ขวัญเรือน : ปักษ์แรก - ธันวาคม 44

เปิดใจสนทนา : ความเป็น 'พ่อ' ในแบบของ ชุมพร เทพพิทักษ์

หากจะเอ่ยถึงชื่อของ 'ชุมพร เทพพิทักษ์' ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน หากใครมีโอกาสติดตามผลงาน ของเขาอย่างต่อเนื่อง ย่อมทราบดีว่า ถ้าจะพูดถึงที่มาที่ไป ของผู้ชายคนนี้ ทั้งในชีวิตด้านลบและบวก ตำแหน่งพ่วงท้ายที่ว่า เขาเป็นอดีตพระเอกหนัง เป็นนักแสดงสมทบ หรือแม้แต่การเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ที่คว้ารางวัลตุ๊กตาทองถึง 5 ตัว จากภาพยนตร์ เรื่อง แหกค่ายนรกเดียนเบียนฟู ในครั้งที่เขาผันตัวเอง ไปเป็นผู้กำกับฯ

และในปัจจุบัน นอกเหนือจากการเป็นนักแสดง ทุกคนจะรู้จักเขา ในฐานะคุณพ่อมาดเข้ม ของนักร้อง นักแสดงขวัญใจวัยรุ่น 'ศรราม เทพพิทักษ์' ที่ปลูกฝังเลี้ยงดูลูก ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ... อย่างคนเข้าใจชีวิต ถึงแม้เขาเองจะออกตัวว่า เขาไม่ได้เป็นพ่อ ที่เลี้ยงลูกมาโดยลำพังก็ตาม

ในความเป็นพ่อทุกคนย่อมรักลูก แม้บางครั้ง การแสดงออกอาจมาก-น้อย ไม่เท่ากัน แต่เราเชื่อว่า - - ความรักที่ผู้ชายคนนี้ มีต่อลูกนั้น แข็งแกร่ง และยิ่งใหญ่ ไม่เป็นรองใคร

ฉบับนี้ เป็นฉบับ 'วันพ่อ' แต่ก่อนที่จะคุยถึงความเป็นพ่อ ในแบบของ คุณชุมพร ขอเท้าความถึง เรื่องราวชีวิตในวัยเยาว์ ของคุณ ก่อนนะคะ
ผมเป็นคนชุมพร บ้านเกิดอยู่ที่นั่น ตอนนั้นพ่อผมเป็นเสมียน ทำงานอยู่กับนายฝรั่ง ตอนที่ผมเกิด เจ้านายเขาเรียกผมว่า 'เดียร์' ทุกคนก็เลยเรียกชื่อนี้ พอเข้าเรียนหนังสือ ก็เปลี่ยนชื่อเป็น คมสัน เทพพิทักษ์ ผมเรียนหนังสือที่ โรงเรียนวัดขันเงิน แล้วก็ขึ้นมาเรียนที่ โรงเรียนประจำจังหวัด จากนั้นก็มาเรียน ที่กรุงเทพฯ มาอยู่ที่อุเทนถวาย ผมอยู่บ้านเดียวกันกับ พล.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ เราเป็นพี่น้องกัน แม่ของวรรณรัตน์เป็นป้าผม เราก็ไปเรียนหนังสือ แต่วรรณรัตน์ เขาเรียนเก่งมาก และเป็นคนที่ตงฉิน ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว

ช่วงเรียนที่อุเทนถวาย มีเหตุการณ์หนึ่ง ที่ทำให้ชีวิตคุณ ต้องพลิกผัน
ครับ ก็เป็นตามอารมณ์ของวัยรุ่น หมายถึง ยอมแพ้คนไม่เป็น ใครทำเพื่อนไม่ได้ มันทำเพื่อนผม ก็พากันไปยิงตอนเช้ามืด ก่อนไปเรียนหนังสือ

ผมติดคุกตั้งแต่อายุ 17 ปี ด้วยคดีฆ่าคน ผมมาอยู่กรุงเทพฯ ผลที่สุด พอมามีเรื่องราวกัน มันตกลงกันไม่ได้ ก็เลยยิงกันตรงนั้นเลย ผมถูกขัง อยู่ที่บางกอกน้อย แล้วจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไปดูตัว เมื่อตอนตี 4 กว่า ตอนนั้นเป็นนักศึกษา พอรับสารภาพ ก็ลดโทษให้เหลือ 25 ปี อยู่จนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงผนวชเมื่อปี พ.ศ. 2499 ผมเป็นนักโทษชั้นกลาง พ.ศ. 2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครบ 3 รอบ มีการเลียบเมือง ตอนนั้นผมเป็น นักโทษชั้นเยี่ยมแล้ว ก็อยู่ห้องเดียวกับแคล้ว ธนิกุล ห้อง 16 เป็นเพื่อนกัน ในที่สุดผมก็ได้รับอภัยโทษ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อยู่ให้เขาไว้ใจ ไปให้เขาเสียดาย... นี่เป็นเรื่องจริง

