PANTIP.COM : I13011820 ส่องCPF พื้นฐาน และ เทคนิค แบบชาวบ้านธรรมดาๆ [หุ้น]

ความคิดเห็นที่ 10

***อยากให้อ่าน ผมว่าคนเขียนเจ๋งอะ***

CPF ก้าวใหญ่

ปฏิกิริยาจากการนำเสนอของ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ฉบับเมื่อเช้าวานนี้ ออกมาในลักษณะแตกต่างกัน เป็นเรื่องธรรมดาของข่าวใหม่
บางคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บางคนบอกบ้าไปแล้ว บางคนบอกไม่เชื่อเลย บางคนบอกเป็นไปได้ แต่ไม่มีใครเลยที่บอกว่า จะทำไม่ได้ แถมบางคนบอกว่า หนังสือพิมพ์อย่างข่าวหุ้น ยกเมฆเชียร์เกินเหตุ
เป็นปฏิกิริยาทำนองเดียวกันกับเมื่อเคยเสนอข่าวว่า กลุ่ม จีอี แคปปิตอล จะขายธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ออกจากมือ หรือ กรณี เสี่ยเจริญซื้อหุ้น F&N ที่สิงคโปร์นั่นแหละ
ปฏิกิริยาเหล่านี้เป็นธรรมดาของคนที่รับข้อมูลข่าวสาร และความรู้ถึงข้อมูลที่ “อสมมาตร” ไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก
กรณีการซื้อขายหุ้นของบริษัทในยุโรป หรือสหรัฐฯที่มีผลประกอบการย่ำแย่ ทำให้มูลค่าทรัพย์สินราคาถูกมาก เพื่อรอเวลาฟื้นคืนหรือเทิร์นอะราวด์นั้น เป็นเรื่องปกติสามัญของโลกทุนนิยม มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย แต่คนที่เลือกจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เลือกจะเชื่อก็ไม่เชื่อ แต่ความจริงก็คือเป็นไปได้ทั้งสิ้น และอาจจะเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน
ในอดีตเมื่อ 15 ปีที่แล้ว เมื่อเศรษฐกิจไทยเกิดฟองสบู่แตก ประเทศตกอยู่ในหายนะ กลุ่มทุนต่างๆ และกองทุนระดับโลกทั้งหลาย พากันระดมทุนกระโจนเข้ามาในเมืองไทย บนความงุนงงของเจ้าหน้าที่รัฐไทย และกระแสการเมืองที่กำลังปั่นป่วนวุ่นวายทะเลาะไม่เลิกราเพื่อหาแพะรับบาป พร้อมกับเลือกซื้อทรัพย์สินราคาถูกไปไว้ในกำมือ
ยุคนั้น คนไทยเราได้รู้จักชื่อของจีอี แคปปิตอล โกลด์แมน แซคส์ เลห์แมน บราเธอร์ส และกองทุนเทมเปิลตัน หรือกองทุนไทเกอร์กันอย่างคุ้นเคย หลังจากนั้นผ่านไปหลายปี เราได้เห็นคนที่เข้ามาซื้อทรัพย์สินเหล่านั้น ทั้งหนี้สถาบันการเงินอสังหาริมทรัพย์ หุ้น หรือ โรงงาน ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำบนหายนะของธุรกิจไทยกันอย่างล้นหลาม บางรายติดใจมาก เอากำไรที่ได้ไป หมุนเวียนกลับมาซื้ออีกหลายรอบ ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง
ส่วนที่ไม่ทำกำไรก็มี เพราะซื้อผิดเวลา หรือผิดกิจการ ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นไม่มากนัก
มองในมุมกลับกัน เมื่อเศรษฐกิจยุโรปกำลังย่ำแย่ และมัวสาละวนกับการช่วยตัวเองสารพัดรูปแบบ ธุรกิจที่ขาดสภาพคล่องในสหภาพยุโรปต่างกำไรหดหาย หรือขาดทุนมากขึ้น ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก แถมรัฐบาลหลายประเทศก็หาทางขึ้นภาษีอุดรูรั่วงบประมาณ กิจการก็จะยิ่งมีราคาต่ำ สามารถต่อรองซื้อได้ไม่ยากนัก หากมองเห็นอนาคต
ที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหลายบริษัทก็ได้แก่ บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น หรือ TUFเข้าไปซื้อกิจการอาหารสำเร็จรูป ส่วนสหวิริยาสตีลหรือ SSI ซื้อโรงงานเหล็กทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ อินโดรามา เวนเจอร์ หรือ IVL ก็ซื้อหลายแห่งทั้งในสหรัฐฯ เม็กซิโก จีน อินโดนีเซีย เนเธอร์แลนด์ และไอร์แลนด์ แล้วก็ เหมืองบ้านปู หรือ BANPU ซื้อเหมืองถ่านหินในออสเตรเลีย
