ความคิดเห็นที่ 1 ขอยกคำตอบ ว่าทะเลาะกันทำไมน่ะ ศาสนา สอนให้คนมีสติ รูัตัว ไม่ทำชั่ว นักวิทยาศาสตร์ ถ้าเป็นพวกมีแต่สมอง แต่ไม่มีสติ ก็อาจทำอะไรที่เกิดผลร้ายแรงขึ้นก็ได้ หลายๆ คห บอกว่า ทำไมเรื่องง่ายๆแค่นี้(ว่าต้องทำดี ทำให้ตัวเองมีความสุขโดยไม่เบียดเบียนคนอื่น)ต้องให้มีคนมาบอกเหรอ? เราขอตอบว่า ใช่ค่ะ สำหรับหลายๆคน สำหรับคุณอาจไม่ต้องการคนมาบอก  แต่ใช่ว่าทุกคนเกิดมาแล้วจะคิดได้เลยว่าไม่ควรเบียดเบียนคนอื่น ควรต้องรู้นะว่าทำอะไร ไม่ควรทำอะไร เพราะงั้น เรามองพวกนักวิทย์ทั้งหลายที่พยายามบอกว่า "ชั้นน่ะนักวิทย์แท้นะ  ไม่ฟังหรอกศาสนาน่ะ เพราะชั้นคิดเองได้ว่าไม่ควรทำสิ่งไม่ดี  พวกฟังศาสนาน่ะงมงาย" เราว่าคุณพยายามยกตนข่มคนอื่นนะ   อย่าลืมว่าที่คุณคิดได้และเป็นคุณทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะเคยได้รับการอบรมทางศาสนาหรอกเหรอว่าให้ทำดี ละชั่ว (อาจจะผ่านทางพ่อแม่ที่นักถือศาสนา เลยอบรมลูกด้วย) และกลับกัน  พวกที่บอกว่า คนไม่ปฏิบัติธรรมน่ะ ไม่เข้าใจหรอก  เราก็มองว่าคุณพยายามยกตนข่มคนอื่นเช่นกัน  และเรามองว่าไม่เห็นมีความจำเป็นที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างที่คุณบอก  มันไร้สาระมากๆ  แค่เอาสิ่งดีๆที่ศาสนาสอนมาใช้ในชีวิตประจำวันก็พอแล้ว สรุป เรามองว่า วิทยาศาสตร์กับศาสนามันไปด้วยกันได้นะ  แค่อย่าไปงมงายกับเรื่องแต่งที่เสริมในศาสนาก็พอ วิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งจำเป็น เป็นการพัฒนาทางโลก ศาสนา ก็จะเป็นเหมือนกัน เป็นการพัฒนาระดับจิตใจคน (สร้างlimitในใจคน เวลาจะทำอะไรจะได้ยั้งคิดหน่อย) ปล ขอโทษ จขกท ค่ะ ไม่เกี่ยวกับหัวข้อเท่าไหร่  แต่นี่เป็นเม้นแรก จากที่เห็นนักวิทย์ชอบยกตนข่มคนยึดคำสอนศาสนา จากคุณ : BigSom เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 20:02:13

ความคิดเห็นที่ 2 นั่นสิๆ พระแม่ธรณีเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรไปดูดคนลงใต้ดิน เพีัยงแค่เห็นต่างกับสิทธิตถะ จนวันนี้ผมยังงงอยุ่เลยทำไม พระแม่ธรณีต้อง:-)ด้วยอะ ศาสนาพุทธสอนให้ปล่อยวางแต่ทำไม พระแม่ธรณีต้องดูดคนหละ งงจังเลย จากคุณ : พระพ่อธรณี เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 20:18:20 A:115.87.115.246 X: TicketID:385487

ความคิดเห็นที่ 3 กระทู้นั้นเปิดดูแว๊บเดียวยังไม่ได้อ่าน ยาวเกินครับ จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 20:23:01

ความคิดเห็นที่ 4 ศาสนา คือ กฏหมายฉบับปรัมปรา ก่อนที่จะมี กฏหมายฉบับโลจิก ดังนั้น ศาสนา คือเรื่องแต่งขึ้น จากคุณ : hydrophobia เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 20:26:01

ความคิดเห็นที่ 5 ก็ลองดูครับประเทศไทยที่เปี่ยมไปด้วยศาสนา กับญี่ปุ่นที่คนส่วนใหญ่ไม่นับถือศาสนา ลองลืมวางของมีค่าไว้ดู คิดว่าที่ไหนของหายก่อน นักวิทยาศาสตร์ ถ้าเป็นพวกมีแต่สมอง แต่ไม่มีสติ ก็อาจทำอะไรที่เกิดผลร้ายแรงขึ้นก็ได้ เช่นเดียวกันผู้นับถือศาสนา  ถ้าเป็นพวกมีแต่สมอง แต่ไม่มีสติ ก็อาจทำอะไรที่เกิดผลร้ายแรงยิ่งกว่า ผู้ที่ไม่นับถือศาสนาก็สามารถยกระดับจิตใจได้เช่นกัน การใช้สามัญสำนึกที่ดีก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข จากคุณ : aonesung เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 20:27:33

