ขึ้นเชียงใหม่ ตะลุย 2 ดอย 1 น้ำพุร้อน กับน้อง Smash

ทริปการเดินทางครั้งนี้ของเรามันเริ่มขึ้นง่ายมาก
เราตั้งโจทย์ว่าอยากไปล่าพญาเสือโคร่งฉลองปีใหม่
(เราอันประกอบด้วย กานดา หน้ามึนและน้องงุ๊งหงิ่ง) ตกลงวางแผนการเดินทางกันได้เสร็จสรรพ ผมก็โทรไปจองตั๋วรถทัวร์ จองเต้นท์ และ จองพาหนะสำหรับเดินทางขึ้นเหนือไปเชียงใหม่ช่วงปีใหม่เพื่อล่าเสือโคร่งกัน
....
...
พญาเสือโคร่ง?
พญาเสือโคร่งที่ผมกับน้องงุ๊งหงิ่งไปล่าคือไม้เมืองหนาวที่มีชื่อว่า ‘ต้นพญาเสือโคร่ง’   หรือซากุระเมืองไทย ใครนึกภาพไม่ออกกรุณานึกภาพต้นซากุระ นั่นแหละครับร่างจริงของต้นพญาเสือโคร่ง
แต่ถ้าใครไม่เคยเห็นต้นซากุระ ไม่เคยเห็นต้นพญาเสือโคร่ง ตีบตันทางจินตนาการนึกภาพตามไม่ออก ก็เปิดอินเทอร์เน็ตแล้วถามที่กรู(เกิ้ล) เอาเลยครับว่าหน้าตาซากุระเมืองไทยมันเป็นอย่างไร
สรุปนะครับ พญาเสือโคร่งคือต้นไม้ ไม่ใช่สัตว์ ผมตั้งชื่อตอนให้ดูกำกวม เก๋ๆ ไปงั้นๆ แหละครับ
ต้นพญาเสือโคร่งซึ่งผมได้อธิบายไปแล้วว่ามันเป็นต้นไม้พันธุ์เดียวกับต้นซากุระ มีการปลูกเฉพาะจังหวัดทางภาคเหนือของไทย ถามว่าปลูกภาคใต้ได้ไหม คำตอบคือได้ครับไม่บาป แต่ดอกมันไม่บานหรอกครับ
เอาเป็นว่าเก็บกระเป๋าแล้วซ้อนท้ายผมเลยครับ
...อุ้ย! ลืมไปมีคนซ้อนแล้ว

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:17:52 ]
ความเห็นที่ 1

ภาพปลากรอบ

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:19:13 ]
ความเห็นที่ 2

ก่อนออกเดินทาง เราหาข้อมูลเกี่ยวกับต้นพญาเสือโคร่งมาพักนึงจนรู้ว่าดอยอินทนนท์ดอกพญาเสือโคร่งบานไปแล้วและร่วงไปเกือบหมดแล้ว

ตอนนี้ที่ยังเหลืออยู่และข้อมูลกำกวมว่าบานหรือยังคือ ดอยอ่างขาง และ ดอยปุย

เราเลยร่างนโยบายของทริปนี้กันอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่เรานึกออก เราตกลงกันว่าใช้เวลาเที่ยวกัน 4 วัน 3 คืน ตะลุยล่าพญาเสือโคร่งกัน 3 ดอย ด้วยมอเตอร์ไซค์เช่า
จุดเริ่มต้นคือเชียงใหม่มุ่งหน้าสู่ ‘ดอยอ่างขาง’ ซึ่งคาดว่าช่วงนี้พญาเสือโคร่งกำลังบาน พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนจะมุ่งขึ้นเหนือไป ‘ดอยฟ้าห่มปก’ เพื่อรับลมหนาวที่เค้าว่าหนาวที่สุดในเชียงใหม่บรรยากาศดีมีน้ำพุร้อนให้อาบ จบด้วยการไปล่าพญาเสือโคร่งอีกรอบนึงที่ ‘ขุนช่างเคี่ยน’ (ดอยสุเทพ-ปุย)

ระยะทางรวมกันทั้งทริปอยู่ที่ราวๆ  500 กว่ากิโลเมตร เทียบกันแล้วก็ประมาณกรุงเทพฯ ไปกลับชลบุรี 3 รอบครึ่ง
แต่ระยะทางไม่ใช่อุปสรรค คนเมืองอย่างผมหาโอกาสยากที่จะได้ขี่มอเตอร์ไซค์ในจังหวัดที่บรรยากาศดีแบบนี้น้อยมากคิดดูแล้วถึงมันจะเหนื่อยแต่ก็คุ้ม ชีวิตนี้เกิดมาครั้งเดียวอยากไปเห็นอะไร ไปทำอะไรที่ไม่เคยทำ ชั่งตวงด้วยตาชั่งยี่ห้อไหนผมว่ายังไงมันก็คุ้ม ส่วนพญาเสือโคร่งเป้าหมายหลักของเราจะโผล่มาให้เห็นเป็นฝูง หรือจะโผล่มาให้เห็นแค่ซากที่ร่วงลงไปแล้ว อันนี้ไม่สามารถคาดเดาได้
ขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่ทำมา (ขนาดนั้นเลยเหรอ?)
.....

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:21:12 ]
ความเห็นที่ 3

เราออกเดินทางกันในวันศุกร์สุดท้ายของการทำงาน
ซึ่งวันพรุ่งนี้จะเป็นวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่คนต่างจังหวัดส่วนใหญ่ซึ่งมาทำงานในกรุงเทพฯ จะสามัคคีพร้อมใจกันเดินทางกลับบ้าน

บางส่วนที่ไม่มีต่างจังหวัดของตัวเองให้กลับก็ถือโอกาสไปเยือนต่างจังหวัดแทน
ใครที่มาซื้อตั๋วไปต่างจังหวัดในวันนี้คงยากเต็มทีที่จะมีที่ว่างให้คุณเอาตูดไปหย่อนให้สบายใจ อย่างดีก็ได้ตั๋วรถเสริมที่ไม่รู้ชะตากรรมว่าสภาพมันเป็นอย่างไร
ผมเคยขึ้นรสเสริมของเจ้คนนึง ซึ่งเป็นขาใหญ่ของวงการขนส่งบ้านเรา ขอบอกว่าสภาพรถ ‘กาก’ มากถึงมากที่สุด วิ่งไปยังไม่ทันพ้นทางด่วนตรงวิภาวดี

