พลิกโฉม'สยามเซ็นเตอร์'เมืองไอเดียล้ำเทรนด์
|
|
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2012 เวลา 12:15 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ การตลาด Marketing - คอลัมน์ : ตลาด
ชฎาทิพ จูตระกูลชฎาทิพ จูตระกูล : การประกาศปิด "ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์" ซึ่งเปิดให้บริการมานานกว่า 39 ปี โดยไม่เคยมีวันหยุดถึง 5 เดือนเต็ม สร้างความประหลาดใจให้กับบรรดานักช็อปปิ้ง ตลอดจนพันธมิตรร้านค้าเป็นอย่างมาก
แต่ด้วยความเชื่อมั่นที่มีต่อ "ชฎาทิพ จูตระกูล" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามพารากอน , สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ที่ประกาศพลิกฟื้นให้สยามเซ็นเตอร์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกให้วัยรุ่นยุคใหม่รู้จักกับคำว่า เมืองแห่งแฟชั่น และสร้างให้ย่านปทุมวันเป็นศูนย์กลางแห่งแฟชั่นของทุกยุคทุกสมัย ทำให้บรรดาร้านค้าพร้อมใจกันร่วมปฏิวัติวงการศูนย์การค้าและวงการค้าปลีก (The Retail Revolution) อย่างเต็มที่
ก่อนที่จะได้ยลโฉม "สยามเซ็นเตอร์" ในวันที่ 11 มกราคม 2556 "ฐานเศรษฐกิจ" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "ชฎาทิพ" ถึงแนวคิดและการประกาศปฏิวัติสยามเซ็นเตอร์ สู่ Ideaopolis ครั้งนี้
++ ย้อนรอย "สยามเซ็นเตอร์"
"ชฎาทิพ" เล่าย้อนหลังถึงเส้นทางของสยามเซ็นเตอร์ให้ฟังว่า สยามเซ็นเตอร์ ตั้งขึ้นเมื่อปี 2515 ภายใต้ธีม "Fashion on ice" ซึ่งที่นี่เป็นจุดกำเนิดของบรรดาอีเวนต์หลายๆ อย่าง อาทิ ลานเบียร์สดแห่งแรกของประเทศไทย ,คอนเสิร์ตแฟชั่นโชว์ เป็นต้น โดยที่ผ่านมาสยามเซ็นเตอร์ถือเป็นศูนย์รวมแฟชั่น ร้านค้าชั้นนำสำหรับวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ และเป็นผู้นำด้านเทรนด์ เซ็ตเตอร์ มาตลอด 39 ปี
การพลิกโฉมปฏิวัติครั้งสำคัญนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 18 เดือนก่อน เมื่อบริษัทได้ศึกษา วิจัยร่วมกับเจ้าของแบรนด์ชั้นนำทั้งจากไทยและต่างประเทศ พบว่า ร้านค้าส่วนใหญ่เห็นชอบที่จะพลิกโฉมสยามเซ็นเตอร์ ให้เป็นมากกว่าศูนย์กลางแห่งงานสร้างสรรค์ด้านแฟชั่น ศิลปะ และไลฟ์สไตล์ โดยที่นี่จะเป็นศูนย์รวมนวัตกรรม ของสื่อดิจิตอลมัลติมีเดีย ที่ถูกผสมผสานเข้ามาไว้ภายในซึ่งการสร้างให้สยามเซ็นเตอร์ เป็น Ideaopolis หรือเมืองแห่งไอเดียที่ล้ำเทรนด์ นั้น ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่การนำเสนอสินค้า แค่ยังรวมถึงการสร้างประสบการณ์ที่เป็น The Most Powerful Retail Phenomenon
++ ชูอินดัสเทรียลชิคบวกดีไซน์
ภายในสยามเซ็นเตอร์ทั้งหมดจะถูกเนรมิตให้เป็น คอนเซ็ปต์ ช็อป (Concept Shop) ในรูปแบบอาร์ตฟอร์ม ที่แต่ละร้านค้าจะมีรูปทรงแตกต่างกันไป ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากโซโห นิวยอร์ก โดยเป็นการผสมผสานความเท่ของอินดัสเทรียลชิค เข้ากับดีไซน์ที่ทันสมมัย เพื่อให้เกิดความขัดแย้ง และตรงข้าม นอกจากนี้บริษัทยังใช้งบลงทุนกว่า 70 ล้านบาท เพื่อติดตั้ง LED Screen และมอนิเตอร์รูปแบบต่างๆ มากกว่า 500 จอ ซึ่งจะถูกใช้เป็นช่องทางการสื่อสารข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับโปรดักต์ อีเวนต์ ตลอดจนโปรโมชันต่างๆ ไปยังลูกค้า โดยเป็นการโชว์ Moving Art Content รวมทั้งยังใช้เป็นสื่อแนะนำสินค้า เช่น Siam Bulletin , Stair LED Display , LED Column , Digital Closet , Digital Stylist เป็นต้น