ถ้าให้คิดย้อนไปถึง ช่วงเวลานั้น เสียใจมั้ยคะ
ไม่คิดครับ ผมจะเฉยๆ ผมเป็นคนที่ไม่ตอกย้ำอะไร ไอ้นี่ของหาย ไอ้นี่ทิ้งกูไป ไอ้โน่นผิดหวังอะไรไม่เอา มีทางเดียวคือ เอาตัวให้รอด อย่าเป็นคนใจร้อน อย่าเป็นคนวู่วาม แล้วก็ค่อยคิดค่อยอ่าน

ความผิดพลาด ถือเป็นบทเรียนที่สอนใจเรา
ไม่ใช่ เราไม่ได้สอนตัวเราเอง แต่เราจะดูว่า ถ้าลูกของเรา หรือลูกของเพื่อน เราเป็นอย่างนี้ เราจะบอกว่า มันไม่ประโยชน์ หยุดได้หยุดซะ จะบอกว่า มึงเชื่อกูเถอะ มันไม่ใช่จริงๆ มันเหมือนกับม่านปิดสนิทเลย ไม่ใช่หนังรอบเช้า รอบค่ำ มันต้องอยู่ต้องทนทุกข์ทรมาน ทุกวิถีทาง การเป็นคนสู้คนน่ะดี แต่สู้ให้มีเหตุและผล การใช้มันสมองแก้ปัญหา แก้ด้วยปัญญา ปัญหาทั้งหมดจะลบ ทิ้งไปได้เลย อย่าแก้ปัญหาแบบกำปั้นทุบดิน และใช้พละกำลัง วันนี้คิดไม่ออก คิดใหม่พรุ่งนี้ และวันเวลาจำไว้เลย มันเป็นวันเวย์ จะไม่ย้อนกลับ มาหามึงเลย ถ้ามึงทำอะไรที่หมาๆ วันนี้ปล่อยทิ้งมันไป 4 ชั่วโมง แล้วบอกพรุ่งนี้ จะเอามาอีก 4 ชั่วโมง ไม่ใช่ 24 เท่าเดิม จะบวกเป็น 28 มันไม่ได้ เพราะเป็นวันเวย์ จะเดินเส้นทางเดียวไปเลย แต่ที่เขาบอกฆ่าเวลา ฆ่าเวลาตรงนี้หมายถึงว่า มึงได้ทำอะไรเต็มหรือเปล่า เต็มแล้ว 12 ชั่วโมง เต็มแล้วทั้งหมด 24 ชั่วโมง แต่ตรงนี้จะฆ่าไปสัก 4 ชั่วโมง ก็คือการนอนหลับ หรือจะนั่งเฉยๆ จะรีแลกซ์ตัวเองมั้ย จะต้องการมั้ยว่า สิ่งที่ผูกมัดอะไรมาจะปลดเปลื้อง หรือทำตัวให้มันดีที่สุด เท่าที่จะดีได้ และก็อย่าให้เต็มร้อย ถ้าเต็มร้อยมันเว่อร์ นั่นคือภาษานักเขียน นั่นคือสิ่งที่ประโลมโลก อะไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องเต็มร้อย แปดสิบก็พอ แล้วสบายๆ

ที่สำคัญต้องมีสติ
ถูกต้อง เราต้องรู้เลยว่า ประสบการณ์คือบทเรียน สถานการณ์ต้องแก้ไข การตัดสินใจอย่าโทษใคร โทษตัวเอง และถ้าหากมีความคิด ความอ่านนั่นคือ คนมีภูมิปัญญา และเราต้องรู้ว่า ถ้าหากเรามีความยั้งคิด มีสติ ปัญญามันจะเกิด อย่างเช่น อยากจะเอาน้ำเททิ้งตรงนี้ เปียกแน่เลย แล้วเลยไปถึงพรมด้วย เราต้องรู้จักเหตุและผลของมัน พูดภาษาไทยตรงๆ ก็คือการยับยั้งชั่งใจ การมีสติเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เราสามารถครองสติ ได้มากแค่ไหน คนนั้นเป็นคนที่จะชนะ จะเป็นคนที่ไม่ตื่นเต้นเลย จะเป็นคนไม่หวั่นไหว หรือสั่นสะเทือนอะไรทั้งสิ้น แม้เสียงอะไรโป้งป้างดังใกล้ๆ ตัวเราจะมีสมาธิดีที่สุด และจะเป็นคนที่รอบคอบ โดยปริยาย เชื่อผมเถอะ มันแน่นอนที่สุด คนเราผมบอกตรงๆ ว่า ไม่มีได้อะไรมา เต็มร้อย มันต้องได้อย่างเสียอย่าง สัตว์มนุษย์ทั้งหลายในโลก ต้องได้อย่างเสียอย่างทั้งนั้น