รถแม่มก็จอดเสียกลางทางดื้อๆ พอซ่อมได้ วิ่งไปสักพักแอร์ดับ แถมรถไปถึงที่หมายก็ช้าบรรลัยไส้ บอกจะถึงตอนแปดโมงเช้า พี่แกแถมให้อีกสองชั่วโมงคล้ายกลัวว่าเราจะนั่งรู้สึกไม่คุ้มค่าราคาตั๋ว...สลัด!  
บทเรียนในวันนั้นทำให้ผมจองตั๋วไปเชียงใหม่มันเสียแต่เนิ่นๆ เกือบเดือนเป็นการการันตีว่าได้ไปชัวร์เฟร้ย

ช่วงที่เราออกเดินทาง น่าแปลกที่บนถนนสายที่ขึ้นเหนือรถยนต์กลับไม่เยอะเต็มถนนเหมือนอย่างที่ผมดูข่าว

รถมันก็วิ่งได้เรื่อยๆ ของมันและ 10 ชั่วโมงต่อมาเราก็มายืนสั่นงั่กๆ ด้วยความหนาวที่อาเขตเชียงใหม่
บรรยากาศของเชียงใหม่ยามเช้าที่อาเขตวุ่นวายและคร่าคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว เสียงตะโกนโหวกเหวกเรียกผู้โดยสารจากคนขับรถแดงและรถตุ๊กตุ๊ก ดังเซอร์ราวด์รอบๆ ตัวผม พร้อมเอฟเฟคไอหมอกยามเช้าตีคู่มากับลมหนาวที่พัดโชยความสดชื่นใส่ตัวเราทั้งคู่ตลอดเวลา บรรยากาศแบบนี้ผมว่ากรุงเทพฯ ให้เราไม่ได้แน่นอน
ผมหมายถึงไอหมอกและอากาศหนาวๆ น่ะครับ
...
เพิ่มเติมนิดนึง สถานีขนส่งของเชียงใหม่คนที่นั่นเขาเรียก ‘อาเขต’ ครับ ส่วนไปสถานีขนส่งที่นั่นคนเขาจะหมายถึง ‘สถานีขนส่งช้างเผือก’ ซึ่งมีรถบริการสำหรับวิ่งในอาณาเขตใกล้ๆ เท่านั้น เช่น สันกำแพง, ดอยหล่อ (ใครอยากหล่อแนะนำให้ไปดอยหล่อ)  อมก๋อย (ก๋อยนี่มันคืออะไร ทำไมต้องไปอมมัน) สบตุ๋ย (...ตุ๋ยมันเป็นใครวะ) และหลากชื่ออำเภอที่ฟังดูประหลาดหู แต่ฟังดูก็น่ารักทีเดียว

ไปถึงอาเขตเราต้องต่อรถสองแถวแดงไปลงที่ ‘กาดพยอม’ ซึ่งอยู่ด้านหลัง มช. เพื่อเช่ารถมอเตอร์ไซค์ พาหนะหลักสำหรับพาเราทั้งคู่ตระเวนไปตามนโยบายที่ร่างไว้ ที่แรกคือ ‘ดอยอ่างขาง’ ดอยที่โคตรชันอันดับหนึ่งของภาคเหนือ (จากที่ฟังเขาสปอยด์มาน่ะนะ)

ซึ่งผมเองก็เชื่อเพราะปีที่แล้วผมเพิ่งมาอ่างขางไปรอบนึงและรู้ว่ามันชันจริงๆ แต่ครั้งนั้นผมกับเพื่อนเช่ารถขึ้นไปเลยไม่รู้ว่ามอเตอร์ไซค์ที่มีคนซ้อนพร้อมสัมภาระมันจะพาเราขึ้นไหวไหมวะ

มาตรฐานรถแดงสำหรับคนพื้นที่จะรู้กันว่าเพียง 20 บาท ต่อคนก็พอ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวหากทะเล่อทะล่าขึ้นไปโดยไม่ศึกษาราคาหรือตกลงกันให้ดีอาจโดนรถแดงฟันกบาลหัวแบะ โชคดีที่ผมพอรู้ภาษาเหนืออยู่บ้างเลยต่อรองให้เขามาส่งที่กาดพยอมในราคาคนละ 40 บาท (โดยใช้ภาษากรุงเทพฯ นี่แหละ จะเนียนเป็นคนเหนือก็กลัวไม่เนียนจริง เผลอๆ อาจโดนมากกว่านี้) ไม่แพงและรับได้

“ขึ้นได้ครับน้องสบาย ” พนักงานในร้านรถเช่ายืนยันว่า smash 110i ที่ผมเช่าอยู่พาเราทั้งคู่ขึ้นดอยอ่างขางไหว
ซึ่งก็คำตอบของพี่ๆ เพื่อนๆ หลายคนใน pantip.com ที่ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่ามอเตอร์ไซค์ขึ้นไหว

บางคนกลัวว่าเราจะไม่เชื่อก็โพสต์รูปตัวเองกับมอเตอร์ไซค์คันที่พิชิตดอยอ่างขางให้เราดูเพื่อเพิ่มน้ำหนักคำพูดให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นอีก 65.25%
เอาวะ ขนาด wave100 ในรูปที่พี่เขาโชว์มันยังขึ้นได้ทำไม น้องแมชมันจะพาเราขึ้นไปไม่ได้วะเฮ้ย!
ผมปลุกใจตัวเองประหนึ่งขุนศึกหนุ่มที่พร้อมจะออกรบตะลุยดงพญาเสือโคร่ง (ส่วนในใจปอดนิดๆ สาบาน)

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:24:55 ]
ความเห็นที่ 4

พาหนะที่เราฝากชีวิตไว้ในทริปนี้
น้อง Suzuki Smash

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:25:40 ]
ความเห็นที่ 5

4 ชั่วโมงกว่าๆ ที่เราทั้งคู่ขี่ ‘น้องแมช’ รถมอเตอร์ไซค์ที่กลายเป็นเพื่อนร่วมทางประจำทริปนี้ขึ้นไปตามเส้นทางเชียงใหม่ – ฝาง มุ่งหน้าสู่ดอยอ่างขาง

