ความคิดเห็นที่ 1   ทางเข้าค่ะ ยังมีเวลาถึง 22 สิงหาคมนะคะ ผ่านไปทางนั้นก็แวะเข้าไปชมฟรีค่ะ ถ้าหอบข้าวของพะรุงพะรัง เขามีที่รับฝากค่ะ จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:39:50

ความคิดเห็นที่ 2   จากซ้ายไปขวา เก้าอี้ Ribbon ของปิแอร์ พอลแลง ออกแบบเมื่อปี 1966   ม้านั่ง Bubu ของฟิลิปป์ สตาร์ค ออกแบบเมื่อปี 1991 เก้าอี้ La Marie ออกแบบเมื่อ 1998ของ ฟิลิปป์ สตาร์ค เช่นกัน จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:40:47

ความคิดเห็นที่ 3   เก้าอี้ริบบ้อน จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:41:12

ความคิดเห็นที่ 4   ตัวหน้าคือ เก้าอี้สแตนดาร์ด ของ ฌอง พรูเว่ ออกแบบเมื่อปี 1934 ดีไซน์นี้เป็นตัวแทนอุตสาหกรรมการออกแบบที่เสมอภาค มุ่งหน้าเตรียมพร้อมเป็นงานสะสม แต่กลับกลายเป็นความนิยมเฉพาะกลุ่มผู้เข้าใจงานศิลปะในกรุงปารีส บริษัทวิทร่า (Vitra) ได้นำเก้าอี้นี้มาผลิตใหม่อีกครั้งในปี 2002 และจากนั้นมา มันจึงได้สถานะของไอคอนอย่างแท้จริง เทียบเท่ากับผลงานของ จอร์จ เนลสัน และ ชาลส์ อีมส์ ตัวหลังคือ เก้าอี้โมเดล A ของ ซาวิเยร์ โพชาด์ สร้างขึ้นในปี 1934 เก้าอี้ตัวนี้ได้รับความสำเร็จอย่างรวดเร็วในแวดวงสังคมช่วงระหว่างสงคราม ด้วยคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ (วางซ้อนกันได้ แข็งแรง และไม่ขึ้นสนิม) จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:42:10

ความคิดเห็นที่ 5   ไอคอนหลังม่าน จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:42:38

ความคิดเห็นที่ 6   ม้านั่ง Tam Tam ของ อองรี มาซอนเนท ออกแบบเมื่อปี 1968 เป็นที่รู้จักในอีกชื่อว่าม้านั่งดีอาโบโล ผู้ซื้อสามารถแยกส่วนม้านั่ง เปลี่ยนเป็นสีต่างๆ ตามรสนิยม ทำให้เกิดเอกลักษณ์ที่ไม่เคยมีให้แก่ม้านั่งแต่ละตัว และจากความเป็นต้นแบบอย่างแท้จริง ทำให้ม้านั่ง “ตัม ตัม” ประสบความสำเร็จด้วยการขายมากกว่า 12 ล้านชิ้น ในปี 1973  และ เมื่อบริจิตต์ บาร์โดว์ ถูกถ่ายรูปขณะนั่งบน “ตัม ตัม” ม้านั่งชิ้นนี้ก็ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางแฟชั่น Algues (สาหร่าย) โมดูลาร์แบ่งห้อง ของ พี่น้อง รนัน และ เออร์วัน บูรูเล็ค (1976) ออกแบบเมื่อปี 2004 อัลเจเป็นส่วนประกอบเล็กๆ ในการตกแต่งภายใน และขณะเดียวกัน เป็นเหมือนหน่วยพืชเล็กๆ ที่สามารถเชื่อมเข้าด้วยกันเพื่อถักทอเป็นมิติของพื้นผิว จากม่านบางถึงทึบ หรือกั้นเป็นรั้วหนา ประกอบเป็นฉากแบ่งห้อง กว่า 2 ล้านชิ้นถูกขายโดยวิทรา (Vitra) ปัจจุบันอัลเจเป็นหลักประกันแห่งความสำเร็จของระบบคิดที่แปลกใหม่ เป็นงานสะสมของพิพิธภัณฑ์ MoMA และได้ถูกผลิตขายไปทั่วโลก จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:43:17

