Cherokee1 พาท่องตุรกีดินแดนแห่งสองทวีป ตอนที่ 4 แหล่งกำเนิดอารยธรรมโลกเมโสโปเตเมียและหุบเขาเทพเจ้า"Mt.Nemrut"

สวัสดีครับทุกท่าน ช่วงนี้คงไม่มีข่าวอะไรที่น่าเป็นห่วงมากไปกว่าข่าวน้ำท่วม ผมเองก็เครียดมาหลายวัน  เชื่อไหมครับว่าการนั่งเตรียมรีวิวไปเรื่อย ๆ ทำให้ผมดึงความสนใจของตัวเองออกจากข่าวน้ำท่วม ทำให้ลืมความเครียดไปชั่วคราว  การทำรีวิวในช่วงนี้อาจจะดูผิดที่ผิดทางไปหน่อย แต่ไหน ๆ ก็เสร็จแล้วและเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันต่อ ๆ ไป ในเมื่อวันนี้ทำอะไรได้ก็รีบทำซะก่อน ผมไม่ได้คาดหวังว่าเพื่อน ๆ ต้องติดตามอ่านกันในช่วงนี้ แต่หวังว่าถ้าน้ำไม่ท่วมเซิร์ฟเวอร์ของพันทิบ ข้อมูลเหล่านี้ก็คงอยู่ไปอีกนาน (หรือใครจะเซฟไว้อ่านของตัวเองเมื่อไหร่ก็เชิญครับ)  ใครว่างค่อยเข้ามาอ่านมาชมกันได้  หวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็วนะครับ

ความเดิมตอนก่อน ๆ เลขกระทู้สวยและคล้องจองกันดีทั้งสามตอน  ไม่รู้ตอน 4 จะได้เลขอะไร

ตอนที่ 1 เอฟิซุส (Ephesus) อาณาจักรโรมันแห่งเอเชีย
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11054666/E11054666.html
ตอนที่ 2 ปามุคคาเล (Pamukkale) วารีบำบัดน้ำตกหินปูน
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11111666/E11111666.html
ตอนที่ 3 คัปปาโดเกีย (Cappadocia) พาขึ้นบอลลูน ชมเมืองมนุษย์หินฟลินซโตน
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11146000/E11146000.html

ทริปนี้ผมจะพาไปชมตุรกีตะวันออก ซึ่งนักท่องเที่ยวน้อยคนจะเดินทางไปถึง ไฮไลต์สำคัญของทริปวันนี้นี้คือหุบเขาเทพเจ้าบนยอดเขาเนมรุต (Mt.Nemrut) ระยะทางจากโกเรเมไปถึงจุดหมายกว่า 500 กิโลเมตร เรียกว่านั่งรถกันเป็นวันเลยทีเดียว จริง ๆ ตอนแรกเราวางแผนจะไปเที่ยวเมือง Safranbolu ตามรีวิวของคุณ flymom แต่รูปของหุบเขาเนมรุตก็ยั่วยวนเหลือเกิน แถมทัวร์ไปที่นี่มีสัปดาห์ละสองเที่ยวจากโกเรเม คือวันจันทร์กับวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันที่เราวางแผนออกจากคัปปาโดเกียพอดี เป็นทัวร์สามวันสองคืน เริ่มต้นจากโกเรเม มีจุดแวะชมรายทาง ซึ่งจะค่อย ๆ พาไปชมกันนะครับ

เวลาไปเที่ยวไหน สิ่งหนึ่งที่ผมต้องหาซื้อเป็นของที่ระลึกคือหนังสือเกี่ยวกับสถานที่นั้น ๆ ภาพนี้คือปกหนังสือเล่มโตที่ผมอุตส่าห์แบกกลับเมืองไทย เป็นหนังสือที่มีภาพสวย ๆ เกี่ยวกับตุรกีพร้อมประวัติของสถานที่ต่าง ๆ แต่หนักมาก ตอนแรกจะไม่ซื้อแล้ว แต่เจอลูกตื๊อของคนขายและลูกยุของเพื่อนร่วมทริปไม่ไหว เลยยอมแบกกลับมาทั้งที่ขาก็ยังเดินกระเผลกอยู่  หน้าปกแสดงถึงไฮไลต์ของทริปที่จะพาไปเที่ยวด้วยกันวันนี้ครับ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:23:39 ]
ความเห็นที่ 1

ก่อนอื่นจะพาไปชมการแสดงพร้อมอาหารเย็นคืนสุดท้ายในดินแดนคัปปาโดเกียกันก่อน

สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจว่ามาถึงตุรกีแล้วต้องชมให้ได้คือการแสดงของนักบวชใส่ชุดขาว ใส่กระโปรงยาวแล้วก็เต้นโดยหมุน ๆๆ แล้วกระโปรงก็จะพริ้วเป็นวงกลม เรียกว่า whirling dervish คำว่า whirling ก็คือหมุน dervish คือนักบวชพวกหนึ่งในศาสนาอิสลาม เราสามารถพบเห็นงานศิลปะที่แสดงถึง whirling dervish ได้ทั่วไป อย่างรูปนี้ก็เป็นถาด ตรงกลางทำเป็นรูป whirling dervish

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:26:18 ]
ความเห็นที่ 2

ภาพนี้แสดงการเต้นหมู่ของนักบวช dervish จุดประสงค์เพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับพระเจ้า

สุดท้ายเราก็ได้มาชมการแสดงนี้ที่คัปปาโดเกีย โดยเป็นหนึ่งใน package สุดคุ้มที่รวมบอลลูน Green Tour และการแสดงที่รวมอาหารด้วย ไม่ต้องถามนะครับว่าได้มาอย่างไร มันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า และเป็นการหักเหลี่ยมทางธุรกิจกันเอง คนที่ได้ประโยชน์ก็คือนักท่องเที่ยวอย่างพวกเรา การแสดงมีหลายชุด ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:28:13 ]
ความเห็นที่ 3

อาหารเยอะมากเต็มโต๊ะเลย ทานกันไม่หมด

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:29:04 ]
ความเห็นที่ 4

จานพวกนี้เป็นเหมือนเครื่องเคียง มีให้เลือกลองชิมหลายอย่าง อาหารทั้งหมดนี้ทาน 4-5 คนเองครับ เยอะมากกก

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:29:37 ]
ความเห็นที่ 5

จากหนักคือข้าวหมกแกะ เสียดายผมไม่ชอบกลิ่นสาบแกะแพะ เลยต้องขอผ่าน

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:30:20 ]
ความเห็นที่ 6

เริ่มต้นการแสดงด้วย whirling dervish เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของค่ำคืนนี้ ตอนแรกจะมีนักแสดงเดินออกมาสามคนใส่ชุดกระโปรงยาวสีขาว ใส่เสื้อคลุมสีดำ สวมหมวกทรงสูง ชุดขาวหมายถึงผ้าห่อศพ เสื้อคลุมสีดำแทนโลกซึ่งคือสุสานขนาดใหญ่ ส่วนหมวกทรงสูงแทนหลุมศพของตัวเอง

คนกลางในรูปเหมือนเป็นหัวหน้า ทั้งสามจะเดินวนเป็นวงกลม เอามือทาบหน้าอก โค้งกันไปโค้งกันมาซักพัก สองคนหน้าจะถอดเสื้อคลุมสีดำออก ซึ่งเปรียบเหมือนการสละโลกนี้เพื่อกลับไปรวมกับพระเจ้าบนสวรรค์

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:32:40 ]
ความเห็นที่ 7

จากนั้นสองคนที่ใส่ชุดขาวก็หมุน ๆๆ มือขวาจะหงายขึ้นเพื่อรับพลังจากสวรรค์ แล้วส่งต่อไปทั่วร่างกายจนถึงมือซ้ายซึ่งจะคว่ำลงเพื่อส่งต่อพลังงานไปสู่พื้นโลก

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:34:15 ]
ความเห็นที่ 8

ลัทธิที่ประกอบพิธีนี้เรียกว่าลัทธิเมฟลานา (Mevlana) หรือลัทธิลมวน ซึ่งเชื่อว่าดนตรีและการเต้นรำเป็นวิธีในการเข้าถึงความรักอันเป็นสากล เป็นการยกระดับจิตใจให้เข้าสู่พระเจ้าเบื้องบนได้

ศูนย์กลางของลัทธิลมวนอยู่ที่เมืองคอนยา (Konya) ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของพวกเซลจุกเติร์ก สุลต่านของชาวเซลจุกได้เชิญท่านเมฟลานา ซึ่งเป็นกวีและนักปรัชญาทางศาสนา มีถิ่นกำเนิดแถบเอเชียกลางแถวอาฟกานิสถานให้มาอยู่ที่คอนยาเพื่อสั่งสอนศาสนาอิสลามแก่ประชาชน ท่านมีผลงานมากมายโดยเฉพาะบทกวีจำนวนมาก ปกติทัวร์ตุรกีจากเมืองไทยจะแวะที่เมืองคอนยาระหว่างทางจากปามุคคาเลเพื่อไปคัปปาโดเกีย

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:36:25 ]
ความเห็นที่ 9

พริ้วมาก ๆ นับเป็นการแสดงที่ติดตาตรึงใจมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ดูแล้วรู้สึกว่ารับได้ถึงศรัทธาและความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมนี้

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:37:17 ]
ความเห็นที่ 10

หลังจากจบการแสดงชุด dervish dance พนักงานจะเริ่มเสิร์ฟพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมอาหาร ที่ไม่เสิร์ฟก่อนเพราะถือว่าการแสดง dervish dance เป็นพิธีกรรมทางศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ควรมีเครื่องดื่มมึนเมา การแสดงชุดต่อไปเป็นการแสดงพื้นบ้านต่าง ๆ ของพวกเติร์ก มีหนุ่มสาวออกมาเต้น ๆๆ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:38:38 ]
ความเห็นที่ 11

การแสดงอีกชุดที่ถือเป็นไฮไลต์ของคืนนี้ก็คือระบำหน้าท้อง belly dance นักแสดงค่อย ๆ ลอยลงมาจากชั้นบน ไม่ได้เข้าออกทางประตูเหมือนคนอื่น ๆ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:39:19 ]
ความเห็นที่ 12

เธอก็ออกมาเต้นสะบัดสะโพก เต้นซักพักก็ชวนแขกออกมาทำท่าตาม โชคดีจริง ๆ ที่ขาเจ็บ เลยมีข้อแก้ตัวไม่ต้องออกไปเต้นส่ายสะโพกแบบฝรั่งอ้วน ๆ คนอื่น

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:41:33 ]
ความเห็นที่ 13

ชุดสุดท้ายเป็นการแสดงพิธีแต่งงานแบบพื้นเมือง หนุ่ม ๆ ต้องมาแสดงความสามารถให้เจ้าสาวเป็นผู้เลือก

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:42:20 ]
ความเห็นที่ 14

จบลงไปด้วยความประทับใจ พร้อมกับอาหารอิ่มอร่อยอย่างเพียบ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:43:31 ]
ความเห็นที่ 15

เอาสาวตุรกีมาฝากหนุ่ม ๆ เดี๋ยวจะมีหนุ่มตุรกีมาฝากสาว ๆ บ้าง

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:44:03 ]
ความเห็นที่ 16

วันรุ่งขึ้นเราเก็บของออกจากโกเรเม ไกด์ทัวร์มารับที่โรงแรมแต่เช้า ทั้งทริปมีคนไทยที่ต่างคนต่างมาบังเอิญใจตรงกัน และมีญี่ปุ่นอีก 2 คน พอให้แนะนำตัวกลายเป็นญี่ปุ่นที่ทำงานโรงงานญี่ปุ่นอยู่ในเมืองไทยพูดไทยพอได้ ก็เลยฮากันหมดทั้งคัน

จุดแรกที่แวะในทริปคือที่พักกองคาราวานหรือคาราวานซาราย (caravanserai) ตามเส้นทางสายแพรไหมจะมีจุดแวะพักของกองคาราวานทุก 40 กิโลเมตร

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:45:21 ]
ความเห็นที่ 17

คาราวานซารายแห่งนี้ชื่อว่าคาราไตฮาน (Karatayhan) ฮานก็คือคาราวานซารายในภาษาเติร์ก ตั้งชื่อตามเจ้าเมืองในยุคนั้นที่ชื่อคาราไต สร้างในช่วงปี ค.ศ.1235-41 ในยุคที่เซลจุกเติร์กเรืองอำนาจ ถือเป็นคาราวานซารายที่อยู่ในสภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งในอนาโตเลียและเป็นตัวอย่างของศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบเซลจุกที่สืบทอดให้เห็นในปัจจุบัน ตั้งอยู่บนแนวเส้นทางการค้าในจุดที่เชื่อมต่อไปยังซีเรีย อิรัค อิหร่าน ไม่น่าเชื่อว่าหมู่บ้านซึ่งเงียบสงบในปัจจุบันจะเคยมีอดีตอันรุ่งเรืองและคึกคักไปด้วยการค้าในอดีต

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:46:24 ]
ความเห็นที่ 18

ด้านนอกล้อมรอบด้วยกำแพงสูง ภายในแบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นส่วน ๆ มีห้องนอน ห้องอาบน้ำ มัสยิด (ประตูที่เป็นช่องทางซ้ายของรูป) ส่วนประตูไม้ใต้ซุ้มประตูคือสุสานของท่านคาราไต

สุลต่านแห่งราชวงศ์เซลจุกโปรดให้สร้างคาราวานซารายขึ้นบนเส้นทางการค้าเพื่อส่งเสริมการค้าขายและให้ความคุ้มครองตลอดเส้นทางในเขตความรับผิดชอบ กองคาราวานที่มาถึงจะได้ที่พักและอาหารฟรี 3 วันแรก

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:47:05 ]
ความเห็นที่ 19

โถงเปิดโล่งหันหน้าเข้าหาสนามหญ้าตรงกลาง ใช้เป็นโรงเลี้ยงสัตว์ ที่เก็บสัมภาระ หรือใช้เป็นที่ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าของกองคาราวาน

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:47:45 ]
ความเห็นที่ 20

สวยมากครับ  ตามไปเที่ยวด้วยคนครับ

จากคุณ : เล็กทาโร่ [21 ต.ค. 54 12:47:54 ]
ความเห็นที่ 21

ภายในคือบริเวณที่พักของกองคาราวานในฤดูหนาว ตอนบนทำเป็นโดมรูป 8 เหลี่ยมเจาะช่องให้แสงส่องเข้ามาภายในเพื่อเพิ่มความสว่าง

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:48:23 ]
ความเห็นที่ 22

คุณลุงคนนี้คือผู้ดูแลเปิดปิดประตูคาราวานซารายแห่งนี้ คุณลูงมีบ้านอยู่ด้านหน้า พอคณะเรามาถึงไกด์ก็ลงไปเคาะเรียกให้มาช่วยเปิดประตูให้ พอพวกเราออกไปก็ปิดประตูล็อกกุญแจ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:48:54 ]
ความเห็นที่ 23

จากนั้นเราก็เดินทางกันต่อพอถึงจุดแวะพักก็เจอมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สองคันจอดแวะพักข้าง ๆ กัน สองคนนี้ขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามประเทศจากสวิตเซอร์แลนด์ไปหลายประเทศเป็นวงกลม

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:49:56 ]
ความเห็นที่ 24

อาหารแปลกตาแต่ดูน่ากิน ชอบสาวระบำหน้าท้องจัง

จากคุณ : Tree Rose [21 ต.ค. 54 12:50:00 ]
ความเห็นที่ 25

ดูแผนที่ข้างรถแล้วจากสวิสจะขับผ่านเข้าอิตาลี จนมาถึงกรีซ แล้วเข้าตุรกี ต่อไปยังอิหร่าน ปากีสถาน อินเดีย เนปาล คีร์กิสถาน จีน มองโกเลีย แล้ววกกลับเข้าคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน รัสเซีย ยูเครน แล้วกลับเข้ายุโรป มีแต่ประเทศน่าไปทั้งนั้นเลย ถือเป็นการย้อนรอยเส้นทางสายแพรไหมในอดีตด้วยพาหนะสมัยใหม่ เค้ามีเว็ปไซต์ให้ติดตามการเดินทางของเค้าด้วยตามรูป ณ วันนี้รู้สึกว่าน่าจะกลับถึงประเทศเค้าแล้ว น่าสนุกจริง ๆ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:50:33 ]
ความเห็นที่ 26

เส้นทางจากนี้นึกถึงภาษาอังกฤษที่ว่า The road less travelled มาก ๆ เลย นักท่องเที่ยวหรือแม้แต่คนตุรกีเองน้อยคนนักที่เดินทางมาถึงจุดนี้ เหมือนได้เข้ามาสู่จิตวิญญาณของตุรกีแท้ ๆ ที่ปราศจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างทุกที่ที่ผ่านมา เส้นทางตัดผ่านท้องทุ่งเวิ้งว่าง มีแนวเทือกเขาเตี้ย ๆ อยู่ไกลออกไป

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:51:21 ]
ความเห็นที่ 27

ภูมิประเทศแบบนี้คงเป็นที่คุ้นเคยของพวกเติร์กซึ่งเคยมีภูมิลำเนาอยู่แถบเอเชียกลาง และได้อพยพมาเรื่อย ๆ จนถึงคาบสมุทรอนาโตเลีย และถือเอาพื้นที่ตรงนี้เป็นบ้านใหม่ หยุดการเดินทางเร่ร่อนอันยาวนานเสียที

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:51:54 ]
ความเห็นที่ 28

หลังจากแวะทานข้าวเที่ยงที่ไม่ค่อยมีอะไรน่าพูดถึงเท่าไหร่ ช่วงบ่ายเราก็แวะพักเบรกบ่ายกันที่เมืองคารามานมารัส (Kahramanmaras) ที่นี่เป็นต้นกำเนิดของไอศครีมตุรกียี่ห้อดังคือยีห้อมาดู (Mado) ที่พบเห็นได้ทั่วไปในตุรกี เหมือนที่เมืองไทยมีสเวนเซ่นยังไงยังงั้น มีสาขากว่า 250 แห่งตุรกีและขยายแฟรนไชส์ไปทั่วโลกด้วย

ชื่อ MADO เป็นการผสมคำว่าคำว่า "MA" ที่มาจากชื่อเมือง "มาราส" ซึ่งเป็นชื่อเดิมของเมืองคารามานมารัส ส่วน "DO" มาจากคำว่า dondurma ซึ่งแปลว่าไอศครีมในภาษาเตอร์กิชนั่นเอง