ความคิดเห็นที่ 6 เวลาสุขทุกข์อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมันไม่แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนาหรอก คนจนโกรธ คนรวยโกรธ ดร.โกรธ ก็เคมีตัวเดียวกันในสมองที่หลั่ง ทุกศาสตร์ในโลกต่างก็พยายามอธิบายความจริง ในส่วนมี่ศาสตร์นั้นสนใจ ต้องมีความจริงและความขัดแย้งที่ซ้อนทับกันเป็นธรรมดา ศาสนาพุทธเกิดมาจากพระพุทธเจ้าที่สนใจหาคำตอบเฉพาะทางเกี่ยวกับการแก้ทุกข์จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ มีทั้งแนวคิด ทฤษฏี และการปฏิบัติ ครบถ้วน พระองค์ชี้นำเหตุแห่งทุกข์ และทางเพื่อดับเหตุนั้น ส่วนศาสนาพุทธverไทย ก็มีเปลือกแบบไทย ที่ต้องสร้างวัดแบบนั้นแบบนี้ ต้องไหว้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เปลือกก็มีหน้าที่ของเปลือก ถ้าตาดีก็จะเข้าใจสิ่งที่เปลือกนั้นห่อหุ้มส่งความรู้ต่อๆกันมาได้จนปัจจุบัน ว่าเป็นศาสตร์ที่ใช้แก้ทุกข์ได้จริง จากคุณ : @VVIEWW เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 20:28:53 A:58.64.107.91 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 7 เรายังเห็นว่าหลายเหตุผลดูโลกสวยและปฏิบัติให้ได้จริงยากมาก และหลายๆอย่างมันขัดกับคอมมอนเซนส์อยู่ดีสำหรับเรา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไว้ชัดว่า ท่านไม่ได้เดินตามกระแสโลก แต่ท่านมาเพื่อทวนกระแสโลก ซึ่งมีศาสดาร่วมสมัยพระพุทธเจ้าบอกว่า ใครฉลาดก้ไปหาพระพุทธเจ้า ใครโง่ก็มาทางนี้ ในโลกนี้มีศาสนามากมาย แต่ต่างศาสนาก็บอกว่าตนเองถูก แล้วถ้ามีศาสนาใดถูก ศาสนาอื่นก็ต้องผิดสินะ นั่นคือเหตุผลหนึ่ง แล้วถ้าศาสนาพุทธถูกเสมอ ทำไมคนที่นับถือศาสนาอื่นเวลาเจอเหตุการณ์ที่ิ้างว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติถึงเป็นของศาสนาอื่นไม่ใช่พุทธละ เรื่องใดดี คำสอนใครถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านก็รับรองว่าดี ว่าถูกต้อง เช่นเรื่อง เมตตากรุณา ส่วนคำสอนใดที่ขัดแย้งกับพระพุทธศาสนา ท่านก็ปรับประยุกต์มาใช้ในทางที่ถูกต้อง เช่นการไหว้ทิศในศาสนาพราหมณ์ส่วนในพุทธก็มีความหมายต่างไป หรือการล้างบาปด้วยการอาบน้ำในแม่น้ำคงคา ท่านก็ตรัสย้อนว่า หากเป็นจรง สัตว์น้ำทุกประเภทต้องไปสวรรค์ก่อนใครเขา เพราะอาบทุกวัน ทำนองนี้.... แต่เราเบื่อคนที่เอาศาสนามาเกาะทฤษฎีวิทย์หากินมากเลย ความจริง นักวิทย์ปลอมบางคนก็เอาศาสนามาแอบอ้างเพื่อผลประโยชน์ก็มี แต่ถ้าเราเข้าใจ เข้าถึง อย่างถ่องแท้ในศาสนาหรือทฤษฎีของตนแล้ว ปัญหาเรื่องนี้ คงไม่เกดขึ้น แต่ที่ยังเกิด เพราะส่วนมากเราชอบแต่เปลือกของมัน.... จากคุณ : tiger18 เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 20:35:12

ความคิดเห็นที่ 8 ก็คงเหมือนที่ จขกท คิดแหละครับ    คงมีศาสนาใดศาสนานึงที่ถูก แล้วศาสนาอื่นสอนผิดหมดเลย     หรือไม่ก็    ไม่มีศาสนาไหนถูกเลย เป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้นมาทั้งหมด ผมไม่รู้ว่า ใครเคยเจอเรื่องกรรมเห็นผลทันตากันมั้ย    ตอนเด็กๆผมชอบจิ้มตาน้อง จนน้องร้องไห้ทุกวัน แล้วน้องผมก็เป็นโรคหัวใจเสียไปแล้ว  พอผมโตมา เวลาเล่นกีฬาอะไรก็ตาม หรือแค่เดินผ่านโรงยิม ทั้งฟุตบอล บาสเก็ตบอล ปิงปอง  หรือแม้แต่โอราณเรียกชื่อ  จะต้องโดนไอ้ลูกๆพวกนี้อัดเข้าตาประจำ  เคยมีครั้งนึงแค่เดินผ่านโรงยิมแค่นั้น โดนบอลอัดเต็มตีนเข้าเบ้าตา  ลืมตาไม่ขึ้นและเห็นเป็นภาพขาวดำไปวันนึงเลย  ปวดตาไปเป็นอาทิตย์   ผมก็ไม่รู้จะคิดว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญได้มั้ย แต่ผมถามเพื่อนๆ ไม่เห็นจะมีใครโดนพวกลูกๆอัดเข้าเบ้าตา บ่อยๆแบบผมเลย   ซึ่งตั้งแต่เด็กผมก็เลย อนุมานเอาเองว่า  กรรมคงมีจริง ไม่รู้เก็บอยู่ในรูปพลังงานศักย์สะสมอยู่ และเรามองไม่เห็นมันรึป่าว  (ปล.แต่ผมเล่นเกมส์ทุกวันก็สายตาไม่ยักสั้นนะ ทำงานก็ทำหน้าคอมตลอด) พอโตมาอีกขั้นนึง  ถึงผมจะเชื่อว่า กรรมอาจจะมีจริง  แต่ผมไม่เชื่อเรื่อง  ผี สางเทวดา เพราะไม่เคยเห็น  ที่บ้านก็จะชอบไหว้เจ้า ไหว้อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด  ผมก็พวกหัววิทย์จ๋า ชอบไปดูถูกว่า  "บ้าป่าว ถ้าเทวดามีจริง ก็ต้องเห็น หรือมาบอกให้เรารู้แล้วสิ  ไหว้ๆกันไปนี่ใครกิน เห็นมีแต่มดขึ้นทั้งนั้น" แล้วผมก็จะไม่เคยเข้าร่วมประเพณีต่างๆของที่บ้านเลย เพราะคิดว่ามันไร้สาระมาก   ซึ่งพอโตมา อาจจะโชคดีที่มีเหตุการณ์แปลกๆหลายอย่าง ทำให้หัววิทย์จ๋าชอบดูถูกเรื่องพวกนี้ลดลงไป  และเริ่มคิดว่าพวกนี้มันอาจจะมีจริงก็ได้  ซึ่งจากเหตุการณ์หลายอย่างที่เจอปีนี้ ผมมั่นใจว่ามันมีจริงนะ  เลยไม่กล้าไปดูถูกเรื่องพวกนี้แล้ว   ส่วนคุณจะคิดดูถูกว่า คนเชื่อเรื่องพวกนี้เป็นคนโง่คงแล้วแต่คุณแล้วแหละครับ  ผมคงบังคับไรคุณไม่ได้   แต่ส่วนตัวผมรู้สึกผิดมากที่เมื่อก่อนผมชอบไปดูถูกคนที่เชื่อเรื่องพวกนี้นะ  เพราะผมรู้แล้วว่ามันมีจริง จากคุณ : เกียดเกียด เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 20:37:47

ความคิดเห็นที่ 9 ก็อย่าไปยึดติดสิ เลือกเฉพาะที่ใช่ ที่ดี คนเรามีผิดมีถูก ศาสดาเองก็เป็นคน ย่อมมีผิดบ้างถูกบ้าง ถ้าเชื่อเสียหมด ก็คืองมงายแล้ว จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 20:47:31