ความคิดเห็นที่ 7   อัลเจเมื่อต่อกันอย่างหนา จะคล้ายสาหร่ายทะเลเลยทีเดียว (ภาพจากสูจิบัตร) จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:43:48

ความคิดเห็นที่ 8   เก้าอี้ Rainbow ของ แพทริก นอร์เกท์ ออกแบบเมื่อปี 2000 ภายใต้รูปร่างที่ชัดเจนในความเป็นต้นแบบ ก็แฝงไปด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า นั่นคือเทคนิคการวางแผ่นเรซิ่นสีที่ทับซ้อนประกบกัน จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:44:29

ความคิดเห็นที่ 9   จากซ้ายไปขวา เก้าอี้สแตนดาร์ด ของ ฌอง พรูเว่ เก้าอี้เลาจ์น Djinn ของ โอลิวิเยร์ มูร์ค ออกแบบเมื่อปี 1965 ถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์ยอดฮิตอย่าง 2001: A Space Odyssey (1968) ของ สแตนลี่ คูบริค เก้าอี้ดจินน์กลายเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ของการออกแบบฝรั่งเศส ต้องขอบคุณฉากในภาพยนตร์ ที่ทั้งคอลเลคชั่นของเก้าอี้ถูกวางตัดกับฉากสีขาวโพลนในบรรยากาศข้างในของยานอวกาศ ด้วยความสบายทางกายภาพผนวกกับภาพลักษณ์ของโลกอนาคตทำให้เก้าอี้ ดจินน์ ปูเส้นทางสู่ความเป็นไอคอนของปี 1970 โซฟา Togo ของ มิเกล ดูคารอย ออกแบบเมื่อปี 1973 ชิ้นส่วนต่างๆ ทำจากเดครอน (เส้นใยโพลีเอสเตอร์) ล้วนๆ โดยไม่ต้องพึ่งโครงสร้างใดๆ ตัวโซฟาบุผ้านวมด้วยผ้าต่อ มองดูคล้ายปล่องเตาไฟ หรือบ้างอาจกล่าวว่าเหมือนหลอดยาสีฟัน หรือ หนอนยักษ์ ผลิตโดย ลินเยย์ โรเซท์ (Lignet Roset) ที่มีความคิดกล้าหาญซึ่งส่งผลจนถึงทุกวันนี้  ในการผลิตโซฟาที่ทำด้วยโฟมเป็นชิ้นแรกของโลก จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:45:18

ความคิดเห็นที่ 10   และนี่คงเป็นหนึ่งในไอคอนฝรั่งเศสที่คนทั้งโลกรู้จักพอๆ กับหอไอเฟิล จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:46:03

ความคิดเห็นที่ 11   Citroën DS 19 สิ่งประดิษฐ์ของวิศวกร อังเดร เลเฟบ และฟลามิโน เบอร์โทนี่ เปิดตัวให้โลกรู้จักในวันที่ 5 ตุลาคม ปี 1955 ที่งานนิทรรศการรถยนต์ในกรุงปารีส จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:46:39

ความคิดเห็นที่ 12   DS 19 หรือ “รถยนต์ระเบิด” ตามที่สื่อขนานนามให้ในตอนนั้น เปลี่ยนความเชื่อเดิมๆ เกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์ มันคือจุดเริ่มต้นของตำนานรถยนต์ปฏิวัติคันสุดท้าย และภายในเย็นของวันที่ 5 ตุลาคม ได้มีการลงทะเบียนสั่งรถประมาณ 12,000 คัน และเพิ่มขึ้นเป็น 80,000 คันเมื่อนิทรรศการปิดตัวลง จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:47:12

