ใครที่ยังไม่ได้อ่านภาคแรก เจอกันที่นี่เลยค่ะ ^^

http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11245249/E11245249.html

อย่างที่บอกตั้งแต่แรกว่า
Gorge town
เป็นเมืองมรดกโลก
ดังนั้น การท่องเที่ยวในเมืองนี้
จะเป็นการท่องเที่ยวในเชิงการดูสถาปัตยกรรมส่วนมาก
คนที่นี่ จะมีหลายเชื้อชาติปนๆ กันอยู่ค่ะ
ดังนั้น วัฒนธรรม เราจะเห็นว่า
มีทั้งจีน อิสลาม ฮินดู ปนๆ กันอยู่

วันนี้ เราจะออกเที่ยวกันโดยการเดิน ค่ะ
เตรียม หมวกกับครีมกันแดด แล้วก็รองเท้าแตะแบบสบายๆเลยค่ะ
เพราะเราจะเดินกันตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 4 โมงเย็น 555


เริ่มแรก ดูวิวที่หน้าต่างห้องกันก่อนค่ะ ^^

ขออีกมุม
จริงๆ รูปนี้เป็นรูปที่ถ่ายในวันแรก
แต่ลืมเอาลง 5555

เพื่อให้สมกับชื่อกระทู้
เราต้องกินก่อนกลิ้งไปเที่ยวค่ะ

วันนี้เริ่มต้นด้วยกาแฟค่ะ
กาแฟที่มีชื่อของที่คือ
old town white coffee
เป็นร้านกาแฟถ้าให้เราเดาน่าจะเป็น brand ท้องถิ่น
แต่มีคนมากินเยอะมากๆๆเลยค่ะ

เค้าขายทั้งกาแฟ แล้วก็อาหาร
ขนาดตั้งข้างๆกับ แมลงดาว
คนยังเข้าร้านนี้มากกว่ามากๆค่ะ
อาจจะเป็นเพราะว่า ราคาที่ไม่แพง
แล้วบรรยากาศดีพอๆกัน
เลยมีคนเข้ามากกว่าก็ได้ค่ะ

ราคาของกาแฟ ถ้าเป็นร้อน กับเย็นจะอยู่ที่ประมาณ 3- 5 RM
แต่ถ้าเป็น ปั่นจะอยู่ที่ 7 RM ค่ะ
ซึ่งเราว่าราคานี้ มันราคาพอๆกับกาแฟสดข้างทางบ้านเราเลยค่ะ

อันนี้เป้นลาเต้ร้อน อร่อยมากๆๆๆ

กาแฟ???

เอ่อออ ผมไม่ค่อยโปรดเท่าไรสิครัีบนั่น

เหมือนเดิมค่ะ
เรามานั่งรถที่ komtar
แต่ว่าวันนี้เราจะนั่งรถที่เป็นรถฟรี
เค้าจะเรียกว่าเป็นสาย hop free  
สายนี้จะผ่านย่านที่เราต้องการไปเดินเที่ยวกันวันนี้ค่ะ

นี่เป็นหน้าตาใต้ตึก komtar ที่เรามานั่งรถไปเที่ยวกัน
แต่ละเลนก็จะสำหรับรถแต่ละสายค่ะ
เพราะฉะนั้นต้องดูป้ายๆ ดีๆค่ะไม่งั้นรถสายที่เราต้องการรอ
อาจจะมาอีกเลนนึงทำให้เราต้องเสียเวลารอเที่ยวใหม่
แต่รถที่นี่ค่อนข้างจะตรงเวลาเลยค่ะ
ซึ่งแต่ละสาย จะใช้เวลาเว้นระยะห่างไม่เท่ากัน
อย่างสายที่ไปสนามบิน จะใช้เวลา 45 นาทีต่อเที่ยวค่ะ
เพราะงั้นต้องกะเวลาค่อนข้างดีเลย

@Fanciful@ : ได้ข่าวว่าสั่งโกโก้ได้ชาดำไม่ใช่รึ 555

รถสามล้อของที่นี่
จะเห็นได้ทั่วไป
โดยเฉพาะในย่านที่เราจะไปเดินเที่ยววันนี้
เห็นฝรั่งใช้บริการกันค่อนข้างมากเลยค่ะ

รถมาแล้วกระโดดขึ้นรถกันเลยค่ะ ^^
ดูท่านักยิมนาสติกทีมชาติโหนบาร์คู่หน่อย = =

ที่แรกที่เราจะไปวันนี้
เค้าบอกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ อิสลามค่ะ
แต่ว่าวันที่เราเค้าปิด
เลยได้รูปมาแค่ด้านนอกค่ะ