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:52:36 ]
ความเห็นที่ 29

ร้านนี้เป็นแหล่งผลิตไอศครีมยี่ห้อมาดู แล้วส่งขายตามแฟรนไชส์ทั่วประเทศ แต่ต้นตำรับต้องมาที่นี่ แล้วก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:53:12 ]
ความเห็นที่ 30

mascot ของร้านนี้

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:53:37 ]
ความเห็นที่ 31

ใครก็ตามที่มถึงร้านนี้ต้องสั่งไอศครีมที่เหนียวจนต้องทานด้วยมีดกับส้อม รสชาติอร่อยมาก ๆ เหนียวดีจริง ๆ ทำมาจากนมแพะ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:54:09 ]
ความเห็นที่ 32

ใครที่ไม่มีแรงหั่น จะมีพนักงานหนุ่มมาบริการหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ พอดีคำ สาว ๆ ในทริปเห็นแล้วตะลึงไม่รู้จะหม่ำไอศครีมหรือหม่ำพนักงานก่อนดี จากที่แต่ละนางแข็งแกร่งแบกเป้เป็นสิบกิโลเดินเป็นวัน ๆ ได้สบาย ๆ พอเห็นหน้าหนุ่มคนนี้ถึงกับอ่อนระทวยไม่มีแรงตักไอศครีมกันเลยทีเดียว ดีไม่ให้ป้อนด้วย (อันนี้ต้องขออภัยเพื่อนร่วมทริปที่ใส่สีตีไข่ไปบ้าง แต่ก็เพื่อความบันเทิงของผู้ชม ยอมได้อยู่แล้วเนอะ)

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 12:54:47 ]
ความเห็นที่ 33

ตามไปด้วยครับ ชอบมาก ได้เห็นวิถีชีวิตที่แปลกออกไป รวมถึงวัฒนธรรม

จากคุณ : ม่วงมหากาฬ [21 ต.ค. 54 13:01:55 ]
ความเห็นที่ 34

มาติดตามค่ะ ชอบมากๆ เลย เห็นแล้วอยากไปตามรอย :)

จากคุณ : The Greatest Story Ever Told [21 ต.ค. 54 13:07:27 ]
ความเห็นที่ 35

ขออนุญาตทักทายทุกท่านตอนจบนะครับ รีบโพสต์ให้จบก่อน

นอกจากไอศรีมแล้ว ทางนี้ยังมีของหวานพื้นบ้านขึ้นชื่อของตุรกี เรียกว่าบาคลาวา (Baklava) ทำจากแป้ง pastry เป็นชั้น ๆ ระหว่างชั้นจะสอดไส้ถั่วและไซรับหรือน้ำผึ้ง บางร้านทำหวานมากจนแสบคอ แต่ถ้าไม่หวานมากก็ถือว่าอร่อยใช้ได้

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:11:12 ]
ความเห็นที่ 36

อีกฝั่งขายพวกขนมปัง สีสันชวนทานทั้งนั้น แต่ถ้ายังมีที่เหลือในกระเพาะผมขอทานไอศครีมอีกก้อนดีกว่า อร่อยมาก ๆๆๆๆ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:13:15 ]
ความเห็นที่ 37

จากนั้นก็เดินทางกันต่อถึงโรงแรมที่พักคืนนี้ ที่เมืองอดิยามัน (Adiyaman) ซึ่งอยู่ห่างจากจุดหมายหลักของเราคือเขาเนมรุต (Mount Nemrut) ประมาณ 90 กิโลเมตร ขับรถชั่วโมงครึ่ง หน้าโรงแรมมีการจำลองแบบของเศียรเทพเจ้าและกษัตริย์ของอาณาจักรโคมายานาบนยอดเขาเนมรุตที่เราจะไปชมกันในวันพรุ่งนี้ อากาศไม่ค่อยดีทั้งวัน ฝนตกพรำ ๆ ตลอดทาง หวังว่าพรุ่งนี้เช้าอากาศจะดีขึ้น

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:14:35 ]
ความเห็นที่ 38

เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นตีสาม รถออกตีสามครึ่ง ระหว่างทางก็มีฝนตกตลอดทาง ยิ่งใกล้จุดหมายฝนก็เปลี่ยนเป็นหิมะ มาถึงปากทางเข้า Nemrut National Park ตอนตี 5 ความหวังว่าจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่คงกลายเป็นศูนย์ ขอให้ได้ขึ้นไปถึงจุดหมายข้างบนได้ก็ดีใจแล้ว ตอนนี้ทุกคนเริ่มหวั่นใจว่าเสื้อผ้าที่เตรียมมาจะไม่พอ เพราะอากาศหนาวมาก แต่ละคนอัดกันมาอย่างน้อย 5 ชั้น

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:16:07 ]
ความเห็นที่ 39

ไกด์ต้องลงไปปลุกเจ้าหน้าที่ที่นอนเฝ้าทางเข้าเพื่อตื่นมาขายตั๋ว แล้วคนขับก็ขับขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ หิมะก็ลงหนาขึ้น ๆ ถึงจุดหนึ่งคนขับก็หยุดหันไปคุยกับไกด์ แล้วเลี้ยวรถกลับมาคุยกับเจ้าหน้าที่ เค้าบอกว่าหิมะตก ถนนลื่นขึ้นไม่ได้ หรือขึ้นได้แต่ขาลงจะอันตรายมากเพราะลงเขา ไกด์ถามว่าจะเอาอย่างไร เพราะญี่ปุ่นสองคนต้องกลับไปขึ้นรถบัสตอน 11 โมง แล้วเราก็มีแผนต้องเดินทางต่ออีก สรุปก็คือขึ้นไม่ได้

เสียใจ   ขี้แง  ขี้แง  ขี้แง

เลยลงมาถ่ายรูปกับป้ายเป็นที่ระลึกว่ามาถึงแล้ว มีโอกาสต้องกลับมาแก้มือแน่นอน แต่จริง ๆ ถ้ารถขึ้นได้ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะสามารถเดินไต่ขึ้นเขาได้หรือเปล่า ขายังเดินไม่ดีเลย อาจจะต้องนั่งรอคนอื่น ๆ อยู่ที่จอดรถ เจ็บ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:18:46 ]
ความเห็นที่ 40

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ขอรีวิวแบบแห้งแล้วกันด้วยรูปจากโปสการ์ดนะครับ

บนยอดเขาสูง 2,150 เมตรแห่งนี้เป็นที่ตั้งของสุสานกษัตริย์แห่งอาณาจักรโคมายานา (Commagene Kingdom) มีระเบียงสามด้านคือด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศเหนือ มีการสร้างรูปหินแกะสลักเทพเจ้าขนาดใหญ่หลายรูป ปัจจุบันส่วนหัวของรูปหินสลักเหล่านี้ถูกแรงโน้มถ่วงโลกดึงลงมากองกันอยู่ที่พื้น แค่หัวอย่างเดียวสูงถึง 2 เมตร อาณาจักรแห่งนี้เกิดขึ้นในยุคใด และทำไมถึงต้องสร้างเทวรูปขนาดใหญ่มหึมาบนยอดเขาสูงเช่นนี้ เชิญติดตามกันต่อไปเลยครับ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:19:46 ]
ความเห็นที่ 41

ดินแดนแถบนี้เคยถูกปกครองด้วยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชผู้กรีฑาทัพจากกรีซตะลุยดินแดนต่าง ๆ จนถึงเปอร์เซียและเอเชียกลาง เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ดินแดนที่ยึดมาได้ก็ถูกแบ่งปกครองโดยแม่ทัพทั้งหลายของพระองค์ หนึ่งในนั้นก็คือดินแดนในคาบสมุทรอนาโตเลีย เจ้าเมืองเล็ก ๆ ต่างก็ตั้งตนเป็นกษัตริย์ปกครองตนเอง รวมทั้งอาณาจักรโคมายานา (Commagene) แห่งนี้ด้วย นายทหารกรีกได้นำอารยธรรมแบบกรีกมาผสมผสานกับความเชื่อของชนพื้นเมืองเดิมแบบเปอร์เซียจนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ อาณาจักรโคมายานามีอายุสั้น ๆ เพียง 200 ปีก็ถูกผนวกเข้ากับจักรวรรดิโรมันในที่สุด

สุสานเทพเจ้าแห่งนี้สร้างโดยกษัตริย์ Antiochos I ซึ่งครองราชย์ช่วงปี 69-31 ก่อนคริสตศักราช การสร้างสุสานบนยอดเขาแบบนี้เป็นที่นิยมในอารยธรรมยุคโบราณ

หัวของหินสลักที่เห็นก็คือหัวของ Antiochos I โดยมีหัวของนกอินทรีย์ที่ถือเป็นเจ้าแห่งท้องฟ้าเป็นองครักษ์

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:21:14 ]
ความเห็นที่ 42

ระเบียงฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกประกอบด้วยแถวของหินสลักเทพเจ้าขนาดใหญ่ที่สลักจากเนื้อหินของภูเขา ส่วนระเบียงทางทิศเหนือไม่มีรูปสลักเหมือนอีกสองฝั่ง คาดว่าเป็นที่ชุมนุมในช่วงที่มีการประกอบพิธี และอาจจะสร้างเผื่อไว้สำหรับกษัตริย์องค์ต่อ ๆ ไป แต่ก็ไม่เคยมีการก่อสร้างใด ๆ เพิ่มเติม