ความคิดเห็นที่ 13   การออกแบบมุ่งไปที่ความล้ำยุคของระบบแอโรไดนามิก ซึ่งฉีกออกจากระบบแรงลากอย่างเต็มตัว และที่น่าประทับใจคือความคิดริเริ่มทางเทคโนโลยีในระบบกันสะเทือนแบบไฮดรอลิค ระบบจานเบรก และพวงมาลัยเพาเวอร์ การเข้าถึงทุกคนด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ ทำให้ DS 19 หรือ “Déesse” ซึ่งแปลว่า “เทพธิดา” คือจุดเปลี่ยนเส้นทางของยานยนต์จากที่เคยมีมา เช่นที่ โรลองค์ บาท์ส อธิบายไว้ในในหนังสือ “Mythologies” ว่า “มันเป็นผลงานเทียบเท่าโบสถ์โกธิค เป็นงานสร้างสรรค์แห่งยุคสมัย เกิดขึ้นจากความหลงใหลของนักออกแบบที่ไม่ได้มีชื่อเสียง ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้ใช้ เพียงแค่ภาพลักษณ์ของมันก็เป็นเหมือนดั่งมนต์วิเศษ” จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:47:54

ความคิดเห็นที่ 14   DS 19 ผลิตออกมาเป็นระยะเวลาประมาณ 20 ปี และจบลงในปี 1975 ถึงแม้รุ่น CX ได้ถูกผลิตตามหลังออกมาแต่ก็ไม่สามารถแทนที่ได้ DS 19 ถูกผลิตออกมามากกว่า 1,330,755 คันและกรุยทางให้ก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมยานยนต์ และด้วยมาตรฐานนี้ มันได้รับการยอมรับไปทั่วโลก จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:48:26

ความคิดเห็นที่ 15   จักรยาน พินนินฟาริน่า-อี โซเล็กซ์ (Pininfarina: the E-Solex) ปี 2006 เหล้าเก่าในขวดใหม่ การสานต่อ “จักรยานเคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเอง” ผลผลิตล้ำค่าและไม่อาจแยกตัวออกจากประวัติศาสตร์ โดยผู้สร้าง มอร์ริส กูตาร์ และ มาร์เซล เมนเนซง ได้ก่อตั้งบริษัท Solex ในปี 1910 และนำเสนอ เวโลโซเล็กซ์ (Velosolex) ในปี 1946 มันได้กลายเป็นไอคอนฝรั่งเศสในช่วงหลังสงคราม เป็นสิ่งสะท้อนพัฒนาการของฝรั่งเศสในช่วงความเจริญรุดหน้าหลังสงครามโลก จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:48:59

ความคิดเห็นที่ 16   เวโลโซเล็กซ์ (Velosolex) รุ่นแรกๆ กับนางแบบที่เป็นไอคอนฝรั่งเศสเช่นกัน  จักรยานให้ความสะดวกสบาย ประหยัด มั่นใจได้ ใช้งานและดูแลรักษาง่าย ทำให้มันประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ผลิตในปี 1946 ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นเจ้าของ  จักรยาน Solex 11 รุ่นถูกผลิตในฝรั่งเศส กว่า 8 ล้านคัน ถูกจำหน่ายจนกระบวนการผลิตหยุดชะงักลงในปี 1988 แต่ตำนานยังคงอยู่ (ภาพจากสูจิบัตร) จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:49:28

ความคิดเห็นที่ 17   และในปี 2004 กลุ่มบริษัท Cible ได้เข้าคุมแบรนด์และเริ่มกระบวนการผลิตใหม่อีกครั้ง ปัจจุบัน พินนินฟาริน่า-อี โซเล็กซ์ ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้า สานต่อตำนานจักรยานอายุกว่า 60 ปีในศตวรรษที่ 21 ถังน้ำมันข้างหน้าถูกเปลี่ยนเป็นที่เก็บของ เพื่อคงเอกลักษณ์เดิมไว้ให้มากที่สุด จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:50:02

ความคิดเห็นที่ 18   เครื่องคั้นน้ำมะนาว Juicy Saliff ของ ฟิลิปป์ สตาร์ค ออกแบบเมื่อปี 1990 เครื่องคั้นน้ำมะนาวนี้ทำจากอลูมิเนียมหล่อ และเป็นประติมากรรมอย่างแท้จริง มันมีทั้งผู้ที่ชื่นชอบและผู้ติเตียนที่เบี่ยงเบนความสำคัญ ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างไม่เคยมีมาก่อนในวงการออกแบบ ส่วนใหญ่วิพากษ์วิจารณ์ประโยชน์ใช้สอยที่มีจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการเก็บหรือนำมาใช้ (คำนิยามเจ้าเซลิฟของ TCDC คือ “ใช้ไม่ค่อยได้..แต่เท่) อย่างไรก็ตาม ผลงานชิ้นนี้ก็ยังเป็นงานออกแบบที่ขาดไม่ได้ในงานสะสมของพิพิธภัณฑ์ และไม่ว่าจะรักหรือเกลียด จุยสซี่ย์ เซลิฟได้กลายเป็นวิวัฒนาการทางการออกแบบในศตวรรษที่ 20 อย่างไม่ต้องสงสัย จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:50:48

