ความคิดเห็นที่ 1 ในเวลานั้น  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  เสด็จดำรงพระยศ เป็น   สมเด็จเจ้าพระยามหามหากษัตริย์ศึก  สมเด็จพระอนุชาธิราช  กรมพระยาบวรมหาสุรสิงหนาถ  เสด็จดำรงพระยศเป็น  เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช    เสด็จยกกองทัพไปทำการสงครามอยู่ที่กรุงกัมพูชา ทั้ง ๒ พระองค์   เมื่อได้ทรงทราบว่าเกิดจลาจลขึ้นในกรุงธนบุรี จึงเสด็จยกกองทัพกลับมา   พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก    เสด็จเข้าโขลนทวาร    แลประทับสรงมุรธาภิเษกที่วัดสะแก   เมื่อ ณ วันเสาร์  เดือน ๕   แรม ๙ ค่ำ  ปีขาล   จัตวาศก ๑๑๔๔  พุทธศักราช ๒๓๒๕   เสด็จจากพลับพลาวัดสะแก  โดยกระบวนทางสถลมารค    ไปประทับพลับพลาหน้าวัดโพธาราม (วัดพระเชตุพน)       เสด็จลงเรือพระที่นั่งข้ามไปยังพระราชวังกรุงธนบุรี    ทรงระงับดับยุคเข็ญในพระนครเรียบร้อยแล้ว เสนาพฤฒามาตย์ทั้งปวง เชิญเสด็จขึ้นผ่านพิภพปราบดาภิเษก  ประดิษฐานพระราชวงศ์  ดำรงรัฐสีมาเป็นใหญ่ในสยามประเทศสืบมา จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:13:53 ]

ความคิดเห็นที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงย้ายพระนครมาสร้างกรุงรัตนโกสินทร์     ข้างฝั่งตะวันออกเมื่อสร้างพระราชวังในพระนครใหม่  จึงโปรดให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นที่ประดิษฐานพระมหารัตนปฏิมากรแก้วมรกต อันเป็นศิริสำหรับพระนคร  แลเมื่อสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้น ทรงพระราชดำริว่า ระฆังที่วัดสะแกเสียงไพเราะไม่มีระฆังอื่นจะเสมอ  สมควรจะเอามาไว้ในวัดสำคัญสำหรับพระนคร  จึงโปรดให้เอาระฆังที่วัดสะแก  มาแขวนไว้ที่หอระฆังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สำหรับตีย่ำเช้าเย็นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:14:08 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถึงปีมะเส็ง  สัปตศก จุลศักราช ๑๑๔๗ พุทธศักราช ๒๓๒๘    ในรัชกาลที่ ๑  ขุดคูคลองพระนครตั้งแต่วัดตีนเลน (วัดบพิตรพิมุข)   ข้างใต้   ผ่านมาในที่วัดสะแก ไปประจบคลองบางลำพูข้างเหนือสำเร็จ   จึงโปรดให้ขุดคลองต่อจากคลองคูพระนครข้างเหนือวัดสะแก  ตรงไปทางตะวันออกอีกคลองหนึ่ง    พระราชทานนามว่า คลองมหานาค   อย่างคลองทำนองเดียวกันกับที่กรุงเก่าในครั้งนั้น    จึงโปรดให้สถาปนา วัดสะแก   เป็นพระอารามหลวง   พระราชทานนามใหม่ว่า   วัดสระเกศ     สิ่งซึ่งสร้างในรัชกาลที่ ๑    คงรูปอยู่ในเวลานี้แต่พระอุโบสถ นอกจากนี้   สถาปนาใหม่ในรัชกาลที่ ๓ มาก  จึงทราบไม่ได้แน่ว่า   เมื่อในรัชกาลที่ ๑    จะทรงสร้างสิ่งใดบ้าง  ถ้าจะสันนิษฐาน    การเปรียญ   ศาลาท่าน้ำ   และหอไตรกุฏี     คงสร้างครั้งรัชกาลที่ ๑   แต่เป็นเครื่องไม้ จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:14:19 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ถึงปีระกา   ตรีศก จุลศักราช ๑๑๖๓ พุทธศักราช ๒๓๔๔   ในรัชกาลที่๑    