นี่คือระเบียงฝั่งตะวันตก

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:21:44 ]
ความเห็นที่ 43

ตามมาชมอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
กับคุณเชอด้วย
เคยเรียนตอนอยู่มัธยมต้น
วันนี้มีภาพสวยและข้อมูลที่ละเอียด
เอาไปค้นคว้าต่อเลย
smile  smile

จากคุณ : SkylineKip [21 ต.ค. 54 13:24:46 ]
ความเห็นที่ 44

ระเบียงฝั่งตะวันออกอยู่ในสภาพดีกว่าฝั่งตะวันตก ลำตัวยังนั่งอยู่บนบรรลังก์สูงถึง 8-10 เมตร แต่ส่วนหัวร่วงลงมาแล้วถูกจัดเรียงตั้งขึ้นเป็นแถวสูงถึง 2 เมตร อย่างที่กล่าวแล้วว่าอาณาจักรโคมายานาผสมผสานวัฒนธรรมแบบกรีกและเปอร์เซียเข้าด้วยกัน เทพเจ้าก็เกิดจากรวมเทพแบบเดียวกันของทั้งสองฝั่งเข้าเป็นหนึ่งเดียว

รูปหินสลักเรียงจากซ้ายไปขวาประกอบด้วย
1.สิงโต เจ้าป่า
2.นกอินทรีย์ เจ้าแห่งท้องฟ้า สัตว์สองชนิดนี้ถือเป็นองครักษ์ผู้คุ้มครองสถานที่แห่งนี้
3.กษัตริย์ Antiochos I เอง ท่านรับเอาแนวคิดแบบสมมติเทพโดยถือว่าพระองค์คือเทพเจ้าองค์หนึ่ง
4.เทพีโคมายานา (Commagene) ซึ่งถือเป็นเทพีที่แทนแผ่นดินโคมายานา
5.เทพ Zeus-Ahura Mazda ซึ่งเป็นการรวมเทพสูงสุดฝั่งกรีกคือ Zeus และฝั่งเปอร์เซีย คือAhura Mazda ไว้ด้วยกัน
6.สุริยเทพ Apollo-Mithras ฝั่งกรีกคือ Apollo ฝั่งเปอร์เซียคือ Mithras
7.เทพ Heracles-Artagnes ฝั่งกรีกคือเฮราคลิสหรือเฮอร์คิวลิสผู้ทรงพลัง เช่นเดียวกับฝั่งเปอร์เซีย
8.นกอินทรีย์
9.สิงโต

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:25:01 ]
ความเห็นที่ 45

นี่คือกษัตริย์ Antiochos เอง นักสำรวจใช้เวลาเป็นร้อยปีเพื่อค้นหาหีบพระศพของท่าน จนในที่สุดสามารถใช้วิทยาการอันก้าวหน้าในการหาตำแหน่งจนพบเมื่อปี ค.ศ.2003 นี่เอง

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:27:28 ]
ความเห็นที่ 46

เทพี Commagene เทพมารดาแห่งอาณาจักรโคมายานา เมื่อเขาเนมรุตถูกค้นพบในปี ค.ศ.1882 หัวของเทพีโคมายานาเป็นเพียงหัวเดียวที่ยังตั้งอยู่บนลำตัวตามแบบเดิม

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:28:22 ]
ความเห็นที่ 47

เทพผู้ทรงพลัง Heracles-Artagnes

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:29:32 ]
ความเห็นที่ 48

เสียใจ แต่ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปเช่นเดียวกับทริปของเรา ไกด์พาเรามาจุดต่อไป หันหลังกลับไปมอง เค้าบอกว่ายอดเขาเนมรุตคือยอดสูงลิบ ๆ อยู่ในเมฆ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:30:29 ]
ความเห็นที่ 49

เจสัน

แวะมาชมครับ ขอตามเที่ยวด้วยคนนะครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับผม ตามต่อครับ

กิ๊ฟเดือนนี้หมดแล้ว ผมให้ มอบรัก แทนนะครับ

จากคุณ : กัปตันลูกชุบ [21 ต.ค. 54 13:30:42 ]
ความเห็นที่ 50

ห่างจากยอดเขาเนมรุตประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นจุดสำคัญอีกแห่งแรียกว่าอาร์เซเมีย (Arsemeia) เป็นเมืองหลวงแห่งที่สองของอาณาจักรโคมายานา มีภาพแกะสลักสูง 3.3 เมตร กว้าง 1.8 เมตร แสดงภาพของกษัตริย์ Antiochos I กำลังจับมือกับเทพ Heracles เพราะถือว่ากษัตริย์มีศักดิ์เป็นเทพองค์หนึ่ง ถือเป็นภาพแกะสลักที่งดงามที่สุดที่พบในแถบนี้ ไม่ได้เห็นหุบเขาเทพเจ้าบนยอดเนมรุต ก็ถือว่ามาดูภาพแกะสลักรูปนี้เป็นเครื่องปลอบใจแทนละกัน

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:31:28 ]
ความเห็นที่ 51

ศิลาจารึกอักษรกรีกอธิบายถึงการสถาปนาอาร์เซเมียเป็นเมืองหลวงและเป็นศูนย์กลางของการบูชาสุริยเทพ Mithras

อาณาจักรโคมายานาเป็นรัฐกันชนระหว่างสองจักรวรรดิใหญ่คือโรมันและเปอร์เซีย มีอายุร้อยกว่าปีก็ถูกโรมันผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลซีเรียที่อยู่ใต้การปกครองของโรมัน

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:34:09 ]
ความเห็นที่ 52

ร้านขายของที่ระลึกร้านเดียวในทริปนี้ โปสการ์ดขายแพงมาก แต่ก็ต้องซื้อโปสการ์ดและหนังสือที่นะลึก เพื่อรีวิวนี้ ลงทุนสุด ๆ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:36:08 ]
ความเห็นที่ 53

ตุ๊กตาจำลองของเทพเจ้า แต่เนื่องจากไม่ได้เห็น เลยไม่อยากซื้อมาตอกย้ำ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:37:34 ]
ความเห็นที่ 54

จุดต่อไปเราแวะชมสะพานโรมันชื่อว่า Cendere Bridge สร้างในราวปี ค.ศ.200 มีอายุเก่าแก่กว่า 1800 ปี ที่สะพานมีจารึกภาษาลาตินว่าสะพานนี้สร้างถวายจักรพรรดิ Septimius Severus ด้านข้างเดิมมีเสา 4 เสาสำหรับจักรพรรดิ มเหสี และพระโอรสสองพระองค์ ต่อมาพระโอรสองค์น้องแย่งชิงบัลลังก์จากพี่ชาย เลยทำลายเสาไปเสาหนึ่ง ปัจจุบันจึงเหลือสามเสา

สะพานที่เห็นในปัจจุบันไม่ใช่ของเก่าทั้งหมด มีการเสริมด้วยอิฐด้านใต้เพือให้สะพานแข็งแรงในปัจจุบัน

ณ จุดนี้ฝนลงหนักมาก โอ้ชีวิต! หนาวก็หนาว เปียกก็เปียก

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:40:07 ]
ความเห็นที่ 55

จุดสุดท้ายก่อนกลับโรงแรมเป็นสุสานของพระราชวงศ์ฝ่ายหญิง เรียกว่า Karakus Tumulus มีเสาโรมัน 4 เสา เดิททีเยอะกว่านี้ แต่ถูกขนไปสร้างสะพานโรมันจนเหลือแค่นี้เอง หัวเสา 4 เสาเป็นรูปนกอินทรีย์ (eagle), สิงโต (lion), วัว (ox) และคน (กำลังจับมือกับเทพเจ้า) ทราบไหมครับว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสี่เป็นสัญลักษณ์ของอะไร ใครตอบถูกและอธิบายได้ดีที่สุดเดี๋ยวหารางวัลให้

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:40:54 ]
ความเห็นที่ 56

กลับโรงแรมทานข้าวเช้าตอนประมาณ 9 โมงครึ่ง แล้วเก็บของเช็คเอาท์เพื่อไปยังเมืองถัดไปในทริป ระหว่างทางผ่านเขื่อนอาตาเติร์ก (Ataturk Dam) ที่กั้นแม่น้ำยูเฟรติส เป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางและยุโรป และใหญ่ติดอันดับต้น ๆ ของโลกทีเดียว สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1990

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:41:28 ]
ความเห็นที่ 57

และนี่คือแม่น้ำยูเฟรติสที่เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมเมโสโปเตเมียที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำสองสายคือไทกริสและยูเฟรติส แม่น้ำไทกริสจะอยู่ไปทางตะวันออก สำหรับผมแล้วการได้มาเห็นแม่น้ำยูเฟรติสของจริงเป็นอะไรที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้มาเหยียบดินแดนแห่งเมโสโปเตเมียที่เคยเรียนแต่ในตำรา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นซากอารยธรรมใด ๆ แต่ความรู้สึก ณ ขณะนั้นมันขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:42:54 ]
ความเห็นที่ 58