อีกไฮไลต์หนึ่งที่จะถูกนำเสนอในสยามเซ็นเตอร์ คือ "Absolute Siam" ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของร้านค้าภายในศูนย์ที่ร่วมกันพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อเป็นเอ็กซ์คลูซีฟ คิดเป็นสัดส่วน 20% พร้อมวางจำหน่ายเฉพาะที่สยามเซ็นเตอร์เท่านั้น เช่น เสื้อผ้า , เมนูอาหาร-เครื่องดื่ม , ของตกแต่งบ้าน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการดิสเพลย์ (Visual Merchandist Design) และนำเสนอในรูปแบบ Interactive Communication เพื่อเชื่อมโยงและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างร้านค้ากับลูกค้าด้วย
++ ทุ่มงบ 1.8 พันล. พลิกโฉม
"ชฎาทิพ" บอกว่า การปฏิวัติโฉมใหม่สยามเซ็นเตอร์ครั้งนี้ เป้าหมายสำคัญอีกอย่างคือ การสร้างผลงานให้เห็นว่าสยามพิวรรธน์ ไม่ใช่เป็นเพียงรีเทล ดีเวลอปเปอร์เท่านั้น แต่การทำงานแนวใหม่ที่ร่วมกับร้านค้าพัฒนาร่วมกัน โดยการลงทุนครั้งนี้ ใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 1.8 พันล้านบาท เป็นการลงทุนของสยามพิวรรธน์ 1 พันล้านบาท และการลงทุนของร้านค้าเช่า แบรนด์เนมต่างๆ อีกกว่า 800 ล้านบาท ในการรีแบรนดิ้งสินค้า และร้านค้าใหม่
โดยทั้งหมดก็เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าของสยามเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มี Siam DNA คือ เป็นผู้ที่สนใจเทรนด์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เป็นผู้สร้างกระแสนิยม หรือ เทรนด์ เซ็ตเตอร์ด้วย
"ลูกค้าที่มาสยามเซ็นเตอร์ ไม่จำเป็นต้องมาเพื่อซื้อสินค้า แต่สามารถมาเพื่อรับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น มาเพื่อรับรู้เทรนด์ใหม่ๆ ของโลก มาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจซึ่งหาที่อื่นไม่ได้ และไม่ใช่ว่าทุกศูนย์การค้าจะสามารถเป็นได้เช่นกัน"
++ หนุนไทยท็อป 3 รีเทลเอเชีย/ใต้
ด้านกลยุทธ์การตลาด ถือเป็นความท้าทายที่สยามเซ็นเตอร์ จะต้องสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงอย่างแท้จริง ซึ่งความพร้อมในการเปิดให้บริการสยามเซ็นเตอร์โฉมใหม่ ถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 11 มกราคม 2556 ซึ่ง "ชฎาทิพ" บอกว่า ไม่เสียดายที่ต้องเปิดบริการหลังปีใหม่ ซึ่งทำให้ร้านค้าสูญเสียรายได้ช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง แต่เชื่อว่าหลังปีใหม่ ยังมีลูกค้าจำนวนมากที่รอช็อปปิ้ง สิ่งใหม่ๆ ให้กับชีวิต
โดยขณะนี้สยามพิวรรธน์ เตรียมกลยุทธ์การตลาดแบบจัดเต็มไว้ตลอด 4 เดือนนับจากนี้ สำหรับโหมกระหน่ำสร้างอะแวร์เนสให้กับสยามเซ็นเตอร์โฉมใหม่ แต่จะปล่อยทีเด็ดออกเป็นซีรีส์ โดยเริ่มโหมโรง ด้วยทีเซอร์แอด กับ 3 คาแรกเตอร์ "Be Amazed , Be Inspired , Be Revolution" ขึ้นตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งการเปิดสยามเซ็นเตอร์โฉมใหม่นี้ เชื่อว่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้ การเป็นช็อปปิ้ง สตรีต ของกรุงเทพฯ มีความหลากหลายมากขึ้น และยังเป็นชนวนที่มาจุดให้เกิดความร้อนแรงและดันให้เกิดรีเทล แบบไดนามิก หรือมีพลังมากขึ้นด้วย
"ค้าปลีกภาคเอกชนของไทยมีความเข้มแข็ง มีเงิน จึงเชื่อว่าผู้ประกอบการไทยจะขยายการลงทุนไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ขณะที่แบรนด์ต่างประเทศก็ขยายไปเปิดให้บริการในต่างจังหวัดมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นอนาคตต่างจังหวัดจะเจริญเทียบเท่ากรุงเทพฯ ด้วยปัจจัยหลายด้านโดยเฉพาะนโยบายของภาครัฐ แต่หากรัฐบาลต้องการจะให้ไทยเป็นฮับด้านรีเทลก็ต้องสนับสนุนให้มีโปรเจ็กต์ระดับโลกเกิดขึ้น โดยมองว่าอีก 3 ปีข้างหน้าไทยพร้อมจะก้าวขึ้นติดอันดับท็อป 3 ของค้าปลีกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างแน่นอน"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,796 วันที่ 29 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ธ.ค. 55 16:12:39
|
|
|
|