 |
บางท่านอาจจะเชื่อในหลัก กองทุนรวมดัชนี หรือ Index Fund ที่บอกว่าในระยะยาวแล้วน้อยนักที่จะมีใครสามารถชนะ Index ได้ จากสถิติ ย้อนหลังที่ต่างรวบรวมมาว่ากอง Active ส่วนใหญ่มีไม่ถึงกี่ % ที่จะสามารถชนะ ดัชนีได้ (ซึ่งผมก็อาจจะมองต่างมุมสักนิดคือ หลักการนั้นอาจจะจะเหมาะกับ ตลาดหุ้นในกลุ่มของประเทศที่พัฒนาแล้วเท่านั้น หรือ แม้กระทั้งอาจจะเหมาะกับช่วงสภาวะตลาดทุนที่ปกติเท่านั้น) หากเรามองว่าตลาดทุนที่เรากำลังลงทุนอยู่นั้นไม่ได้อยู่ใน ตลาดทุนที่สมบรูณ์หรือสภาวะตลาดที่ปกติ คำตอบของ Index Fund อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด กับการฝากความหวังที่เราจะ Buy and Hold ไปได้อย่างนั้นเสมอไป หากแต่เราอาจจะจำเป็นที่จะต้องมีผู้แนะนำ หรือ ผู้จัดการกองทุนที่เข้ามาบริหารจัดการในการลงทุนให้กับเรา ว่าช่วงเวลาไหนควรลดสัดส่วนการลงทุน หรือ เพิ่มสัดส่วนการลงทุน อาจจะดีกว่าหรือไม่ ??? เช่น เหตุการณ์ในตลาดบ้านเรา อยู่ดีๆมาประกาศมาตรการ หรือ เกิดเหตุการณ์อะไรก็สุดแล้วแต่ ทำให้เกิดการช็อกตลาดกับหุ้นบางตัวในดัชนีขึ้นมา ถามว่า ถ้าเราถือ Index Fund สิ่งที่เราทำได้คือ ขายน้อย หรือ ขายมาก หรือขายทั้งหมด ซึ่งรวมถึงหุ้นดีๆที่ไม่ได้รับผลกระทบไปด้วยใช่หรือไม่ เพราะกองทุนดัชนียังไงๆก็ต้องลงทุนตามสัดส่วนดังกล่าว ทำให้การขายกองทุนของเราก็ต้องจำใจขายหุ้นดีๆที่ไม่ได้รับผลกระทบตามออกไปด้วย
ในทางกลับกัน หากเราต้องการซื้อกองทุน แต่บังเอิญในดัชนีดังกล่าวดันมีหุ้นที่มีคดีฟ้องร้อง หรือ มูลค่า Over Value ไปเยอะมากๆเข้าไปแล้วในบางตัว นั้นก็หมายความว่า เราต้องจำใจยอมซื้อหุ้นดังกล่าวเข้าพอร์ตของเราเข้าไปด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้น ถ้าเราเลือกลง Active Fund ละสิ่งที่เราจะได้รับกลับมาคืออะไร ในช่วงเวลาหรือเหตุการณ์แบบนี้ ปรับลดสัดส่วนหุ้นที่มีผลกระทบ และถือเงินสดแทนหรือย้ายตราสารที่ลงทุนไปยังสิ่งอื่นให้ (บางคนอาจจะจะบอกว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้จัดการกองทุนจะทำถูกหรือจะไม่ผิดซ้ำ อันนี้ก็ต้องไปตามดูประวัติ หรือวิถีการลงทุนของแต่ละ บลจ. กันนะครับ ) แต่อย่างน้อยๆเมื่อถ้าเกิดเหตุการณ์กองทุนประเภทนี้ก็ขยับเงินให้เราได้แน่ๆ ไม่เหมือนกองทุนดัชนี ที่ไม่ควรจะทำอะไร