เชื่อว่าไม่มีใคร จะได้อะไรอย่างเดียว หรือเสียอย่างเดียว
ไม่มี ต้องได้อย่างเสียอย่าง แล้วจะเอาทุกอย่างเต็มร้อยไม่ได้ สิ่งที่คุณนึกไม่ถึง นั่นแหละ นั่นต่างหากที่ไปดัดจริต เซอร์ไพรส์ๆ จริงๆ แล้ว ผมว่าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนคือสิ่งแน่นอน เอาคำนี้มาใช้ดีกว่า คำว่าเซอร์ไพรส์ เอาตัวอย่างง่ายๆ คุณก็นึกไม่ถึงว่า ผมจะมาหาคุณที่นี่ ถ้าผมจะบอกว่าไปหาผม ที่ลาดหลุมแก้ว คุณก็ต้องไป เพราะคุณทำงาน มันคือเป้าหมายของคุณ เพราะคุณอยากให้หนังสือเล่มนี้ ออกให้ทันวันพ่อ กล้าพูดได้เลยว่า คุณเองก็นึกไม่ถึงว่า ชุมพรจะมานั่นตรงนี้ (ที่ออฟฟิศ) จริงๆ ถ้าคุณจิกผม บอกมาตรงนั้น ตรงนี้หน่อยนะ ผมก็ไม่มา ร้อยพ่อพันแม่ก็ไม่มา เทวดาหน้าไหน ก็ไม่มา ผมถึงบอกว่า คนที่เป็นภูผาน่ากลัวที่สุด คนที่เป็นกำแพงเมืองจีน น่ากลัวที่สุด เพราะอะไร เพราะมันไม่รู้ร้อนรู้หนาว ฝนฟ้าตกแดดออก ยังยืนตระหง่านนิ่ง

ขอถามถึงเรื่อง การเข้ามาสู่วงการแสดงบ้างนะคะ ว่าเริ่มได้อย่างไร และใครเป็นผู้ชักนำ
เสี่ยปิง (คุณปริญญา ทัศนียกุล) และคุณลือชัย นฤนาถ เป็นผู้ชักชวนเข้ามา ตอนนั้นผมคุณประจวบ ฤกษ์ยามดี ไม่สบาย เขาเป็นว่าผมหน้าตาเหมือน ก็เลยให้ผมเล่นแทน โดยให้เล่นเป็นผู้ร้ายในเรื่อง คมแสนคม ซึ่งเวลานั้น คนรอบตัว จะเป็นนักแสดงกันหมด ไม่ว่าจะเป็น ไชยา สุริยัน ลือชัย นฤนาถ และอีกหลายคน อยู่ด้วยกันมาก่อน ก็เลยไม่ปฏิเสธอ และคิดว่าคงไม่มีปัญหา จึงรับแสดง

ก่อนหน้านี้ รู้จักแวดวงการแสดง มามากน้อยแค่ไหนคะ
รู้แต่ว่าคนนั้น คนนี้เป็นนักแสดง ที่เข้าออกบ้านเสี่ยปิง ที่เป็นยักษ์ใหญ่ ในวงการภาพยนตร์เท่านั้นเอง

ผลการตอบรับกับการแสดง เป็นผู้ร้ายครั้งแรก เป็นอย่างไรบ้างคะ
เพียงเรื่องแรกกับบทผู้ร้าย ก็สามารถทำให้ผู้ชม เริ่มจะรู้จักดารา ที่ชื่อชุมพร เกิดขึ้นในวงการเวลานั้น ต่อจากนั้น ก็มีงานแสดงเข้ามาตลอด โดยบทที่ผมรับ จะต้องไม่ใช่บทพระเอกเด็ดขาด เนื่องจากเป็นคนที่ไม่ชอบแสดงบทนี้ เหตุผลที่ว่า การเป็นพระเอก ต้องทำตัวลำบาก และไม่ตรงกับนิสัยส่วนตัว เลยแม้แต่นิดเดียว

บทที่ชอบแสดงมากที่สุดคือ บทผู้ร้าย
เพราะบทผู้ร้าย ต้องมีการต่อสู้ได้เตะต่อย ที่สำคัญได้แสดงความสามารถ เฉพาะตัวของบุคคลนั้น สมัยก่อน เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเราเอง ไม่มีการสอนแอ๊กติ้ง เหมือนสมัยนี้ มีเพียงผู้กำกับฯ เป็นคนสอนให้ ทำท่าทางยิงฟันยังไง บทบู๊จะไม่มี การใช้สแตนอิน เหมือนยุคนี้ บทบู้นักแสดงจะต้องแสดงกันจริงๆ ไม่มีเอฟเฟกต์ใดๆ เข้ามาช่วย ถือว่าเป็นฝีมือของนักแสดง ผู้นั้นอย่างแท้จริง

:: อ่านต่อในฉบับ ::

Source : รัชชา

:: กลับไปหน้าหลัก ::