ความคิดเห็นที่ 19   นาฬิกา Mach 2000 ของ โรแชร์ ทาลลอง ออกแบบเมื่อปี 1974 แมค 2000 ทะลุทะลวงกฏเกณฑ์เดิมๆ ของนาฬิกาประดับ ด้วยรูปแบบมีเอกลักษณ์ สายข้อมือและข้อต่อที่เหมาะกับข้อมือ หมุดไขลานขนาดใหญ่ สีสันที่สดใส รวมถึงหน้าปัดที่ชัดเจนด้วยประโยชน์ใช้สอย และการใช้เทคโนโลยีจากอุตสาหกรรมการบิน (อลูมิเนียม เหล็กกันสนิม และเทคโนโลยีแบบระบบอัดแก๊ซ) จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:53:41

ความคิดเห็นที่ 20   เครื่องบิน Concorde (เซอร์อาชิบารด์ อี รัสเซลล์, ปิแอร์ ซาร์ต, บิลล์ สแตรง, ลูเชียง แซร์วองตี) เครื่องบินเร็วกว่าเสียง (Supersonic) เป็นผลงานคลาสสิกของการบินทางทหารในปี 1950 และมีการปรับเปลี่ยนไปในเชิงพาณิชย์ โดยเครื่องบินซุปเปอร์โซนิคลำแรกเปิดตัวอย่างเป็นทางการด้วยความร่วมมือระหว่างแอร์ ฟรานซ์ กับ บริติช แอร์เวย์ ในปี 1976 เส้นทางการบินแรกคือ ปารีส ดักการ์ ริโอ ลอนดอน และ บาร์หเรน แต่ขณะนั้นการนำเอาเครื่องลงในสหรัฐฯ ถูกห้าม เพราะวิตกสภาวะที่อาจถูกรบกวนจากซุปเปอร์โซนิค แต่ในที่สุดเส้นทางบินระหว่างปารีส ลอนดอน นิวยอร์ค ได้เปิดและกลายเป็นเส้นทางหลักมาเป็นเวลากว่า 25 ปี เครื่องบินคอนคอร์ดอันโรแมนติคและเซ็กซี่ คือตัวแทนดีไซน์การบินที่ดีที่สุดของยุโรป เที่ยวบินปิดตำนานคือนิวยอร์ค-ลอนดอนในวันที่ 24 ตุลาคม 2003 คองคอร์ดยุติการบินลงอย่างถาวร หลังเกิดอุบัติเหตุไฟลุกไหม้ท่วมลำโดยเริ่มจากลำปีก ขณะเทคออฟ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2000 ณ กรุงปารีส จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:54:13