โปรดให้แต่งคลองมหานาค ตอนริมวัดสระเกศ   แลคลองเดิมข้างหน้าวัด ให้กว้างขวาง   และทำเป็นเกาะหลายเกาะ    สำหรับเป็นที่ชาวพระนครประชุมเรือเล่นนักขัตฤกษ์ในฤดูน้ำ  เมื่อกาลสำเร็จในเดือน ๑๒ ปีนั้น   โปรดให้มีการฉลองวัดสระเกศ    พระราชทานเงินหลวงให้พระราชวงศานุวงศ์   แลข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในเลี้ยงพระทั้งวัด    ตั้งต้นกัลปพฤกษ์    ทรงโปรยทาน   มีการมหรสพ   แลจุดดอกไม้ไฟทั้งบนบกแลในน้ำ         แลโปรดให้พระวงศานุวงศ์   แต่งเรือประพาสร้องดอกสร้อยสักรวา   แลบรรเลงเครื่องดุริยดนตรี   มีการมหรสพฉลองวัดครั้งนั้น ๗   วัน จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:14:33 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขออภัยครับ ลงรูปซ้ำ เพลินไปหน่อย แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 49 23:18:07 จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:15:03 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ในรัชกาลที่ ๒    จะทรงสถาปนาสิ่งใดในวัดสระเกศ บ้างไม่ปรากฏ      แต่วัดสระเกศ เป็นวัดสำคัญขึ้นเมื่อในรัชกาลที่ ๒   ได้เป็นที่สถิตของพระวันรัต   ถึง ๒ พระองค์          เมื่อปีจอ   ฉอศก   จุลศักราช  ๑๑๗๖พุทธศักราช ๒๓๕๗    โปรดให้สมณะทูต   มีพระอาจารย์เทพ   พระอาจารย์ดี   เป็นหัวหน้าออกไปลังกาทวีป สมณะทูต  ไป ๓ ปี   กลับได้ต้นโพธิ์ลังกาพรรณพระศรีมหาโพธิ์   เมืองอนุราธบุรี   มาถวาย ๓ ต้น   โปรดให้ปลูกไว้ที่วัดมหาธาต ุต้นหนึ่ง    วัดสระเกศ ต้นหนึ่ง   วัดสุทัศน ต้นหนึ่ง    โพธิ์ลังกาต้นที่พระราชทานมาปลูกวัดสระเกศ   เมื่อในรัชกาลที่ ๒  ได้ก่อฐานปลูกไว้ข้างหน้าพระอุโบสถ   ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:18:33 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถึงรัชกาลที่ ๓   ทรงบูรณะวัดสระเกศ ทั่วทั้งวัด   แต่จะลงมือบูรณะตั้งแต่ปีใดไม่ปรากฏ  แต่เพราะการที่ทำมากมายหลายอย่าง     เห็นจะทำต่อติดมาตลอดรัชกาล   สิ่งซึ่งบูรณะในรัชกาลที่ ๓ นั้น คือ        ๑. พระอุโบสถ   ซ่อมแซม และเขียนภาพใหม่   ทำซุ้มสีมาประดับกระเบื้อง        ๒.สร้างพระระเบียง   และพระเจดีย์รายรอบพระอุโบสถ            ๓. พระวิหารสร้างหลังใหม่  กั้นเป็นสองห้อง   ห้องทางตะวันออก เป็นที่ไว้พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่    ซึ่งเชิญมาแต่วัดวิหารทอง  เมืองพิษณุโลก   ถวายพระนามว่า   พระอัษฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร   ห้องข้างใต้นั้นว่างอยู่   คงจะได้ทรงพระราชดำริไว้สำหรับจะตั้งพระพุทธรูปสำคัญองค์ใดองค์หนึ่ง        ถึงได้ก่อฐานที่ตั้งไว้แล้ว   แต่การเปลี่ยนแปลงไปอย่างใดอย่างหนึ่ง   พระวิหารห้องนั้นจึงว่างอยู่ จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:19:03 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องพระพุทธรูป ที่ตั้งในพระวิหารนี้   สันนิษฐานดูน่าเข้าใจว่าพระอัษฐารสจะเชิญลงมาจากเมืองพิษณุโลก  