 |
สวัสดีค่ะ ทุกท่าน ดิฉันเจ้าของกระทู้เองค่ะ ขอบคุณทุกความเห็น คำแนะนำและการแชร์ประสบการณ์นะคะ
มีหลายความเห็นและคำแนะนำในนี้บอกกับดิฉันว่า ควรจะไปเยี่ยมเยือนสักระยะหนึ่งก่อน ดิฉันก็อยากทำอย่างนั้นค่ะ แต่ติดตรงที่ว่า พ่อแม่ดิฉันท่านเป็นคนหัวโบราณมาก ท่านคงไม่ยอมให้ไปอยู่ก่อนแต่งอย่างนั้นแน่นอนค่ะ ไม่ว่าจะระยะสั้นหรือระยะยาว ถ้าดิฉันทำอย่างนั้น พ่อแม่ดิฉันจะเสียความรู้สึกมาก และดิฉันเองก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ที่เป็นสาเหตุให้พ่อแม่เสียใจ เพราะฉะนั้น ตัวเลือกนี้ตัดไปได้เลยค่ะ ดิฉันไม่สามารถทำได้ก่อนแต่งงาน ดิฉันได้เล่าถึงปัญหาเรื่องนี้ให้แฟนฟัง โชคดีที่เขาเข้าใจและยอมรับได้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหมั้นกันก่อน เพื่อความสบายใจของพ่อแม่ดิฉัน และเพื่อแสดงให้พ่อแม่ดิฉันเห็นว่าเขาจริงใจและจริงจังกับความสัมพันธ์ของเราจริงๆ ซึ่งดิฉันก็ทราบซึ้งใจในเรื่องนี้ เพราะถ้าเขาไม่จำเป็นต้องทน เขาสามารถเดินออกไปหาผู้หญิงคนอื่นที่ครอบครัวเปิดกว้างมากกว่านี้ แต่เขาก็ยังมาทนทำให้พ่อแม่ดิฉันยอมรับ พยายามทำให้ถูกต้องตามประเพณีไทย เพื่อแสดงความเคารพต่อบุพการีของดิฉัน ซึ่งมันต้องเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดและกดดันสำหรับเขามากแน่นอน เพราะอย่างที่เราเห็นกัน white caucasian เขาจะค่อนข้างเรียบง่ายกับการเริ่มต้นชีวิตคู่ รักกันก็ไปอยู่ด้วยกันเลย ไม่ต้องมีสินสอดทองหมั้น อย่างมากก็แหวนที่เขาให้กัน แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มต้นหาบ้านหารถและอื่นๆ ตามมา ซึ่งแตกต่างกับประเพณีไทยเราอย่างมากที่ต้องมีสินสอดทองหมั้นให้สมหน้าสมตา ตัวดิฉันเองก็ไม่ค่อยชอบเรื่องสินสอดทองหมั้น เพราะดิฉันเชื่อว่าคนเรารักกันที่ใจ แต่ถึงอย่างไร ดิฉันเป็นลูกสาวคนเดียวในบ้าน ( แต่มีน้องชาย ) บวกกับพ่อแม่ดิฉันก็มีอาชีพ การงานและหน้าตาทางสังคมในระดับหนึ่งเพราะฉะนั้นความคาดหวังของบิดารดาทางด้านสินสอดและการเริ่มชีวิตคู่ รวมถึงการแต่งงานของดิฉันจึงค่อนข้างสูง ซึ่งอันนี้ดิฉันก็ได้พยายามอธิบายให้แฟนเข้าใจ โชคดีที่เขาเปิดใจ เราจึงคุยกันได้รู้เรื่อง และพยายามทำให้ครอบครัวดิฉันเชื่อใจและยอมรับเขา แต่เรื่องอยู่ก่อนแต่งไม่ได้แน่นอนค่ะ ถึงแม้จะหมั้นแล้วก็ตาม พ่อแม่ดิฉันจะไม่อนุญาตให้ไปอยู่กับเขาสามเดือนหรือแม้แต่หนึ่งอาทิตย์อย่างนั้นแน่นอน ถ้าขืนทำแฟนดิฉันจะมีปัญหากับพ่อแม่ดิฉัน100% และมันจะเป็นปัญหาระยะยาวภายหลัง เพราะฉะนั้นทางแก้ที่เราคิดกันคือ เราต้องแต่งงานให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันโดยที่พ่อแม่ดิฉันก็ไม่รู้สึกว่าเราทำผิดประเพณี(นี่เป็นสาเหตุที่ดิฉันต้องมาสอบถามข้อมูลผู้รู้ที่นี่เรื่องการทำวีซ่า และการสปอนเซอร์วีซ่าของคู่สมรสที่เยอรมัน) เราอยากอยู่ด้วยกันสองคนสักสองสามปีก่อนมีลูก ซึ่งที่คิดกันก็คิดว่าตอนนี้แฟน 29, ดิฉัน 28 ถ้าเราแต่งงานกัน เราจะได้มีเวลาใช้ชีวิตคู่โดยลำพังด้วยกันสักระยะ แฟนอาจไปเรียน และทำงาน ส่วนดิฉันก็ไปเรียนภาษา และพยายามหางานทำให้ได้ให้เร็วที่สุด พอแฟนเรียนจบ ( ประมาณสามปีครึ่ง) ระดับของภาษาเยอรมันดิฉันก็น่าจะพัฒนาในระดับหางานที่ดีทำได้บ้าง พอแฟนได้งาน เราสองคนก็จะได้เริ่มสร้างชีวิตรอบครัวโดยสมบูรณ์ และคิดถึงการมีลูก