จุดหมายต่อไปคือเมืองชานลูฟา (Sanliufa) เป็นเมืองใหญ่ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี

ห่างจากเมืองชานลูฟาไปประมาณ 40 กิโลเมตรจะถึงดินแดนเก่าติดอันดับโลกคือเมืองฮาร์ราน (Harran) ซึ่งมีผู้คนอาศัอย่างยต่อเนื่องยาวนานที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เคยเป็นเมืองสำคัญของพวกอัสซีเรีย ในพระคัมภีร์ไบเบิล ท่านอับราฮัม (หรือเรียกแบบอิสลามว่าอิบราฮิม) ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของทั้งสามศาสนา ยิว คริสต์ อิสลาม เคยอาศัยอยู่ที่เมืองนี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ปัจจุบันไม่หลงเหลืออะไรที่เก่าแก่ขนาดนั้น แต่ก็ยังมีซากโบราณให้ชมบ้าง

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:44:05 ]
ความเห็นที่ 59

ในคริสตศตวรรษที่ 8-9 ฮาร์รานเป็นศูนย์กลางของการแปลหนังสือกี่ยวกับดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ การแพทย์ จากภาษากรีกเป็นภาษาอาหรับ ซึ่งถือเป็นการส่งถ่ายวิทยาการความรู้สมัยกรีกไปสู่โลกอาหรับก่อนที่แบกแดดจะมีบทบาทในภายหลัง จึงนับว่าที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยอิสลามที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ต่อมาถูกทำลายเพราะศาสนากับวิทยาศาสตร์มักไม่ไปด้วยกัน ปัจจุบันเหลือแต่ซากเท่าที่เห็นในรูป

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:44:58 ]
ความเห็นที่ 60

น้องอูฐ น่ารักอะ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:45:30 ]
ความเห็นที่ 61

แต่จุดท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดในฮาร์รานคือบ้านรวงผึ้ง (Beehive-shaped Houses) บ้านที่เห็นมีอายุประมาณ 200 ปี แต่สร้างตามแบบดั้งเดิมที่มีอายุกว่า 2000-3000 ปี

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:46:15 ]
ความเห็นที่ 62

บ้านแบบนี้สร้างจากอิฐและดินเหนียวโดยไม่ใช้ไม้เลย หลังคาเป็นทรงกรวย วัสดุที่ใช้จะให้ความเย็นในฤดูร้อนที่มีความร้อนมากในบริเวณนี้ ที่ไม่ใช้ไม้เพราะแถบนี้แห้งแล้งแทบไม่มีต้นไม้ขึ้น และอิฐก็หาง่ายจากซากอาคารยุคโบราณแถบนี้

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:47:05 ]
ความเห็นที่ 63

หน้าตาไกด์สุดหล่อของคณะ ทำให้ป้า ๆ ในทริปกรี๊ดกร๊าดอยากเอาใส่กระเป๋ากลับมาด้วย อายุประมาณ 22 ปีเท่านั้น เพิ่งจบปริญญาตรีสาขาการท่องเที่ยว ความรู้แน่นปึ้ก จดกลับมาทำรีวิวยอะเลย

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:48:17 ]
ความเห็นที่ 64

ครกกับสาก เหมือนครกกับสากตำข้าวบ้านเรา แต่ไม่แน่ใจว่าของเค้าเอาไว้ตำอะไร

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:49:26 ]
ความเห็นที่ 65

ที่นั่งสำหรับสังสรรค์ ไว้จิบน้ำชาหรือเล่นหมากรุก

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:50:07 ]
ความเห็นที่ 66

อิฐด้านบนเรียงเป็นกรวย มีช่องพอเปิดไว้รับแสงสว่างจากภายนอก

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:50:55 ]
ความเห็นที่ 67

ภายในทำเป็นร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:51:39 ]
ความเห็นที่ 68

คนดูแลเป็นชาวซีเรียที่อพยพมาอยู่ในดินแดนแถบนี้ บริเวณนี้อยู่ห่างจากชายแดนซีเรียประมาณ 150 กิโลเมตรเท่านั้น

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:51:58 ]
ความเห็นที่ 69

ลืมแปะรูป

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:52:52 ]
ความเห็นที่ 70

ห้องรับแขก

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:53:40 ]
ความเห็นที่ 71

อีกซักมุม

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:54:12 ]
ความเห็นที่ 72

อาหารน่าทานทั้งนั้นเลย
ชอบเศียรแกะสลักครับเป็นประเทศที่น่าไปเที่ยวจัง
รูปสวยมากครับ

จากคุณ : ลุงแบกเป้ [21 ต.ค. 54 13:54:30 ]
ความเห็นที่ 73

เมืองสุดท้ายในทริปนี้คือชานลูฟา (Şanlıurfa) จริง ๆ ชื่อเดิมคืออูร์ฟา (Urfa) เพิ่งเติมคำนำหน้าว่า Sanli ซึ่งแปลว่าสง่างามเมื่อไม่นานมานี้ ในอดีตพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชขนานนามเมืองนี้ว่าอีเดสซา (Edessa) เป็นเมืองโบราณที่น่าจะยิ่งใหญ่เพราะเป็นสมรภูมิแย่งชิงพื้นที่กันหลายยุคสมัยตั้งแต่กรีก เปอร์เซีย ไบแซนไทน์ สมัยสงครมครูเสดฝ่ายคริสต์และอิสลามทำสงครามเพื่อแย่งชิงเมืองนี้ ต่อมาก็อาหรับ อาร์เมเนีย มองโกล เติร์ก ปัจจุบันแทบไม่เหลือซากของความรุ่งเรืองในอดีตให้ชมเท่าไหร่ แต่เป็นเมืองใหญ่รถราติดขัดทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าขับผ่านชนบทมาตั้งไกลหลายร้อยกิโลเมตรจะมาพบเมืองใหญ่แบบนี้ที่นี่

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:54:43 ]
ความเห็นที่ 74

เมืองนี้ให้ความรู้สึกว่าอยู่ในตะวันออกกลางมากกว่าตุรกีเพราะอยู่ใกล้ชายแดนประเทศซีเรีย ผู้คนแต่งกายด้วยสีดำเป็นหลัก ผู้หญิงมีผ้าคลุมศีรษะแทบทุกคน ไม่เหมือนสาวตุรกีเมืองอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยคลุมศีรษะ เราสัมผัสได้ถึงความเป็นอนุรักษ์นิยมของผู้คน ทำให้พวกเราซึ่งหน้าตาก็ไม่กลมกลืนแถมยังใส่เสื้อผ้าสีสดใสตกเป็นเป้าสายตาและความสนใจของชาวเมือง ซึ่งคงไม่ค่อยพบนักท่องเที่ยว จนพวกเรารู้สึกอึดอัดและแอบกลัว ทั้งที่เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ปลอดภัยมากและผู้คนก็อัธยาศัยดี แต่เราก็อดไว้ใจไม่ได้ ไกด์พาเดินผ่านคาราวานซารายกลางเมืองและตลาดโบราณที่เป็นที่แลกเปลี่ยนสินค้าของกองคาราวานและเป็นที่สำหรับผู้ที่มาพักได้จับจ่ายซื้อของใช้ที่จำเป็น งานนี้ไม่มีใครกล้าควักกล้องขึ้นมาถ่ายกันเลย

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:55:29 ]
ความเห็นที่ 75

เดินหลุดมาจากตลาดค่อยรู้สึกผ่อนคลายจากการเป็นเป้าสายตา ชาวอิสลามเชื่อว่าเมืองอูร์ฟาคือเมืองที่ท่านอับราฮัม (นบีอิบราฮิม) ถือกำเนิด เพราะในพระคัมภีร์เขียนว่าท่านเกิดที่เมืองอูร์ (Ur) แล้วอพยพไปอยู่เมืองฮาร์ราน ก็เลยมีการตีความว่าเมืองเออร์ก็คือเมืองอูร์ฟานี่แหละ กลางเมืองมีเขาเตี้ย ๆ ด้านล่างมีถ้ำที่เชื่อว่าเป็นที่กำเนิดของอับราฮัม มีผู้เดินทางมาแสวงบูญที่นี่ไม่ขาดสาย แต่ไกด์ตุรกีบอกว่าเค้าไม่เชื่อ เมืองเออร์ในพระคัมภีร์ไม่น่าจะอยู่ที่นี่ น่าจะอยู่ในประเทศอื่นมากกว่า

บนยอดเขามีป้อม ตำนานเล่าว่าท่านอับราฮัมได้ทำลายรูปเคารพต่าง ๆ ซึ่งผิดหลักศาสนาของพระเจ้า ซึ่งมีพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว ในการนี้ทำให้กษัตริย์เนมรุต (ชื่อเดียวกับเขาเนมรุตนั่นแหละ) ซึ่งเป็นกษัตริย์ของพวกอัสซีเรียโกรธจนสั่งเผาท่านทั้งเป็นแล้วโยนลงมาจากป้อมบนเขาซึ่งคือพระราชวังของกษัตริย์เนมรุต แต่พระเจ้าได้คุ้มครองอับราฮัมไม่ให้เป็นอันตรายโดยการเปลี่ยนไฟให้กลายเป็นน้ำ เปลี่ยนถ่านไฟร้อน ๆ ให้กลายเป็นปลา