ในคราวเดียวกันกับ   กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ เชิญพระพุทธชินสีห์   มาไว้วัดบวรนิเวศ   เพราะมาจากเมืองพิษณุโลกด้วยกัน    วังหลวงเชิญมาองค์หนึ่ง   วังหน้าเชิญมาองค์หนึ่ง   วิหารที่ว่างอยู่ห้องหนึ่งนั้น   ได้ไปตรวจฐานที่ทำไว้   เข้าใจว่าเห็นจะสร้างสำหรับตั้งพระศาสดาๆ   นั้น   กล่าวกันว่าอธิการสงฆ์องค์หนึ่ง  เชิญลงมาก่อน   แรกมาตั้งไว้ที่วัดบางอ้อยช้าง   อยู่ทางแม่น้ำอ้อม   แขวงเมืองนนทบุรี ต่อมาจะเป็นเมื่อรัชกาลที่ ๒  หรือที่ ๓    ไม่แน่      เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ   ปฏิสังขรณ์วัดประดู่   คลองบางหลวง   เชิญพระศาสดาไปตั้งเป็นพระประธานที่วัดประดู่   เข้าใจว่าจะเป็นในเวลาเมื่อเชิญพระอัษฐารสลงมาตั้งที่พระวิหารวัดสระเกศ   พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า   พระศาสดาเป็นพระสำคัญอยู่เมืองพิษณุโลกก่อน    ควรจะเชิญมาไว้พระวิหารวัดสระเกศ กับพระอัษฐารสด้วยกัน   จึงโปรดให้แก้พระวิหารกั้นเป็น ๒ ห้อง   อย่างวิหารพระโลกนาถวัดพระเชตุพน   แต่ครั้นเมื่อตั้งพระอัษฐารสแล้ว   จึงปรากฏว่าที่ตั้งพระกระชั้นประตูนัก   แลดูพระไม่ถนัด   จึงโปรดให้เชิญพระศาสดาไปตั้งในพระอุโบสถวัดสุทัศน์เทพวราราม   ซึ่งทรงสร้างใหม่   มีที่ยาวแลเห็นได้ถนัด   พระศาสดาอยู่วัดสุทัศน์ จนในรัชกาลที่ ๔   พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   จึงโปรดให้เชิญไปไว้วัดบวรนิเวศ   กับพระพุทธชินสีห์   ด้วยทรงพระราชดำริว่า    เมื่ออยู่ในเมืองพิษณุโลกเคยอยู่ในพระอารามเดียวกัน   สันนิษฐานว่า    เรื่องราวจะเป็นมาดังนี้   ที่ตั้งพระในพระวิหารวัดสระเกศ   จึงว่าง อยู่ห้องหนึ่ง  จนถึงรัชกาลที่ ๕   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   โปรดให้เชิญพระพุทธรูปหล่อ   ซึ่งเป็นพระประธานวัดดุสิต   ในสวนดุสิต   ย้ายมาไว้เมื่อสร้างพระราชวังสวนดุสิต   ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:19:37 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ๔.กุฎี   แลการเปรียญ   เดิมเป็นเครื่องไม้   สร้างเปลี่ยนเป็นตึกทั้งพระอาราม   แต่หอไตรซึ่งสร้างในรัชกาลที่ ๑   ลวดลายงาม   เป็นแต่ซ่อมแซมเพิ่มเติมในรัชกาลที่ ๓        ๕. ศาลาท่าวัด แลศาลาตามเกาะ   สร้างเป็นเครื่องก่ออิฐถือปูน   ในรัชกาลที่ ๓        ๖. สร้างเมรุปูน   สำหรับพระราชทานเพลิงพระศพและเจ้านาย   แลศพข้าราชการผู้ใหญ่   เมรุปูนที่วัดสระเกศนี้   สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ แต่ยังเป็นพระยาศรีพิพัฒน์ เป็นนายงานการก่อสร้าง   ทำพร้อมเพรียงบริบูรณ์ยิ่งกว่าเมรุปูนที่วัดอรุณ ฯ    แลวัดสุวรรณาราม   มีสามสร้างรอบเมรุ   มีพลับพลา   โรงธรรม   โรงครัว   โรงมหรสพ   ตลอดจนพุ่มกัลปพฤกษ์   แลระธาจุดดอกไม้   ล้วนทำด้วยเครื่องอิฐปูนพร้อมเสร็จ   ดูเหมือนจะไม่ให้ต้องปลูกอะไรเลยทีเดียว        ๗. แต่สิ่งที่สำคัญซึ่งสร้างในวัดสระเกศ   เมื่อรัชกาลที่ ๓ นั้น   