ระยะทาง 190 กิโลเมตร เพื่อให้ทันก่อนบ่ายโมงเพราะผมได้ข่าวมาว่า ดอยต่างๆ ที่เชียงใหม่จะถูกจำกัดเวลาขึ้นลงเนื่องจากช่วงปีใหม่นักท่องเที่ยวจะเยอะและเกรงว่าจะเกิดรถติดบนดอย

การขี่มอเตอร์ไซค์ครั้งนี้จึงเป็นการขี่แข่งกับเวลา (ขึ้นดอย) เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมต้องขี่ไปดูนาฬิกาไปและนับป้ายระยะทางอย่างใจจดจ่อ
นาทีนั้นผมเข้าใจความรู้สึกของนักแข่งรถที่ต้องวิ่งไปเข้าเส้นชัยให้ทันเวลาอย่างจับใจ
ยิ่งเวลาใกล้เข้ามาสวนทางกับระยะทางที่ยังอีกไกล ผมก็ยิ่งหวั่นใจกลัวจะไปไม่ทัน
แล้วเที่ยงกว่าๆ ผมก็ถึงตีนดอยจนได้ เป็นอันว่าเราขึ้นดอยทัน

“ขึ้นไหวแน่นะ” น้องงุ๊งหงิ่งถามผม

“ไหวดิ สบายๆ เค้าบอกมา” ผมตอบด้วยความมั่นใจ แต่ลึกๆ ก็หวั่นนิด กลัวน้องแมชจะขึ้นไม่ไหว

“ขึ้นรถสองแถวไหมอ่ะ” น้องงุ๊งหงิ่งทำลายความมั่นใจผมอีกรอบ

“อ่ะ...เออ ไหวดิ๊ ขึ้นทำไมรถสองแถว เค้าขี่มอเตอร์ไซค์มานาน ขึ้นดอยแค่นี้สบ๊าย!” ผมตัดจบ

ระหว่างทางก่อนจะขึ้นดอยอ่างขางผมขี่รถผ่านหมู่บ้าน สวนส้ม และด่านที่ตรวจสอบรถที่จะขึ้นหลังเวลาที่กำหนด ผมวิ่งด้วยเกียร์สี่มาตลอดทางบนทางราบได้สบายๆ ส่วนวิวตรงหน้าก็ทำให้เราร้องอู้ฮู้ อ้าห๊า กันด้วยความสุขจนกับบรรยากาศธรรมชาติเบื้องหน้า

จนมาถึงเนินลูกแรก ซึ่งถือเป็นหลักไมล์แรกที่เรากำลังจะขึ้นดอยอ่างขาง
ด้วยความเร็วและแรงส่งของรถที่ผมขับมาด้วยความเร็วประมาณนึงทำให้ผมมั่นใจว่าเกียร์สองก็พอไหว

ว่าแล้วผมก็ตบลงเป็นเกียร์สองแล้วบิดเพิ่มความเร็วให้รถ

ทว่าไม่มีคนสติดีคนไหนขี่มอเตอร์ไซค์เกียร์สองขึ้นดอยแน่นอน
โดยเฉพาะการใช้เกียร์สองในขณะที่มีคนซ้อนและสัมภาระเป็นกระเป๋าสองใบ น้องแมชคอยๆ คลานขึ้นเนินแรกอย่างเชื่องช้า กระทั่งมันหยุดนิ่งอยู่กลางทางจนผมต้องเอาเท้ายันพื้นและตบเกียร์ลงเป็นเกียร์หนึ่งเพื่อให้รถมีแรงส่ง

ผลคือน้องแมชพยศยกล้อหน้าขึ้นรถสะบัดพุ่งลงข้างทางทันที โชคดีที่มันพุ่งลงทางฝั่งซ้ายซึ่งมีเศษซากวัชพืชกองไว้มหาศาลจนทำให้เราและรถไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามังพุ่งลงไปด้านขวามือก็ไม่อยากจะคิด เพราะด้านนั้นมันสูงห่างจากพื้นประมาณตึกสามชั้นเลยล่ะครับ

“ไหนบอกขึ้นได้สบายไง!”

คงไม่ต้องเดาว่านี่เสียงใครถาม

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:27:38 ]
ความเห็นที่ 6

หลังเจอเหตุระทึกขวัญเราก็มาจอดพักที่จุดนี้

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:28:25 ]
ความเห็นที่ 8

ณ ลานกางเตนท์ สิ่งที่ทำให้เราทึ่งไม่แพ้บรรยากาศธรรมชาติที่สวยงามของบริเวณลานกางเตนท์
คือจำนวนรถยนต์ที่จอดเรียงรายกันเต็มสองขางทางราวกับมีงานมินิมอเตอร์โชว์รถมือสอง ส่วนใหญ่ทะเบียนรถแปะระบุที่มาว่า ‘กรุงเทพมหานคร’

ที่น่าตะลึงกว่านั้นคือบริเวณหน้า ‘สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง’ มีรถติดยาวเหยียดและแออัดราวกับยกสี่แยกลาดพร้าวตอนราวๆ 6 โมงเย็นมาไว้บนดอยอ่างขางเลยก็ว่าได้
น่าตะลึงสุดๆ หาชมไมได้ที่ไหนนอกจากที่นี่สินะ

แต่เวลาตอนนี้ก็เย็นแล้ว สถานีเกษตรฯ ก็กำลังจะปิดเราเลยยังไม่เข้าไปยลต้นพญาเสือโคร่งด้านในสถานีเกษตรฯ แต่เราสามารถมองหาต้นพญาเสือโคร่งจากบริเวณจุดกางเตนท์ซึ่งเจ้าหน้าที่ประจำลานกางเตนท์บอกว่ามี

“ตรงนู้นอ่ะน้องเห็นไหม” พี่เจ้าหน้าที่ประจำลานกางเตนท์ชี้ไปตรงสุดเขตลาน

“ไหนอ่ะครับ” ผมถามด้วยความใสซื่อ สารภาพตามตรงเกิดมาไม่เคยเห็นดอกพญาเสือโคร่งมาก่อน

“นั่นไงน้อง เห็นต้นไม้ต้นแห้งๆ สีขาวๆ ที่ไม่มีใบนั่นเห็นไหม กิ่งมันโผล่มาลิบๆ นั่นน่ะ” พี่หลุยส์คนเดิมชี้ชัดขึ้น

“อ้อ ครับเห็นแล้วครับที่เรียงกันเป็นแถวตรงนั้นใช่ไหมครับ”

“ก็นั่นแหละต้นมัน”

“แล้วดอกมันล่ะครับ” ผมรุกถามต่อทันทีด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เห็นดอกพญาเสือโคร่ง

“อ้อ! มันร่วงไปแล้วเมื่อสามวันก่อน”

จบข่าว!

