ในขณะที่หุ้นเริ่มปรับตัวลง นักลงทุนมีทางให้เลือกหลายทาง
-ถือไว้เฉยๆ รอให้เด้งกลับ แต่ถ้าลงแล้วลงอีกล่ะ (โฮ่ โฮ่ ชิหายเลี่ยว ผ้าห่มก็ไม่มี)
-ขาย แล้วรอซื้อคืนเมื่อเด้ง ข้อเสียคือ ต้องเสียค่าคอม และส่วนต่างราคาขณะรอช้อน
-ขายทิ้งถาวร เพราะคิดว่าลงยาว แต่ถ้าตลาดฟื้นตัว ก็เสียโอกาสทอง
สภาพอิหลักอิเหลื่อนี่ ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องรู้และแยกแยะความแตกต่างระหว่าง การปรับฐาน (Retracement) และการเปลี่ยนเทรนด์ (Trend Reversal)
(การปรับฐาน คือ การที่ราคาหุ้นตกลงเพียงชั่วเวลาหนึ่ง โดยไม่กระทบแนวโน้มใหญ่ ตามรูป)
ปัจจัย | การปรับฐาน | การเปลี่ยนเทรนด์ |
โวลุ่ม | ขายทำกำไรโดยรายย่อย (ปริมาณเทรดเล็กน้อย) | สถาบันขาย (และต่างชาติ) (ปริมาณเทรดเยอะมาก) |
กระแสเงิน | มีแรงซื้อเข้ารับขณะหุ้นตก | มีแรงซื้อเข้ามารับน้อยมาก |
รูปแบบกราฟ | มีรูปแบบน้อยมาก หรือถ้ามีรูปแบบการกลับตัว ก็เพียงเฉพาะแท่งเทียน | มีรูปแบบกราฟกลับตัวหลากหลาย เช่น ดับเบิ้ลท็อป ฯลฯ |
Short Interest * | ไม่มีการเปลี่ยนแปลง | เพิ่มขึ้น |
กรอบเวลา | ตกลงช่วงสั้นๆ ระยะเวลาไม่เกิน 1 หรือ 2 สัปดาห์ | ตกลงเป็นเวลานาน หลายสัปดาห์ |
พื้นฐาน | ไม่มีการเปลี่ยนแปลง | มีการเปลี่ยนแปลง หรือคาดว่าพื้นฐานจะเปลี่ยน |
Recent Activity | ปกติจะเกิดขึ้นหลังราคาขึ้นครั้งใหญ่ | สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แม้ยามซื้อขายปกติ |
แท่งเทียน | เป็นแท่งเทียนที่ยังต้องรอการยืนยัน มีไส้ยาวทั้งบนและล่าง | แท่งเทียนแสดงการกลับตัว เช่น Engulfings, Soldiers และอื่นๆที่คล้ายกัน |
* Short Interest มีการรายงานช้า
ตามปกติ จะปรับฐานประมาณ 38.5% (กราฟวัน)
ถ้าหากราคาตกลึกมากไปกว่านี้ ก็เป็นไปได้ว่า การเปลี่ยนเทรนด์เริ่มก่อตัว
รายละเอียดตามลิงค์
http://www.investopedia.com/articles/trading/06/retracements.asp#axzz27BOFhLAV