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:56:05 ]
ความเห็นที่ 76

บริเวณรอบ ๆ เขาลูกดังกล่าวเป็นสวนสาธารณะ มีชาวเมืองมาเดินเล่นมากมาย พอเห็นเราเป็นนักท่องเที่ยวก็มารุมขอถ่ายรูปกันใหญ่ ใครหน้าตี๋ ๆ หมวย ๆ หรือออกแนวเกาหลีตาตี่ ๆ จะเป็นที่สนใจเป็นพิเศษ สระน้ำในรูปคือสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ของอับรมฮัมที่พระเจ้าเปลี่ยนจากไฟให้กลายเป็นน้ำ และปลาเหล่านี้ก็คือถ่านร้อน ๆ นั่นเอง

ตรงนี้สามารถให้อาหารปลาได้ ไกด์เราก็อุตส่าห์ซื้ออาหารปลา แล้วบอกว่ายูเตรียมกล้องดี ๆ นะ เดี๋ยวเค้าจะให้อาหารปลาแล้วยูจะได้เห็นปรากฏารณ์บางอย่าง ผมก็ถามว่าทำไมเหรอ ปลาจะกระโดดขึ้นมางับจากมือเหรอ เค้าหัวเราะใหญ่แล้วบอกว่าเปล่า ๆ แค่ปลามารุมกินอาหารเท่านั้น ปัดโธ่ อีนี่บ้านฉานแบบนี้มีเยอะแยะนะนายจ๋า แขกไม่เคยให้อาหารปลาเลยตื่นเต้นใหญ่ 555

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:56:30 ]
ความเห็นที่ 77

มัสยิดสไตล์ซีเรียที่อยู่อีกฝั่งของสระน้ำอับราฮัมเชื่อว่าเป็นที่ที่อับราฮัมถูกโยนลงมาสู่พื้นและรองรับไว้ด้วยเตียงดอกกุหลาบ มีอายุเก่าแก่กว่า 700 ปี

เห็นฟ้าเป็นฟ้าแบบนี้แล้วไม่น่าเชื่อว่าเช้าวันเดียวกันพวกเราแทบจะแข็งตายกับอากาศหนาวเย็นจากหิมะและฝนจนไม่สามารถขึ้นเขาเนมรุตได้ แทบจะบอกให้ไกด์ย้อนกลับไปแก้มือชมพระอาทิตย์ตกอีกซักรอบ แต่จากจุดนี้ห่างจากเขาเนมรุตประมาณ 200 กิโลเมตร ไปอย่างเดียวน่าจะร่วม 3 ชั่วโมง แล้วเรามีที่พักที่เมืองนี้แล้ว เลยต้องตัดใจ กระซิก ๆ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 13:59:32 ]
ความเห็นที่ 78

บริเวณนั้นยังมีมัสยิดอีกหลายแห่ง นี่เป็นมัสยิดสไตล์ออตโตมันซึ่งเราจะพบอีกเยอะในอิสตันบูล สังเกตความแตกต่างระหว่างมัสยิดในรูปก่อนซึ่งเป็นแบบอาหรับ กับมัสยิดแบบออตโตมันในรูปนี้

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 14:00:51 ]
ความเห็นที่ 79

ยิ้มตุรกี

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 14:01:24 ]
ความเห็นที่ 80

สวยมากครับบ ตามไปเที่ยวด้วยย

จากคุณ : สายลมแห่งวิงค์ [21 ต.ค. 54 14:05:04 ]
ความเห็นที่ 81

วันรุ่งขึ้นพวกเราก็บินออกจากชานลูฟากลับอิสตันบูลด้วยสายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์ ณ จุดนี้เราอยู่ห่างจากอิสตันบูลประมาณ 1300 กิโลเมตร ถ้านั่งรถก็เกิน 24 ชั่วโมง พวกเราเลยจองตั๋วเครื่องบินพร้อม ๆ กันกับซื้อทัวร์สามวัน คือถ้าไม่มีตั๋วกลับอิสตันบูลก็คงไม่ซื้อทัวร์นี้เช่นกัน เป็นอันจบทริปตุรกีตะวันออกแต่เพียงเท่านี้ ต้องหาโอกาสกลับไปแก้แค้นเขาเนมรุตอย่างแน่นอน

ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ คราวหน้าเราจะได้เที่ยวอิสตันบูลนครแห่งสองทวีปจริง ๆ แล้ว ทริปนี้ต้องขอบคุณรูปจากเพื่อนร่วมทริปท่านอื่น ๆ มากเป็นพิเศษเพราะผมเกิดอาการเซ็งจนไม่ค่อยอยากถ่ายรูป ว่าจะลืม ๆ ทริปนี้ไปข้ามไปรีวิวอิสตันบูลเลย แต่เพื่อนร่วมทริปไม่ยอมเลยต้องจัดให้เป็นพิเศษ

ผมต้องขออนุญาตหนีน้ำหายไปหลายวัน คงตอบทักทายเพื่อน ๆ แค่คืนนี้แล้วจะหายตัวแล้ว ขอให้ทุกท่านเตรียมพร้อมกับน้ำที่กำลังจะมา ใครที่น้ำมาแล้วก็ขอให้ลดเร็ว ๆ แล้วเราจะกลับมาเริ่มต้นฟื้นฟูประเทศกันใหม่นะครับ

จากคุณ : Cherokee1 [21 ต.ค. 54 14:07:34 ]
ความเห็นที่ 82

ขอบคุณมากๆค่ะ ที่พาไปเที่ยว รูปสวยมากๆค่ะ

จากคุณ : Prisoner of Cair paravel [21 ต.ค. 54 14:29:51 ]
ความเห็นที่ 83

มาเทียวๆ แก้เครียดๆ อิอิ

จากคุณ : กิ๊บส์ [21 ต.ค. 54 14:45:58 ]
ความเห็นที่ 84

แวะมาบอกพี่เชอร์ ว่าคิดถึง ไอศกรีมตุรกี...
คิดถึง mt.nemrut ที่ยังไปไม่ถึง และอีกสักวันต้องกลับไปพิชิต...
และคิดถึงลูกชาย..วัย 22 ปี..อิอิ

จากคุณ : mbapsu04 [21 ต.ค. 54 14:57:14 ]
ความเห็นที่ 85

เข้ามาอ่านรีวิวแก้เครียดช่วงหนีน้ำ
รูปสวยมากๆ ค่ะ

ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ smile

จากคุณ : ย้ำคิดย้ำฝัน [21 ต.ค. 54 15:00:33 ]
ความเห็นที่ 86

เย้ๆๆ ตอน 4 มาแล้วว

เสียดายจังค่ะที่ไม่ได้ไปแถบนี้ อุตส่าไปตั้ง 17 วันแล้ว ยังพลาดสถานที่น่าสนใจแถบนี้ไปได้ รู้ยังงี้เลือกไปแถบนี้แทน Antalya กับ Fethiye ก็ดีอยู่หรอกค่ะ ดูน่าสนใจมากทีเดียว  นี่ถ้าได้อ่านรีวิวคุณ Cherokee 1 ก่อน หนูจะก้อปเลยค่ะ อิอิอิ  แต่ของหนูไปเส้น Istanbul-Safranbolu (ก็อปคุณ flymom) - Gereme - Cappadocia - Antalya - Fethiye - Pamukkake - Selcuk - Istanbul ค่ะ  จากรีวิวนี้แล้ว ส่วนตัวคิดว่า Mt. Nemrut น่าสนใจกว่าแถบ Antlya -Fethiye มากเลยค่ะ   ทริปหน้าจะเอาใหม่ อย่านี้ต้องมันต้องไปถอนค่ะ

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับรีวิวดีๆ ทำให้คิดถึงเวลาดีๆที่ตุรกี และขอให้ปลอดภัยจากน้ำท่วมค่ะ

จากคุณ : semasky [21 ต.ค. 54 15:00:53 ]
ความเห็นที่ 87

มาเที่ยวด้วยครับ  ชอบสุสานที่เป็นหินแกะสลักเทพเจ้า แปลกตาดีครับ

smile

คำถามขอตอบว่า

สิงโต เปรียบเสมือน ราชาผู้ยิ่งใหญ่ของสัตว์ทั้งหลาย และเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจอันยิ่งใหญ่ของโลกด้วยครับ

นกอินทรีย์ เปรียบเสมือน ทูตของพระเจ้า เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจแห่งสวรรค์

คนกำลังจับมือกับเทพเจ้า  น่าจะเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเท่าเทียม กัน และการสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้า  smile

จากคุณ : One Light One Shadow [21 ต.ค. 54 15:14:49 ]
ความเห็นที่ 88

เป็นประเทศที่น่าสนใจอีกประเทศหนึ่งเลยครับ

มีสถานที่ท่องเที่ยวแปลกๆ มากมาย วัฒนธรรมอันเก่าแก่น่าทึ่ง

ขอบคุณสำหรับรีวิวด้วยครับ

จากคุณ : Koon Shy_Tour Dee [21 ต.ค. 54 15:19:50 ]
ความเห็นที่ 89

กรี๊ดดดด...มาทำให้อยากไปทำไมคะ เมื่อก่อนที่อยากไปตุรกีมากเพราะเคยดูสารคดีอันนึงตอนเด็ก เค้าบอกผู้ชายตุรกีหน้าตาดีที่สุดในโลก 5555+