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:32:21 ]
ความเห็นที่ 10

บริเวณลานกางเตนท์ซึ่งเปลี่ยนสภาพเป็นงานมินิมอเตอร์โชว์บนดอยอ่างขาง

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:33:07 ]
ความเห็นที่ 11

วันนี้เราตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะมีโปรแกรมต้องเดินทางไปดอยฟ้าห่มปก
หลังจากที่เมื่อวานเพิ่งอกหักเพราะดอกพญาเสือโคร่งเพิ่งสละดอกลงพื้นดินไปก่อนที่เราจะมาสามวัน
เป็นอันว่าดวงเราคงไม่ถึง

เหมือนสวรรค์ยังมีตา ตอนที่ผมเดินไปดูป้ายติดประกาศอุณหภูมิเมื่อคืนและวันนี้ (ป้ายบอกว่าเมื่อคืนอุณหภูมิต่ำสุดที่ 8.5 องศาเซลเซียส
ถึงว่าทำไมมันหนาวดิ๊กเลย)

เจ้าหน้าที่ใจดีอีกคนนึงเดินมาบอกกับผมว่าในสถานีเกษตรฯ
ยังมีดอกพญาเสือโคร่งบานอยู่เพราะปีนี้อากาศแปรปรวนอากาศหนาวเร็วผิดปกติ
ต้นพญาเสือโคร่งมันเข้าใจผิดว่าหนาวแล้วมันเลยบานเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
แต่ก็ยังมีบางต้นที่ไม่ทำตัวเป็นพญาเสือโคร่งตื่นตูมยังบานช่วงเวลาที่ควรจะเป็น
ซึ่งมันบานไปแล้วเมื่อกลางเดือนธันวาคม และเพิ่งสลัดดอกทิ้งไปได้เมื่อสามวันที่ผ่านมาเหมือนพญาเสือโคร่ง
เซ็ตแรกที่เราเจอที่ลานกางเตนท์
เอิ่ม...

“มันยังมีอีกหลายต้นที่ยังไม่บานเลยนะ น้องลองเข้าไปดูในสถานีเกษตรฯ เลยดีกว่าถ้าอยากดูนะ”
เจ้าหน้าที่อีกคนที่หน้าเหมือนหนุ่ม-อรรถพร ชี้ทางสว่าง
สรุปคือพี่หนุ่ม (ร่างโคลนนิ่ง) บอกกับเราว่ามันยังมีต้นพญาเสือโคร่งที่ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำตัวอินดี้ไม่บานตามต้นอื่นๆ
และมีโอกาสที่จะผลิดอกออกมาพอๆ กับไม่ผลิดอกออกมา เพราะมันเป็นต้นพญาเสือโคร่งอินดี้
เราเลยต้องไปวัดดวงกับต้นพญาเสือโคร่งอินดี้เหล่านั้น
ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันไปทำตัวอินดี้อยู่แห่งหนตำบลใดในศูนย์เกษตรฯ อันกว้างใหญ่

เราขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนหาดอกพญาเสือโคร่งที่กระจายอยู่ตามศูนย์เกษตรฯ ตอนแรกเข้าใจว่าหายาก
แต่แค่เข้าไปไม่นานเราก็เจอดอกไม้สีชมพูขึ้นอยู่บนต้นไม้ลักษณะคล้ายต้นพญาเสือโคร่งที่ยืนโด่เด่กันกระจายเต็มสถานีเกษตรฯ  
วินาทีแรกที่เห็นดอกพญาเสือโคร่งเราไม่ได้ตกใจ
ไม่ใช่ว่าไม่ตื่นเต้น แต่ไม่รู้ คิดว่าเป็นต้นไม้ต้นอื่นๆ จนเดินไปดูป้ายใกล้ๆ เราถึงฉลาดขึ้น
นี่เหรอพญาเสือโคร่ง!?
พอรู้ว่าเป็นพญาเสือโคร่งเราทั้งคู่ถึงได้ตกใจ
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! (จัดหนักอัศเจรีย์เพื่อแสดงความตกใจกันชัดๆ )

ถามความรู้สึกตอนนั้นว่าสวยไหม สวยครับ
แต่มันยังไม่ถึงขั้นสวยที่สุด

เพราะมันเป็นพญาเสือโคร่งอินดี้ที่บานช้ากว่าเพื่อน แถมยังบานไม่เต็มอัตราศึกสงสัยกลัวว่าปีหน้าจะไม่มีดอกให้บาน  ผิดกับดอกเบี้ยเงินกู้ที่ขึ้นเอ้าขึ้นเอา
เขาว่าดอกพญาเสือโคร่งจะสวยก็ต่อเมื่ออยู่กันเป็นหมู่คณะ และถ้าหวังว่าดอยอ่างขางจะมีดอกพญาเสือโคร่งยืนเรียงบานสะพรั่งกันเป็นหมู่คณะแล้วล่ะก็ ต้องขอบอกว่าเรามาช้าไปแต่ถือเป็นฤกษ์ดีที่ภารกิจล่าพญาเสือโคร่งของเราสำเร็จ

แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราก็ได้เห็นดอกพญาเสือโคร่งต้นเป็นๆ แล้ว

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:35:41 ]
ความเห็นที่ 12

บรรยากาศบนดอยอ่างขางที่อุดมไปด้วยนักท่องเที่ยว
(แต่ไม่ได้ถ่ายนักท่องเที่ยวมาหรอกครับ ถ่ายแต่วิว)

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:36:47 ]
ความเห็นที่ 13

เราออกเดินทางกันอีกครั้งไปยังดอยฟ้าห่มปก
เป้าหมายจุดที่สองที่นี่ไม่มีต้นพญาเสือโคร่ง แต่ที่นี่เขาว่ากันว่า บนดอยฟ้าห่มปกนั้นอากาศหนาวมาก และวิวพระอาทิตย์ขึ้นก็สวยระดับซูปเปอร์แพลทตินั่มประตูน้ำมาบุญครองเลยทีเดียว