จากนั้นเราเดินต่อ เพื่อที่จะไป khoo kongsi ค่ะ
แต่ระหว่างทางเจอมัสยิดสวยมาก
เลยแวะถ่ายรูปกันหน่อยค่ะ

เดินๆมา เจอประตูเข้าของ Khoo kongsi
แต่ ปิด = =
ดูจากประตูแล้วเหมือนกองบัญชาการแห่งนกฟินิกซ์
ในแฮรรี่ พอร์ตเตอร์ยังไงไม่รู้  - -"

แต่เรายังไม่ละความพยายาม
เราเดินกันต่อเพราะคิดว่าน่าจะมีทางเข้าอีกทางนึง
จนไปเจออีกที่นึงก่อนค่ะ

ที่นี่คือ

CHEAH SI SEK TEK TONG

หรือ cheng Kongsi

ขออธิบายให้ฟังก่อนหน่อยว่า
ที่ปีนังในสมัยก่อน
จะมีตระกูลใหญ่ๆ อยู่หลายตระกูล
ทั้ง Khoo และ  cheng
ก็เป็นตระกูลใหญ่ ที่ปัจจุบัน บ้านของทั้งสองตระกูล
เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมค่ะ
แต่ที่ cheng Kongsi นี้ วันที่เราเข้าไป
เค้ามีประชุมประจำตระกูลกันด้วย
แต่ก็เปิดให้เข้าชมด้านใน โดยไม่เสียค่าเข้าค่ะ


ภายประตูด้านนอก

ทางเดินเข้าไปสู่หน้าบ้านค่ะ

มาถึงแล้ว

ส่วนนี้จะเป็นบริเวณชั้นสองค่ะ

วันนี้เงียบเหงาจังเลยแฮะ = =

มองเข้าไปด้านในจะพบว่าเป็นเหมือนห้องรับแขก
หรือห้องประชุมสักอย่าง
ลักษณะศิลปะจะเห็นได้เลยว่าเป็นแบบจีนค่ะ

เดินอยู่ที่ปีนังนี่
หลายๆที่ให้ความรู้สึกเหมือนเราเดินอยู่ในหนังจีนกำลังภายในมากๆๆๆ

ลงมาชั้นล่างจะเจอส่วนเปิดโล่งของตัวบ้าน

จากที่ไปหลายๆที่ จะพบว่าส่วนใหญ่บ้านที่นี่
ตรงกลางบ้านจะมีการเปิดโล่ง เพื่อรับแสงแดด
ในบางที่มีการขุดบ่อเพื่อรับน้ำฝนกลางบ้าน
นัยว่าเป็นการเปิดรับโชคลาภ และฮวงจุ้ยที่ดีค่ะ

เดินออกมาด้านนอกเพื่อไปจุดหมายต่อไปค่ะ

จาก  cheng Kongsi
เราจะไปกันต่อที่  khoo kongsi
ซึ่งในตอนแรกเราเห็นว่าประตูปิด
แต่ตรงนั้นเป็นประตูด้านหลัง
เผอิญว่าเราเดินผ่านวัดจีน
แล้วคนดูแลบอกว่าสามารถเดินทะลุวัดไปหน้าประตูใหญ่ของ khoo kongsi ได้
เราเดินทะลุกันมาค่ะ

ภายในวัดที่เดินทะลุมาค่ะ

บริเวณวัดค่ะ

เดินทะลุด้านข้างมา
เจอภาพที่อดถ่ายไม่ได้เลยค่ะ

คนวาดช่างวาดจริงๆ

และแล้วเราก็มาถึงค่ะ

Khoo kongsi

ที่นี่ เราต้องเสียค่าเข้านะคะ

โดยเมื่อเสียเงินแล้ว
เค้าจะให้สตืกเกอร์แบบนี้มาแปะไว้ที่เสื้อเรา
เพื่อบอกว่าเราเสียเงินค่าเข้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เดินเข้ามาจะพบตึกขวามือ
จะเป็นตึกที่เก็บป้ายบรรพบุรุษของทั้งตระกูลเอาไว้ค่ะ

จากนั้นเราจะเดินเข้ามาตรงอาคารกลาง
ซึ่งจะใต้อาคารจะมีการจัดนิทรรศการ
บอกถึงความเป็นมาของตระกูลเอาไว้ค่ะ

