาหาร ก่อนจะไปแช่ออนเซ็นสั่งลากัน คราวนี้ผมได้เพื่อนร่วมบ่อเป็นคุณลุงที่ตระเวนนเที่ยวออนเซ็นแถบ Tohoku อยู่ แกถามผมว่าจะไปไหน ผมบอกว่าคืนนี้จะไปพักที่ Shinjo แกเลยบอกว่าอย่าลืมทาน Soba นะเพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เส้น Soba จะทำขึ้นใหม่ๆซึ่งจะอร่อยกว่าเวลาอื่นๆของปี

แช่น้ำไปก็ชมธรรมชาติรอบๆบ่อไปด้วยครับ อากาศวันนี้ดีกว่าเมื่อวานเสียอีก

เสร็จแล้วพวกเราก็ออกมาเดินชมรอบๆ Kuroyu กันอีกครั้งก่อนกลับ

บริเวณบ่อน้ำแร่หลักซึ่งเป็นหัวใจของ Kuroyu Onsen แห่งนี้ ด้วยคุณภาพน้ำทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศแวะเวียนกันมาแช่ออนเซ็นที่นี่กัน

เราอำลา Kuroyu พร้อมกับสัญญากันไว้ว่าถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีกครั้งในช่วงฤดูหนาว หลังจากนั้นพวกเราก็ตัดสินใจไม่ย้อนไปขึ้นรถที่ป้าย Nyuto Onsen แต่ใช้เส้นทางถนนด้านหน้าเดินตัดลงไปรอรถเมล์ที่ป้ายด้านล่างแทน เพื่อเป็นการเดินชมวิวไปในตัวด้วย

ระหว่างเดินลงมาก็มีรถสวนขึ้นไปเป็นระยะเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์คงมีนักท่องเที่ยวมาพักผ่อนที่นี่พอสมควรเลยทีเดียว

เนื่องจากเป็นทางลงและมีร่มไม้ตลอด อากาศก็เย็ยสบายเราจึงไม่รู้สึกเหนื่อยเลย

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงยังป้ายรถเมล์ด้านล่างครับ

เราขึ้นรถเมล์มายังจุดหมายต่อไปนั่นก็คือทะเลสาบ Tazawa-ko ครับ ที่นี่ฟ้าสวยน้ำใสมาก อากาศก็ดีอีกแล้ว ที่สำคัญนักเที่ยวน้อยด้วย ขนาดเป้หลังใบใหญ่ของเรายังหา Coin Locker ฝากได้ไม่ยาก (จริงๆแล้วไม่มีใครฝากเลยแท้แต่ตู้เดียว)

น้ำใสแค่ไหนก็ลองดูสิครับ ขนาดที่ท่าเรือยังมองเห็นฝูงปลาแหวกว่ายกันได้ชัดเจนเลยทีเดียว

กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดก็คือการนั่งรถและล่องเรือชมทะเลสาบ เนื่องจากเวลาของเราไม่พอดีกับรอบรถ เลยนั่งเรือกันดีกว่าไปขึ้นเรือกันเลยครับ

ติดรถไปเที่ยวญี่ปุ่นตอนใบไม้เปลี่ยนสีด้วยครับ

คุณ Koon Shy__Tour Dee : เชิญโดดขึ้นรถตามมาเลยครับ ชมรีวิวย้อนหลัง 1 ปีด้วยกัน

------------------------------------------------

Welcome onboard!!!

ภายในเรือติดตั้งที่นั่งอย่างดีแต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยนั่งข้างในกันหรอกครับ เพราะไปดูวิวที่ท้ายเรือสนุกกว่า จะเข้าไปข้างในบ้างก็เพื่อหลบลมหนาวเท่านั้นเอง ส่วนค่าโดยสารตกคนละ 1,200 เยนครับ

ทะเลสาบ Tazawa-ko เป็นทะเลสาบที่มีความลึกมากที่สุดในญี่ปุ่น (423.4 เมตรที่ระดับความลึกสูงสุด) ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้ไม่เคยจับตัวเป็นน้ำแข็ง อีกทั้งรูปร่างของทะเลสาบยังเกือบจะเป็นวงกลมด้วย

น้ำในทะเลสาบวันนี้สีฟ้ามากๆ ฟ้าจนแสบตาเลยครับ จากข้อมูลที่มีบอกไว้ว่าน้ำในทะเลสาบที่มองเห็นจะเปลี่ยนสีได้จากสีเขียวหยกไปจนถึงฟ้าใส สาเหตุเพราะความลึก สภาพอากาศ ฤดูกาล และมุมที่แสงอาทิตย์สามารถส่องทะลุผ่านผิวน้ำ

