ทบทวนการศึกษา
ผมไม่เคยทำนิตยสาร แบบจริงจังทั้งเล่มมาก่อน เมื่อเริ่มต้นทำ
OPEN 2 ปีที่แล้ว หลายสิ่งหลายอย่าง จึงต้องเรียนรู้กันใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิต
การจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ และการใช้ชีวิต อยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงาน
เป็นธรรมดาอยู่เองว่า ต้องมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่บ้างครั้ง
เราก็ระวังเต็มที่แล้ว แต่มันก็ยังพลาด บางเรื่องพลาดแล้วรู้ บางเรื่อง
พลาดแล้วไม่รู้ว่าพลาด
หลายเรื่องทั้งรู้ว่าพลาด แต่น่าเจ็บใจ ที่เราแก้ไขมันไม่ได้
หลายครั้งการทำงาน จึงเป็นเรื่องของการเรียนรู้ จากความผิดพลาด
ทั้งเรียนรู้ที่จะไม่ทำอีก และระหว่างนั้น ก็ต้องเรียนรู้ที่จะไม่ทำอีก
และระหว่างนั้น ก็ต้องเรียนรู้ จะอยู่กับมันไปเรื่อยๆ โดยสงบ
ความสำเร็จนั้นเหมือนสาวงาม มันจึงไม่ยากเลย ที่เราจะเฉลิมฉลองกับเธอ
ได้จนลืมวันลืมคืน แต่สำหรับความผิดพลาด ใครเล่าปรารถนาจะสบตา
แม้เพียงเสี้ยวนาที
นอกจากนี้ การทำหนังสืออยู่ทุกวี่วัน ติดต่อกันนานๆ ทำให้เวลาสำหรับการจะอ่านหนังสือเพิ่มเติม
บางครั้งกลับลดน้อยถอยลง อย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่น่ากลัวก็คือ
การที่ผู้อ่านของเรา เริ่มเติบโตขึ้น ทั้งทางปัญญา และวุฒิภาวะ
ในขณะที่เราค่อยๆ คลานตามผู้อ่าน ไปอย่างต้วมเตี้ยม
บ่อยครั้งในบางสถานการณ์ ผู้อ่านจะเติบโตเร็ว กว่าคนทำหนังสือ
ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะอ่านหนังสือเล่มนั้น ไปทำไมอีก
สิ่งเหล่านี้ ทำให้เราต้องเคี่ยวเข็นตัวเอง อยู่ตลอดเวลา เมื่อรู้ว่าตัวเองเริ่มเดินช้า
ก็หาวิชาตัวเบา มาช่วยให้เราเดินได้เร็วขึ้น ช่วงเดือนที่ผ่านมา
แต่เป็นการเดินทางเพื่อสนทนากับผู้คน และเก็บเกี่ยว เอาประสบการณ์ของท่านทั้งหลาย
มาถ่ายทอดลงในหนังสือเล่มเล็กๆ ที่ท่านอ่านอยู่ขณะนี้ และที่จะได้อ่านต่อไป
ผมคิดว่า ณ ห้วงเวลาปัจจุบัน เรากำลังเผชิญหน้ากับการท้าทาย ทางปัญญาครั้งสำคัญ
ว่าเราจะเริ่มต้นเติบโต และดำรงอยู่ต่อไปอย่างไร เราไม่อาจแยกตัวเอง
ออกจากสิ่งแวดล้อมรอบด้าน ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
OPEN เริ่มต้นด้วยการนำเสนอแนวคิด และแนวทางใหม่ๆ สำหรับการเริ่มต้นชีวิต
เริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งเป็นการเริ่มต้น ภายใต้เงื่อนไข ของการที่ผู้คนจำนวนไม่น้อย
ทดท้อและอ่อนแรง กับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างแรง ครั้งแรกในรอบหลายสิบปี
เราเติบโตผ่านปีที่หนึ่ง พร้อมๆ กับสังคมไทย รวมทั้งตัวเราเอง
เริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับวิกฤตได้ดีขึ้น ความกล้าหาญในการเลือกวิถีชีวิต
และเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ มีให้เห็นอยู่มากมายรอบๆ ตัว
ในจังหวะที่เราผ่านปีที่สอง และกำลังย่างก้าวเข้าสู่ ปีที่สาม
ผมคิดว่า เราควรที่จะต้องทบทวน ความผิดพลาดที่ผ่านมา
ทบทวนความผิดพลาดมิใช่โหยหาอดีต
เราต้องเริ่มต้นเรียนรู้ความเป็นจริง มิใช่ฝั่งตัวอยู่กับความฝัน
เราต้องเรียนรู้ที่จะมีชีวิต อยู่ร่วมกับผู้คนรอบข้าง มิใช่สนุกสนานกับความสำเร็จ
ของปัจเจก โดยลำพัง
ความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นกับ OPEN สองฉบับที่ผ่านมา ล้วนแต่เป็นการแผ้วถางทาง
สำหรับการก้าวไปในปีที่สาม
ยิ่งในฉบับนี้ ท่านผู้อ่านน่าจะได้สัมผัส สิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมด
ได้อย่างชัดเจนขึ้น ทั้งจากบทสัมภาษณ์ ของท่านอดีต รัฐมนตรีต่างประเทศ
ถนัด คอมันตร์ บทสนทนากับผู้กำกับ ภาพยนตร์ อย่างคุณ นนทรีย์ มินิบุตร
10 คำถาม กับคุณตวงพร อัศววิไล และเรื่องราวที่คุณอาจไม่เคยรู้
ของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งขายเรือนร่างเลี้ยงชีวิต อยู่ที่สนามหลวง
ทั้งหมดนี้ เหมือนเครื่องดนตรีที่หลากหลาย มีจังหละและลีลา เป็นของตัวเอง
แต่เมื่อนำมารวมกัน ก็สามารถเปล่งพลังให้เราเห็น ถึงความเป็นไปในสังคมไทย
ได้ชัดเจนขึ้น
เป็นบทเพลงซิมโฟนี่มีทั้งช้า ปานกลาง และรวดเร็ว
เป็นชีวิตจริง ที่มีทั้งสุข ทุกข์ หนาว ร้อน อยู่พร้อมหน้า
เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง ที่เติบโตขึ้น ตามกาลเวลาอย่างช้าๆ แต่ฉับไว
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา