Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
'มนสิช จันทนปุ่ม' 'เทรดเดอร์' ผู้เอาชนะตลาดด้วยระบบ vote ติดต่อทีมงาน

เปิดมุมมองการลงทุนโดยใช้ระบบเทรด'มนสิช จันทนปุ่ม' นักเก็งกำไรสไตล์ Trend Following ผู้ละทิ้งอีโก้ อารมณ์ พิชิตกำไรในตลาดหุ้น

"มด" มนสิช จันทนปุ่ม เซียนหุ้นหนุ่มมีความเชื่อว่าศาสตร์ของการเก็งกำไรอยู่บนพื้นฐานของ "เหตุและผล" กราฟไม่ได้หลอก และเจ้ามือไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร รากเหง้าของผลกำไรจากระบบการลงทุนที่ยั่งยืน เกิดจากกลไกพื้นฐานของตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่สามารถฝืนหรือหลีกเลี่ยงได้ คำถามสำคัญของนักเก็งกำไร ก็คือ เราจะสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนได้อย่างไร..?

มนสิชเป็นอดีตนักเรียนวิชาดนตรี ผู้หลงใหลการลงทุนโดยการใช้ระบบเทรดทางสถิติ (System Trader) เขารวบรวมแนวความรู้การใช้เครื่องมือทางเทคนิคไว้ในเว็บไซต์ "แมงเม่าคลับดอทคอม" กรุงเทพธุรกิจ BizWeek นัดพูดคุยกับเขาเรื่อง "เทคนิคการเทรดขั้นสูง" แต่อธิบายให้เข้าใจง่ายในแบบนักดนตรี

“ส่วนตัวผมลงทุนโดยใช้ระบบเทรดเพื่อตัดอารมณ์ความรู้สึก และใช้เทคนิคคัลแนว Trend Following” เซียนหุ้นหนุ่มเปิดประเด็น..สมัยเด็กๆ เขาก็เริ่มสนใจการลงทุนแล้ว พอจบ ม.6 ก็เริ่มเล่นหุ้นทันที แต่สนใจทางด้านดนตรีด้วยจึงไปศึกษาต่อทางด้านดุริยางคศิลป์ มนสิชก็เหมือนเด็กทั่วไปที่อยากรวยง่ายๆ แต่พอลงสนามจริงๆ กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด

เขากล่าวว่า ช่วงที่เริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ ใช้เงินไม่เยอะขายของได้เงินมา "ไม่ถึงแสนบาท" ก็นำมาลงทุนแต่ที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุนวิธีคิด ค่อนข้างจะต่อต้านด้วย ในเมื่อหาผู้ให้คำปรึกษาไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง เล่นแล้วก็ไม่ได้เรื่องลุ่มๆดอนๆ ลองผิดลองถูกอยู่ 4-5 ปีถึงจะเริ่มได้กำไรสม่ำเสมอ

เจ้าตัวบอกว่าไม่จริงเสมอไป คนเล่นดนตรีจะไม่ชอบตัวเลข นักดนตรีหลายคนก็สามารถคิดเลขได้ดี และมีบทวิจัยยืนยันด้วยว่าการเล่นดนตรีกับการคำนวนสามารถไปด้วยกันได้ หัวสมองก็จะได้ทั้งความสุนทรีย์และความมีเหตุมีผล ถือเป็นการสร้างสมองสองด้านให้สมดุล

มนสิช บอกว่า ช่วงแรกที่ลงทุนเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ก็ได้ศึกษาวิธีการลงทุนของผู้ประสบความสำเร็จอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ต่อมาก็เริ่มศึกษาการลงทุนโดยใช้เทคนิคและพบว่าแนวทางนี้ "มันใช่" แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี มีผิดพลาดอยู่เรื่อยๆ ตอนหลังถึงเริ่มจะเข้าใจว่าผิดที่ “แก่น” (หลักคิด) ของมันเลย สมัยก่อนพยายามที่จะพยากรณ์อนาคต นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ดูกราฟวันละ 7-8 ชั่วโมง พยายามหาคำตอบแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงหาคำตอบได้ว่าไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้แม่นยำทั้งหมด และไม่มีระบบไหนที่ดีที่สุด

“ช่วงแรกมีความเข้าใจว่าถ้าเราเทรดพลาดแปลว่าเราทำอะไรผิดสักอย่าง เราเลยยิ่งค้นหาไปเรื่อยๆว่าต้องใช้สัญญาณทางเทคนิคแบบไหนถึงจะถูก คำตอบที่แท้จริงคือเทคนิคมันบอกเพียงแค่ "ความน่าจะเป็น" ไม่ถูก 100% ความน่าจะเป็นของการใช้เทคนิคมันถูกทดสอบจากากรเทรดมาแล้วเป็นพันครั้ง แล้วกำหนดเป็นสูตรออกมาแต่เราจะไม่มีทางรู้ได้ว่าการเทรดของเราครั้งไหนจะถูก"