เข้ามาด้านใน
ส่วนแรกจะเป็นการอธิบายที่มาของตระกูล
ในรูปนี้จะเป้นการบอกว่า
แต่ละรุ่นของตระกูลมีการเรียกว่ายังไง

ส่วนรูปนี้คาดว่าจะเป็นสมุดบันทึกประจำตระกูล
ที่ใช้มาตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน

เขยิบมาที่ห้องโถงตรงกลาง
จะพบกับจอขนาดใหญ่
โดยด้านนึงจะเป็นการเล่นงิ้ว
อีกด้านจะเป็นรูปตึกนี้ ตอนกลางคืน
สวยมากๆ

ด้านหลังจอ
จะเป็นรูปโคมขนาดใหญ่
สวยอีกเช่นกัน

มาที่ปีกซ้าย
จะเป็นการจำลองครัวสมัยก่อน
โดยมีหุ่นนั่งกินข้าวให้ชมด้วย

ถ้าเป็นกลางคืนน่ากลัวแหงๆ

ออกมาด้านนอก
เมื่อมองกลับไป
อาคารนั้นคิดว่าน่าจะเป็นเวที
ที่เค้าใช้เล่นงิ้วตอนที่มีงาน

ขึ้นมาชั้นสอง
เจอ ข้อความนี้ แล้วชอบๆมากๆค่ะ
ไม่แปลกใจว่าทำไมคนจีนถึงมีลูกหลานเยอะ

ออกจากkhoo kongsi

เราจะไปต่อกันที่ Pinang Peranakan Mansion

ซึ่งจะอยู่แถวย่าน little India ค่ะ

ระหว่างทาง เราเจอมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดของปีนังค่ะ

ตอนนี้เราจะผ่านย่าน little india แล้วค่ะ
วันที่เราไป
เหมือนเค้าจะมีงานเทศการอะไรสักอย่างค่ะ
ทำให้ย่านนี้คึกคักมากๆ
แถมร้อนมากๆด้วย

เข้ามาเราก็เจอวัดฮินดูก่อนเลย

เดินๆอยู่เหมือนเดินในพาหุรัดสำเพ็งยังงัยไม่รู้ = =

มีร้านขายขนมด้วย
แต่ไม่กล้าลอง = =

เดินมา หมดเหงื่อไปสองปี๊บได้
และแล้วเราก็มาถึงค่ะ
Pinang Peranakan Mansion

ก่อนอื่นก็เสียค่าเข้าก่อนเลย

ประวัติที่นี่เราจำไม่ได้ 555
เพราะงั้นไม่ขอเล่าแล้วกัน
เอาเป็นว่าดูรูปกันเลย = =  

อ๋ออ ค่าเข้าที่ 10 RM นะคะ

ส่วนชั้นล่างของบ้าน
จะพบว่ามีการเปิดโล่งด้านบน
เพื่อให้รับน้ำรับแสงเหมือนกับบ้านหลายๆ หลังที่เราผ่านมา
แต่ปัจจุบันที่นี่ ได้ทำหลังคาแบบโปร่งแสงคลุมไว้แล้ว

ถ้าสังเกตุระเบียงจะเห็นว่าระเบียงสวยมากๆ

ชั้นล่างจะแบ่งออกเป็นปีซ้ายและขวา
ปีกซ้ายจะพบว่า
เป็นที่รับแขก
โดยศิลปะของที่นี่ จะเป็นจีนผสมกับอังกฤษ

ขึ้นมาระเบียงด้านบน
ก็จะแบ่งออกเป็นสองด้านเช่นกัน

โดยสองฟากจะแบ่งออกเป็นห้องนอนสี่ห้อง
เป็นแบบจีน สองห้อง
และเป็นแบบอังกฤษสองห้องค่ะ
เราชอบที่นี่อย่างนึงคือ
ของใช้ทุกอย่างยังอยู่ที่เดิม
เหมือนยังมีคนอยู่
มีคนใช้งานอยู่เลยค่ะ

ห้องนอนห้องนี้บนเตียงจะมีชุดเจ้าสาววางอยู่
น่าจะเป็นของเจ้าของห้องนะคะ

ข้อเสียสำหรับคนถ่ายรูปคือ เค้าติดกระจกสีแดงทำให้ถ่ายรูปยากมากกก
WB เพี้ยนกระจาย แถมถ่ายเป็น jpg ไม่ได้ถ่ายเป็น raw file กลับมาทำใจ
เรื่อง WB อย่างรุนแรง = =

