กล่าวโดยสรุป
ปัจจัยที่มีผลต่อแสงในภาพนั้น มีสามอย่าง คือ ชัตเตอร์เปิดไว้นานแค่ไหน?
รูที่ให้แสงเข้านั้นกว้างแค่ไหน? แล้วเรากำหนดให้เซ็นเซอร์มีความไวแสง แค่ไหน?
สามอย่างนี้ ถ้าปรับตัวหนึ่ง อีกตัวก็จะเปลี่ยนตาม เพื่อให้ได้ปริมาณแสงพอดี
ตามที่ผู้ใช้วัดแสงเอาไว้ ไม่เชื่อลองปรับในโหมด AV หรือ TV ดู
ถ้าเราเปิดรูให้กว้างในโหมดที่กล้องให้เราคุมความกว้างของรูรับแสงเอง
อย่างในโหมด AV
ความเร็วชัตเตอร์ก็จะเพิ่มขึ้น คือม่านชัตเตอร์จะปิดเร็วขึ้น
เพื่อให้ได้แสงเท่าที่ต้องการ เพราะรูกว้าง
แสงเข้าไม่นานก็พอใช้แล้ว เปิดนานกว่านั้น แสงล้น
ภาพจะสว่างจ้าเป็นสปอตไลท์
ในกรณีที่ชัตเตอร์ไม่เร็วพอ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ภาพสั่นไหว
กล้องจะพยายามดัน ISO ให้สูงขึ้นแทน
หรือถ้าเราใช้โหมดที่กล้องให้ผู้ใช้ควบคุมความเร็วชัตเตอร์เอง อย่างโหมด TV
เมื่อเราเพิม่ความเร็วชัตเตอร์ กล้องก็จะพยายามเปิดรูรับแสงให้กว้างขึ้นแทน
เพื่อให้ได้ปริมาณแสงตามที่เราวัดแสงเอาไว้ ในเวลาที่กำหนด
กลับกันกับข้างบน ในกรณีที่เปิดรูกว้างสุดแล้ว แสงยังไม่พอตามเวลาที่เรากำหนด
กล้องก็จะดัน ISO ให้สูงขึ้นเป็นไม้ตายสุดท้าย
อันว่าการดัน ISO นี่ เดาเอานะครับ ว่ากล้องน่าจะทำเป็นทางเลือกสุดท้าย
แต่จริงๆมันอาจจะทำพร้อมๆกันกับปรับชัตเตอร์ หรือเพิ่มค่ารูรับแสงก็ได้การจะใช้โหมดการถ่ายภาพแบบไหน จึงขึ้นอยู่กับเราอยากได้ภาพแบบใด?
อยากควบคุมระยะชัดลึกชัดตื้น เลือก AV
อยากควบคุมความนิ่งหลับขยับไหวของแบบ ใช้ TV
อยากเข้าใจการทำงานของกล้องและมีเวลาเหลือๆ ลองใช้ M
ISO คือการเพิ่มไวอากร้าให้ตัวเซ็นเซอร์
จากเจ้าหนุ่มผู้เคลื่อนไหวเชื่องช้า กลับมีความเร็วดุจสายฟ้า
แว้บเดี๋ยวก็รับมีดสั้นของลี้คิมฮวงได้ทุกเล่ม
แต่ข้อเสียของมันก็คือ ลมปราณจะปั่นป่วน
ทำให้ภาพออกมามีนอยส์เยอะแยะไปหมด
ISO จึงควรเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่เราจะเลือกเพิ่มค่าเวลาถ่ายภาพ
ส่วนค่าเหล่านี้ ดูได้ที่ตรงไหน ตัวไหนแสดงค่าอะไรบ้าง?
ลองเปิดคู่มือกล้องรุ่นนั้นๆครับ ก็จะถึงบางอ้ออย่างแน่นอน
แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า จะมากล่าวถึง ISO อย่างลงลึกกว่านี้
ขอให้คุณพระคุ้มครองให้เลนส์อย่าขึ้นราครับ
ลงนาม
เป็ดสวรรค์