เทรดด้วย 'โปรแกรมสถิติ' ยึดระบบ ละทิ้งอีโก้

หลังจากมนสิช เริ่มศึกษาการใช้ระบบในการเทรดหุ้น (System Trading) สิ่งที่ตอบโจทย์ก็คือระบบมันตัด “อารมณ์” และ "ความรู้สึก" ของผู้ลงทุนออกไป ระบบการเทรดจะตัดอะไรที่เป็น “นามธรรม” ออกไปและคิดเฉพาะที่เป็น "ตัวเลข" เท่านั้น สามารถพิสูจน์ได้ว่าขั้นตอนไหนดีหรือไม่ดี ปัจจัยไหนที่จำเป็นหรือไม่จำเป็น ตัดส่วนที่ไม่สำคัญออกไป ส่วนไหนที่เวิร์คก็นำมาจัดเป็นกฎระเบียบในการเทรด การลงทุนจะมีความเที่ยงตรงมากขึ้น การตัดสินใจจะไม่ขึ้นกับอารมณ์ เราจะไม่สนใจสภาวะตลาดเพราะได้ทดสอบความเป็นไปได้ทางสถิติที่เกิดขึ้นซ้ำๆ มาแล้วเป็นสิบปีๆแล้วนำมาพยากรณ์ความน่าจะเป็น เมื่อเราตัดสินใจอย่างเป็นระบบ ผลตอบแทนก็จะสม่ำเสมอ ถ้าเป็นในต่างประเทศจะมีระบบเทรดอัตโนมัติแต่ในไทยยังไม่ถึงขั้นนั้น

“ยกตัวอย่างง่ายๆ ระบบเทรดคือกฎที่วางไว้ เช่น พอหุ้นทะลุแนวต้านขึ้นมาก็ซื้อ เราจะคำนวณความเป็นไปได้ของมันแล้วมาจับใส่สัญญาณว่าจะซื้อหรือขาย ให้น้ำหนักการลงทุนอย่างไร”

ด้วยระบบเทรดที่สร้างขึ้นควรที่จะออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสามารถเปลี่ยนแปลงได้แต่คงไม่ถึงขั้นเปลี่ยนรายวัน อาจจะเป็นรายเดือนถึงรายปี เพราะการที่รวบรวมข้อมูลมาเป็นสิบปีคงไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้เยอะนัก

ส่วนสไตล์การลงทุนจะเป็นการเล่นตามแนวโน้มหรือ Trend Following ที่จับคู่กับระบบเทรด ที่จริงแล้วสไตล์การลงทุนแบบตามแนวโน้มเป็น "ปรัชญา" อย่างหนึ่งคือเราต้องอยู่กับปัจจุบันแทนที่จะมองอนาคต เราเพียงตอบสนองไปตามสภาพตลาดที่เกิดขึ้น แนวโน้มไปทางไหนเราก็ไปทางนั้น

หลักการสำคัญของการเล่นตามแนวโน้มคือ ต้องรู้จัก Cut Loss และ Let Profit Run บริหารความเสี่ยงดีๆ ควบคุมโอกาสขาดทุนให้ต่ำ ถ้ามีกำไรต้องกินยาวๆ เวลาขาดทุนอาจจะเสียแค่บาทเดียวแต่อาจได้กำไรสามบาท แต่ถ้าโอกาสกำไรหรือขาดทุนเท่าๆกันแบบนี้พอร์ตจะไม่ไปไหน

หลายคนเชื่อว่าการเก็งกำไรไม่มีทางประสบความสำเร็จ มนสิช ไม่เชื่อแนวคิดนี้การเก็งกำไรมีมานานแล้วในตลาดหุ้นและตลาดคอมมอดิตี้ แม้แต่เฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จมากอย่าง เรเนสซอง เทคโนโลยี ของ จิม ไซมอน ยังสามารถทำกำไรเฉลี่ยทบต้นได้ถึง 34% ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไม่มีปีไหนที่ขาดทุนและทำกำไรได้ทุกสภาวะด้วย

“บางทีเราต้องเปิดใจมองอะไรกว้างๆ ผมได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าใช้เทคนิคอย่างเป็นระบบสามารถอยู่รอดได้ หลายๆ คนก็ทำได้ รายย่อยทุกคนก็ต้องทำได้ นักเก็งกำไรไม่ใช่นักพนัน..นักพนันจะเล่นเกมที่เขาอาจแพ้ได้โดยไม่รู้ตัว แต่นักเก็งกำไรจะเล่นเฉพาะเกมที่มีโอกาสชนะ"

กับคำถามที่ว่าเราไม่ต้องสนใจปัจจัยพื้นฐานเลยได้มั๊ย!! เซียนหุ้นหนุ่ม บอกว่า จากการสังเกตุพื้นฐานของหุ้นกับกราฟเทคนิคพอจะมีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง ส่วนตัวก็เริ่มลงทุนโดยมีบัฟเฟตต์เป็นไอดอล แต่มีความสุขที่ได้มองกราฟทั้งวันมากกว่า สรุปก็คือ กราฟเทคนิคจะมีความสัมพันธ์กับงบการเงินที่ประกาศออกมาเช่นกัน แต่ส่วนตัวจะเชื่อกราฟและระบบมากกว่า

จากคุณ : หมูอวบ
เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 55 08:37:42




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com