ห้องข้างๆ เป็นที่เก็บ โคมไฟ เครื่องแก้ว
เราว่าที่บ้านนี้ต้องชอบลิลลี่มากๆ
เพราะโคมไฟ เชิงเทียน ทุกอย่างทำเป็นดอกลิลลี่หมดเลย

มาโถงกลางบ้านชั้นบน
คิดว่าน่าจะเป็นที่นั่งพักผ่อนของสมาชิกในบ้าน

เราชอบเก้าอี้ตัวนี้มากๆๆ
ได้อารมต่างคนต่างมีโลกส่วนตัวของตัวเองดี
ทั้งๆที่นั่งอยู๋ด้วยกัน

ชอบจัง ขออีกมุม

ด้านหัวมุมก่อนเดินมาปีกด้านซ้าย
จะเจอกับกล้องถ่ายรูปโบราณเครื่องนี้ตั้งอยู่ค่ะ

เขยิบมาที่โถงด้านซ้าย
จะเจอเหมือนที่รับรองแขกอยู่ก่อนถึงห้องนอนเลย

ตอนนี้เรามาดูห้องนอนแบบจีนกันบ้าง
ห้องนอนแบบนี้เราจะเจอในหนังจีนกำลังภายในบ่อยๆ
แต่พอเรามาเห็นของจริง
แอบรู้สึกว่านอนกันได้งัย
ดูอึดอัดมากๆ

ลงมาด้านล่างอีกครั้ง
ที่ปีกด้านขวา
จะเป็นมีโต๊ะกินข้าวเรียงยาวทั้งสามห้องเลยค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นโถงตรงกลาง
หรือว่าห้องซ้ายขวา
ลองดูกันค่ะ

ห้องขวา

ห้องซ้าย

ตรงกลาง

อีกมุมเมื่อมองย้อนออกไป

เดินมาด้านหลังตึกใหญ่
ก็จะเป็นโซนจัดเลี้ยง
กับห้องครัวค่ะ
โดยในโซนจัดเลี้ยง
จะมีกระจกกั้น บ่อน้ำ
ไม่รู้เหมือนกันว่า บ่อนัำนั้นมีเอาไว้ทำอะไร

เดินไปด้านในก็จะพบกับครัวค่ะ

ลา Pinang Peranakan Mansion  
ด้วยรูปด้านหน้าค่ะ เผื่อใครหาไม่เจอ

เดินมาจนเหนื่อย
ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว
มื้อนี้เราฝากท้องไว้ใกล้กับจุดหมายที่ต่อไป
คือ blue mansion
เพราะที่นี่จะเปิดให้เข้าเป็นรอบค่ะ
รอบที่เราจะเข้าคือรอบ บ่ายสาม
ดังนั้นเราต้องค่อนข้างรีบกันเลย
เราหม่ำกันที่ร้านนี้ค่ะ

Ryan's Gourmet

อาหารมื้อนี้ใกล้เคียงกับอาหารไทยเลยค่ะ
มีต้มยำด้วย
เลยไม่แน่ใจว่าเจ้าของเป็นคนไทยหรือเปล่า
แต่ว่า จัดร้านได้อิตาเลี่ยนมาก
นึกว่าเป็นอาหารอิตาเลี่ยนซะอีก

เริ่มต้นด้วยหมึกทอดค่ะ

ต่อด้วยข้าวอบสับประรด
size นี้เป็นขนาดสองคนกินนะคะ

อร่อยใช้ได้เลย

ต่อด้วยหมี่ขาวผัดต้มยำแห้ง
มีข่าตะไคร้ใบมะกรูดครบบบบบ

อิ่มแล้วเราข้ามถนนกลับมาที่
Blue mansion
ที่นี่ห้ามถ่ายรูปภายใน
ดังนั้นจึงได้แค่รูปข้างนอกมา T T
ค่าเข้าจำไม่ได้ว่า 10 หรือ 20 RM ค่ะ

ที่นี่ ปัจจุบันเปิดรับนักท่องเที่ยวให้เข้าพักได้นะคะ
ราคาอยู๋ที่คืนละ 100$  
ซึ่งเค้าบอกว่า เต็มทั้งปี
ต้องจองล่วงหน้านานมากๆ

ออกจาก blue mansion
ก็เริ่มเดินไม่ไหวแล้ว
เพราะเดินกันมาตั้งแต่เช้า
เลยเก็บสถานที่รอบๆ นั้นได้มาอีกหน่อย