ความคิดเห็นที่ 10 จขกท ช่วยขยายความหรือยกตัวอย่างหน่อยครับ เรายังเห็นว่าหลายเหตุผลดูโลกสวยและปฏิบัติให้ได้จริงยากมาก และหลายๆอย่างมันขัดกับคอมมอนเซนส์อยู่ดีสำหรับเรา จากคุณ : locomotion เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 20:54:10

ความคิดเห็นที่ 11 ตามประวัติศาสตร์ ไม่อิงพระไตรปิฎกเลย ศากยสกุล มีปรากฎ พระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น ก็มีปรากฎอยู่ จากรูป  สามารถตัดความสงสัยในเรื่องความมีพระองค์อยู่จริงขององค์เจ้าชายสิทธัตถะได้อย่างแน่นอนทีเดียว แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 55 20:58:40 จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 20:57:58

ความคิดเห็นที่ 12 ก็ขอให้ จขกท ใจเย็น ๆ อย่างเพิ่งปักใจไปในทางใด จนได้พิสูจน์ด้วยตนเอง ด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่ คอมมอนเซนส์ ของ จขกท เพียงอย่างเดียวที่จะมาตัดสิน ศาสนา ที่คนมากมายพิสูจน์แล้ว 2500 ปี จากคุณ : นี้่ (กรณี) เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 20:59:05

ความคิดเห็นที่ 13 คลิปสัมภาษณ์จากรายการวู้ดดี้ เกิดมาคุย  ในคำถามที่ท้าทายพระพุทธศาสนา  แต่กลับได้คำตอบที่เหนือชั้นกว่า และชัดเจน ด้วยเหตุ และผลล้วน ๆ ปราศจากคำว่าเชื่อ มีแต่คำว่าใช่  โดยท่าน ว.วชิรเมธี จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 21:00:49

ความคิดเห็นที่ 14 แต่เราเบื่อคนที่เอาศาสนามาเกาะทฤษฎีวิทย์หากินมากเลย ********************************* เห็นด้วยมาก เคยเห็นหนังสือพวกนี้มั้ย - ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น - ไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ - บางสิ่งที่น่าเสียดาย ไอน์สไตน์ไม่เคยพบ แต่พระพุทธเจ้าเห็น - พระพุทธเจ้าพลิกใจ ไอน์สไตน์พลิกโลก - พระพุทธเจ้าพลิกจิต ไอน์สไตน์พลิกโลก - นี่แหละ... คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไอน์สไตน์ให้ฉลาดและมีความสุข ไม่รู้ว่า ไปถาม ไปตอบ ไปพบ ไปเห็น กันตอนไหน?????? ที่หนักกว่านี้คือ หนังสือ - ศาสนาของไอน์สไตน์คือพุทธะ เอากันเข้าไป สงสัยจะจับไอน์สไตน์บรรพชาอุปสมบทกันให้ได้ จากคุณ : ไหวพริบ เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 21:18:41 A:58.11.251.24 X: TicketID:377562

ความคิดเห็นที่ 15 ฝากอีกลิ้ง http://www.youtube.com/watch?v=a1cdvo6-QNg จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 21:19:18 A:223.205.144.96 X: TicketID:354008

ความคิดเห็นที่ 16 เจ้าของกระทู้ลองอธิบายสิ่งต่างๆธรรมชาติต่างๆรอบตัวที่มีอยู่เห็นอยู่ให้คนตาบอดแต่กำเนิดฟังแล้วกัน อยากรู้เหมือนกันว่าจะอธิบายอย่างไรดี จากคุณ : Eroica เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 21:23:33

ความคิดเห็นที่ 17 มองเห็นความเืบื่อไหม    ขณะที่กำลังเบื่อมองเห็นอะไร มองเห็นความไม่พอใจไหม ขณะที่กำลังไม่พอใจมองเห็นอะไร มองเห็นความกลัวไหม    ขณะที่กำลังกลัวมองเห็นอะไร คนไม่มีศาสนาใช่ว่าเป็นคนไม่ดี คนมีศาสนาใช่ว่าเป็นคนดีเสมอไป ไม่่เชื่อถือ นับถือพระพุทธเจ้า หรือศาสนาใดๆ ไม่ใช่ปัญหา ไม่จำเป็นต้องเชื่อถือตามกันไป เพราะการเชื่อโดยไม่เข้าใจ ย่อมยังประโยชน์อันใดได้ไม่ ทุกสรรพสิ่งในอนัตจักรวาลล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  คือ ไม่เที่ยงแท้ แปรเปลี่ยนไป ไรตัวตน วิทยาศาสตร์ ก็ช่วยยืนยันแล้วว่า ทุกสรรพสิ่งเป็น อนิจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นกัน จะไปมัวยึดถือยึดติดอะไรกับเรื่อง วิทยาศาสตร์เหนือกว่า หรือพุทธศาสตร์ล้ำเลิศกว่า ในเมื่อทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นดังแค่เม็ดทรายเม็ดหนึ่งในจักวาลอันกว้างใหญ่ และสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นสรรพสิ่งทั้งมวลล้วนแล้วแต่มาจากพลังความคิดของแต่ละคนนั่นเอง ไม่ใช่หรือ? จากคุณ : My membery เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 21:56:36

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นด้วยกับประโยคสุดท้ายมากๆครับ จริงๆผมไม่ได้สนใจศาสนามานานมากแล้วตั้งแต่เลิกนับถือและศึกษาเมื่อประมาณ 9 ปีก่อน หลังเข้ามาหว้ากอนี่แหละมั้งที่ได้กลับมาจับของเก่ามากขึ้น ทุกวันนี้ผมไม่ได้ใ้ช้ศาสนาในการดำเนินชีวิตเลยซักนิด เพราะมันเป็นแนวคิดที่ไม่ตรงกับผม วิทยาศาสตร์มันเป็นอะไรที่เข้าถึงง่ายและมีบทบาทสูงครับ อะไรๆก็จับมันไปโยงโน่นโยงนี่ทั้งนั้น แต่จะกี่คนกันที่ "เข้าใจ" วิทยาศาสตร์ กระทั่งคนในห้องนี้เองก็ยังมีเรื่องที่พวกเขาเข้าใจผิดกันมากมาย นับประสาอะไรกับพวกที่โยง ร้อยทั้งร้อยไม่เข้าใจทั้งนั้นแหละ กระทั่งศาสนาเองจะเข้าใจรึเปล่ายังไ่ม่รู้เลย จากคุณ : ECOS (thelegendofm) เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 22:05:52