หรือถ้าหากกองทุนดัชนีที่ไหนทำปรับสัดส่วนให้ผิดไปจากน้ำหนักดัชนีมากๆ ก็อยากให้พึงระวังไว้ว่า นั้นหรือ คือกองทุน Index Fund เอาการตัดสินใจของคนเข้ามาเกี่ยวข้องก็เท่ากับกลายพันธ์เป็น Active ไปซะแล้ว กลับมาที่กองทุนประเภท Active Fund ก็มีหลายรูปแบบ หลายสไตล์การลงทุน ไม่ว่าจะแบบ TOP DOWN ,Bottom UP หรือ Growth Stock, Value Stock ที่ต่างจะหาวิธีการมาคัดเลือกหุ้น ว่าจะกรองหุ้น โดยดูจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวเป็นหลัก หรือ มองจากภาพใหญ่เศรษฐกิจ มาก่อนแล้วนำไปสู่การเลือกหุ้นรายตัว หรือ ศัพท์ทางเทคนิค ต่างๆนาๆ เท่าที่จะพยายามสรรหาคำที่สวยหรูมาบรรยายได้ว่าการลงทุนที่เขาได้พิจารณามานั้นดีเพียงใด มาจากวิธีการใดก็ตาม ซึ่งกองประเภทเหล่านี้ก็มีเยอะในตลาดที่ บลจ. ต่างๆออกมาพูดกันเยอะว่าเราใช่วิธีการเหล่านั้น เหล่านี้ แต่เอาเข้าจริงแล้วสิ่งที่ต้องเข้าไปดูในพอร์ตการลงทุน คือ ทำแบบที่พูดนั้นจริงหรือไม่ ทำแล้วเลือกถูกตัวหรือไม่ แม้กระทั่งรูปแบบการลงทุนดังกล่าวใช้กับ Timing ในการลงทุนหรือเหมาะกับเงินของเรามากน้อยเพียงใด กองทุนแบบนี้เวลาตลาดขาขึ้นถ้าเลือกถูกตัว ถูกอุตสาหกรรม ก็วิ่งยาวละครับ ยิ่งช่วงเศรษฐกิจกำลังฟื้น เข้าพวก Growth Stock, Mid Small Cap ผสม หุ้น IPO ไปบ้าง โอยยย วิ่งกระจาย โชว์ผลงานสบายใจไป แต่กลับกัน ช่วงที่ตลาดขาลง คนที่ลงทุนกองพวกนี้บางครั้งก็ได้เอา ขาขึ้นมาก่ายหน้าผากละครับ มึนกันไปข้าง (หรือก็อาจจะไม่ขาดทุนก็ได้ถ้ากองทุนเขาเดาถูกทางนะครับ ที่บอกว่าเดาถูก เพราะที่ผ่านมาที่เคยเห็นตลาดขาลงจริงๆเข้าแล้ว ก็ไม่เคยเห็นกองทุนไหนทำให้ไม่ขาดทุนได้จริงๆเลย อย่างมากก็บอกได้แค่ว่า เราขาดทุนน้อยกว่าตลาดนะ ยังดีกว่าตลาด กันซะส่วนใหญ่) หรือ พวก Value Stock ต้องรู้จักอดทนรอ รอไว้นะครับท่านผู้ถือหน่วย เราเป็นกองประเภทกินคำใหญ่ๆ ต้องอดใจรอ เพื่อนๆเขาไปกันบ้างแล้ว อย่าไปเสียใจเดียวเราไปรวดเดียวเลย แล้วก็รอต่อไป ทำตาปริบๆ
