นิตยสาร a car

BMW 320d “ ลองแล้วจะติดใจ ”

 

เห็นเป็นรถขุมพลังดีเซล นึกว่าจะมีดีแค่ความประหยัดเพียงอย่างเดียว ที่ไหนได้กลับให้ผลตอบแทนอย่างอื่นมาอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง การกระจายน้ำหนักที่ส่งผลให้ระบบช่วงล่างมีการตอบสนองที่ดีเยี่ยม รวมถึงราคาจำหน่ายที่ต่ำลงมาเหลือเพียง 2,849,000 บาทเท่านั้น แล้วอย่างนี้จะให้ไม่ประทับใจกับ BMW 320d คันนี้ได้อย่างไร...

เรื่องนี้มันเป็นผลจากความสำเร็จของรุ่นพี่ในตัว 520d ที่ได้เปิดตัวเมื่อวันที้ 9 กันยายน 2549 และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า ทำให้ล่าสุดกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยูตัดสินใจส่งเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล เทอร์โบ 2.0 ลิตร บล็อกเดียวกันลงประจำการในรถ 2 รุ่นรวดคือ BMW 320 d และ X3d

ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ได้ไม่นาน

และต่อจากนี้ผมขอพาท่านสัมผัสกับ BMW 320d ที่บอกได้เลยว่ารถคันนี้เต็มเปี่ยมไปด้วย Performance จริงๆ

ก่อนที่จะไปว่ากันถึง Performance ผมขอกล่าวถึงรายละเอียดโดยรวมของรถคันนี้ก่อนแล้วกัน เริ่มจากภายนอกที่ 320 d ได้แฝงไว้ด้วยความสปอร์ต ล้ำสมัย ด้วยการออกแบบโอเวอร์แฮงค์ด้านหน้าและหลังให้สั้น แต่ฝากระโปรงหน้าได้ออกแบบให้ยาวขึ้นเพื่อให้มีความรู้สึกเดียวกับรถสปอร์ตคูเป้ พร้อมเส้นสายข้างตัวรถให้ความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวแม้ในยามจอดนิ่ง ถึงแม้บางคนจะมองว่าด้านท้ายการออกแบบยังดูไม่ค่อยลงตัวนัก กับไฟท้ายรูปตัวแอล ที่ดูไม่ค่อยเป็น L เท่าไหร่ ซึ่งแรกๆ ผมก็เห็นด้วยกับความเห็นเหล่านั้น แต่หลังๆ มองไปนานๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าบั้นท้ายแบบนี้ก็ดูมีเสน่ห์ดีไม่เบา และยิ่งถ้าได้สัมผัสกับภายในและสมรรถนะที่สมบูรณ์แบบอย่างนี้ด้วยแล้ว รับรองลืมเรื่องบั้นท้ายไปได้เลย

ส่วนภายในห้องโดยสารก็เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เริ่มตั้งแต่เบาะนั่งหนังแท้แบบดาโคตา ( Dakota) ที่มีให้เลือกถึง 3 สี เบจ เทาดำและสีใหม่น้ำตาลเข้ม ตามความชอบของแต่ละบุคคล โดยด้านคนขับสามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำบันทึกตำแหน่ง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นรูปทรงสปอร์ตหุ้มด้วยหนังแท้ ระบบควบคุมความเร็วคงที่อัตโนมัติ ( Cruise Control) ออนบอร์ดคอมพิวเตอร์ที่แสดงบนหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 8.8 นิ้ว พร้อมฟังก์ชั่นโทรทัศน์และไอ-ไดร์ฟ ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ Bluetooth ปลั๊ก Aux-in สำหรับสาวก i-Pod ทั้งหลาย ม่านบังแดดกระจกหลังควบคุมด้วยไฟฟ้า กระจกส่องหลังลดแสงจากรถที่ขับตามหลัง ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติปรับระดับการทำงานตามปริมาณน้ำฝนที่กระทบกับกระจกหน้า พร้อมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงครบครัน นอกจากนี้ตามคอนโซลหน้าและด้านข้างประตูได้ตกแต่งด้วยลายไม้ชั้นดีแบบเบอรร์วอลนัท ( Burr Walnut) อีกด้วย