ความคิดเห็นที่ 19 ญี่ปุ่นหรือไม่นับถือศาสนา ?  ไม่เลยนะ บ้านเค้ามีศาสนาและพิธีกรรมอยู่ อาจจะมีความเชื่อมากกว่าคนไทยด้วยซ้ำ  ความเจริญไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา แต่เกี่ยวข้องงกับการพัฒนาระบบการปกครองของประเทศ รัฐประหารทุก 10ปี  มี นายก รมต 2 ปี 1 คนคงจะพัฒนาอยู่หรอกนะเอาไปเทียบกับญี่ปุ่นซะได้ บ้านเราเรื่องศาสนา ใช้ประโยชน์กันได้น้อยเพราะไม่ได้สนับสนุน หรือสนใจจะพัฒนา กันจริงๆจังๆซะมากกว่า วัดก็มีให้คนบวช กับ สร้างหน้าสร้างตาให้ เจ้าอาวาส กับพระสงฆ์เองแค่นั้น ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้จริงใจจะ นับถืออะไรกันจริงจัง ยิ่งคนรวยๆ ดังๆ  ก็ต้องเลือกวัดรวยๆดังๆไปกัน เข้าวัดไม่เข้่าวัดก็ไม่ต่างกัน เข้าไปก็แค่กราบพระ 123 จบ แต่ดูศาสนาและการนับถือของประเทศอื่นสิต่างกับไทยมากแค่ไหน ทำบุญไม่เกี่ยงวัด ไหว้พระก็ไหว้ด้วยจิตใจ กันตลอด จากคุณ : Ballmakoto2 เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 22:08:39

ความคิดเห็นที่ 20 #11 แล้วที่เขียนมานั่นไม่ได้อ้างอิงจากพระไตรปิฎกทั้งหมดหรอกเหรอ? ส่วนตัวผมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเคยมีชีวิตอยู่จริง แต่ถ้าถามผมว่ามีหลักฐานอะไร ผมคงต้องตอบว่ายังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด มีแต่หลักฐานแวดล้อมเท่านั้น ถ้าเป็นผม ผมไม่ยกตารางที่ว่ามาหรอก เพราะโดนซักแค่ที่มาของตารางก็จบแล้ว จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 22:16:16

ความคิดเห็นที่ 21 บางคนชอบเอาความเจริญมาเทียบ  เอาญี่ปุ่นมาเทียบบ้าง  เอาสิงคโปร์มาเทียบบ้าง ยังงี้ผมเอาอันดับความสุขมาเทียบได้มั้ยครับ ว่า ไทยเหนือกว่า ญี่ปุ่น กับ สิงคโปร์ ไทยรั้งที่ 5 ประเทศมีความสุขที่สุดในโลก 10ประเทศที่มีความสุขที่สุด ได้แก่ 1. ปานามา 2. ปารากวัย 3. เอลซัลวาดอร์ 4. เวเนซูเอล่า 5. ประเทศตรินิแดดและโตเบโก  และประเทศไทย ได้ค่าเฉลี่ยเท่ากัน 6. กัวเตมาลา 7. ฟิลิปปินส์ 8. เอกวาดอร์ 9. คอสตาริกา ประเทศที่มีความทุกข์ที่สุด ได้แก่ 1. สิงคโปร์ 2. อาร์เมเนีย 3. อิรัก 4. จอร์เจีย 5. เยเมน 6. เซอร์เบีย 7. เบลารุส 8. ลิทัวเนีย 9. มาดากัสก้า http://news.mthai.com/world-news/208694.html ส่วนตัวผมเคยไปอยู่นิวยอร์ก  ซึ่งผมเห็นได้ชัดว่า ยิ่งเจริญทางวัตถุมาก  จิตใจคนยิ่งต่ำลง   ถ้าเทียบกับรัฐที่ยังไม่เจริญมาก คนมีน้ำใจมากๆ ไม่มีเห็นแก่ตัวกันเลย บ้านก็ไม่ต้องล๊อค  รถก็ไม่ล๊อคประตูกัน ถ้าจะเอาแค่ ความเจริญทางวัตถุมาวัดอย่างเดียว ก็คงแล้วแต่คุณๆกันแล้วล่ะครับ จากคุณ : เกียดเกียด เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 22:37:44

ความคิดเห็นที่ 22 ^ ^ บริษัท Gallup Inc ได้ทำแบบสอบถามประชาชร 1,000คนจาก 148 ประเทศทั่วโลกเกี่ยวกับทัศนคติด้านความสุข นอกจากนี้ยังได้ร่วมรวมรายชื่อประเทศที่ทุกข์ที่สุดไว้ด้วย ทั้งนี้ประเทศ ปานามามีได้อันดับที่ 1 ไปครองด้วยค่าเฉลี่ยร้อยละ 85 สำหรับประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 5 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ด้วยค่าเฉลี่ยร้อยละ 83 ส่วนประเทศที่มีความทุกข์มากที่สุด คือ สิงคโปร์ สำหรับคำถามที่ใช้ในแบบสอบถาม เช่น เมื่อวานนี้คุณรู้สึกว่าได้รับความเอาใจใส่หรือไม่, ที่ไหนที่คุณได้รับความเอาใจใส่เมื่อวานนี้, เมื่อานนี้คุณได้ยิ้มหรือหัวเราะหรือไม่, เมื่อวานนี้คุณได้เรียนรู้อะไรที่คุณสนใจอยู่หรือไม่, เมื่อวานนี้คุณ”ด้รู้สึกถึงความอิ่มใจสุขใจหรือไม่ แล้วมันเป็นยังไงบ้าง บางทีการไม่รู้อะไรเลย อาจจะทำให้มีความสุขก็ได้นะครับ สำหรับเมืองไทยความสุขเรื่องอาหารอาจจะใช่  แต่เรื่องอื่นๆ คงไม่ใช่หรอก ชาวเกาหลีเหนือบางคนอาจมีความสุขมากกว่าที่คุณคิด จากคุณ : aonesung เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 22:51:10

