ความคิดเห็นที่ 1 ตอนเรากู้ บ้านแรกเรากู้กับธนชาต  ตั้งแต่สมัยเขายังเป็นเป็นเงินทุนหลักทรัพย์ กลับมาบ้านแฟนก็หาประกันทำเลยค่ะ    แฟนเราเป็นรายได้หลักของครอบครัว เราเป็นแค่รายได้เสริม  ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไป  เราไม่มีปัญญาจ่ายแน่ๆ  บ้านก็ จะหลุด  ที่ผ่อนไปก็เป็นอันว่าผ่อนฟรี     เผลอๆ ถูกยึดขายแล้วไม่พอจ่ายแบงค์ เราก็ยังต้องจ่ายหนี้ที่เหลือต่ออีก  มันเสี่ยงคุณว่าจริงมั้ย   แฟนเราก็ทำประกัน ส่วนเรากู้ครั้งที่ 2  กู้ธกส. เขาแนะนำให้ทำประกันอีก  เราก็บอกว่าเรามีบ้างแล้ว เขาก็ให้ทำให้ครอบคลุมวงเงินกู้  เป็นประกันแบบจ่ายครั้งเดียวคลุมตลอดอายุ การกู้  เรามองว่ามันเป็น  win-win  นะ  แต่ถ้าเขาบังคับให้ทำแบบออมทรัพย์ นั่นแหละไม่ถูกต้องเพราะเสียเบี้ยแพงไปเปล่าๆ  ดังนั้นดูให้ดี  ถ้าสมควรทำก็ทำ มันน่าจะดีกว่า ใครเป็นอะไรแล้วบ้านหลุดไปเลยนะคะ จากคุณ : ต๊อตโตะจัง เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 13:18:27

ความคิดเห็นที่ 2 มันคำนวณยากเพราะจะเอาอะไรเป็นเกณฑ์ในการคำนวณว่าบุคคลนี้จะตายเมื่อไร มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง มีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตายสูงแค่ใหน ฯลฯ (ใครคำนวณได้ยกให้เป็นอัจฉริยะ)    ส่วนเรื่องทำประกันชีวิตจากการกู้เงินมันเคลมได้เร็วไงครับเพราะหลักทรัพย์ค้ำประกันการจะบังคับจำนองเอาสินทรัพย์จำนองออกขายเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ที่มีอยู่ ต้องฟ้องศาลเท่านั้นและกว่าศาลจะตัดสินจนคดีสิ้นสุดต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า4-5 ปี จากคุณ : alien1200 เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 13:23:30

ความคิดเห็นที่ 3 คห. 1 ใช่ครับ มันน่าจะเป็นตัวเลือกให้ตัดสินใจว่าจะเสี่ยงหรือไม่ แต่นี้ถูกบังคับ ช่วงยื่นกู้พร้อมๆกันหลายธนาคาร ของธนาคารเขียว ยอดสูงมาก ถึงกับให้ผ่อนเลยทีเดียว คห. 2 มันก็เหมือนทำประกันชีวิติมั้งครับ (เดาเอา) เขามีสูตรการคำนวณอยู่ เป็นภาควิชาเลย เศรษฐศาสตร์ การประกันภัย อะไรประมาณนี้ จากคุณ : ห้าแต้ม เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 18:53:30

ความคิดเห็นที่ 4 ผู้กู้ตาย แบงก์ไม่เสี่ยงหรอก แค่ยึดทรัพย์มาขายชำระหนี้ ผู้กู้ตาย คนที่แย่คือทายาท ที่ขาดพ่อหรือแม่ แถมยังถูกยึดบ้านอีก ทำประกันชีวิตไว้ เป็นการไม่เสี่ยงครับ ขาดพ่อหรือแม่ ลูกยังมีบ้านซุกหัวนอน จากคุณ : yut-san เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 19:02:03

ความคิดเห็นที่ 5 1.ถ้ามันดีจริง ธนาคารต้องคิดดอกเบี้ยตลอดสัญญาให้ต่ำกว่าการกู้เงินธนาคารโดยทั่่วไปเนื่องจาก ความเสี่ยงลดลงบางส่วน 2.ถ้ามันดีจริง ให้ธนาคารและพนักงานให้ค่าคอมมิชชั่นทั้งหมดเป็นส่วนลดแก่ลูกค้า จากคุณ : กระจั๊วแมน เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 21:13:22

ความคิดเห็นที่ 6 ปัญหาคือ คุณมีทางเลือกอื่นไหม  ถ้ามีก็ทำที่อื่นเถอะค่ะ ถ้าฉวยโอกาสแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะคะ เราไม่เห็นด้วยกับการเอาเปรียบลูกค้าค่ะ ส่วนที่คุณคห.๕ ว่า  เราว่ามันคงไม่เกิดบนโลกใบนี้หรอกค่ะ จากคุณ : ต๊อตโตะจัง เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 23:39:52

ความคิดเห็นที่ 7 คห. 4 คุณ yut-san ผมคิดว่า ที่เขาบังคับ (กึ่ง) จุดประสงค์หลัก เขาน่าจะต้องการลดภาระ ความยุ่งยาก ในการฟ้องร้องในการยึดบ้าน และทำยอดมากกว่าครับ ลูกหลาน ได้รับประโยชน์ เป็นผลประโยชน์ ทางอ้อม (ซึ่งไม่มีก็ได้)  มากกว่า...   มองโลกในแย่ร้ายเกินไปมั้ย คห. 5, คห. 6 เพราะเจ้าอื่นกึ่งบังคับ ผมไปเป็นลูกหนี้ ธ.ออมสินแล้วครับ  เห็นกระทู้คนบ่นๆ เรื่องบังคับทำประกัน ก็เลยเกิดความสงสัยว่า มันน่าจะเป็นความเสี่ยงในการทำธุรกิจ ที่ ควรรวมอยู่ในดอกเบี้ยที่เขาคำนวณแล้ว แต่กลับมาให้ผู้กู้แบกภาระซ้ำซ้อน จากคุณ : ห้าแต้ม เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:47:07

ความคิดเห็นที่ 8 เราคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องความเสี่ยงของธุรกิจอย่างเดียวค่ะ เพราะถ้าคนกู้เป็นอะไรไปก่อนจริง ธนาคารก็ยึดบ้านไปเลย ความเสี่ยงของธุรกิจ ของเค้าก็คือส่วนที่จะต้องไปฟ้องร้อง ดำเนินการขายทอดตลาด เสียโอกาสได้รับดอกเบี้ยและเงินต้นคืนซักระยะอะไรแบบนี้ ซึ่งตรงนี้เค้าก็คิดดอกเบี้ยช่วงแรก ๆ ไปสาหัสแล้ว แต่ความเสี่ยงของคนในบ้านต่างหาก ที่ถ้าส่งต่อไม่ไหว ถูกยึดบ้านขึ้นมา ที่อุตส่าห์ส่งไปเป็นสิบ ๆ ปี ก็อาจจะไม่มีที่ซุกหัวนอนได้ ถ้ากู้ไม่เกินล้านห้า เราก็ไม่ทำค่ะ แต่ถ้ามากกว่านั้น ก็จำเป็นต้องทำเพื่อคนข้างหลังจะได้ไม่ลำบาก เพราะอนาคตไม่แน่นอน แต่ก็ทำไว้แค่ 10 ปีค่ะ จากคุณ : arce เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:06:33