โดยที่เราไม่รู้สึกว่าเราสูญเสียระยะเวลาของระยะเริ่มต้นชีวิตคู่เฉพาะสองเราไป การที่แต่งงานช่วงสามสิบกว่า สำหรับบางคนอาจคิดว่าไม่เป็นไร แต่สำหรับดิฉัน ดิฉันคำนึงถึงจุดนี้ค่ะ เพราะดิฉันอยากมีลูก และด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ ดิฉันก็อยากให้ลูกแข็งแรงและปลอดภัย จากการวิจัยพบว่า แม่ที่มีอายุมากจะมีภาวะเสี่ยงต่อทั้งแม่และลูกสูงกว่าแม่ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ( วัยเจริญพันธุ์ คือ อายุประมาณ 25-35 ปี) โรคที่พบได้บ่อยที่เกิดขึ้นได้กับเด็กที่แม่อายุมากคือ ดาวน์ซินโดม ( บ้านเราเรียก เอ๋อ ค่ะ) ซึ่งอาจจะเห็นว่าแม่กลุ่มที่มีอายุเยอะ เวลาไปฝากครรภ์คุณหมอจต้องตรวจวินิจฉัยอะไรเยอะแยะกว่าปกติ บางรายอาจต้องเจาะถุงน้ำครำด้วย เพราะฉะนั้นดิฉัน แคร์ และ แพลนช่วงระยะเวลาการมีลูกค่ะ 35 ปี ดิฉันไม่อยากมีลูกแล้ว ดิฉันคุยกับแฟนเรื่องนี้ด้วย เขาก็หัวเราะแบบขำๆ แล้วก็บอกว่า "ก็แล้วแต่คุณ แค่เขาเป็นลูกของเรา และเขาแข็งแรง ผมก็ ok" ( เราทั้งคู่เป็นคนรักเด็กทั้งคู่ค่ะ เพราะฉะนั้น เราอยากมีลูกของเราเอง) ถ้าดิฉันไปแต่งงานช่วงสามสิบก็ต้องรีบมีลูก เพราะแพลนกันว่าจะมีสอง คน ก็ต้องมีการทิ้งช่วงห่างอีก นอกจากนั้นเราก็อาจจะมีระยะเวลาที่จะได้อยู่กันสองคนสามีภรรยาก่อนมีลูกเพียงแค่ช่วงสั้นๆ
มีบางท่านเสนอความคิดเห็นว่า การแต่งงานไปอยู่กันก่อนที่แฟนดิฉันจะเรียนจบ จะทำให้ลำบาก และชีวิตคู่ไม่ราบรื่น ดิฉันขอรับคำเตือนไว้ค่ะ แต่ดิฉันไม่กลัว บางคนอาจคิดว่าดิฉันเพ้อเจ้อ หรือ ฝันเฝื่อง แต่ดิฉันเป็นคนเชื่อมั่นในความรักค่ะ คู่ชีวิตคือคนที่เราจะดูแลกันทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ยามมีและยามยาก ดิฉันเคยเห็นมีกรณีตัวอย่างหลายกรณีที่เริ่มต้นสร้างร่วมกันมาจากศูนย์ หรือแม้กระทั่งติดลบ กัดก้อนเกลือกินด้วยกัน กอดคอกันร้องไห้เมื่อยามยาก ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาด้วยกัน แต่สามารถอยู่กันไปจนแก่เฒ่า และสามารถสร้างครอบครัวที่มีความสุขขึ้นมาได้ ตัวอย่างใกล้ตัวก็คือพ่อกับแม่ดิฉันเองที่เริ่มจากศูนย์ ฝ่าฟันมาด้วยกัน จนมีอยู่มีกินมาจนถึงทุกวัน และอยู่กันจนแก่เฒ่า และดิฉันก็เห็นอีกหลายกรณีศึกษาเช่นกันที่แต่งงานกันอย่างหรูหรา หลังแต่งงานก็มีชีวิตหรูหรา มีเงินมีทอง แต่ก็อยู่กันไม่รอด เพราะฉะนั้นสำหรับดิฉัน ความรวย ความจน มันไม่ได้กำหนดชีวิตคู่ แต่ความรัก ความเข้าใจ และการช่วยเหลือเกื้อกูลกันต่างหากที่จะทำให้ชีวิตคู่มีความสุข
ดิฉันจึงไม่กลัวการที่ต้องไปเริ่มต้นใหม่ที่นั่นกับผู้ชายที่พยายามเข้าใจ ชิวิต ครอบครัว วัฒนธรรมที่แตกต่าง ของดิฉัน และพยายามยอมรับมัน เพื่อทำให้ดิฉันมีความสุขมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำให้ดิฉันได้ เขาอาจจะไม่สามาถทำให้ดิฉันเป็นเจ้าหญิงได้ แต่ดิฉันก็พอใจที่ได้เป็นคนธรรมดาที่มีความสุข แค่นี้ก็พอแล้ว ความสุขบางทีก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆโดยไม่ต้องอาศัยเงินทอง แค่เรารู้จักพอ และได้ทำในสิ่งที่เรารัก
ยังไงก็ตามดิฉันยังเปิดกว้างกับทุกความเห็นที่อยากเข้ามาแชร์หรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือมีแนวชี้แนะค่ะ
จากคุณ |
:
sunflower_ara
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ธ.ค. 55 10:46:51
|
|
|
|
 |