ความคิดเห็นที่ 23 ผมคิดในมุมของมนุษยวิทยา ศาสนาเนี้ยมันเกิดมาจากมนุษย์เพื่อมนุษย์ วลีว่า "เพื่อมนุษย์" ของผมในทีนี้ไม่ได้แปลว่ามันสมควร เหมาะสม หรือ ถูกต้อง แต่มันเป็นระบบอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นมาเพื่อจรรโลงใจมนุษย์ ทั้งที่ มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่สุดในทุกอย่าง ทั่วโลกปัจจุบัน นับถือคริสต์ สองพันล้านคน อิสลามพันล้านกว่าคน ไม่มีศาสนา และ เชื่อวิทยาศาตร์ ตายแล้วสูญ 1พันล้านกว่าคน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 900ล้านกว่าคน พุทธ300ล้านเท่านั้นเอง ผมคิดว่าหลักศาสนา เอามาเปลี่ยนโลกทัศน์แนวคิดของคนในสังคมได้นะครับ ไทยเราเองมีเหตุผลในเชิงอัตลักษณ์ และ มีวาทะกรรมว่าเมืองไทยเมืองพุทธ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่บ่งให้เชื่ออย่างเดียว พระพุทธเจ้าจะพูดถูกหรือผิดไม่ทราบ แต่เราถูกบ่งให้เชื่อไว้ก่อนว่าถูก ต่างกับศาสนาคริสต์ในช่วงก่อนยุคกลางของยุโรป(เพราะยุคกลางมีการแต่งคัมภีร์บิดเบือนคำสอนโดยวาติกันมากมาย) เขามีการตั้งคำถามมากมายว่า พระบิดา พระจิตร และ พระบุตร อันไหนใหญ่ที่สุด มันเกิดโลกทัศน์ของเขาอ่ะครับ เขาแสวงหาคำตอบมากมาย เกิดการตั้งคำถาม การบูชาเหตุและผล แต่ของไทยเรา มักใช้วาทะกรรมเมืองไทยเมืองพุทธ หรือ วาทะกรรมสำนวนคำคม เช่นเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เหล่านี้ส่งผลต่อโลกทัศน์นะครับ ที่ทำแบบนี้เป็นอัตลักษณ์ และ เขามีเหตุผลว่าทำไมต้องทำ ผมไม่ขอพูดนะครับ ฉะนั้น สิ่งที่ผมจะบอกว่า ศาสนาพุทธในโลกภายนอกไม่ได้ถูกมองว่ายิ่งใหญ่อะไรมากมายนอกจากคนไทยเรามองเอง ศาสนาพุทธในไทยเอง เอาศาสนา พราหมณ์-ฮินดู มาเสริมบารมีด้วยซ้ำไปครับ เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์เราชอบอะไรที่ดูยิ่งใหญ่จรรโลงซึ่งศาสนาพุทธโดยเนื้อแท้ไม่มี วัด และ พิธีกรรมต่างๆในไทยจึงมีอิงศาสนา พราหมณ์-ฮินดู ในอิงในพิธีกรรม และ ปฏิมากรรมอย่างบ่อยๆ สุดท้าย ผมขอเล่าให้ฟังว่า ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ญาติผู้ใหญ่สนิทเขาเสีย เขาเป็นคนที่ไม่เชื่อในศาสนา เชื่อในวิทยาศาสตร์ และ การดับสูญ ถึงเวลาที่ญาติเขาเสียจริงๆ เขากับ ต้องกลับไปดับทุกข์ของเขาด้วยความจรรโลงที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อดับทุกข์ของมนุษย์(ในเชิงมายาคติ) เพราะสุดท้าย มนุษย์หนีไม่พ้นครับ เรื่องจิตใจของตนเองครับ นี่คือสิ่งที่มนุษย์แพ้ แพ้จนจิตใจต้องสร้างสิ่งต่างๆออกมาเป็นนามธรรม และ รูปธรรม เช่น ศาสนาเป็นต้น ฉะนั้นผมว่าศาสนาทุกศาสนาต้องวิจารณ์ได้นะครับ ระบบการศึกษาปลูกฝังคุณธรรมและศีลธรรมไปในตัว สุดท้ายไม่พึ่งศาสนาสังคมก็สงบสุขได้ครับ จากคุณ : pinghwtu เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 23:43:18

ความคิดเห็นที่ 24 ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งใน หนังสือ 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน จัดเป็นหนังสือสำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ชื่อหนังสือ  พุทธรรม หนังสือน่าจะประมาณ 2 พันหน้า ผมได้มาเกือบ 5 ปีแล้วยังอ่านไม่จบเลย อ่านได้ ประมาณ 1 ใน 4 แล้วลองปฏิบัติดู ตอนนี้ชีวิตผม ก็ได้หนังสือของ พุทธศาสนาเล่มนี้ เป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิต คติธรรมอย่างหนึ่งคือ  งานทุกอย่างต้องลงมือทำ อย่างคิดเอา ฝันเอาว่ามันเป็นอย่างไร ต้องปฏิบัติไป งานนั้นจึงสำเร็จ สิ่งที่ได้ประโยชน์ อย่างมหาศาลจากศาสนา คือเรื่อง สมาธิ แรงจูงใจ วิธีคิด แยกแยะวิเคราะห์ สิ่งหนึ่งที่พุทธเจ้ากล่าวไว้คือ  เรื่องหลายๆ เรื่องถ้าคิดไปแล้ว รู้ไปแล้ว ไม่เป็นการหลุดพ้นก็เสียเวลาคิด เสียเวลาศึกษา  เอาเวลาและกำลังไปทำให้เกิดมรรคผลทางอื่นดีกว่า สิ่งหนึ่งที่ผมมองเห็นคือการเปรียบเทียบ พุทธ กับ วิทยาศาสตร์ นี่แหละ รู้ไปก็เท่านั้น  คิดไปก็เท่านั้น ไม่เป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นเลย มันคือ 1 ใน มานะ9 นั้นเอง เทียบเขาเทียบเรา ไม่ได้ประโยชน์อันใด จากคุณ : Bugtoi เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 23:56:00

ความคิดเห็นที่ 25 ศาสนาไว้เอาแค่หลักธรรมมาใช้ ไม่ใช่พิธีกรรม แค่นี้ก็จบ  ส่วนความเชื่อมีไว้ให้พวกไม่มีหลักในชีวิตยึดจนกลายเป็นความงมงาย  ไหว้เห็ดไหว้ต้นไม้ สัตว์มี 2 หางก็ไปกราบ  ปัญญาอ่อน พระพุทธเจ้าสอนให้คนใช้เหตุผลแต่คนใช้พิธีกรรม จากคุณ : FFK-KZ@Fiesta เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 04:23:41

ความคิดเห็นที่ 26 สำหรับเรา ศาสนาคือ อารยธรรมด้านสังคมของมนุษย์ในแต่ละภูมิภาค แต่ละยุคสมัย วิทยาศาสตร์ คือ อารยธรรมด้านเทคโนโลยีของมนุษย์ในแต่ละภูมิภาค แต่ละยุคสมัย กระทู้แนะนำมีบาง คห. กัดเรื่องกึ่งพุทธกาล อ่านแล้วก็แบบ แล้วไง ก่อนหน้าศาสนาพุทธก็มีศาสนาเยอะแยะมากมายที่ค่อยๆ ตายไป มียุคเสื่อม มียุครุ่งเรือง ปกติมากอ่ะ จากคุณ : เมษาพาเพลิน เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 04:49:01