ความคิดเห็นที่ 21   ไอคอนฝรั่งเศสชิ้นนี้ชอบมากที่สุดค่ะ เพราะมันคือสิ่งใกล้ตัวที่สุด จับต้องบ่อยที่สุด เห็นมาตั้งแต่เด็ก โยนทิ้งไปก็เยอะ โดยเราไม่เคยนึกเลยว่ามันคือหนึ่งในนวัตกรรมชิ้นเอกของโลก ที่พลิกวิถีแห่งการเขียน อย่างน้อยก็ทำให้นักเรียนนักเขียนไม่ต้องมีนิ้วกลางที่เปื้อนหมึกจากปากกาหมึกซึมอีกต่อไป (เราคนหนึ่งล่ะ วิชาคัดลายมือ .. หุ หุ ประจานอายุตัวเองซะงั้น ) ปากกาลูกลื่น Bic Cristal จาก ปากกาลูกลื่น เอกสิทธิของ ลาสโล บิโร่ ผลิตออกสู่ตลาดเมื่อปี 1950 ลาสโล บิโร่จดทะเบียนสิทธิบัตรปากกาลูกลื่นของเขาในปี 1943 หลังจากเริ่มนวัตกรรมชิ้นนี้มาเป็นเวลากว่า 20 ปี สมัยยังเป็นนักข่าว บ่อยครั้งที่เขาหงุดหงิดกับความยุ่งยากในการใช้ปากกาหมึกซึม เขามองเห็นความเป็นไปได้ในการใช้เทคนิคลูกกลมที่หมุนไปรอบๆของระบบการพิมพ์ ซึ่งสามารถทำให้หมึกออกมาอย่างเป็นเนื้อเดียวกันและสม่ำเสมอ ผู้ผลิตชาวฝรั่งเศส มาร์เซลล์ บิกค์ ซื้อลิขสิทธิ์จากบิโร่ นำออกสู่ตลาดในปี 1950 และได้รับเสียงตอบรับอย่างทันท่วงที ในแนวความคิดของลูกลื่น มาร์เซลล์ บิกค์ ได้แรงบันดาลใจจากแก้วใสหกเลี่ยม ปากกานี้มีรูปทรงแบบดินสอ ซึ่งสะดวกสบายในการจัดเก็บและใช้สอย การใช้แท่งใสแบบคริสตัลทำให้เห็นระดับหมึก การรูเจาะเล็กๆ ทำให้ความกดดันเท่ากันทั้งภายในและภายนอก ปลายทองเหลืองที่มีลูกหมุน ถูกดัดอยู่ในโลหะทังสเตนผสมคาร์บอน ซึ่งแข็งแรงกว่าเหล็กกล้า มีความแม่นยำ ทำให้หมึกไม่ซึมเปื้อนออกจากหลอดส่ง มีศักยภาพในการเขียนได้ถึง 3 กิโลเมตร และปลอกหัวปากกาที่มีส่วนยื่นออกมาเพื่อสามารถเหน็บกับกระเป๋า ปากกาบิก คริสตัล ถูกขานกล่าวว่าเป็นปากกามีคุณภาพดีที่สุดในราคาที่ถูกที่สุด มันได้กลายเป็นเครื่องหมายของเครื่องเขียน ผลิตและขายมากกว่า 10 ล้านด้ามต่อวัน ปากกานี้กลายเป็นไอคอนสำคัญของวงการอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 20 และได้ยืนหยัดเป็นสัญลักษณ์ของคนทั้งโลก ปากกาลูกลื่นบิก 1แสนล้านด้าม ถูกขายตั้งแต่เริ่มผลิตจนถึงปี 2004 พิพิธภัณฑ์ MoMA และ Centre Georges Pompidou ได้นำมันเข้าไปเป็นงานสะสม ทำให้ปากกาด้ามเล็กๆ นี้ เป็นสุดยอดแห่งไอคอนที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเท่าได้ จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:54:57

ความคิดเห็นที่ 22   ห้องวีดีทัศน์ ฉายประวัติความเป็นมาของงานดีไซน์ทั้งหมดที่นำมาจัดแสดง จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:55:32

ความคิดเห็นที่ 23   แปรงสีฟันและที่ใส่ ของฟิลิปป์ สตาร์ค ออกแบบให้บริษัทฟลูโอคาริล เมื่อปี 1990 สตาร์คพูดถึงงานออกแบบชิ้นนี้ว่า “หนึ่งในชัยชนะไม่กี่ครั้งในชีวิตทำงาน คือความสำเร็จในการสดุดีของใช้หลากหลาย อีกนัยหนึ่งคือทำให้มันเป็นที่นิยม ปกติแปรงสีฟันจะถูกเก็บซ่อนในลิ้นชัก แต่ในทันทีทันใด ผู้คนก็เริ่มให้แปรงสีฟันเป็นของขวัญวันคริสต์มาส” จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:56:06

ความคิดเห็นที่ 24   ทางมืดๆ ไปสู่งานแสดงชิ้นสุดท้าย ซึ่งก็เป็นไอคอนฝรั่งเศสที่คนทั้งโลกรู้จักดี จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:57:01