และก็เป็นอีกครั้งที่ผมต้องขี่รถแข่งกับเวลาไป ‘อุทยานแห่งชาติน้ำพุร้อนฝาง’ ซึ่งเป็นที่ตั้งของดอยฟ้าห่มปก
ช่วงขี่รถลงดอยอ่างขางผมรู้สึกได้ชัดเจนว่ามันง่ายกว่ากันมาก แทบไม่ต้องบิดคันเร่งเลย
สิ่งที่ผมทำคือกำเบรกอย่างเดียว แม้ขณะที่ผมลงดอยจะเป็นเวลาเกือบเที่ยง แต่อากาศบนดอยหนาวมาก
ลมหนาววิ่งเข้าปะทะผมจนมือชา ปากสั่น สมใจคนรักอากาศหนาวอย่างผมแบบเต็มๆ (จริงๆ ตอนนั้นเริ่มนึกเกลียดเล็กๆ เพราะมันหนาวแบบไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจ)  

ช่วงตอนลงดอยข้อดีของมันนอกจากจะทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยแล้วเรายังไม่เห็นวิวทิวทัศน์รอบๆ ดอยอ่างขางอย่างชัดเจนขึ้น ที่สวยงามและชวนเสียวสันหลังไปพร้อมๆ กัน
ผมไปถึงทันเวลาขึ้นดอยถึงขั้นตัดสินกันด้วยภาพถ่ายกันให้ชัดๆ ไปเลยว่าผมกับเวลาอนุญาตให้ขึ้นดอยใครเร็วกว่ากัน
ภาพที่เห็นคือผมแลบลิ้นแตะเส้นชัยก่อนแบบฉิวเฉียด

ที่นี่ผมไม่กังวลเรื่องที่พักอีกเช่นกันเพราะผมจองเตนท์ไว้แล้วที่ลานบ่อน้ำพุร้อนเพราะอยากอาบน้ำพุร้อน
และดูจากแผนที่ลานกางเตนท์อยู่ไม่ไกลจาก
จุดกางเตนท์บนดอยฟ้าห่มปกเท่าไหร่ ผมยื่นใบจองเตนท์และลานกางเตนท์พร้อมถามหารถที่จะเช่าขึ้นดอยทันที
เพราะดอยฟ้าห่มปกต้องเหมารถโฟร์วีลเท่านั้น รถอื่นๆ หมดสิทธิ์

“ขึ้นไปทำไมล่ะคะ ลานกางเตนท์ของน้องอยู่ข้างล่างนี่แหละคะ” เจ้าหน้าที่ถาม

“...”

ผมหันไปมองหน้าเพื่อนร่วมทางที่ทำหน้างงไม่แพ้กัน

“อ่าว ผมเข้าใจว่าดอยฟ้าห่มปกกับลานกางเต้นบ่อน้ำพุร้อนมันใกล้กันเดินไปก็ถึง”
สารภาพเลยว่าในมโนภาพของคนที่ไม่เคยมาน้ำพุร้อนฝางมาก่อน ตอนจองจุดกางเตนท์ผมเข้าใจว่าน้ำพุร้อนฝางมันอยู่บนดอยที่ห่างจากจุดชมวิวดอยผาตั้งไม่ไกลเท่าไหร่ประมาณว่าเดินไปเอาก็ถึง

“ไม่เลยคะ คนละโยชกันเลย แล้วก็ตอนนี้ลานกางเตนท์ด้านบนเต็มหมดแล้วค่ะ”

“...”
เป็นอันว่าเราต้องนอนฉลองปีใหม่กันที่น้ำพุร้อนฝางนี่แหละ
ส่วนโปรเจ็คดอยฟ้าห่มปกคงต้องพับเก็บไว้ก่อนแล้วเปลี่ยนโปรแกร
มมาเป็นอาบน้ำร้อนคลายกล้ามเนื้อกันแก้ขัด

แม้ผิดหวังที่ไม่ได้ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ไม่ได้ไปสัมผัสอากาศหนาวที่เราอยากเจอแต่ก็โชคดีที่ได้เดินเล่นดูความอัศจรรย์ของธรรมชาติที่สร้างสรรค์ให้เกิดน้ำพุร้อนแทน

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:39:24 ]
ความเห็นที่ 14

ผู้ดูแลอุทยานซึ่งกำลังเดินเก็บขยะอยู่รอบๆ บริเวณบ่อน้ำพุร้อน
มาหยุดใกล้ๆ ผมซึ่งกำลังมองน้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นมาผืนดิน
พี่เขาเล่าให้ผมฟังว่าความร้อนใต้ดินที่ผมเห็นสามารถเอาไปทำเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ด้วย ซึ่งที่ฝางก็ทำอยู่เป็นโครงการชื่อว่า ‘โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ’ (ชื่อโครงการโคตรเท่อ่ะ)

สาบานได้ว่าเพิ่งรู้ว่าบ้านเรามีโครงการนี้ด้วย ฟังแล้วก็รู้สึกตัวเองฉลาดขึ้นอีกนิด นี่แหละที่ผมเชื่อว่าการเดินทางทำให้สายตาของเรากว้างไกลขึ้น (ถึงแม้ผมจะสายตาสั้น 350 ก็ตาม – เกี่ยวไหมวะเนี่ย)  
พร้อมทั้งชวนผมไปเข้าร่วมงานเทศกาลฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนเราปีใหม่ที่อุทยานแห่งนี้เป็นเจ้าภาพ แน่นอนว่าผมไม่ขัดศรัทธา

คืนนั้นรู้สึกโชคดีที่ไม่เอาแต่นอนเล่นในเตนท์ เรามีโอกาสได้ดูน้องๆ
เขาแสดงศิลปะประจำเผ่าหลายเผ่าก็สวยงามน่ารักเลยทีเดียว
(น้องบางคนหน้าตาดีมาก จับแต่งงตัวเป็นเด็กสยามยังเดาไม่ออกเลยว่าน้องเขาเป็นชาวเขา)