ความคิดเห็นที่ 27 ตอบ จขกท. การปฏิบัติที่บางคนกล่าวอ้างมันก็เป็นแค่เปลือกก็มีปฏิบัติไปก็แค่นั้นเสียเวลาเปล่า การปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม "สิ่งไดที่เป็นโลกโลก(ธรรม)ย่อมฝืนและขจัดออก" ถ้ามันเป็นเรื่องง่ายๆคงบรรลุกันหมดแล้วบางคนรู้วิธีไปนิพพานแต่ไม่ปฏิบัติเพราะยังมีกิเลสก็มี กระทู้เดิมจริงๆถามเรื่องพื้นๆที่ผมเองก็ยังพอตอบได้แต่ที่ไม่ตอบเพราะอยากให้ถามให้ถูกห้อง ถ้าจะตาบอดคลำช้างถามกันมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเถียงกันเปล่าๆเพราะจะรู้ได้แต่เปลือก อีกอย่างผมไม่แน่ใจว่า จขกท. ในกระทู้เดิมจะเข้ามาหาความจริงรึเปล่าด้วยซ้ำ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 07:14:42

ความคิดเห็นที่ 28      ผมมีความเห็นอย่างนี้ครับคุณ จขกท. ที่เกิดการเข้าใจผิด ก็คือไปผิดตรงที่ว่าบางท่านพยายามรวมเอาศาสนา และวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์เดียวกันให้ได้ครับ ถึงแม้จะมีบางเรื่องที่สอดคล้องกัน แต่กรอบ ปัจจัย และเหตุผลในการศึกษา ต่างกันครับ  ตรงนี้ผมหมายถึงทุก ๆ ศาสนา นะครับ เพราะแทนที่จะดึงให้คนมาเชื่อ และศรัทธาเช่นท่าน แต่ส่วนใหญ่จะกลายเป็นตรงกันข้าม หรือเพิ่มเรื่องถกเถียงเพื่อเอาชนะกันไม่สิ้นสุด เสียมากกว่าครับ           แต่วิทยาศาสตร์บางเรื่องก็มีส่วนเชื่อมโยงและสอดคล้องกับข้อธรรมบางเรื่องหรือบางข้อได้นะครับ ก็ควรใช้ให้พอดีอย่าเยอะเกินครับ       จขกท.ครับ  เจตนา ของบางท่านก็หวังดีไม่ได้หวังเกาะวิทย์ศาสตร์นะครับ และบางท่านก็ค้นพบว่ามีสิ่งที่เชื่อมโยงสามารถนำมาสอดคล้องกัน เพื่ออธิบายข้อธรรมบางข้อได้ครับ (แต่เตือนบางท่านนะครับอย่าเอาข้อธรรมบางข้อไปใช้ผิดเรื่อง ไปเชื่อมจะเกิดการเข้าใจผิดซะมากกว่าครับ ควรศึกษาข้อธรรมให้ดี ๆ ก่อนครับ อย่างเช่น เรื่องอจินไตยนี้แหละครับ)           สรุปนะครับที่ จขกท.ถามว่าคิดหรือเชื่ออย่างนี้ถูกผิดหรือไม่ ตรงนี้คุณจขกท. จะรู้เองครับ เหตุและผลเราเปลี่ยนแปลงได้ตลอดครับ ตอนนี้ด้วยเหตุและปัจจัยอย่างนี้ก็ทำให้ผลในจิตใจ และความคิดของคุณ จขกท. เป็นอย่างนี้ ซึ่งในอนาคตเมื่อเหตุและปัจจัยเปลี่ยน คุณ จขกท. อาจจะเปลี่ยนความคิดและจิตใจก็ได้ครับ ก็เหมือนอย่างทฤษฎีหลายทฤษฎี ทางวิทยาศาสตร์ก็ถูกหักล้างเปลี่ยนแปลง เมื่อมีเหตุและปัจจัยใหม่ได้เช่นกันนี้ครับ <=(ตรงนี้ผมก็กำลังเอาคำสอนพุทธศาสนามาหากินกับวิทย์อยู่ครับ) จากคุณ : NAPUS 57 เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 12:38:10

ความคิดเห็นที่ 29 "เรายังเห็นว่าหลายเหตุผลดูโลกสวยและปฏิบัติให้ได้จริงยากมาก และหลายๆอย่างมันขัดกับคอมมอนเซนส์อยู่ดีสำหรับเรา" ถูกแล้ว เรื่องแก่นธรรมของศาสนาพุทธนั้นขัดกับธรรมชาติของสัตว์โลก "หลายคนที่เขามาโพสต์ก็พูดเหมือนเขาปฏิบัติกันได้เลย แต่เราก็ไม่ค่อยเชื่อหรอก แล้วหลักแนวคิดหลายๆอย่างของเราก็ขัดกับหลักอันดีงามของศาสนาด้วยเลยสงสัยเข้าไปว่า อะไรก็เรื่องจริงแท้" ไม่เชื่อนะดีแล้ว "ในโลกนี้มีศาสนามากมาย แต่ต่างศาสนาก็บอกว่าตนเองถูก แล้วถ้ามีศาสนาใดถูก ศาสนาอื่นก็ต้องผิดสินะ นั่นคือเหตุผลหนึ่ง" ขนมปังทำจากแป้ง ก็ทำวิธีนึง ปาท่องโก๋ทำจากแป้ง ก็ทำอีกวิธีนึง ศาสนาสอนไม่เหมือนกันน่ะ ไม่ผิดหรอก สอนทำปาท่องโก่ ทำแล้วได้ปาท่องโก๋ ก็ถูก สอนทำขนมปังทำแล้วได้ขนมปัง ก็ถูก อยากทำขนมปัง แต่ดันไปเรียนทำปาท่องโก๋สิถึงจะผิด "แล้วถ้าศาสนาพุทธถูกเสมอ ทำไมคนที่นับถือศาสนาอื่นเวลาเจอเหตุการณ์ที่ิ้างว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติถึงเป็นของศาสนาอื่นไม่ใช่พุทธละ" ใครเป็นคนพูดล่ะ ต้องถามคนพูดคนนั้น "แล้วจะเป็นความผิดมากอะไรไหมถ้าจะปล่อยให้ตัวเองไปอย่างงี้ โดยไม่เชื่อ เพราะทุกๆคนอยากให้เราเชื่อทั้งนั้นอะ" กลัวผิดล่ะสิ "แต่เราเบื่อคนที่เอาศาสนามาเกาะทฤษฎีวิทย์หากินมากเลย" โลกนี้เต็มไปด้วยความน่าเบื่อเต็มไปด้วยความทุกข์อยู่แล้ว --------------------------------------------------------------------- คนที่งมงาย ย่อมต้องมองผู้ไม่ศรัทธาด้วยความโกรธ คนที่เข้าใจแก่นธรรม ย่อมมองผู้หลงมัวเมาด้วยความเมตตาสงสาร คนที่เข้าใจธรรมสูง ย่อมเข้าใจธรรมที่สูงเสมอตน และที่ต่ำกว่าตน แต่ไม่มีทางที่ผู้มีความเข้าใจเข้าใจธรรมต่ำ ไม่เข้าใจ หรือคนพาล ที่จะเข้าใจธรรมที่สูงกว่าตนได้ เพราะคนพาลย่อมพึ่งพอใจแต่สิ่ง ที่เอื้อต่อกิเลสอันมัวเมาของตน (^^ )... จากคุณ : Humandroy เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 13:57:41