ที่แรกเค้าเรียกว่าโบสถ์อัสสัมชัญ ค่ะ
= =

ชื่อโบถส์ชื่อนี้จริงๆนะ

เขยิบมาอีกหน่อยเจอโบสถ์อีกหนึ่งโบสถ์แต่อันนี้ไม่รู้ว่าชื่ออะไร
5555
ตอนนั้นไร้สติแล้ว รู้อย่างเดียว ร้อนและเมื่อยมากกก

เดินมาจนถึงริมหาด
เจอตีกนี้
เห็นหน้าตาคล้ายตึกกลาโหมบ้านเรา
เลยถ่ายมา

วันนั้นโชคดีมาก
ได้เห็นเรือ star cruise กำลังออกจากท่าพอดี
เลยได้รูปมา

ปิดท้ายทริปนี้ด้วยอาหารเย็น
ซึ่งบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไรบ้าง
เพราะจิ้มๆ มา ก็ได้อาหารแบบนี้มา = =
รู้แต่ว่าทุกอย่างอร่อยเลยทีเดียว 5555


เริ่มต้นที่ข้าวผัด

ต่อจากนั้นเป็นหมูผัดอะไรสักอย่าง

มาต่อกันที่ไก่ผัดอะไรสักอย่าง

และสุดท้ายหอยอะไรสักอย่าง = =

สุดท้ายแล้ว

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

เจอกันใหม่ทริปหน้าที่เชียงใหม่[รอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ 555]

ตามไปเที่ยวปีนังด้วยคนนะคะ

มาชมรีวิวต่อค่ะ  หิวเลย

ตามมาเที่ยวปีนังค่ะ ชอบสถาปัตย์เมืองนั้นมากมาย ไปแล้วนึกถึงพวกถ่าย pre-wedding ว่าดูน่าจะเหมาะกันจัง ^ ^

ตามมาเที่ยวปีนังค่ะ ชอบสถาปัตย์เมืองนั้นมากมาย ไปแล้วนึกถึงพวกถ่าย pre-wedding ว่าดูน่าจะเหมาะกันจัง ^ ^

เน็ตมีปัญหา คห ซ้ำ ขอโทษด้วยนะคะ

ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ

ที่ little India คนเยอะ เราเดาว่าน่าจะเกี่ยวกับเทศกาล Diwali ของชาวฮินดี เค้าน่ะค่ะ เทศกาลนี้ปีนี้ก็มีใกล้ๆช่วงอาทิตย์นี้หละค่ะ
ลูกค้าเราชาวอินเดีย เค้าเล่าว่าเทศกาลนี้ใหญ่มาก คนจะออกมาจับจ่ายซื้อของกันเพียบ เค้าเล่าความเป็นมานะคะ แต่เราดันลืมไปแล้ว 55

ว้าวว ขอบคุณมากๆค่ะ

น่าไปจังเลย เห็นของกินแล้วหิวตาลายเลย

รูปสวยจังเลยค่ะ

แวะมาชมครับ ตามไปปีนังด้วยคน ภาพสวยมากครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ

กิ๊ฟเดือนนี้หมดแล้ว ผมให้ แทนนะครับ

ตามมาเที่ยวต่อค่ะ...ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ ปีนังสวยมากกก

K.ColaGirl: ตามมาเลยค่า แต่รู้สึกว่าตัวเรายังเที่ยวไม่ครบเลย ^^ สงสัยต้องมีอีกรอบ

K.สาวหน้าใส : คุณไกด์ประจำตัวบอกว่ากลับมาถ้าน้ำหนักไม่ขึ้นมีเคือง = =

k.คนหลังม่าน : เราเห็นคนมาถ่าย pre wedding เยอะมากๆเลยค่ะ ในแต่ละที่ที่เราไปเดินวันที่สอง เห็นแล้วตาร้อนมากกก [อากาศก็ร้อนด้วย  - - "]

K. เล็กทาโร่ : ขอบที่มาเยี่ยมเยียนกันค่า ^^

K.Baby_I Know_U Know : แอบเห็นในปฏิทินเค้าเหมือนกันค่ะ ว่าเป็นวันอะไรสักอย่างในวันอาทิตย์ที่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นวันอะไร 555

K.cottonna : ของกินเยอะมากๆเลยค่ะ

K. พะโล้น้อย  : ขอบคุณค่ะ ^^

K. กัปตันลูกชุบ : ขอบคุณค่า

K. Sergeant Keroro : ปีนังเที่ยวไม่ยาก ค่าครองชีพไม่แพงมากเป็นอีกเมืองที่น่าไปค่ะ ^^

ถ่ายรูปสวยมากๆครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ^^