น้ำสีฟ้าของทะเลสาบ Tazawa-ko กับศาลเจ้า Gozaishi-jinja

Viewpoint ที่มีชื่อเสียงของทะเลสาบ Tazawa-ko นั่นก็คือรูปปั้น Tatsuko แต่พวกเราถ่ายภาพนี้จากบนเรือทางด้านหลังของรูปปั้นแทน

ตามตำนาน Tatsuko เป็นหญิงสาวสวยจากเมือง Innai ที่อยากมีความสวยเป็นนิรันดร์ เธอได้ตระเวนขอพรตามศาลเจ้าต่างๆ กระทั่งในคืนที่ 100 ของการขอพร เทพเจ้าก็ได้ส่งสารมายังเธอว่าให้เดินทางขึ้นเหนือไปค้นหาบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้วดื่มน้ำจากที่นั่นแล้วเธอจะสมหวัง Tatsuko ดั้นด้นผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่าจนมาถึงริมทะเลสาบ Tazawa-ko เธอได้พบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์และดื่มน้ำนั้นตามสารจากองค์เทพ แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นดังที่เธอหวัง เธอกลายร่างเป็นมังกรยักษ์ที่มีชีวิตอมตะและต้องคอยปกป้องคุ้มครองทะเลสาบ Tazawa-ko มาจนทุกวันนี้

แวะพักเหนื่อยกันที่ Tazawa-ko Rest House ซื้อของดังของดีเมือง Akita คือ Miso-tanpo มาลองกินกัน รสชาติ อืม เอาเป็นว่าไม่ซื้อเป็นไม้ที่สองก็แล้วกัน อิอิ

หนีมาทานปลาย่างแบบญี่ปุ่นดีกว่า yummy!!
เหมือนผมจะถามคนขายมาด้วยครับแต่จำไม่ได้จริงๆว่าเป็นปลาอะไร

ก่อนจะกลับคุณภรรยาขอถ่ายรูปเก็บความประทับใจกับทะเลสาบ Tazawa-ko  ที่หาด Shirahama ไว้เป็นที่ระลึกซักภาพ

เราอำลาทะเลสาบแสนสวยเพื่อมารอขึ้นรถไฟที่สถานี Tazawa-ko ครับ ถ้ามีโอกาสเราจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในหน้าหนาวตามสัญญาครับ บ๊าย บาย Tazawa-ko บ๊าย บาย Nyuto-onsen

พวกเรานั่งรถไฟ Akita Shinkansen ไปลงที่ Omagari เพื่อต่อรถไฟสาย Ou –sen ไปยัง Shinjo ปลายทางของเราในวันนี้

รถไฟสาย Ou เป็นรถไฟชนบทที่มีเพียง 2 ตู้ การชำระค่าโดยสารก็ทำได้โดยการจ่ายโดยตรงกับพนักงานเลย (ที่ญี่ปุ่นเรียกรถทีมีการจัดการในลักษณะนี้ว่า One-man car)

สองข้างทางก็เป็นท้องทุ่งและพื้นที่เกษตรกรรมต่างๆ ใครที่รักธรรมชาติถ้าได้มานั่งรถไฟสายชนบทแบบนี้คงต้องรู้สึกดีเหมือนพวกเราแน่นอน

พอพ้นเขตภูเขาก็จะกลายเป็นท้องนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

รถที่เราโดยสารมาสุดทางที่ Innai เมืองเล็กๆแสนสงบที่เป็นจุดต่อรถไฟอีกขบวนหนึ่ง ใครที่จำตำนานของ Tatsuko ได้ก็จะรู้ว่าเธอมาจากเมืองนี้นั่นเอง

ที่สถานี Innai  เงียบสงบ เราเองก็เป็นผู้โดยสารไม่กี่คนที่เดินทางมาจนสุดสาย ที่นี่เรามีเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงที่ต้องรอรถไฟขบวนที่จะเข้า Shinjo เราจึงเดินเล่นและถ่ายรูปกันอยู่แถวๆสถานี โดยตัวสถานี Innai เป็นอาคารเก่าแก่ บ่งบอกให้รู้ว่าที่นี่เคยเป็นชุมทางที่มีความสำคัญในอดีต