ความคิดเห็นที่ 30 แค่ตั้งกระทู้ก็รู้แล้ว ว่าไม่ได้เรียนพุทธศาสนา จากคุณ : ผู้ได้รับบาดเจ็บ เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 14:10:51

ความคิดเห็นที่ 31 ศาสนาพุทธไม่เคยบังคับให้ใครเชื่อ แล้วก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองถูกเสมอ บอกว่าให้ลองปฏิบัติตามดู ถ้าทำตามแล้วยังไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ ไม่มีใครได้เสียอะไร จากคุณ : ปึงเจ็กตี่ เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 16:32:13

ความคิดเห็นที่ 32 ถ้าโรงเรียนสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ทำไมในสังคมยังมีคนชั่วอยู่ล่ะ ศาสนาก็เหมือนกัน คนที่บอกว่านับถือศาสนา ทำไมยังมีคนเลว คนดี ปะปนกันไปล่ะ เราไม่มองว่าพุทธคือศาสนาด้วยซ้ำ ิสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นมาใหม่ แต่พระองค์ตรัสในสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยนึกถึงมันต่างหาก พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเป็นขั้นเป็นตอนที่ละเอียดมากว่า เวลาเรารับรู้อะไร เราจะรู้จากอะไรก่อน เช่น ตาคุณ มองไปเห็นเหรียญ เหรียญหนึ่งบนโต๊ะ คุณก็จะเห็นเป็นวัตถุกลมๆแบนๆ ต่อมาคุณก็จะรู้ว่า วัตถุกลมๆนี่คือเหรียญ ต่อมาก็จะรู้ว่า เหรียญนี่คือเหรียญอะไร พอรู้ว่าเหรียญมีค่า คุณก็จะคิดแล้ว หยิบมาดีมั๊ย เพราะเหรียญมันตกอยู่ที่พื้นไม่มีของใคร สุดท้ายคุณก็หยิบเหรียญนั้นขึ้นมา ใส่กระเป๋า กระบวนการคร่าวๆที่ลองยกตัวอย่างให้ฟัง อาจจะเกิดในเวลาไม่ถึงสี่สิบวินาที ตั้งแต่คุณเห็นเหรียญ จนคุณหยิบใส่กระเป๋า สิ่งนี้จะมีประโยชน์อย่างไรถ้าเรารู้ ลองเปลี่ยนจากเห็นเหรียญ เป็นโดนเพื่อนด่า มันก็จะเกิดตามกระบวนการแบบนี้แหละค่ะ แล้วรู้ตรงนี้มันมีประโยชน์ตอนไหน มันจะมีสติ พอรู้ว่าจะโกรธ มันก็จะหยุดทัน พอหยุดทัน มันก็จะไม่มีเรื่องราวอื่นๆตามมา เวลาได้ยินข่าว ทะเลาะกัน ตีกัน ทุกเรื่องเกิดจากการขาดสติทั้งนั้น ลองนั่งดูอารมณ์ตัวเองก็ได้ค่ะ เห็นอะไร รู้สึกอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น ดูมันด้วยความสนุกสนาน แล้วคุณจะรู้จักตัวเอง แบบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ลองตอบคำถามตัวเองนะคะ เวลาเจอกระทู้ประเภทนี้ ยังมีคำตอบอยู่รึเปล่า อยากไปที่ไหนก่อนตาย? ถ้าหมอบอกว่าเป็นมะเร็งจะทำอะไรดี? ถ้าคุณยังตอบคำถามเหล่านี้อยู่ แปลว่าคุณยังไม่เข้าใจธรรมชาติของชีวิต คนเราเกิดมาต้องตายกันทุกคน ถ้าเรายังไม่นึกถึงความตายอยู่เนืองๆ เราจะใช้ชีวิตด้วยความประมาท ประมาณว่า เอาไว้ก่อน คงยังไม่ตายตอนนี้ อีกห้าปีค่อยทำก็ได้ แต่ถ้าคุณตระหนักถึงความตายอยู่เนืองๆ คุณจะทำโดยไม่มีข้อแม้ อะไรสำคัญ อะไรที่ต้องทำ คุณจะให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นก่อน ก่อนที่เราจะหันมาปฏิบัติธรรม เราก็เคยสงสัย ทำไมคนที่เข้าปฏิบัติธรรมแบบเข้าถึง ไม่ค่อยจะยอมพูดอะไรสักอย่าง ประมาณว่า จะทำชั่วก็ไม่ห้าม ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว เข้าใจทุกอย่าง สิ้นสงสัยค่ะ จากคุณ : =U_U= PoRpLe เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 18:12:04

ความคิดเห็นที่ 33 เราก็เห็นด้วยกะ จขกท ว่าแต่ละศาสนาสอนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้ามีศาสนานึงถูก อีกศาสนาก็ต้องผิด ง่ายๆ แค่เรื่องพระเจ้าก็พอ ศาสนานึงมี อีกศาสนานึงไม่มี แล้วในโลกใบเดียวกันจะเกิดทั้งสองสภาวะได้ยังไง เพราะคิดยังนี้เลยเลือกที่จะมองข้ามคำถามเหล่านี้ไปค่ะ แต่เราหันไปใช้หลักกาลามสูตร 10 เลือกพระธรรมที่คิดว่าเป็นจริง โดยไม่ต้องมีใครมาเถียง มาใช้ในชีวิตประจำวันแทนค่ะ คือ อริยสัจ 4 ไตรลักษณ์ และหิริ โอตัปปะ แค่นี้เราก็ทุกข์น้อยลงได้แล้วค่ะ จากคุณ : 29 ฝน 28 หนาว (Oilygirl) เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 18:25:26

