หุ้นไทยปีหน้าลุ้น 1,450 จุดภาวะดบ.-พีอีต่ำ ช่วยหนุน
|
|
หน้าแรก > การเงิน-ลงทุน > lead [ ฉบับที่ 1351 ประจำวันที่ 10-11-2012 ถึง 13-11-2012 ] สยามธุรกิจออนไลน์
บรรยากาศการลงทุนในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ยอมรับว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนจากความกังวลปัญหาหนี้ยุโรป และเศรษฐกิจ สหรัฐฯ ที่ยังเปราะบาง ทำให้ขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมากดหุ้นไทยหลุด 1,300 จุด ขณะที่ทองตลาดโลกปรับตัวลดลง จากแรงขายทำกำไร อย่างไรก็ตาม ผลจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมานายโอบามาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกสมัยทำให้ตลาดจะมีความสบายใจขึ้น เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง และเศรษฐกิจ สหรัฐฯ จะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งน่าจะมีผลดีต่ออาเซียนและเศรษฐกิจไทย
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 1,450 จุด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะมีการเติบโต 5% จากปีนี้ และกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะมีการเติบโต 14% ค่า P/E ของ ตลาดหุ้นไทยถือว่าไม่สูงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ แม้จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ไม่สูงก็จะช่วยหนุนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ นักลงทุนจะมีการลงทุนในหุ้นยากขึ้น เนื่องจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งการที่ดัชนีจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้นั้น จะต้องมีปัจจัยเข้ามาหนุน โดยหุ้นที่นักลงทุนจะให้ความสนใจในการลงทุนมากขึ้น คือ หุ้นขนาดกลาง และเล็ก อยู่ใน SET 51- SET150 จาก ที่ราคาหุ้นขนาดใหญ่มีราคาที่สูง
สำหรับปัจจุบัน ดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้นถือว่าทรงตัวในระดับ 1,300 จุด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้นักลงทุนมั่นใจ จากที่ผ่านมามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ถือว่าเป็นอีก 1 ตลาด ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในโลกอีกตลาดหนึ่ง โดยการที่สหรัฐอเมริกาจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น โดยหาก โอบามา ชนะการเลือกตั้งเชื่อว่านโยบายเรื่องเศรษฐกิจเหมือนเดิม ซึ่งจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยไม่มาก
ด้านนายณัฐดนัย ประทานพรทิพย์ ผอ.ฝ่ายลงทุน บลจ.ฟินันซ่า มองว่าการลงทุนหุ้นไทยเดือนพ.ย. ระยะสั้นอาจเห็นการปรับฐาน ก่อนกระเตื้องขึ้นหลังจากผลการเลือกตั้งสหรัฐ อเมริกา และการส่งผ่านผู้นำจีน มีความชัดเจน หลังตลอดเดือนต.ค.ดัชนีลดลงต่อเนื่อง จากความกังวลปัญหาหนี้ยุโรปและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน คาดกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีอยู่ที่ 1,280-1,320 จุด
“ช่วงที่ดัชนีปรับฐานถือเป็นจังหวะทยอยเข้าลงทุน เพราะแนวโน้มช่วงปลายปีจะมีเงินลงทุนกองทุน LTF และ RMF ช่วยพยุงดัชนี และสิ้นปีนี้ดัชนีน่าจะไปทดสอบ 1,350 จุด”
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเลือกตั้งเป็นเพียงการเปลี่ยนผู้นำ ทางการเมืองของสหรัฐฯ มากกว่า ซึ่งจะมีผลต่อ ตลาดหุ้นในเอเชียในเชิงนโยบายต่างประเทศ โดย ประเด็นการเลือกตั้งของสหรัฐฯ เป็นเพียงผลของ จิตวิทยาระยะสั้นในตลาดหุ้น ส่วนในระยะยาวคง จะลดน้อยลง ซึ่งนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงให้น้ำหนักผลเศรษฐกิจและอัตราการเติบโต หรือ จีดีพีภายในประเทศเป็นหลัก ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ คาดว่าคงจะอยู่ในกรอบ 1,300-1,314 จุด ซึ่งผลการเลือกตั้งผู้นำคนใหม่ของประเทศสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ดัชนีฯ แกว่งตัวได้บ้าง แต่มองว่าคงจะไม่หลุดในกรอบดังกล่าว
“มองว่าผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯ แม้ใครจะได้เป็นผู้นำคนใหม่ คงจะไม่กระทบต่อดัชนีของตลาดหุ้นไทยมากนัก ซึ่งส่วนตัวยังไม่คิดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนของดัชนีฯ อะไรที่แรงๆ เว้นแต่ผู้นำคนใหม่จะมีนโยบายใหม่ๆ ที่มากระตุ้น เศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลก โดยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ยังแนะนำนักลงทุนเก็งกำไรระยะ สั้น หรือขึ้นขาย ลงซื้อในกรอบแนวรับ แนวต้าน” นายปริญทร์ กล่าว
ด้านนายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นเอเชียยังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่เมื่อเปรียบเทียบ Earning Growth และ Dividend Yield กับประเทศในภูมิภาคเดียวกันอย่างสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย พบว่า ราคาของ ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย ในภูมิภาค ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2556 คาดว่าจะสามารถเติบโตขึ้นในระดับ 10-15% ทำให้เชื่อว่ามีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะแตะระดับ 1,450 จุดได้
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ธ.ค. 55 22:44:23
|
|
|
|