น้องก้อยกำลังเพลิดเพลินกับแปลงดอกไม้หน้าสถานี Innai

กว่าจะได้เวลาเดินทางออกจาก Innai ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วครับ

ในที่สุดรถไฟสาย Ou ก็พาเรามาถึงสถานี Shinjo ในเขตจังหวัด Yamagata ในเวลาค่ำ Shinjo เป็นสถานีใหญ่เนื่องจากเป็นต้นทางของ Yamagata Shinkansen และมีเส้นทางเชื่อมไปยัง Furukawa ในจังหวัด Miyagi ด้วย

หลังจากเอาสัมภาระไปเก็บที่โรงแรมเราก็ออกมาหาอาหารเย็นทานกัน โดยคุณภรรยาบ่นเบื่ออาหารญี่ปุ่นแทบจะแย่แล้ว คืนนี้เราเลยเปลี่ยนบรรยากาศมาทานอาหารอิตาเลียนที่ร้าน Napoli กันบ้าง

เมื่อสั่งอาหารจานหลักแล้วก็มีบริการสลัดบาร์ฟรีครับ งานนี้เข้าทาง อิอิ

อาหารจานหลักของพวกเราครับน่าจะเป็นสปาเก็ตตี้คาโบนาร่ากับสปาเก็ตตี้ซีฟู้ดซอสมะเขือเทศจำไม่ค่อยได้เหมือนกัน

ทานอาหารอิตาเลียนจะขาด Pizza ไปได้อย่างไรครับ

ตบท้ายด้วยของหวาน อิ่ม อร่อย อืด อ้วน

เช้าวันสุดท้ายของการเดินทางเราก็รีบตื่นแต่เช้า (อีกแล้ว) มาขึ้นรถไฟที่สถานี Shinjo

เช่นเคยครับรถไฟสาย Rikuu-tou sen เที่ยวแรกคือพาหนะของเรา เพราะในวันนี้เราจะเดินทางไปที่ Naruko-onsen เพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ Naruko-kyo กัน

รถไฟเที่ยวแรกก็โล่งแบบนี้ครับ และขบวนนี้ก็ยังเป็น One-man car เช่นเดิม

เราไปยืนดูการขับรถไฟและทิวทัศน์จากทางด้านหน้า

เมื่อใกล้ถึง Naruko-onsen เมฆหมอกก็ลอยปกคลุมไปทั่ว อากาศวันนี้ไม่ดีเหมือนเมื่อสองวันที่ผ่านมาเลย

ในที่สุดพวกเราก็มาถึงสถานี Naruko-onsen แล้วครับ

บริเวณณที่พักรอรถไฟภายในสถานี มีเพียงเป้หลังของเราสองคนเท่านั้น

เราจัดการฝากเป้หลังไปใน Coin Locker แล้วออกเดินทางสู่ Naruko-kyo ระหว่างทางเราแวะชมโรงงานทำตุ๊กตา Kokeshi ที่มีชื่อเสียงในแถบนี้ด้วย

ความผิดพลาดของเราในทริปนี้คือที่ Naruko-kyo ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสีเท่าที่ควรเพราะอากาศในปีที่แล้วไม่ค่อยหนาวเย็นตามเวลาปกติ ใบไม้ส่วนใหญ่จึงยังเป็นสีเขียวอยู่

เมื่อเดินลึกเข้าไปใบไม้ก็เริ่มเปลี่ยนสีมากขึ้นนิดหน่อย

บริเวณนี้น่าจะมีสีสันมากที่สุดแล้ว

เราตัดสินใจกลับเพราะไม่ได้เห็นสีสันอย่างที่คาดหวังไว้ ตกลงกันเอาไว้ว่าจะมาแก้ตัวใหม่ที่นี่

พวกเรากลับมานั่งพักบริเวณสถานี Naruko-onsen ก่อนจะจับรถไฟสาย Rikuu-tou ต่อไปยัง Sendai

ที่ Sendai เรามีเวลาเดินช็อปปิ้งเล็กน้อยเพราะเสียเวลาไปกับการหา Locker ฝากของภายในสถานีซึ่งแทบจะไม่มีว่างเลย สุดท้ายผมต้องเดินไปฝากไว้ในตู้ที่สถานีรถไฟใต้ดินแทน

ช็อปปิ้งเสร็จเราก็มาทานอาหารกันก่อนกลับ เนื่องจากคุณภรรยาไม่ทานเนื้อ Gyutan หรือลิ้นวัวจึงถูกตัดออกไป Kamaboko หรือลูกชิ้นก็เคยกินแล้วเธอไม่ชอบ สุดท้ายก็ได้ของดีจากเมือง Matsushima คือหอยนางรมชุบแป้งทอด(Kaki-furai) มากินกัน