ความคิดเห็นที่ 34 จากความเห็น จขกท ขอแสดงความเห็นดังนี้ 1. เราก็ไม่ควรสรุปว่ามันไม่จริง เพียงเพราะ "เรายังเห็นว่าหลายเหตุผลดูโลกสวยและปฏิบัติให้ได้จริงยากมาก" หรือ "...ขัดกับคอมมอนเซนส์อยู่ดีสำหรับเรา" 2. เราก็ไม่ควรที่จะไม่เชื่อ เพียงเพราะ "...หลักแนวคิดหลายๆอย่างของเราก็ขัดกับหลักอันดีงามของศาสนาด้วย" และ 3. คงไม่ผิดที่ไม่เชื่อ เพียงเพราะ "...เพราะทุกๆคนอยากให้เราเชื่อทั้งนั้น" แต่เราสามารถเรียนรู้ พิสูจน์ สิ่งต่างๆ ที่เรายังไม่รู้เพิ่มเติมได้ มิใช่หรือ? เพียงแต่ เราอาจไม่ได้เรียนรู้มากพอหรือเปล่า?? จากคุณ : RWC เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 55 23:39:21

ความคิดเห็นที่ 35 คนญี่ปุ่นบางคนเชื่อว่าเกลือไล่ผีได้ จากคุณ : konbachiwa เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 11:06:33

ความคิดเห็นที่ 36 - ในโลกนี้มีศาสนามากมาย แต่ต่างศาสนาก็บอกว่าตนเองถูก แล้วถ้ามีศาสนาใดถูก ศาสนาอื่นก็ต้องผิดสินะ นั่นคือเหตุผลหนึ่ง แล้วถ้าศาสนาพุทธถูกเสมอ ทำไมคนที่นับถือศาสนาอื่นเวลาเจอเหตุการณ์ที่ิ้างว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติถึงเป็นของศาสนาอื่นไม่ใช่พุทธละ ตอบ - ไม่จำเป็นครับ อย่างเรื่องจิต สมาธิ ศาสนาพราหมณ์ ก็สอนเหมือนกัน พระพุทธเจ้าสมัยศึกษาหลาย ๆ ศาสนา หลาย ๆ อาจารย์ ท่านก็เคยนั่งสมาธิมาก่อน แต่หลงไปเน้นด้านโลกีย์ฌาณ ไม่บรรลุ ยิ่งนั่งก็ยิ่งหนัก จนตอนหลังปล่อยวาง (ซึ่งพูดง่ายแต่ทำยาก) ท่านจึงได้บรรลุอรหันต์ แต่หลังจากบรรลุแล้ว ด้วยความฉลาดของท่าน ท่านจึงเกิดท้อครับ ใจน้อมไปในทางจะไม่เผยแผ่ศาสนา เพราะเล็งเห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยเหล่าคนใจมืดบอด งานนี้คงยากซะยิ่งกว่ายากแน่ ๆ แต่สุดท้ายท่านก็คิดต่อว่าโลกนี้มีคนหลายประเภท พวกที่ฉลาดแต่หัวแข็งก็อาจจะยากหน่อย พวกหัวอ่อนเชื่อง่ายแต่โง่ก็อาจยากรองลงมา พวกกลาง ๆ คงไม่ยากมาก ฯลฯ สุดท้ายท่านจึงออกเผยแผ่ศาสนาครับ (ขอโทษทีพิมพ์เพลิน) - แล้วจะเป็นความผิดมากอะไรไหมถ้าจะปล่อยให้ตัวเองไปอย่างงี้ โดยไม่เชื่อ เพราะทุกๆคนอยากให้เราเชื่อทั้งนั้นอะ ตอบ - ไม่ผิดครับ ทุกคนอยากให้คุณเชื่อเพราะเป็นความหวังดี อยากให้พ้นทุกข์ แต่เขาลืมไปว่าคุณไม่ได้อยากจะเชื่อ ออกจะไม่ชอบด้วยซ้ำ และไม่อยากให้ยัดเยียดความคิดใส่หัว ไม่ต้องคิดมากครับ เห็นกระทู้แนวนี้ก็เลี่ยงไม่ต้องเข้าไปดู ผมว่ามันคงไม่ได้ทำให้คุณเดือดร้อนลำบากขึ้นหรอกครับผม ^^ - ชาวเกาหลีเหนือบางคนอาจมีความสุขมากกว่าที่คุณคิด อืมมม ตรงนี้ผมก็สงสัยนะครับ ว่าทำไมคนในเน็ทบางคนคิดแบบนี้ ขอเหตุผลสนับสนุนด้วยได้ไหมครับ ยิ่งคนที่เอาเกาเหลาเนื้อมาเปรียบกับประเทศเรานี่ ผมยิ่งงงหนัก ทำไมไม่เปรียบเรากับอังกฤษ? แค่รักในหลวงหน่อยเดียวโดนหาว่าเป็นเกาเหลาเนื้อเลย มันต่างกันมากนะ แค่สภาพความเป็นอยู่ อิสระของประขากร-การเข้าถึงของการศึกษา-อินเตอร์เน็ท-สื่อลามก ฯลฯ ก็ต่างกันฟ้ากับเหวแล้ว ประเทศเราด่ารัฐได้ เกาเหลาเนื้อด่ารัฐตายนะครับ จากคุณ : รบชนะ เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 55 11:37:31

ความคิดเห็นที่ 37 แตกอีกที ถามจริงๆเหอะ ความคิดเห็นนี้ได้แตกไปยังกระทู้ X13101740 จากคุณ : MicaFeresz เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 55 00:26:18

ความคิดเห็นที่ 38 อบจขกท จอบใช้ขุดดินได้ เสียมก็ใช้ขุดดินได้ มือเปล่าๆ ก็ขุดได้ ถ้าเลือกใช้ถูก ก็ขุดง่ายหน่อย ใช้ผิด ก็อาจจะบาดเจ็บได้ ข้อหลักพุทธ ขอให้คุณมีสติเถอะ จะใช้อะไรขุด ก็จะปลอดภัยได้ ส่วนหลักการใด สนับสนุนให้กระทำการโดยไร้สติ ก็ชีวิตก็จะหาไม่ ได้ (ปัจฉิมนิเทศน์ของพระพุทธ) จากคุณ : ฟฟ7 เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 55 10:38:21 A:58.137.93.6 X: TicketID:375732