ดูการโชว์เชิด เอิ่ม...สัตว์อะไรสักอย่างที่เขาว่ามันเป็นสัตว์ที่ชาวเขาเผ่านั้นนับถือ  (อย่าถามว่าเผ่าอะไรผมลืมจริงๆ กราบขออภัย) หน้าตาเหมือนม้าผสมกวางแต่สีสันบาดใจวัยรุ่นสุดๆ

ได้เห็นศิลปะการป้องกันตัวของชาวเขา
ที่มีน้องสองคนหน้าตาดูสู้คนที่สุดในเผ่าออกมาเต้นๆ
เหมือนจะต่อยแต่ไม่ต่อย เหมือนจะเตะแต่ก็เตะไม่สุด
เหมือนจะตีลังกากลับหลังหันใส่เกลียวซัมเมอร์ซอร์สหลายจังหวะ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร แล้วจู่ๆ น้องสองคนก็ตัดจบเลิกแสดงเอาดื้อๆ

ได้ดูสกู๊ปนำเที่ยวดอยฟ้าห่มปกที่ทำให้เราเสียดายเล่นๆ โดยเฉพาะหน้าตาของพิธีกรที่แสดงออกอย่างโอเวอร์
แอคติ้งมากๆ อแมซิ่ง เอ็กซ์ไซต์ติ้งที่สุดในสามโลก เหมือนรู้ว่าเราอิจฉา จนอยากจะถามว่าจะยั่วกรูไปถึงไหนเฮ้ย!
และได้แช่น้ำพุร้อนกับคนที่เรารักมันก็ไม่เลวทีเดียว

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:40:41 ]
ความเห็นที่ 15

บรรยากาศในอุทยานแห่งชาติฝาง

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:41:16 ]
ความเห็นที่ 16

เช้าวันที่หนึ่งมกราคมเริ่มต้นวันใหม่ของปี 54
เราไปเดินเล่นบริเวณบ่อน้ำพุร้อนกันอีกรอบ
บรรยากาศผิดกับเมื่อคืนลิบลับ
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยหมอก รอบตัวผมมีแต่หมอกและหมอก ซึ่งเกิดจาก ไอร้อนจากบ่อน้ำพุร้อนที่กระจายอยู่เป็นร้อยๆ บ่อน้อยใหญ่สลับกันไปรอบตัวเรา
ที่มาปะทะกับอากาศเย็นจนเกิดเป็นหมอกหนา
เดนไปสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่ได้เกิดมองไม่เห็นบ่อน้ำพุร้อนตกลงไปแล้วจะโผล่ขึ้นมาขาวอมชมพูแหงๆ  (หนังหลุดหมดตัวน่ะครับ) เพราะอุณหภูมิขนาด 80 องศาเซลเซียสในบ่อไม่ใช่อุณหภูมิที่เราสามารถลงไปนอนแช่สบายๆ เหมือนในห้องอาบน้ำร้อนเมื่อคืนแน่ๆ

สูดอากาศสดชื่นและกินมื้อเช้าอยู่พักนึง เราก็เก็บข้าวของและเตรียมออกเดินทางกลับเข้าสู่เมืองเชียงใหม่เพื่อไปขุนช่างเคี่ยน แหล่งที่มั่นสุดท้ายของต้นพญาเสือโคร่งที่เขาบอกมาว่า (เขาอีกแล้ว เขานี่คือใครวะ?)

ที่นั่นต้นพญาเสือโคร่งหลายต้นยังไม่บาน และคาดว่ามันกำลังจะบาน
ถ้าโชคดีเราคงไปเห็นในช่วงที่มันสามัคคีกันบาน  
ไม่มีใครออกมายืนยันประโยคข้างบนว่าเราจะมีโอกาสเจอดงพญาเสือโคร่งหรืออาจได้เจอเสือโคร่งแค่ต้นเดียวนั่นไม่ใช่ประเด็นเพราะตอนนี้ประเด็นคือไปอย่างไรให้ถึงเชียงใหม่ก่อนเวลาอนุญาตให้ขึ้นดอยตอน 3 โมงเย็น (เท่าที่ผมจำได้นะ ผิดพลาดประการใดผมขอโยนความผิดให้รัฐบาลชุดที่แล้วละกัน)

จากฝางไปเชียงใหม่ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตรนิดๆ  ถ้าเป็นรถยนต์คงสบายๆ แต่เราเป็นมอเตอร์ไซค์นี่สิ
คำนวนระยะเวลาที่น้องแมชจะวิ่งไปถึง นับนิ้วแล้วถ้าไม่อิดออดหยุดพักบ่อยๆ ถี่ๆ นานๆ เวลาที่เรามีอยู่นี้ค่อนข้างจะเหลือเฟือ แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ฉะนั้นประเด็นหลักคือเราต้องพุ่งเป้าไปให้ถึงตัวเมืองเชียงใหม่ให้ได้ก่อนเวลาเดธไลน์
เอ้า!ไปก็ไป

ระหว่างทางไปเชียงใหม่ผมขี่รถด้วยความเร็วประมาณนึงพอที่จะทำให้เราได้เสพบรรยากาศรอบทาง แต่คนขับอย่างผมคงเสพได้ไม่มากไปกว่าวิวข้างหน้า ไม่งั้นอาจมีหลุดลงข้างทางอีกรอบแน่ๆ

ช่วงที่ผมขี่เลยทางเข้าอำเภอเชียงดาวผมผ่านภูเขาลูกนึงซึ่งไม่แน่ใจว่ามันคือดอยอะไร ลักษณะเด่นของมันคือมันสูงกว่าภูเขาข้างๆ อย่างชัดเจน (ดูจากรูปแล้วใครทราบบอกเราด้วยครับ) ขนาดเมฆยังเลยต่ำกว่ายอดเขาเสียอีก เดาเอาว่าอาจจะเป็นดอยหลวงเชียงดาว

แต่ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันคือดอยอะไร เปิดให้ขึ้นไหม ถ้าเปิดดอยนี้คือเป้าหมายต่อไปที่เราจะมาพิชิต
อย่าลืมนะครับใครรู้บอกเราที พรีสสสส!(สายตาอ้อนวอน)

