** ตอนที่ 6 ปารีสวันแรก Notre Dame St.Chapelle
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11449131/E11449131.html

วันที่แปด 12 Nov 2011,

วันนี้คาดหวังอย่างสูงว่า แสงแดดจะมา เราจะเดินทางออกจากกรุงปารีส ไปยังเมืองแวร์ซายส์ เพื่อชมพระราชวังที่ผมจำได้ว่าได้ยินชื่อมาตั้งแต่เด็กๆ

วันนี้ผมซื้อตั๋วเดินทางแบบ Mobillis zone 1-4 หรือ one day ticket ซึ่งจะสามารถใช้กับรถไฟ RER ได้ เพราะการเดินทางไปแวร์ซาย ต้องใช้รถไฟที่ออกไปชานเมือง และตอนเย็นก็จะแวะที่หอ Eiffel และ Champ Elysee คำนวณแล้วคุ้มกว่าการซื้อแบบแยก

สำหรับ RER เลือกสาย C ที่ปลายทางระบุไ Versailles-Rive Gauche นะครับ เพราะ RER สาย C มีแยกออกไปถึง 4 ทางง อาจจะไปผิดทางได้ ถ้าปลายทางไม่ใช่ Rive Gauche

การขึ้นรถไฟ metro ในปารีส ไม่ได้ดูดีเหมือนรถที่อยู่ในเยอรมันหรืออสเตรียนะครับ จะดูเก่ากว่า สำหรับรถไฟ RER นั่นดูดีกว่าหน่อย ในเมืองปารีสจะวิ่งใต้ดินแต่พออกนอกเมืองจะขึ้นมาบนดิน

สิ่งทีพบเห็นได้ตลอดในรถไฟ คือ นักดนตรีมาเล่นในรถไฟ พร้อมกับเดินขอรับบริจาค ผมเจอเกือบทุกขบวน แต่เขาไม่ได้บังคับหรือดูรีดไถการขอเงินนะครับ ผมว่าให้ความสนุกสนานดูมีชีวิตชีวาดีด้วยครับ

สิ่งที่เราจะได้พบมากอย่างที่ไม่คิดว่าจะเจอ คือการเขียนข้อความต่างๆ บนรถไฟ บนเสา บนกำแพง (ในเยอรมัน ออสเตรีย ไม่เจอเลยครับ)

ตามที่นั่งต่างๆ ก็โดนเขียนเละไปหมด

ตามกระจกก็มีรอยขูด น่าจะเป็นวัยรุ่นของที่นี้นะครับ

ผ่านตามเมือง ข้างทางต่างๆ กำแพง เสาสะพาน มีที่ว่างเมื่อไหร่ เราจะเจองานศิลปะ grafiti เต็มไปหมด  ปารีสเป็นเมืองแห่งศิลปะไม่เพียงเฉพาะสถาปัตยกรรมภาพจิตรกรที่มีชื่อเสียงเท่าน้นนะครับเนี่ย

ตามเข้าไปเที่ยวพระราชวังด้วยคนครับบบ

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีก็ถึงที่ Rive Gauche ซึ่งต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 300 เมตร ถึงจะถึงทางเข้าพระราชวัง แต่ไม่ต้องกลัวหลงนะครับ เพราะพอเราลงจากรถไฟ ผู้ร่วมเดินทางส่วนใหญ่จะเดินๆ กันไปทางเดียวกันเกือบหมด
(อาจจะเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ก็ได้ จึงมีคนมาเที่ยวค่อนข้างเยอะ)

บริเวณหน้าพระราชวังเป็นลานกว้างมากๆ ดูแล้วเหมือนพื้นที่ประเทศนี้เขาจะเหลือเยอะเหลือเกิน  เราจะเห็นมีรูปหล่อของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้สร้างพระราชวังนี้ขึ้นมา

ตรงลานด้านหน้า สงสัยจริงๆ ว่าเหล็กโค้งที่เขาสร้างขึ้นไม่เสร็จนี้คืออะไร เพราะปีที่แล้วเพื่อนมาเที่ยวที่นี้ มีเหล็กโค้ง 2 อัน ปีนี้ผมมา เหลืออันเดียว เหมือนเขาจะยกเลิกการสร้างหรือเปล่า

ขอบคุณคุณ สายลมแห่งวิงค์  นะครับ ที่ติดตามมาติดๆ โดยตลอด ..
.........................