ปล.ลองตอบคำถามเล่นๆเกี่ยวกับ คห.55 "หัวเสา 4 เสาเป็นรูปนกอินทรีย์ (eagle), สิงโต (lion), วัว (ox) และคน (กำลังจับมือกับเทพเจ้า) ทราบไหมครับว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสี่เป็นสัญลักษณ์ของอะไร" น่าจะเป็นความเชื่อของศาสนาคริสต์หรือเปล่าคะ แต่เอ..ตุรกีนับถืออิสลามหรือเปล่า แต่ในศาสนาคริสต์
นกอินทรีย์ - ความมีอำนาจอย่างสง่างาม
สิงโต - ความซื่อสัตย์
วัว - ความมานะ อุตสาหะ
คน - ความพึ่งพาอาศัย เห็นอกเห็นใจ

เดาๆเอานะคะ เหมือนเคยเห็น แต่ส่วนตัวนับถือพุทธ อิอิ

จากคุณ : -aom- [21 ต.ค. 54 15:46:16 ]
ความเห็นที่ 90

ไปเที่ยวด้วยค่ะ  รูปสวยมากๆ

จากคุณ : สาวหน้าใส [21 ต.ค. 54 16:05:46 ]
ความเห็นที่ 91

สวยจัง ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ^^

จากคุณ : สามแซ่ [21 ต.ค. 54 16:15:56 ]
ความเห็นที่ 92

ไปเที่ยวด้วยค่ะ  รูปสวยมากๆ

จากคุณ : สาวหน้าใส [21 ต.ค. 54 16:30:17 ]
ความเห็นที่ 93

น่าสนใจไม่น้อยกว่า Cappadocia เลยนะครับ
ภาพสวยมากครับ

จากคุณ : aryan [21 ต.ค. 54 17:08:57 ]
ความเห็นที่ 94

รูปสวยทุกรูปเลยค่ะ

จากคุณ : Flaminio [21 ต.ค. 54 18:32:46 ]
ความเห็นที่ 95

ตามไปเที่ยวคลายเครียดเรื่องน้ำท่วมด้วยคนค่ะ

จากคุณ : ป้าฟู [21 ต.ค. 54 19:45:41 ]
ความเห็นที่ 96

เป็นทริปที่ประทับใจมากค่ะ

จากคุณ : Bpearl [21 ต.ค. 54 21:39:10 ]
ความเห็นที่ 97

ต้องไปยอดเขา ให้ได้แล้วกลับมาริวิวนะครับ

ไม่เคยรู้เลยว่ามีขอบแบบนี้บนโลก

แล้วยิ่งแม่น้ำไทกรีส ยูเฟรตีส เคยได้ยินในตำราตอนเด็กๆ

จากคุณ : tan_www [21 ต.ค. 54 22:16:45 ]
ความเห็นที่ 98

ศิลปวัฒธรรมเค้าหลากหลายผสมผสานดีนะคะ
อารยธรรมและประวัติศาสตร์นี่ซับซ้อนอยู่เหมือนกัน  คงต้องหาอ่านเยอะทีเดียว
เพราะดูจากรีวิวแล้วน่าสนใจมากๆค่ะ  
เคยชิมขนมของตุรกีมาเหมือนกัน  มีคนซื้อมาฝาก หวานแสบคอมากเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆนะคะ  ว่าแต่จะหนีน้ำไปอยู่ไหนล่ะคะเนี่ย ขอให้เดินทางปลอดภัยละกันค่ะ

จากคุณ : Red-Rose-14Feb [21 ต.ค. 54 22:31:19 ]
ความเห็นที่ 99

99 เย่... พลุ พลุ

มาละ เสียดายนะครับไม่ได้ชม Nemrut นั่นแปลว่าพี่เชอคงต้องมีเก็บตกอีกรอบแน่ๆ ดูท่าทางจะประทับใจกับที่นี่ไม่ใช่น้อยเลยเนอะ อาหารที่ไปทานมาตอนดูโชว์ช่วงต้นๆ ผมไม่กล้ากินอะ หน้าตาดูยังไงก็ไม่รุ้ มันอร่อยไหมครับ อิอิ

ยังไม่เคยลองทานไอติมตุรกีเลยครับ แต่หน้าตาดูดีจัง ด้านบนที่เค้าโรยนี่ถั่วหรอครับพี่เชอ



รอชมตอนหน้าต่อ บุญรักษานะครับพี่

จากคุณ : Coffee Blended [21 ต.ค. 54 22:48:59 ]
ความเห็นที่ 100

เล็กทาโร่ - ขอบคุณที่ตามมาเที่ยวชมตั้งแต่ต้นนะครับ

Tree Rose - อาหารอร่อยไม่น่าเชื่อครับ ไม่เหมือนในรูป สาวระบำหน้าท้องคนนี้ผมว่าสะโพกเล็กไปนิด หรือว่าออกกำลังสะโพกมากจนเล็กไม่ทราบ  

ม่วงมหากาฬ - ทริปนี้ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนค่อนข้างมากครับ มันเป็นอีกโลกหนึ่งเลยกับอิสตันบูลที่ทุกอย่างดูเป็นการท่องเที่ยวไปหมด

The Greatest Story Ever Told - ขอบคุณที่ติดตามครับ

SkylineKip - สมัยเด็ก ๆ เคยเรียนว่าอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดในโลกคืออารยธรรมสุเมเรียน อัสซีเรียน บาลิโลเนียน ในดินแดนเมโสโปเตเมีย ไม่นึกว่าจะได้มาเหยียบถึงที่ เสียดายไม่เหลืออะไรเก่าแก่ขนาดนั้นให้ชมครับ  

กัปตันลูกชุบ - ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ

ลุงแบกเป้ - ผ่านมา 4 ตอนก็มีอะไรที่แตกต่างกันไปทั้งสี่ตอนเลยนะครับ ประเทศนี้มีอะไรให้ชมเยอะจริง ๆ แต่ก็ไกลกันเหลือเกิน ขอบคุณที่ติดตามตลอดนะครับ

สายลมแห่งวิงค์ - ขอบคุณที่แวะมาชมนะครับ

Prisoner of Cair paravel - ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ

กิ๊บส์ - ไปเที่ยวกันแก้เครียดเนอะกิ๊บส์ เปลี่ยนบรรยากาศจากเรื่องเครียด ๆ บ้าง

mbapsu04 - เราไปไอศครีมบำบัดที่สเวนเซ่นพอจะแก้ขัดได้ไหม ลูกชายคนนั้นดูจากรูปใน FB ก็อ้วนวันอ้วนคืนนะเนี่ย

ย้ำคิดย้ำฝัน - ขอบคุณที่แวะมาชมเปลี่ยนบรรยากาศกันนะครับ

semasky - ผมอยากไป Fethiye อะ อยากไปดู Lycian tombs ตามหน้าผา เอาไว้ไปแก้มือไปเก็บที่เหลือให้หมด ถ้ายังไม่หมดก็ไปใหม่ อิอิ

One Light One Shadow - ขอบคุณที่ร่วมทายปัญหานะครับ ผมเองก็ไม่แน่ใจในคำตอบว่าถูกที่สุด ลองดูว่าคนเก่งห้อง BP มีใครช่วยอธิบายได้ดีที่สุดหรือเปล่า เดี๋ยวรอฟังคนอื่น ๆ ก่อนนะครับ

Koon Shy_Tour Dee - ประเทศนี้มีประวัติศาสตร์ซ้อนทับกันหลายชั้นยาวนานหลายพันปี เลยมีสถานที่แปลก ๆ เยอะแยะเลยครับ ไม่น่าเชื่อจริง ๆ

-aom- - ตกลงที่หนุ่มตุรกีที่คัดมาให้ชมพอรับได้ไหมครับ อิอิ ขอบคุณที่ร่วมทายปัญหา คำอธิบายที่ผมมีเกี่ยวกับศาสนาคริสต์จริง ๆ ด้วย ขอลองอ่านคำตอบของหลาย ๆ ท่านก่อนนะครับ

สาวหน้าใส - มาเที่ยวกันเลยครับ

สามแซ่ - ด้วยความยินดีครับ

aryan - ถ้าได้ขึ้นไปถึงยอดคงน่าสนใจมากจริง ๆ ครับ

Flaminio - ขอบคุณครับ

ป้าฟู - ผมปิดทีวี ปิด FB แล้วคอยเปิดเช็คข่าวทุกสามชั่วโมง ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นจริง ๆ ครับ

Bpearl - ขอบคุณครับ มีความทรงจำเยอะเลยครับทริปนี้

tan_www - หวังว่าจะได้ไปใหม่ แล้วจะกลับมาทำรีวิวครับ

Red-Rose-14Feb - ผมก็พยายามทำรีวิวให้เห็นประวัติศาสตร์แต่ละระนาบในแต่ละกระทู้ ที่ผ่านมายังไม่ค่อยเจอวัฒนธรรมอิสลาม คราวนี้แค่เกริ่น คราวหน้าจัดเต็มทั้งไบแซนไทน์และอิสลามครับ

Coffee Blended - ทริปนี้ตั้งความหวังไว้เยอะ ก็เลยผิดหวังเยอะครับ คงต้องหาโอกาสไปแก้มือ อาหารรสชาติดีกว่าหน้าตานะ เป็นอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่ขึ้นชื่อว่าสดและอร่อยที่สุดในโลกโดยเฉพาะผักผลไม้ ที่โรยบนไอศครีมจำไม่ได้แล้วว่าอะไร น่าจะเป็นพวกถั่วนะครับ