ความคิดเห็นที่ 25   หีบเดินทาง Malle Vuitton ของหลุยส์ และ จอร์จ วิตตอง ตั้งแต่ ปี 1875 โดยบริษัท หลุยส์ วิตตอง หีบเดินทางแบบ Wardrobe สัญลักษณ์เครื่องใช้อันหรูหรา สร้างสรรค์โดย หลุยส์ วิตตอง ชายจากชนชั้นยากจน ผู้ตัดสินใจพลิกอนาคตตนเองโดยเดินเท้าเข้าสู่กรุงปารีสเมื่ออายุได้เพียง 14 ปี เริ่มต้นอาชีพเป็นเด็กฝึกงานในโรงงานเล็กๆ โดยรับหน้าที่ทำหีบห่อบรรจุสัมภาระให้แก่พวกเศรษฐี ในยุคที่ผู้คนยังไม่มีกระเป๋าเดินทาง ความสามารถของหลุยส์ วิตตองเข้าตาถึงจักรพรรดินีอูเซนีย์ ในปี 1852 เขาจึงมีโอกาสทำงานให้กับเหล่าชนชั้นสูงในสมัยนั้น จนปี 1854 หลุยส์ วิตตองก่อตั้งบริษัทของตนเอง และถือได้ว่าเป็นปีที่เป็นจุดเริ่มต้นความคิดในการสร้างหลุยส์วิตตองให้เป็นแบรนด์ที่เน้นความหรูหรา พร้อมกับฟังค์ชันการใช้งานอันล้ำยุค นับแต่นั้นมาสัมภาระในการเดินทางก็ไม่ได้บรรจุอยู่ในกล่องที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งอีกต่อไป ผู้คนเริ่มรู้จักเครื่องใช้ชิ้นใหม่ที่เรียกว่ากระเป๋าเดินทาง และหลุยส์ วิตตองก็กลายมาเป็นสินค้าที่ทรงคุณค่าแห่งกาลเวลา จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:57:27

ความคิดเห็นที่ 26   ทุกคนที่แวะเข้ามา และขอบคุณทุกความเห็นค่ะ จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 16:58:16

ความคิดเห็นที่ 27   เยี่ยมทั้งภาพ และคำบรรยายครับ จากคุณ : ห้าสิบป่าย เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 21:10:11

ความคิดเห็นที่ 28   ขอบคุณสำหรับรูปสวยๆ ค่ะ ^^" วันหยุดยาวที่จะถึงนี้ ว่าจะอยู่ กทม พอดี ต้องรีบไปชมละค่ะ ^^" จากคุณ : OverLap เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 21:12:06

ความคิดเห็นที่ 29   สุดยอดไปเลยค่ะ ใกล้บ้านด้วย หากมีโอกาสก็จะแวะไปชมค่ะ และขอบคุณที่อธิบายเรื่องราวให้ัทราบด้วยนะคะ จากคุณ : sinistra เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 21:18:23

ความคิดเห็นที่ 30   สวยงามมากเลยค่ะ ^^ จากคุณ : Heavenrim เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 21:57:43

ความคิดเห็นที่ 31   สวยจังเลยค่ะ ถ่ายรูป+เงา ได้สวยจัง จากคุณ : a00152 เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 02:22:14

ความคิดเห็นที่ 32   ขอบคุณมากครับ  รีวิวสวย  ข้อมูลเยี่ยม  รูปสุดยอดครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 04:37:40

ความคิดเห็นที่ 33   ชอบจังครับ ^ ^ จากคุณ : มิตรรัก เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 08:55:11

ความคิดเห็นที่ 34   ตามมาชม & ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : LIFE AFTER DEATH เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 15:22:03

ความคิดเห็นที่ 35   ชอบรถซีตรองมากค่ะ   บรรยายน่าติดตามมากคะพลุ จากคุณ : sapp64 เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 16:22:10

ความคิดเห็นที่ 36   รูปสวยบรรยายได้บรรยากาศมากค่ะ "แอบชอบรถซีตรอง"  พลุ จากคุณ : sapp64 เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 16:24:36

ความคิดเห็นที่ 37   ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 00:12:57

ความคิดเห็นที่ 38   ข้อมูลแน่นรูปสวยครับ จากคุณ : ตึกเก่า เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 53 10:18:02