เมื่อมาถึงบริเวณรั้วด้านหน้าพระราชวัง เราต้องไปซื้อตั๋วก่อนนะครับ อยู่ทางด้านซ้าย จะมีป้ายชัดเจน "Ticket" ราคาค่าเข้าก็ ขึ้นมาอีกแล้วครับเป็นคนละ 15 EUR (ราคานี้แบบการดูตาม highlight มาตรฐานทั่วไป)

ด้านหน้าพระราชวัง รั้วสีทอง ดูหรูหรา สวยงามมาก ต่างจาก Nymphenburg ที่เยอรมนี ซึ่งเป็นการดีไซน์คนละแบบกันจริงๆ

สถาปัตยกรรมที่นี้ สวย มากๆๆ อีกทีหนึ่งเลยนะครับ

เมื่อเดินเข้าไปในพระราชวัง เขาจะมีแผนผังแจกให้ตอนเราไปซื้อตั๋วนะครับ ในตอนแรกยังไม่มีอะไรมาก สามารถเดินเลยมาเรื่อยๆ จนถึงทางปีกด้านขวา ซึ่งจะมีจุดสำคัญต่างๆ เช่น Hall of Mirror, Queen Bedroom, และอื่นๆ มากมายก  ทางเข้าจะอยู่ที่ตึกนี้เลย

การเดินชมภายในใช้เวลาประมาณ 2-3 ชม.นะครบ เพราะราชวังกว้างขวางมาก มีหลายห้อง หลายส่วน ผมไม่ได้เดินในส่วนข้างนอกพระราชวังด้วยนะครับ เพราะเดือนนี้ สวนไม่สวยแล้ว

ภายในจะมีงานจิตรกรรมฝาผนังบนเพดานมากมาย ไปที่นี้เมื่อยคอนิดนึงนะครับ

ห้องนี้ตกแต่งด้วยสีแดง สลับสีทอง การถ่ายภาพในพื้นที่จำกัดและต้องการเพดานด้วยนี้ ผมได้ประโยชน์จากช่วงเลนส์ 16mm นี้เต็มๆ

แต่ละห้องจะมีคำอธิบายประวัติความเป็นมาทั้งหมด แต่ผมไม่สามารถอ่านละเอียดได้ทั้งหมด

ห้องนี้ชื่อห้อง salon of war โดยอีกฝั่งของตึก จะเป็นห้อง salon of peace

เดินมาเรื่อยๆ จะผ่านหลายห้องมากครับ จุดหมายของผมคือ Hall Of Mirror  ซึ่งเป็นห้องพระโรงกระจก ที่มีประวัติศาสตร์และเหตุการณสำคัญที่นี้มากมาย

และก็ได้มาถึงครับ

จากที่เคยได้ยินกันมา สนธิสัญญาแวร์ซาย  ห้องนี้แหละครับที่เขาให้ จักรวรรดิเยอรมันที่แพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสมัยนั้น ต้องมายอมรับสัญญาการชำระค่าปฎิกรรมสงคราม ซึ่งว่ากันมาสูงมากๆ เป็นการผูกมัดและเป็นปัจจัยอันเลวร้ายส่งผลจนเกิด สงครามโลกคร้งทีสองต่อมา

โต๊ะที่เขาแสดงไว้เป็นโตีะที่ตอนนั้นมีการมาเซ็นต์สัญญากันครับ ถูกล้อมด้วยห้องกระจกหนา 1 cm.