เอาหล่ะ !! มาเข้าเรื่องของ Performance ที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่ารถคันนี้มีจุดเด่นอยู่ที่เรื่องนี้ โดยในส่วนของขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ไดเรคอินเจคชั่น เทอร์โบชาร์จ 1,995 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ว 177 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-3,000 รอบต่อนาที ที่ได้รับการพัฒนาตามแนวความคิด “BMW Efficient Dynamics” ที่ต้องการให้เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันแต่มีสมรรถนะที่ดีมากขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่การลดน้ำหนักเครื่องยนต์ลงโดยใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาเป็นส่วนผสมในการผลิตฝาสูบ และตัวลูกสูบ การลดความดังของเสียงเครื่องยนต์ด้วยการออกแบบให้มีการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงหลายครั้งเพื่อลดกำลังอัดจากการจุดระเบิดเพียงครั้งเดียว ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดเสียงดังเป็นต้น ซึ่งผลจากการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ ทำให้รถคันนี้สามารถทำอัตราการประหยัดน้ำมันได้สูงถึง 16.6 กิโลเมตรต่อลิตร (ตามสเป็ก) ซึ่งจากการทดลองแบบใช้งานจริง ตัวเลขก็อยู่ในระดับใกล้เคียง

นอกจากอัตราการประหยัดน้ำมันที่น่าพอใจแล้ว ในส่วนของอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ทำได้ประมาณ 8.0 วินาที ซึ่งต้องบอกว่าเป็นจุดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซลที่พื้นฐานเป็นขุมพลังที่ให้แรงบิดดีอยู่แล้ว ส่งผลให้ 320 d เป็นรถที่ขับสนุก กดคันเร่งเมื่อไหร่แรงบิดพร้อมทำงานเต็มที่ และยิ่งได้ทำงานร่วมกับระบบถ่ายทอดกำลังแบบอัตโนมัติ 6 สปีด ที่มีโหมดการทำงานให้เลือกใช้ถึง 3 โหมด Auto สำหรับเวลาขับในเมืองแบบนุ่มนวล Manual สำหรับการขับแบบสปอร์ตที่ต้องการอัตราเร่งทันใจ และ Steptronic ที่สามารถควบคุมจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตนเอง ลงสู่ล้อคู่หลังซึ่งเป็นเอกลักษณ์ระบบขับเคลื่อนของบีเอ็มดับเบิลยูด้วยแล้ว “ ขับสนุกมากครับ ” โดยเฉพาะในโหมด Steptronic ซึ่งวันที่ทดสอบได้เลือกใช้เส้นทางบนเขาใหญ่ ผมได้ลองวิ่งขึ้นเขาลงเขาอยู่หลายรอบ ยอมรับว่าระบบเกียร์ทำงานไวมาก ตอบสนองรับกับระบบช่วงล่างที่ได้รับการเซ็ทอัพมาให้ใหม่ ทั้งจากตัวระบบช่วงล่างเองที่มีการลดค่า K ของสปริงให้น้อยลง เนื่องจากการลดน้ำหนักเครื่องยนต์ ส่งผลให้น้ำหนักรถโดยรวมน้อยลง และการกระจายน้ำหนักลงที่เพลาด้านหน้าและหลังได้ใกล้เคียงกันในสัดส่วน 50/50 ซึ่งจะเห็นผลได้ชัดเจนในช่วงลงเขาที่ต้องเหยียบเบรก เชนจ์เกียร์และเข้าโค้ง ท้ายรถไม่มีอาการปัด เรียกว่าเป็นซีดานหรูไซส์เล็กที่สมบูรณ์แบบตอบสนองทั้งความประหยัด และสมรรถนะที่ดีเกินคาด

นอกจากนี้ใน 320 d ยังมีจุดเด่นอื่นๆ อีกเพียบไม่ว่าจะเป็น Dynamic Stability Control (DSC) และยางแบบพิเศษที่สามารถวิ่งไปได้โดยไม่มีลม หรือ Run-Flat Tires ซึ่งในรุ่นนี้ได้เปลี่ยนมาใช้ยางขนาด 225/45 R17 เหมือนกับในรุ่น 330 i เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงระบบอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยก็มีอยู่อย่างครบครัน เอาเป็นว่า...ใครชอบรถหรูไซส์เล็ก แล้วยังมีอคติกับขุมพลังดีเซล ผมขอให้ลองขับ BMW 320d คันนี้ดูซิครับ ไม่แน่ว่า ลองแล้วคุณอาจจะติดใจก็เป็นได้ !!


 

:: กลับไปหน้าหลัก ::