อีกจำพวกที่นึกขึ้นได้ Index Plus คือแบบตัดสินใจไม่ถูก จะ Index หรือ Active ดี งั้นเอาแบบนี้ ลง Index ส่วนหนึ่งแล้ว เลือก Active บางส่วน หรือลงตามIndexเป็นหลักแล้ว Capให้ Over Under Weight +/- ไม่เกินกี่%จาก Index ก็ว่ากันไป พูดง่ายๆขอเป็นลูกผสม พวกกล้าๆกลัวๆ จะสู้บู้ๆแมนๆก็ไม่ทั้งหมด จะนิ่งๆตามเขาไปก็เปล่า ออกลูกแนวกระเทยทึก ขาบู้กูบู้ได้นิดหน่อย ขานิ่งๆก็ทำ ญ ได้ประมาณนั้น แนวนี้อาจจะได้มากกว่าหรือน้อยกว่า Index ก็จะไม่มากหรือน้อยกว่าสักเท่าไรนัก เอาเป็นว่ากองประเภทนี้ พยายามแล้วก็ควรจะอยู่กลางๆไม่หวือหวามาก ไปทางใดทางหนึ่ง จัดอันดับมายาวๆก็ควรอยู่ตรงกลางละครับ พยายามเสมอตัวประคองตัวไปวันๆ หลังๆมีมาเพิ่ม พวกบอกจะกำหนดค่า Var , ค่าความผันผวน , กำหนด Cap +/- เอามากันใหญ่ จริงๆมันก็พวก Active Fund Low Alpha เปล่าหว้า คือแค่ตอบโจทย์ผู้ถือหน่วย ไม่อยากให้ NAV ผันผวนเยอะ งั้นก็กำหนดกรอบไว้เลยว่า กองทุนนี้จะ +/- ในกรอบเท่านี้ อาจจะเหมาะกับพวกอยากเล่นหุ้นแต่กลัวหัวใจวาย ซึ่งก็อาจจะใช้วิธี Asset Allocation , CPPI อะไรก็ว่ากันไป จริงๆก็มีอีกเยอะนะครับ พวกลูกเล่นที่พยายามจะออกกันมาว่าจะทำแบบนั้นแบบนี้ให้กับเงินของเรา เช่นจะเลือกหุ้นบริษัท ที่ ธรรมาภิบาลดี บริษัท Green ที่ช่วยรักษา สิ่งแวดล้อม จะเลือกบริษัทที่ทำธุรกิจสีขาว ต่างๆนานา ก็แค่อยากจะถามว่า หลักธรรมาภิบาล บ้านเรานี้มันดีกันจริงหรอครับ หลักการบัญชีของไทยที่ทำๆกันอยู่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยไม หลักนี้มีจริงในไทยมากน้อยแค่ไหน หรือเลือกออกมาแล้วอาจจะได้หุ้นน้อยมากๆรึเปล่าน่า.....
ซึ่งที่อยากจะบอกจากทั้งหมดนี้จริงๆก็คือ มันไม่มีกองทุนไหน หรอกครับที่จะสามารถชนะได้ทุกช่วงเวลา หรือแม้กระทั่งดีทุกสถานการณ์ ได้ตลอดไป เพราะจริงๆแล้ว กองทุนของแต่ละที่มันจะมี รูปแบบที่ สไตล์การลงทุนที่ชัดเจน ของมัน อย่างปีนี้ที่นี้ดี อีกปี2ปี อีกแห่งก็จะดีแทน บางคนอาจจะบอกว่าเป็นเพราะผู้จัดการกองทุนย้ายที่บ้าง หรือ ช่วงที่ผ่านมาผู้จัดการคนนี้มือขึ้น มือตกบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่จริงๆแล้วทุกคนมีสไตล์การลงทุนลึกๆของคนแต่ละคน อาจจะผิดบ้าง ถูกบ้างในบางช่วง สุดแล้วแต่กันไป......................................................................... ทีนี้แล้ว บลจ. แต่ละที่ มีกองประเภทไหน สไตล์ เหมาะกับ ช่วงเวลาใด ไว้จะมาต่อนะครับ
แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 55 09:58:44
จากคุณ |
:
Tanyapot
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ธ.ค. 55 09:56:11
|
|
|
|
 |