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:43:01 ]
ความเห็นที่ 17

ดอยปริศนาแถวๆ เชียงดาว

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:43:29 ]
ความเห็นที่ 18

เรามาถึงดอยสุเทพชนิดเวลาเหลือเฟือและภาพรถติดบนดอยอ่างขางก็มาหาเราถึงดอยสุเทพ
รถบนดอยสุเทพช่วงสุดท้ายก่อนถึงลานจอดรถหน้าวัดพระธาตุดอยสุเทพ มีติดยาวเหยียด แถมสองข้างทางมีรถมักง่ายหลายคันจอดอยู่ทำให้เสียพื้นผิวจราจรโดยใช้เหตุ
รถส่วนใหญ่ระบุไว้ชัดเจนว่ามาจาก กรุงเทพฯ

หน้าทางเข้าวัดพระธาตุดอยสุเทพคนเยอะมากจนยากเกินกว่าทีเราจะแวะไปนมัสการพระธาตุคู่เมืองเชียงใหม่
เราเลยทำได้แค่พนมมือไหว้ขอพรเอาฤกษ์เอาชัยรับปีใหม่อยู่หน้าทางขึ้น แล้วขี่มอเตอร์ไซค์ลุยต่อ

ทริปนี้ผมรู้สึกโชคดีสุดๆ ที่ตัดสินใจเลือกมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะ (แกล้งลืมเหตุการณ์เสี่ยงตายบนดอยอ่างขางมันซะ ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ – พี่ตูน body slam บอกไว้) ทำให้ปัญหารถติดไม่มีผลกับเราเท่าไหร่
อยากจะก้มกราบน้องแมชงามๆ สักหนึ่งที

จากวัดพระธาตุดอยสุเทพเลยไปอีกไม่กี่กิโลก็ถึงพระตำหนักดอยปุย
ตรงจุดนี้การจราจรเป็นปกติและถนนยังคงเป็นสองเลนปกติ แต่พอเลยพระตำหนักฯ ไปเป็นทางขึ้นไปขุนช่างเคี่ยนถนนจากสองเลนก็หดเหลือหนึ่งเลน
จินตนาการตามผมนะครับ ถนนที่เหลือหนึ่งเลนซึ่งขนาดความกว้างมันแค่รถวิ่งคันเดียวก็เต็มแล้ว หดไม่พอยังเจือกมีรถสวนไปมาตลอดอีก

ผมต้องประคองรถที่พร้อมจะโดนเบียดให้ตกเขาได้ทุกเมื่อจากรถที่สวนมาด้วยความระมัดระวังที่สุดเท่าที่มนุษย์คนนี้จะระมัดระวังได้ อยากจะร้องดังๆ ว่าเสียวโว้ย!

ความรู้สึกของทหารที่จะโดนถล่มฐานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เป็นอย่างไร ผมว่าผมรู้สึกไม่ต่างกันนะ

ที่เสียวอีกต่อนึงคือน้ำมัน ใช่ครับปัญหาน้ำมันกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
น้องแมชเริ่มกลับมาดื้อแหลกน้ำมันอย่างสนุกปากทั้งๆ ที่ก่อนขึ้นมาผมจำได้ว่าตอนถึงแม่ริมผมเติมไปเต็มถัง แถมทางขึ้นดอยสุเทพก็ไม่ได้ชันอะไรเล้ย!
แล้วแกแอบแหลกไปตอนไหนเนี้ย ไอ้แมชชชชชชช!?

ข้างบนลานกางเตนท์น่าจะมีน้ำมันขายแหละ ผมบอกกับตัวเอง
แต่ผิดคาดครับบนลานกางเตนท์ไม่มีน้ำมันขายสักขวด สักหยดก็ไม่มี!
ตอนนั้นผมมัวแต่ตกใจจนลืมมองรอบๆ ข้าง
ว่ามีดงพญาเสือโคร่งอยู่รอบตัวเรา และจุดกางเตนท์ที่สามารถมองเห็นเมืองเชียงใหม่ได้อย่างชัดเจน

นิทานตอนนี้สอนให้รู้ว่า การตกใจทำให้ความสามารถในการเสพความงามของธรรมชาติลดลง
....

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:45:23 ]
ความเห็นที่ 19

กว่าจะถึงจุดกางเต้นท์ได้
นี่คือสภาพทาง

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:49:05 ]
ความเห็นที่ 20

“มันยังไม่บานเลยน้อง ไม่รู้จะบานเมื่อไหร่”
พี่เจ้าหน้าที่ประจำลานกางเตนท์บอกข่าวร้ายกับผม ถึงชะตากรรมต้นพญาเสือโคร่งอินดี้รอบตัวเราที่ยืนโชว์กิ่งก้านไร้ดอกสีชมพูกันสล่อน

“มันควรจะบานได้แล้วนะ แต่มันเลยมาจะเดือนนึงแล้วนะน้อง” เจ้าหน้าอีกคนซึ่งสำเนียงบ่งบอกชัดว่าไม่ใช่คนไทยแน่นอนเล่าความจริงอันปวดร้าวให้เราฟัง

“ตรง ‘สถานีวิจัยดอยปุย’ ก็มีต้นพญาเสือโคร่งอีกเยอะนะ มีบางต้นก็บานแล้วด้วย” พี่เจ้าหน้าที่ซึ่งส่งตรงจากชาวเผ่าแม้วดอยปุยบอกลายแทงใหม่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลานกางเตนท์

แต่ปัญหาเราคือน้ำมันครับ ถ้าไม่มีน้ำมันอย่าหวังว่าจะไปล่าพญาเสือโคร่งเลย เอาแค่พาเราให้พ้นจากลานกางเตนท์ยังจะไหวป่าวก็ไม่รู้ เพราะน้ำมันตอนนี้มันแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับถังแล้วคร้าบบบ

“ไม่ต้องห่วงข้างบนมีน้ำมันขายครับน้อง” พี่แม้ว (ผมหมายถึงพี่คนนั้นซึ่งมาจากเผ่าแม้วดอยปุย ไม่ใช่พี่แม้วของนายกปูแดงแต่ประการใด) ฮีโร่จากดอยปุยทำให้ผมใจชื้นขึ้น นาทีนี้พี่ได้ใจผมไปเลยครับ

ผมจะได้เติมน้ำมัน และจะได้เห็นดอกพญาเสือโคร่งฝูงสุดท้ายของเชียงใหม่ ถึงแม้มันจะไม่เต็มดอยอย่างที่หวัง แถมยังขึ้นหรอมแหรม แต่ถือว่าได้เห็นก่อนกลับกรุงเทพฯ ก็ยังดี