คือ ภูเขาทอง   พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว    ทรงพระราชดำริจะสร้างพระปรางค์ใหญ่   ให้มีในกรุงรัตนโกสินทร์อีกองค์ ๑    เรียกกันว่าภูเขาทอง   มาแต่แรกสร้าง     เพราะเหตุที่อยู่ใกล้คลองมหานาค   เหมือนอย่างที่ภูเขาทองที่กรุงเก่า   มีจดหมายเหตุเรื่องสร้างภูเขาทองเมื่อในรัชกาลที่ ๓   อยู่ในหนังสือพระราชพงศาดาร   ที่เจ้าพระยาทิพากรวงษ์เรียบเรียง   ดังนี้ จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 10 วัดสระเกศนั้น  โปรดให้พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา ฯ (ทัด บุนนาค)    เป็นแม่กอง   ทำพระปรางค์องค์ใหญ่องค์ ๑    ฐานเป็นไม้สิบสอง   ด้านหนึ่งยาว ๕๐ วา    ขุดรากลึกลงไปที่โคลนแล้ว   เอาหลักแพทั้งต้นเป็นเข็มห่มลงไปจนเต็มที่แล้ว   เอาไม้ซุงทำเป็นฐานและปูเป็นตาราง   แล้วเอาศิลาซึ่งราษฎรเก็บมาขายบรรจุลงไปจนเต็ม    การก่อขึ้นไปได้ถึงชั้นทักษิณที่สอง    ศิลาที่บรรจุข้างใน   กดหนักลงไปจนเละทรุดลงไปถึง ๙ วา      อิฐที่ก่อหุ้มข้างนอกนั้นก็แตกร้าวรอบไปทั้งองค์    ของนี้ไม่ทลายก็เพราะทรุดกลางกดกันลงไป   พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา ฯ    ให้ขุดดินริมฐานพระชัณสูตรดู   ก็พบหัวไม้ระเบิดขึ้นมาหมด   จึงโปรดเกล้า ฯ   ให้ขอแรงพระราชวงศานุวงศ์   แลขุนนางข้าราชการที่ตามเสด็จ   พระราชทานพระกฐิน   ผู้คนยังพรักพร้อมอยู่   ให้ปักเสาหลักแพเป็นหลักมั่นกันข้างนอกให้แน่นเป็นหลายชั้น   กั้นฐานพระปรางค์ไม่ให้ดินถีบออกไป สิ้นไม้หลักแพหลายพันต้น แล้วก็จัดการก่อแก้ไขที่ทรุดหนักลงมาอีก ๓ วาเห็นว่าจะแก้ไขไม่ได้แล้ว   ก็เลิกการนั้นเสีย   จึงทำแต่การอื่นต่อไป จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:20:14 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในรัชกาลที่ ๓ ได้มีงานฉลองวัดสระเกศ   เมื่อปีเถาะ   ตรีศก   จุลศักราช ๑๑๙๓    พุทธศักราช ๒๓๗๔     ฉลองพร้อมกับวัดอื่นซึ่งได้บูรณะปฏิสังขรณ์   รวม ๙ พระอาราม    คือ   วัดราชโอรส ซึ่งบูรณะมาแต่รัชกาลที่ ๒ การสำเร็จบริบูรณ์ในปีนั้น   พระอารามนอกจากนี้อีก ๘ พระอารามคือ    วัดอรุณ ๑    วัดราชสิทธิ์ ๑   วัดโมฬีโลก ๑     วัดระฆัง ๑    วัดสังข์กระจาย    วัดพระยาทำ ๑     วัดสุวรรณาราม ๑    วัดสระเกศ๑ วัด ๘ วัดนี้   การที่ทรงปฏิสังขรณ์สำเร็จแล้วบ้าง   ยังบ้าง   โปรดให้ฉลองพร้อมกันทั้ง ๙ พระอาราม    การฉลองครั้งนั้นปรากฏในจดหมายเหตุว่า    ณ วันอาทิตย์   เดือนยี่   ขึ้น ๓ ค่ำ    เสด็จไปถวายไตรที่วัดราชโอรส   พระสงฆ์ที่จะสวดมนต์ทั้ง ๙ วัด   รวม ๑,๒๐๐ รูป   ไปพร้อมกันรับพระราชทานไตรแลผ้ากราบตรา รุ่งขั้นสวดมนต์ทุกพระอาราม    เช้าเลี้ยงพระแลมีเทศน์วันละ ๓ กัณฑ์    เวลาบ่ายทิ้งทาน   แลมีมหรสพทั้งกลางวันกลางคืน   ค่ำจุดดอกไม้ไฟทุกพระอารามทั้ง ๓ วัน   เสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค    ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลด้วยพระองค์ที่วัดราชโอรส    