ขอบคุณที่แวะมาชม ขอให้แคล้วคลาดกันทุกคนนะครับ  ปลอบ

จากคุณ : Cherokee1 [22 ต.ค. 54 00:50:50 ]
ความเห็นที่ 101

แวะเข้ามาชมภาพสวยๆที่หุบเขาเทพเจ้าครับ

ไอศครีมนมแพะน่าทานมาก.. แพล่บๆ

จากคุณ : เจ้าชายแวมไพร์ [22 ต.ค. 54 05:08:10 ]
ความเห็นที่ 102

เพิ่งเห็นกระทู้ขออภัย เป็นไงคร้าาาาา รักพี่เสียดายน้องเลยอดทั้งพี่ทั้งน้อง วะฮะฮ่าๆๆๆๆๆ

ล้อเล่นๆ อย่าโกรธนะคะ เนมรุตนี่ดิฉันก็อยากไปค่ะแต่มันไกลโคตร มีแค่ 12 วันไปได้ไม่กี่เมืองค่ะ แต่มีแก้ตัวแน่เพราะเจ้าไทชอบตุรกีมากกก ชอบกินแพะกินแกะ กินได้ทุกมื้อและทุกวันทั้งๆที่เพิ่งหัดกินเป็นครั้งแรกค่ะ

ปล ดิฉันก็อยากจะกินหัวกินหางกินกลางตลอดตัวหนุ่มตุรกีเหมือนกันค่ะ ปากหวานมาก มีคนนึงถามดิฉันว่า ยูเพิง่เรียนจบแล้วมาเที่ยวเหรอ

หารู้ไม่ว่าดิฉันคิดในใจว่า เพิ่งเรียนจบ? ไอ้หนูเอ๊ยยย ชั้นเป็นแม่แกได้แล้วว้อย

จากคุณ : flymom [22 ต.ค. 54 05:53:32 ]
ความเห็นที่ 103

เข้ามาอ่านรีวิวนี้แล้วสนุก คลายเคลียดเรื่องน้ำท่วมเลยครับ

จากคุณ : Destiny-Boy [22 ต.ค. 54 10:06:04 ]
ความเห็นที่ 104

ขอบคุณที่พาไปเที่ยวตุรกีคลายเครียดค่ะ
ถ้าไม่ติดว่างานเยอะ จะเเพคกะเป๋าหนีน้ำไปเที่ยวสักเดือน ^^

จากคุณ : prdd26 [22 ต.ค. 54 11:36:58 ]
ความเห็นที่ 105

ความรู้สึกตอนเห็นรูปในความเห็น 56  แค่รู้ว่า นี่คือเขื่อนกั้นแม่น้ำยูเฟรติส  ก็หยุดพิจารณาอยู่นาน   อ่านต่อมาในความคิดเห็นที่ 57   ไม่อยากบอกว่า กำลังรู้สึกเหมือนที่คุณบรรยายในเลยค่ะ  อารมณ์เดียวกันเลย ตื่นเต้น ๆ  smile

จากคุณ : @}-- เยอบีร่า -- [22 ต.ค. 54 12:31:32 ]
ความเห็นที่ 106

หินแกะสลักสวยแปลกตาดีค่ะ ประเทศนี้มีสถานที่สวยๆแปลกๆเยอะเชียว

จากคุณ : Angel without wings [22 ต.ค. 54 17:48:25 ]
ความเห็นที่ 107

ตามมาเที่ยวตอนที่ 4 แล้วครับ ถ้าเป็นผมก็คงรู้สึกเซ็งเหมือนกัน ไปจนเกือบจะถึงแล้วแต่ไม่ได้ขึ้นซะงั้น แต่ก็เป็นโอกาสที่จะได้กลับไปเยือนดินแดนที่มีเสน่ห์แบบนี้อีกครั้งนะครับ

ยิ่งอ่านยิ่งทำให้อยากไปเที่ยวเร็วๆ แต่วันนี้ได้ยินข่าวแผ่นดินไหวใหญ่ที่ตุรกี สร้างความเสียหายไปเยอะเหมือนกัน ยังไงก็เอาใจช่วยขอให้ชาวตุรกีทุกคนปลอดภัยครับ

จากคุณ : I_Jayjay [24 ต.ค. 54 00:26:13 ]
ความเห็นที่ 108

ไอติม เหนียวๆ นี่เป็นยังงัยน๊า ... มีกี่รสอ่ะคะ

จากคุณ : แสนศิริ [25 ต.ค. 54 11:49:04 ]
ความเห็นที่ 109

ขอบคุณสำหรับรีวิวคุณภาพครับ
แค่แคปปาโดเกียกับปามุคคาเล่ก็ทำให้อยากไปเที่ยวตุรกีมากมายแต่นี่มีเนมรุทเพิ่มมาอีก ทำให้ต้องขยับตุรกีขึ้นมาเป็นประเทศต้นๆในลิสท์แล้วครับ

จากคุณ : Rs (ruangt) [29 ต.ค. 54 11:39:52 ]
ความเห็นที่ 110

นี่มันทู้ยั่วกิเลสชัดๆ เห็นแล้วอยากจะตามรอยคุณ Cherokee ไปตุรกีเด๋วนี้เลย
(ยกเว้นบอลลูนนะฮะ เผอิญเดี๊ยนนี่ถูกโฉลกกับกิจกรรมเหล่านี้มาก มีดวงได้เจ็บตัวทุกครั้ง -_-)
อยากดูระบำหมุนๆ อยากกินติมเหนียวๆด้วยอ่ะ น่ากินๆๆๆ รสชาติเข้มข้นสมความข้นคลั่กของเนื้อน้องติมด้วยป่าวฮะ แพลบๆ

จะรอชมทู้อิสตันบุลอย่างใจจดใจจ่อนะฮะ เมืองในฝันเดี๊ยนเลยนะนั่น T^T

จากคุณ : ha-meow [4 พ.ย. 54 07:43:38 ]
ความเห็นที่ 111

สถานที่ท่องเที่ยวในตุรกีแต่ละที่นี่สวยแปลกตาดีจังค่ะ
อยากบรรจุ Nemrut เข้าแพลนด้วย แต่เวลาไม่พอ (เสียดายจัง)
เห็นไอติมตุรกีแล้วต้องลองให้ได้ ^^

หนอน

จากคุณ : กาแฟขม [11 พ.ย. 54 15:41:48 ]
ความเห็นที่ 112

สวยมากค่ะ พร้อมด้วยสาระเพียบ  อิชั้นคงไม่สามารถรีวิวได้อย่างนี้แน่ ๆ อิอิ
เราเพิ่งกลับจากตุรกีค่ะไปมาสองเมืองเอง 6 วัน อ้อ มีผิดแผนเพิ่มมาอีก 1 เมือง หนาวมากและเหนื่อยมากค่ะ 555 ต้องเตรียมรองเท้าที่ใส่สบาย ๆ ไปสองคู่เลย

ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ฤกษ์ทำรีวิวกะเขาบ้าง เฮ้อ ๆๆๆ

จากคุณ : Freedom of Life [12 พ.ย. 54 15:23:28 ]
ความเห็นที่ 113

น่าสนุกจังเลย  สาว ๆ ที่นี่ถ้าสาว ๆ คงสวย คม เข้ม  น่าดูชมเลยคะ

จากคุณ : ผึ้งน้อยafet [14 พ.ย. 54 16:38:23 ]
ความเห็นที่ 114

ตั้งใจว่าจะต้องเข้ามาเฉลยคำถามที่ถามใน คคห 55 ว่าหัวเสา 4 เสาเป็นรูปนกอินทรีย์ (eagle), สิงโต (lion), วัว (ox) และคน (กำลังจับมือกับเทพเจ้า)สิ่งมีชีวิตทั้งสี่เป็นสัญลักษณ์ของอะไร

จริง ๆ ไม่มีหนังสือเล่มไหนเขียนอธิบายไว้ แต่ว่าไกด์ของเราบอกว่าเค้าคิดว่ามันคือสัญลักษณ์ของ The 4 Evangelists หรือที่พวกแคทอลิกไทยเรียกว่าผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่าน แต่ทางโปรเตสแตนท์เรียกว่าผู้ประกาศข่าวประเสริฐสี่ท่าน ได้แก่ มัทธิว (Matthew), มาระโก (Mark), ลูกา (Luke) และยอห์น (John) ท่านทั้งสี่คือผู้นิพนธ์พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ (The New Testament) 4 บทแรกที่เล่าประวัติของพระเยซู

คนเป็นสัญลักษณ์ของมัทธิว
สิงโตเป็นสัญลักษณ์ของมาระโก
วัวเป็นสัญลักษณ์ของลูกา
นกอินทรีย์เป็นสัญลักษณ์ของยอห์น

ลองดูในเว็ปนี้นะครับ
http://catholic-resources.org/Art/Evangelists_Symbols.htm

ขอบคุณคุณ OLOS และคุณ -aom- ที่มาร่วมสนุกกันนะครับ

จากคุณ : Cherokee1 [2 ธ.ค. 54 01:36:26 ]