ดังนั้นหากกลุ่มซีพี ใช้ เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF บริษัทอาหารที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของเอเชียเข้าไปซื้อ มันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะใครก็ทำกันได้
ที่สำคัญเรื่องนี้ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งกลุ่มซีพีเอง ก็เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไทย และ Forbes ของอเมริกันว่า กำลังพิจารณาซื้อกิจการของคาร์ฟูร์ กับสมิธฟิลด์ ฟูดส์ ของสหรัฐฯอยู่ โดยไม่บอกรายละเอียด ปรากฏเป็นหลักฐานทนโท่ ดังนั้นจึงไม่ใช่การสร้างเรื่องโคมลอยแต่อย่างใด
การที่ตัวแทนของบริษัท CPF ออกมาปฏิเสธก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะดีลนี้มันยังไม่จบ อย่างเป็นทางการโดยนิตินัยเท่านั้นเอง
โดยข้อเท็จจริง คาร์ฟูร์ของฝรั่งเศสนั้น แม้จะมีขนาดใหญ่มากเป็นผู้ค้าปลีกอันดับ 2 ของโลกในหลายปีมานี้ และครั้งหนึ่งก็เคยอาละวาดจนทำเอาบรรดาโชห่วยของเราเดือดร้อนกันทั่วหน้า แต่ 3 ปีมานี้ ความใหญ่ของบริษัท กลายเป็นภาระหนักทางการเงิน เนื่องจากการถดถอยของความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ธุรกิจดิสเคาต์สโตร์มีกำไรลดลงฮวบฮาบ
ตัวอย่างเช่น ปีที่แล้ว มียอดขายทั่วโลกประมาณ 3.2 แสนล้านยูโร แต่มีกำไรสุทธิเพียงแค่ 1 พันล้านยูโรเท่านั้น ไม่ถึง 1% ของยอดขายเลย แถมปีนี้ ยังขาดทุนในครึ่งแรกปรากฏให้เห็น ประชุมผู้ถือหุ้นทีไร มีเรื่องวุ่นวายทุกปี จน 12 ปีมานี้เปลี่ยนซีอีโอไปแล้ว 2 คนไล่เลี่ยกัน
มูลค่าสินทรัพย์ของคาร์ฟูร์นั้น ตกลงฮวบฮาบ ราคาหุ้นซึ่งซื้อขายในตลาดหุ้นปารีส หรือ Bourse de Paris นั้น ไม่มีท่าทีจะฟื้นตัว เพราะธุรกิจที่ไปลงทุนในหลายประเทศย่อบแย่บลง ยกเว้นในละตินอเมริกาที่ปีนี้เศรษฐกิจแข็งแกร่งอย่างมาก
โครงสร้างผู้ถือหุ้นของคาร์ฟูร์ เป็นบริษัทมหาชนจริงๆ คือ มีรายย่อยถืออยู่ถึง 81% สหภาพแรงงานถืออยู่ 2% และกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 4 รายถือหุ้นรวมกันไม่เกิน 16.5% ซึ่งตามข่าวที่ได้รับมานั้น CPF ได้เจรจาขอซื้อในส่วนหลังนี้แหละ เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่ฝรั่งเศสอยากขายทิ้ง หอบเอาเงินหนีออกจากฝรั่งเศส เพราะภาษีใหม่ของรัฐบาลสังคมนิยมหากมีรายได้เกิน 1 ล้านยูโรจะต้องเสียภาษีมากถึง 75%
หนึ่งในกลุ่มนี้คือ สมบัติของกลุ่มทุนตระกูลอาร์โนลท์ เจ้าของแบรนด์สินค้าฟุ่มเฟือยชื่อดัง หลุยส์ วิตตอง (LVMH) นั่นเอง โดยกลุ่มนี้ เจ้าของกิจการเพิ่งจะทำเรื่องอื้อฉาวขอสัญชาติเบลเยียม เพื่อ “วางแผนภาษี” กันไปหยกๆเป็นข่าวดังทั่วโลก
การเจรจาซื้อหุ้นของกลุ่มซีพี นำโดยเจ้าสัวธนินท์ ที่ตอนนี้ อาจจะสร้างความประหลาดใจให้คนทั่วไป ก็เป็นสิ่งที่เป็นได้เสมอ คนที่เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ ก็มีสิทธิเชื่อต่อไป แต่คงต้องทำใจเผื่อล่วงหน้าไว้ด้วยว่า เวลาที่ข่าวเป็นความจริงขึ้นมา กรุณาช่วยซื้อข่าวหุ้นธุรกิจ อ่านต่อก็แล้วกัน หลังจากที่พากันเหยียบย่ำอย่างสะใจไปแล้ว
อย่าได้แสร้งทำเป็นหลงลืมกันง่ายๆแบบพวกคนดีสีตกทั้งหลายที่หน้าหนายิ่งกว่า “ตราช้าง” ก็แล้วกัน

จากคุณ : nervzone

เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 55 13:54:55