ครั้นการฉลองที่วัดเสร็จแล้ว   ถึง ณ วันอังคาร   เดือนยี่   แรม ๘ ค่ำ   ทรงบริจาคพระราชทรัพย์   ๑,๐๐๐ ชั่ง บำเพ็ญสัตตสดกมหาทาน     เสด็จออกทรงโปรยทานที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์    โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอแลพระเจ้าลูกยาเธอ   ขึ้นโปรยทานที่ต้นกัลปพฤกษ์   ต้นละ ๔ พระองค์   พร้อมกับเวลาทรงโปรย   เป็นที่สุดของการฉลองพระอารามในครั้งนั้น จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:20:35 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ในรัชกาลที่ ๔  โปรดให้แก้ไขพระปรางค์ใหญ่   ซึ่งทิ้งค้างมาแต่รัชกาลที่ ๓    ทำเป็นภูเขาทอง   มีบันไดเวียนสองสายขึ้นถึงยอด แลบนยอดเขาก่อพระเจดีย์องค์ ๑    พระราชทานนามภูเขาว่า   บรมบรรพต การยังค้าง    มาสำเร็จในรัชกาลที่ ๕      เมื่อโปรดให้ตัดถนนสระปทุมต่อจากถนนบำรุงเมือง    ถนนนี้ผ่านไปในระหว่างกุฏีวัดสระเกศ   กับบริเวณเมรุปูน   โปรดให้สร้างพลับพลา แลแก้ไขบริเวณเมรุให้เข้ากับถนน   ให้ทำสพานแลถนนต่อจากถนนสระปทุม    เข้าไปถึงลานบรมบรรพตด้วยสาย ๑    ต่อมา   เมื่อตัดถนนจักรพรรดิต่อถนนวรจักร์    โปรดให้ถมคลองข้างหน้าวัดทำถนนแลทำกำแพงวัด   หน้าวัดออกถนนใหญ่ได้ในคราวนั้น   แล้วโปรดให้ทำสพานข้ามคลองหลังวัดต่อจากถนนสระปทุม   เข้าในลานบรมบรรพตอีกสายหนึ่ง จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:20:52 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อนึ่ง เมื่อรัชกาลที่ ๕   นั้น   ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทาน   พระทันตธาตุจำลองมาไว้   สำหรับตั้งในคูหาพระเจดีย์ ยอดบรมบรรพต   แลโปรดให้กำหนดนักขัตฤกษ์   ให้ราษฎรมาบูชาพระที่บรมบรรพต   เมื่อกลางเดือน ๑๒   ทุกปี   มีมาจนบัดนี้   แลเมื่อปีระกา   นพศก   จุลศักราช ๑๒๕๙    พุทธศักราช ๒๔๔๐   มีผู้ขุดพบพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า   ที่ในเนินพระเจดีย์เก่า   ที่เมืองกบิลพัสดุ์   ในมัชฌิมประเทศ ที่ผอบมีอักษรจารึกอยู่เป็นสำคัญว่า   เป็นพระบรมธาตุของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า    ส่วนที่สากยราชตระกูลได้รับประดิษฐานไว้   ผู้ชำนาญโบราณคดีในยุโรปแลอินเดียเชื่อว่า      เป็นพระธาตุของสมเด็จพระสากยมุนีศรีสรรเพชญ์พุทธเจ้า          เมื่อกิตติศัพท์ทราบแพร่หลาย    บรรดาพุทธศาสนิกชนในนานาประเทศก็พากันอยากได้พระบรมธาตุนั้นรัฐบาลอังกฤษเห็นว่า สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามพระองค์เดียว   เป็นอิศรมหาราชพุทธศาสาสนูปถัมภ์    จึงถวายพระบรมธาตุนั้น   แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว      แลทูลขอให้พระองค์เป็นผู้แบ่งพระราชทานแก่พุทธศาสนิกบริษัท   ในนานาประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   โปรดให้เจ้าพระยายามราช   (ปั้น สุขุม เปรียญ)    แต่ยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต    เป็นราชทูตออกไปรับพระบรมธาตุ   