ทานเสร็จก็ได้เวลาอำลา Tohoku เพื่อกลับบ้านแล้วครับ คราวนี้กลับไม่ดึกมากซึ่งก็ดีเพราะน้องก้อยจะได้มีเวลาพักผ่อนก่อนไปทำงานในวันรุ่งขึ้น ภาพนี้เป็นคิวรถ Taxi ใต้ทางเดินหน้าสถานี Sendai

เวลาประมาณ 18:30 น.เราสองคนก็กลับมาถึง Suzumenomiya โดยสวัสดิภาพ

เป็นยังไงบ้างครับสำหรับทริปเล็กๆครั้งนี้ ไม่มีเมืองใหญ่ๆ ไม่มีแหล่งบันเทิงใดๆ มีแต่ความสวยงามของธรรมชาติ สำหรับพวกเราแล้วประทับใจกับทริปนี้มากเนื่องจากเป็นการเดินทางที่ทำให้คุณภรรยาตกหลุมรักความสวยงามของชนบทญี่ปุ่นและความรื่นรมย์ในการแช่ Onsen ทำให้เกิดทริป Nagano และ Yamagata ตามมาอย่างที่เคยลงไปให้ชมกันแล้ว

สำหรับบันทึกการเดินทางของพวกเราในญี่ปุ่นก็เหลือน้อยลงเรื่อยๆแล้วครับ คาดว่าคงจะทยอยลงจนหมดได้ในอีกไม่นานนี้ คอยติดตามชมกันนะครับ สวัสดีครับ

มาติดตามชมใบไม้เปลี่ยนสีด้วยคนครับ ถึงจะผ่านไป 1 ปีแล้วแต่ความสวยยังน่าประทับใจอยู่เลยครับ

อิอิ
ตามมาแอบดูทู้พี่ยอหวานวี๊ดวิ่ว ....

ปีหน้าผมจะไปนี่กำลังต้องทำการบ้านว่าทีไหนที่มีออนเซ็นแบบส่วนตัว
ในโซนคันไซบ้าง คิดว่าหลายๆ คู่คงอาจจะชอบก็เป็นได้
ลองนึกสภาพว่า เข้าบ่อออนเซ็นใหญ่ แต่ต้องแยกกันอยู่ (เพราะบ่อแยกเพศ) คงจะรู้สึกแปลกๆ มิใช่น้อยนะครับ

ตามไปเที่ยวOnsenด้วยคนค่ะ ใบไม้เปลี่ยนสีสวยมากๆ ...จะรอชมรีวิวต่อไปนะคะ

... ใบไม้เปลี่ยนสีสวยจังค่ะ ...

ภาพสวย วิวสวย

ขอบคุณมากๆนะคะ :)

#แก้คำผิดจ้า

ว้าวววววว สีสันใบไม้เปลี่ยนสี งามจริงๆ ครับ

ผมชอบเหมือน คุณ Gelgoog  เลยครับ ผมชอบชนบทญี่ปุ่นมากกว่าบรรยากาศในเมืองใหญ่ๆ ซะอีก

ฟ้าใส ต้นไม้สายน้ำสวย ภาพสวย นางแบบสวย วิวงาม บรรยายสนุก

ขอบคุณที่พาชมธรรมชาติญี่ปุ่นค่ะ สงบเงียบงดงามจริงๆ

วิวสวยจังค่ะ  คนก็น่ารัก

ใช้กล้องอะไรครับ ภาพแจ่มมาก

สุดยอดเลยค่ะ รูปสวยมากกกก

*ตอนนี้ยังเก็บใบไม้แดงเป็นtripสุดท้ายของตัวเองอยู่ ไม่้รู้เงินจะพร้อมเมื่อไหร>__<

ถายรูปสวยมากๆค่ะ

ภาพสวยมากกกกก ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ^^

หวานมากครับ ภาพสวยครับ

เพิ่งไป Kuroyu กลับมาเพิ่งเจอ review Kuroyu อีก ... อยากกลับไปอีกแล้วสิคะ ในปีหน้า >_<

มีแต่คนมากระตุ้นต่อม Nyuuto Onsen  ... แถมเป็นรีวิวที่สวยเป็นพิเศษอีกด้วย ><"

สวยน่าไปมากเลยค่ะ