ซึ่งผมก็เพิ่งทราบว่า การชำระค่าปฏิกรรมสงครามนัดสุดท้ายมีขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตค. 2010 ปีที่แล้วที่ผ่านมานี้เอง

รูปปั้นสีทองในบริเวณ Hall of Mirror

เดินถัดมา เราจะพบกับ King Bed room ครับ เป็นห้องที่พระเจ้าหลุยส์ใช้บรรทม

ห้องทีสำคัญอีกห้องคือ Queen Bedroom ซึ่งถ้าได้ทราบประวัติการปฎิวัติฝรั่งเศส marie antoinette ราชินีแห่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งถูกประชาชนปฎิวัติ โดยประชาชนได้บุกเข้าจับตัวถึงในห้องบรรทมแห่งนี้

เขาจะเปิดประตูสีขาว แง้มไว้ (ทางด้านซ้าย) ให้เห็นว่า queen marie antoinette ใช้ประตูนี้หนีประชาชนที่บุกเขา แต่สุดท้ายก็ไปถูกจับทีนอกวัง

และถูกประหารชีวิตในเวลาต่อมา พร้อมกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ด้วยครับ

ประตูทางออกห้อง Queen Bedroom มีสองด้านนะครับ ในภาพให้ดูอีกด้านซึ่งไม่ได้เปิดไว้ จะสังเกตว่าเขาทำผนังได้เนียนมาก จนแทบไม่เห็นว่ามีประตูอยู่

ผมเดินเยี่ยมชมไปเรื่อยๆ พระราชวังแห่งนี้นับว่าสวยงาม สไตล์หลุยส์ที่บ้านเราเรียกกัน ผ้าม่านต่าง ต้องลองจับดูครับ เป็นผ้าม่านราคาแพงมากๆ มีการปักดิ้นลงลาย อย่างสวยงาม

ที่เห็นในรูปมีการแปะขาว เขากำลังมีการซ่อมแซมอยู่ครับ

เดินออกมาจากห้องสำคัญๆ ก็จะผ่านโถงทางเดินขนาดใหญ่ ผมนึกภาพตอนที่ประชาชนลุกฮือบุกเข้ามาในพระราชวังแห่งนี้ ซึ่งภายหลังการปฎิวัติฝรั่งเศสผ่านไป รัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้มีการออกกฎหมายเรียกข้าวของ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในพระราชวังกลับมา

โถงที่มีภาพจิตรกรรมต่างๆ มากมาย สวยงาม ใหญ่โต

ใช้เวลาในพระราชวังแห่ง กว่าจะได้ขึ้นรถไฟกลับ บ่าย 2 โมงกว่าครับ โดยรวมถือว่าคุ้มค่า หรูหรา สวยงาม ตามสไตล์หลุยส์


เป้าหมายต่อไปคือการไปที่ หอ Eiffel  โดยนั่งรถ RER สาย c เดิมกลับมาที่สถานี Tour Eiffel

การชมหอไอเฟล สามารถชมได้สองตำแหน่ง คือที่บริเวณฐานและสวนด้านหน้าของหอไอเฟล หรือที่สถานี Trocadero ซึ่งจะเป็นมุมที่มองจากระยะไกล

ผมเลือกที่จะชมจากที่ฐานก่อนเลยครับ  แล้วใช้วิธีเดินข้ามแม่น้ำไปทาง Trocadero

วันนี้คนเยอะมากๆๆ ครับ จากที่เห็นหอไอเฟล ในรูปในทีวี ไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้  ที่เห็นคนยืนด้านล่างจำนวนมากนั้น ส่วนใหญ่คือกำลงต่อแถวเพื่อรอคิวขึ้นชมบนหอครับ

สำหรับผมขอผ่าน ดูแล้วน่าจะรอนานมากๆ

ผมไม่ได้เดินไปทางด้านสวนนะครับ ตัดสินใจเดินไปทาง Trocadero เลย โดยเดินข้ามสะพานผ่านแม่น้ำมา เนื่องจากฟ้าเริ่มมืดอีกแล้วครับ