เชิญมายังพระนคร    เมื่อทรงแบ่งพระธาตุไว้สำหรับพระราชทานไปยังนานาประเทศแล้ว   พระธาตุที่เหลือนั้น   โปรดให้แห่มาประดิษฐานไว้ในซุ้มพระเจดีย์   ยอดบรมบรรพต   เมื่อ ณ วัน   ๓ ฯ ๑๔ ๗ ค่ำ   ปีกุญ   เอกศก   จุลศักราช ๑๒๖๑    พุทธศักราช ๒๔๔๒    มีมหกรรม มีการสมโภช   แล้วโปรดให้หล่อพระเจดีย์น้อยตั้งไว้ที่บรรจุพระบรมธาตุ   เป็นสำคัญปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:21:11 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ฝ่ายพุทธศาสนิกบริษัทในนานาประเทศ     คือลังกาทวีป และประเทศพม่า   ต่างแต่งพระสงฆ์แลอุบาสกเป็นทูตเข้ามารับพระราชทานพระบรมธาตุ  ส่วนพวกญี่ปุ่นแต่งคณะพรต    พวกชาวไซบีเรียในราชอาณาจักรรุสเซีย   ก็แต่งอุบาสกเข้ามารับพระราชทานพระบรมธาตุ   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   โปรดให้ต้อนรับ   พระราชทานไทยธรรมบำเหน็จแก่พวกทูตที่เข้ามา   แล้วพระราชทานพระธาตุไปประดิษฐานไว้ในประเทศนั้นๆ   ทั้ง ๔ ประเทศ จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:21:35 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ในรัชกาลปัจจุบันนี้   (รัชกาลที่ ๖)    สร้างสพานมหาดไทยอุทิศ   ข้ามตรงปากคลองมหานาค   และทำถนนใหญ่ข้างด้านตะวันตก   ซึ่งค้างมาแต่รัชกาลก่อน    สำเร็จเมื่อปีขาล   ฉอศก   จุลศักราช ๑๒๗๖    พุทธศักราช ๒๔๕๗   ตำนานการสถาปนาพระอาราม   มีดังนี้ จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:21:49 ]

ความคิดเห็นที่ 16 จบแล้วครับผม ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาชมครับ ชุดนี้แอบบ่นนิดนึงว่า ตอนถ่ายรู้สึกว่าสวยมากมาก พอเอามาแต่ง แอบกลุ้ม แก้สียากมากมาก รูปไหนสีเพี้ยนๆไปก็ขออภัยล่วงหน้าละกันนะครับ จากคุณ : PommeIE82 - [ 12 พ.ย. 49 23:23:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17 im stunning... pure bueaty krub... จากคุณ : Capmoo - [ 13 พ.ย. 49 01:44:01 A:212.147.51.209 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 T T สวยมากเลย จากคุณ : เป็นอุ - [ 13 พ.ย. 49 13:08:51 ]

ความคิดเห็นที่ 19 จากคุณ : koontuch - [ 13 พ.ย. 49 16:43:20 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สวย สงบ เยือกเย็น   อลังการ์    ดื่มด่ำกับสมาธิ สุดยอดครับ จากคุณ : p_warat - [ 13 พ.ย. 49 18:19:25 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แจ่มมากๆ เลยท่าน จากคุณ : แพนด้ามหาภัย - [ 13 พ.ย. 49 19:02:39 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อลังฯจัง จากคุณ : ดา ดา - [ 14 พ.ย. 49 08:42:10 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มุมนี้ไม่เคยเห็นเลยครับ แจ่มดีครับ จากคุณ : mOm1 - [ 14 พ.ย. 49 10:27:45 ]

ความคิดเห็นที่ 24 super! จากคุณ : j i r a . . . . (jira0024) - [ 14 พ.ย. 49 23:45:55 ]

ความคิดเห็นที่ 25 สวยคลาสสิคครับ จากคุณ : Teo - [ 15 พ.ย. 49 23:25:36 ]