นิตยสาร a car

ลงตัวซะที ! “ ซีอาร์-วี ใหม่ ”

 

หลังจาก “ ซีอาร์-วี ” เวอร์ชั่นแรกคลอดออกสู่ตลาดโลกในเดือนตุลาคม 2538 ก่อนที่เจเนอเรชั่นที่ 2 จะเปิดตัวในปี 2544 จนมาเจเนอเรชั่นปัจจุบัน กระทั่งถึงวันนี้มีประชากรทั่วโลกถึง 160 ประเทศรวมแล้วทะลุหลัก 2 ล้าน 5 แสนคนที่เป็นเจ้าของยนตรกรรมเอสยูวีรุ่นนี้ และที่สำคัญคือกว่า 50,000 คนอยู่ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นดัชนีชี้ได้ถึงความนิยมอย่างแรงในรถสายพันธุ์นี้

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผมได้สัมผัสกับ ซีอาร์-วีใหมโฉมปัจจุบันที่บรรจุเครื่องยนต์ 2.4 ลิตรคันนี้ สิ่งที่รู้สึกก็คือ นี่คือจุดลงตัวที่สุดของฮอนด้า ซีอาร์-วี อนุกรมนี้ ทำไมหรือครับ ? ตามมาซิผมจะเฉลยให้ฟัง

“CR-V” มีชื่อเต็มๆ ว่า “Comfortable Runabout Vehicle” ดังนั้นจะเห็นว่าตลอดระยะเวลากว่า 11 ปีในประเทศไทย คอมแพ็คเอสยูวีสายพันธุ์นี้จะไม่เน้นการใช้งานลุยหนักในสไตล์เอสยูวีทั่วไป เพราะระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นแบบ Real Time 4WD ที่ปกติจะขับเคลื่อนล้อหน้าและจะเปลี่ยนเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเมื่อสภาพเส้นทางเปลี่ยนไป โดยรถคันนี้จะทำหน้าที่เป็นเหมือนรถของครอบครัว ประเภทเดินทางไปโน่นไปนี่ได้สบายๆ ลุยน้ำลุยฝุ่นลุยโคลนได้นิดหน่อย แต่ถ้าลุยหนักๆ บอกตรงๆ ว่า ซีอาร์-วี ไม่สู้ โดยเฉพาะเจเนอเรชั่นแรกที่รูปทรงบอบบางถูกใจผู้หญิง เล่นเอาหลายๆ คนพาลเรียกว่า “ รถกะเทย ” ไปซะนั่น

ข้ามมาที่เจเนอเรชั่นที่ 2 คราวนี้ฮอนด้าปรับแผนใหม่หนีความเป็นกะเทย ด้วยการออกแบบรูปทรงให้ดูทะมัดทะแมงบึกบึนยิ่งขึ้นทั้งยังเลือกแดนอเมริกาเป็นสถานที่เปิดตัวสู่ตลาดโลก ก่อนที่ปี 2545 จะเข้าสู่ตลาดบ้านเราและเป็นจังหวะที่ตลาดเอสยูวีกำลังขาขึ้น ที่สำคัญฮอนด้าเปิดราคาซีอาร์-วี เจเนอเรชั่น 2 ไว้ประมาณล้าน 2 แสนบาทเท่ากับรุ่นแรกเล่นเอาเป็นที่ฮือฮาไม่น้อยในยุคนั้น ได้ผลครับเพราะแฟนๆ เอสยูวีขนาดเล็กแทบจะไม่ชายตาไปมองรถรุ่นอื่นๆ เลย แต่ที่น่าสังเกตก็คืองานนี้ฮอนด้าเสียลูกค้ากลุ่มผู้หญิงไปไม่น้อย กระนั้นซีอาร์-วีก็สามารถสร้างยอดในระดับหลักหมื่นคันต่อปีในช่วงแรกๆ แต่เมื่อต้องเจอกับมรสุมชีวิตทั้ง “ โดนทุบ ” “ โดนทึ้ง ” มาตลอดเล่นเอาทัพบริหารของฮอนด้าแทบกระอัก ซ้ำยังโดนกระแสฟอร์จูนเนอร์ฟีเวอร์กระหน่ำอีกระรอก จนยอดขายแผ่วปลายเหลือเพียงเดือนละไม่กี่สิบคันในช่วงปลายโมเดล ก่อนที่จะเปิดตัวรุ่นปัจจุบันเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาและกวาดยอดจองในมอเตอร์เอ็กซ์โปไปร่วม 400 คัน