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:49:50 ]
ความเห็นที่ 21

บรรยากาศลานกางเตนท์ขุนช่างเคี่ยน

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:53:22 ]
ความเห็นที่ 22

ถ้าถามว่าดอยไหนหนาวที่สุดผมบอกได้เลยว่าที่นี่
ยิ่งดึกอากาศบนดอยยิ่งลดอุณหภูมิลง
แถมลมก็ยิ่งแรงขึ้นและพัดแรงจนน่ากลัว (สาบานเลยว่าน่ากลัวโฮกๆ เสียงเหมือนมีใครมาเป่าลมใส่หู วู้ วู้ วู้ ตลอดเวลา)

กฎของที่ลานกางเตนท์จุดนี้มีอยู่ว่าจะดับไฟตอนสี่ทุ่ม ฉะนั้นช่วงก่อนสี่ทุ่มอยากกินอะไร อยากทำอะไรที่ต้องใช้แสงสว่างรีบทำอย่างด่วน
หลังจากกินข้าวเสร็จ ดูนาฬิกาแล้วยังไม่ดึกมาก เราเลยชวนกันไปดูวิวของเมืองเชียงใหม่ยามค่ำคืน ที่ตอนนั้นเต็มไปด้วยแสงไฟยิบราวระยับอย่างกับดาวบนท้องฟ้า
ถ้าจะพูดอย่าง โอเวอร์คือดาวบนฟ้าแพ้ขาดหลุดลุ่ยในยกที่หนึ่ง โชคดีที่ระฆังช่วยไว้เลยไม่โดนน็อคซะก่อน
แต่ยกที่สองหลังจากที่ดับไฟ ดาวบนฟ้าช่วงหัวค่ำที่ดูน้อยนิดเทียบไม่ติดก็พราวสะพรั่งน็อค TKO แสงไฟในเมืองเชียงใหม่เสียบสนิทไปเลย

แม้อากาศจะหนาว ลมจะแรงขนาดไหน แต่เราทั้งคู่ก็บ่ยั่น ออกมานอนตรงหน้าเตนท์เงยหน้ามองดาวบนฟ้า
ที่เปร่งประกายยิ่งกว่า The Star บนเวที (แหงล่ะ จะเทียบกันได้ยังไง)

ดาวบนฟ้าที่เราเห็นในคืนนั้นเป็นภาพสวยที่สุดครั้งนึงในชีวิตที่ผมเห็นกลุ่มดาวมากมายมหาศาลจนอยากจะอุทานว่า

“นี่มันยกดาวมาหมดทั้งกาแลคซีทางช้างเผือกเลยเหรอไงวะเนี่ย!?”

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:54:13 ]
ความเห็นที่ 23

บรรยากาศบริเวณลานกางเต้นท์

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:55:01 ]
ความเห็นที่ 25

พญาเสือโคร่งงง

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:57:03 ]
ความเห็นที่ 26

ขอบคุณสำหรับการตามอ่านนะครับ

จากคุณ : กานดา หน้ามึน [25 พ.ย. 54 23:57:58 ]
ความเห็นที่ 27

เข้ามาชมด้วยครับ

จากคุณ : tiger's nest [26 พ.ย. 54 06:45:25 ]
ความเห็นที่ 28

ดอยหลวงเชียงดาวครับ

จากคุณ : ChubbyMonster [26 พ.ย. 54 07:27:08 ]
ความเห็นที่ 29

สุดยอดเลยค่ะ

จากคุณ : รินลดา [26 พ.ย. 54 08:39:07 ]
ความเห็นที่ 30

เข้ามาชมค่ะ

จากคุณ : ต้มส้มปลากระบอก [26 พ.ย. 54 10:25:18 ]
ความเห็นที่ 31

ขอบคุณที่พาไปเที่ยว  ครับบ เข้าใจถูกแล้ว มันคือดอยหลวงเชียงดาวครับ
ต้องหาโอกาสลองไปสัมผัสดูนะครับบ สุดยอดจริงๆ

จากคุณ : สายลมแห่งวิงค์ [26 พ.ย. 54 10:37:35 ]
ความเห็นที่ 32

อยากไปมั่งจัง  นางพญาเสือโคร่งเอ๋ย

จากคุณ : แพทจร้า [26 พ.ย. 54 12:14:54 ]
ความเห็นที่ 33

Review ได้ดีครับ

ปล.ผมคนเชียงดาวเน้อ

จากคุณ : cobainlover [26 พ.ย. 54 13:52:54 ]
ความเห็นที่ 34

ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ ^^

จากคุณ : ปลาผัดคื่นช่าย [26 พ.ย. 54 16:24:24 ]
ความเห็นที่ 35

ดอยปริศนาที่ว่านั่นก็คือ "ดอยหลวงเชียงดาว" เจอของดีเข้าให้แล้วนั่นนะ 555

จากคุณ : pixupthai [27 พ.ย. 54 07:54:44 ]
ความเห็นที่ 36

ภาพน้อยไปหน่อย
แต่ก็สวยดีครับ

จากคุณ : Teeyai [27 พ.ย. 54 12:35:47 ]A:124.121.164.244 X: TicketID:340239
ความเห็นที่ 37

สนุกดีครับ...กำลังวางแผนไปเที่ยวเชียงราย-เชียงใหม่อยู่เหมือนกัน
ขอบคุณครับ

จากคุณ : เฮงจริงจริง [27 พ.ย. 54 15:27:37 ]
ความเห็นที่ 38

สวยมากเลยครับ

จากคุณ : Destiny-Boy [27 พ.ย. 54 17:29:12 ]
ความเห็นที่ 39

พญาเสือโคร่งสวยมากค่ะ

จากคุณ : สาวหน้าใส [27 พ.ย. 54 22:59:47 ]
ความเห็นที่ 40

ตอบคำถามเจ้าของกระทู้ก่อนนะครับ

ดอยหลวงเชียงดาวครับ

ดอกพญาเสือโคร่งงามมาก แม้จะอินดี้ไปหน่อยก็ตาม

รีวิวได้ กิ๊บเก๋มากครับ 555++

ขอบคุณที่พาเที่ยวครับ +++

จากคุณ : ไวท์เบิร์น [28 พ.ย. 54 11:35:25 ]