บรรยากาศบนสะพานโรแมนติคมานะครับ เห็นคู่หนุ่มสาว ยืนจูบกันหลายคู่เลยครับ ไม่กล้าถ่ายมา เกรงใจเขานะครับ

บริเวณนี่จะเป็นจุดชมวิวในมุมไกลครับ มีนักท่องเที่ยวมากจริงๆ
เราจะพบคนจำนวนมาก ทั้งที่มาถ่ายรูป หรือมาเดินเล่น

เนื่องจากเป็นลานกว้างที่อยู่สูง มีลมเย็นๆ แสงแดดอ่อนๆ จะมีนักดนตรี นักแสดงมาเล่นกันกลางลาน  คนดูก็เยอะมากนะครับ

ถือว่าโชคดีอีกครั้ง มาปารีสได้เจอนางแบบปารีสกำลัง post ท่าถ่ายรูปอยู่เลยครับ มีคนไปรุมถ่ายเขาเต็มไปหมดเลยครับ

จุดหมายสุดท้ายของวันนี้แต่เป็นจุดหมายที่สำคัญที่สุดของทริปเลยครับ ทีนี้เลย  Louis @Champ Elysee

ผมคิดว่าน่าจะเป็นความใฝ่ฝันของสาวๆ เมื่อมาถึงปารีสแล้ว เป็นธุรกิจที่ดีมากๆ จะไปซื้อต้องต่อแถวเข้าคิว เขาให้เข้าในร้านได้ในจำนวนจำกัด เพราะต้องมี sales ประกบตัวต่อตัว

ผมเห็นเดินออกมาจากร้านแต่ละคน หิ้วถุงกันออกมาหมด

ภาพนี้ เธอฝากมาบอกสาวๆ ที่กังวลในการซื้อกระเป๋าแล้วหิ้วกลับเมืองไทย แต่ไม่กล้าเอากล่องหรือถุงมาด้วย ตอนมาถึงสุวรรณภูมิก็หิ้วถุงใหญ่ๆ นี้เดินออกมาเลยครับ ไม่เป็นไร มี 2-3 ถึงด้วยซ้ำ เพียงแต่แยกกันถือคนละถุง เผื่อให้ดูไม่น่าจับตาจนเกินไป

คิดว่าคงไม่น่ามีปัญหาการถือเข้ามานะครับ

จาก Louis Vuitton เดินตรงเรื่อยๆ จะเห็นประตูชัย นะครับ เนื่องจากเขามีการจัดงานบริเวณประตูชัยกันอยู่ จึงไม่สามารถเดินเข้าไปดูได้
ประกอบกับ ถุงใบใหญ่ที่หิ้วมา และคิดว่าตอนนี้อารมณ์คงจะอยากกลับไปโรงแรมแล้ว เลยได้รูปมาไม่มากครับ

วันทีเก้าของทริปนี้ เราจะมาต่อกันที่ Louvre Musee และ Sacre Coeur ในรีวิวตอนต่อไป

ตอน #8 (สุดท้าย) Louvre Museum , Sacre Coeur
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11458507/E11458507.html

พระราชวังสวยมากเลยครับ...ดีจังเลยให้ถ่ายรูปได้ด้วย

เมืองโรแมนติคมากครับ น่าเดินจัง

สวยมากๆเลยค่ะ 

สถาปัตยกรรมอลังการ์มากจริง ๆ ครับ พอมาดูของบ้านเรานึกเกิดอยากช่วยกันอนุรักษ์ไว้จริง ๆ ครับ

ขอบคุณที่พาไปเที่ยวครับ

พระราชวังนี่ดูสวยยิ่งใหญ่มากเลยครับ อลังการณ์จริงๆ

สวยมากๆค่ะ  
ขอบคุณสำหรับข้อมูล *30 ^_^

ชอบพระราชวังครับ สวยงามมากจริงๆ
หอไอเฟลก็ดูยิ่งใหญ่มากๆ