สำหรับ “ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ” นับว่าได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบภายนอก-ภายใน รวมถึงเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ซึ่งในด้านรูปลักษณ์นั้นหลังจากมองนานๆ และสำรวจให้รอบคันโดยส่วนตัวผมรู้สึกว่า สวยกว่าสองรุ่นเดิม และมีความล้ำสมัยลงตัวไม่น้อยน่าจะสามารถจับกลุ่มลูกค้าได้ทั้งชายและหญิง แทนที่จะเน้นเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเช่นเดิม

ด้านมิติตัวถัง ซีอาร์-วีใหม่ มีขนาดยาว x กว้าง x สูง อยู่ที่ 4, 529x 1,820 x1679 มิลลิเมตร นั่นคือสั้นลง 86 มิลลิเมตร แต่กว้างขึ้น 35 มิลลิเมตร และสูงใกล้เคียงเดิม ขณะที่ระยะฐานล้อยังคงมีความยาวที่ 2,620 มิลลิเมตรเท่าเดิม เพราะอาศัย New Global Platform ด้วยการใช้แพลทฟอร์มร่วมกับร่วมพี่น้องในตระกูลซีวิคใหม่ สิ่งที่น่าสนใจคือการย้ายล้ออะไหล่ไปไว้ใต้พื้นที่เก็บสัมภาระ และเปลี่ยนรูปแบบการเปิดฝากระโปรงท้ายจากเดิมที่เป็นบานสวิงหรือเปิดออกด้านข้าง ให้เป็นแบบการเปิดแบบยกขึ้นเพื่อความสะดวกในการเก็บสัมภาระนั่นเอง

มาที่ภายในกันบ้าง ผมว่าออกแบบได้โดนใจดีครับ ทั้งช่องเก็บของและแก้วน้ำที่กระจายอยู่รอบคัน โดยเฉพาะพื้นที่เก็บของตรงคอนโซลกลาง อืม ! ขนาดใหญ่มากๆ รวมถึงการใช้โทนสีหลักๆ คือ สีดำ แนวสปอร์ตวัยรุ่นกับสีเบจที่ออกไปทางหรูหรา ส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีการปรับเปลี่ยนไปไม่น้อย โยกตำแหน่งคันเกียร์จากหลังพวงมาลัยมาอยู่ที่กลางคอนโซลหน้าเหมือนรถเอ็มพีวีระดับหรูจุดนี้เจ๋งดีครับ ส่วนพวงมาลัยแบบสามก้านก็ปรับได้สี่ทิศทาง พร้อมมาตรวัดแสดงค่าการทำงานของรถ มองเห็นชัดเจนโดดเด่นด้วยไฟเรืองแสง ด้านเครื่องเสียงเป็นวิทยุ CD/MP3 ยัดเข้าไปได้ถึง 6 แผ่นคุณภาพเสียงยังอยู่ในเกณฑ์ดีฟังได้เพลินๆ

ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือเรื่องของเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อน โดยซีอาร์-วี ใหม่มีโมเดลไลน์อัพให้เลือก 3 รุ่นคือ 2.0 S แบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าบรรจุเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที ราคา 1,180,000 บาท รุ่น 2.0 E ขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเช่นกันราคา 1,280,000 บาท และรุ่นท๊อป 2.4 EL ราคา 1,470,000 บาทเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ พร้อมเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร i-VTEC บล็อกเดิมแต่เพิ่มพละกำลังเป็น 170 แรงม้าที่ 5,800 รอบต่อนาทีและแรงบิด 220 นิวตัน-เมตรที่ 4,200 รอบต่อนาที ความน่าสนใจคืองานนี้ฮอนด้ามาเหนือเมฆด้วยการเพิ่มรุ่น 2.0 S ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นขับ 2 มาเสริมในระดับราคาไม่สูงนัก ซึ่งน่าจะจับกลุ่มลูกค้าที่อยากได้รถโมเดลนี้ แต่ไม่คาดหวังกับความแรงความลุยแม้แต่น้อยที่น่าจะมีจำนวนมากพอสมควร

ผมได้สัมผัสกับรถรุ่นนี้ทั้ง 2.0 S และ 2.4 EL และใช้เวลาอยู่หลังพวงมาลัยนานพอสมควร ต้องบอกว่าอารมณ์ก็เหมือนการขับซีดานทั่วไป ทั้งยังเป็นรถที่ทำความคุ้นเคยได้เร็ว ขณะเดียวกันยังสามารถควบคุมได้ง่ายๆ ผ่านพวงมาลัยที่จับถนัดแน่นมือน้ำหนักพอเหมาะ ส่วนการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะเป็นไปอย่างนุ่มนวล ด้านการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารก็เงียบไร้ที่ติ พร้อมเบาะนั่งโอบกระชับ นั่งสบาย ไม่นิ่ม-ไม่แข็งเกินไป ซึ่งจะส่งผลดีเวลาขับทางไกลๆ

ด้านพละกำลังของรุ่น 2.0 นั้น เมื่อต้องทำหน้าที่ลากเอสยูวีที่มีน้ำหนักกว่า 1.5 ตันแม้ว่าจะไม่ถึงกับอืดเป็นเรือเกลือ แต่ก็ไม่จี๊ดจาดเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะจังหวะเร่งแซงที่ต้องเข่นคันเร่งพอควร เหมาะสำหรับคนใจเย็นๆ ที่ชอบเดินทางแบบไม่รีบมากกว่า จนเมื่อได้ขับรุ่น 2.4 EL อืม...ดีขึ้นเยอะครับ ปรุ๊ดปราดก็ทำได้ดี แรงต้นแรงปลายมีมาตลอดไม่หายไปไหน และสิ่งที่ประทับใจมากที่สุดของรถเวอร์ชั่นนี้ก็คือการทรงตัวและการเกาะถนน รวมถึงอาการโคลงที่ไม่มีให้เห็น เพราะไม่ว่าจะย่านความเร็วไหน ซีอาร์-วี ใหม่เอาอยู่หมด คาดว่าเกิดจากการปรับจุดศูนย์ถ่วงลงต่ำจากเดิม 35 มิลลิเมตร ทั้งยังเพิ่มความกว้างของช่วงล้อคู่หน้า-หลังอีก 30 มิลลิเมตร และการย้ายตำแหน่งยางอะไหล่ ทำให้รถคันนี้มีการถ่ายเทน้ำหนักได้ดีมาก นอกจากนี้การใช้ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัท และหลัง อิสระรีแอ็กทีฟลิงก์ ดับเบิลวิชโบน ขณะเดียวกันการปรับเสาเอให้ลาดเอียงมากขึ้น ทำให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานลดลงจากรุ่นเดิมถึง 10% ล้วนมีผลเรื่องการเกาะถนนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

กินน้ำมันเหมือนเดิมหรือไม่ ? ตอบไม่ยากครับว่า คงไม่ต่างจากเดิมมากนัก โดยทั้งรุ่น 2.0 และ 2.4 จะบริโภคในระดับใกล้เคียงกันประมาณ 8 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับในเมืองและ 10-11 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับนอกเมือง แต่สำหรับรุ่น 2.0 S ทางฮอนด้าแจ้งมาว่าจะประหยัดน้ำมันมากกว่ารุ่น 2.0 E เล็กน้อย

บทสรุปของฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่นี้ โดยรวมๆ ผมถือว่าประทับใจทั้งรูปลักษณ์ที่สวยหรูขึ้น สมรรถนะที่ดีขึ้น การขับขี่แบบสบายๆ คล้ายๆ ขับรถซีดาน ระบบช่วงล่างดี ความปลอดภัยไว้ใจได้ ถ้าไม่ต้องการความแรงและไม่ชอบการลุยเลือก 2.0 S ถ้าชอบลุยไม่ชอบแรงก็ 2.0 E ส่วนถ้าชอบทั้งแรงทั้งลุยก็ต้อง 2.4 EL ซึ่งผมคิดว่าลงตัวที่สุดแล้ว แต่คำถามก็คือ แล้วถ้าผมชอบความแรงแต่ไม่อยากลุย ในอนาคตจะมีรุ่น 2.4 แบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้ามาให้เลือกมั๊ยครับ ?

 

 

:: กลับไปหน้าหลัก ::