ความคิดเห็นที่ 1 DJIA น้องดาว ระยะ Week และระยะ Day ...มีทิศทางเป็นเชิงบวก RSI.....ระยะ Day ซิกแซกขึ้นสวยงาม MACD กำลังจะผ่านเส้นศูนย์...ภาวะกระทิงกำลังจะมา แต่...มาตอนที่จะเข้าเทศกาลวันหยุดยาวเนี่ยนะ ...สถานะ(ถือ)ครับ จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 09:53:35

ความคิดเห็นที่ 2 EEM ...อันนี้สิเล่นตามน้ำของจริง ...เป็นการเก็งกำไรล้วนๆ นะครับ นักรบผู้รักษาวินัยอย่าเล่นศึกอย่างนี้บ่อยนะครับ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี แต่พอเห็นขึ้นไปทำ new peak ก็อดไม่ได้ที่จะตามครับ เหมาะสำหรับผู้นิยมความเจ็บปวด....อิอิ จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 09:58:14

ความคิดเห็นที่ 3 สวัสดีค่าทุกท่าน ^^ จากคุณ : arce เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 10:41:16

ความคิดเห็นที่ 4 เข้ามาอ่านค่ะ^^ วันนี้ลองซื้อกองทุนทองเพิ่มอีกนิดนึง เอาไว้ลุ้นปีหน้าค่ะ แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 55 10:43:28 จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 10:42:30

ความคิดเห็นที่ 5 SPOT Gold ระยะ Week ..Slow stoc อ่อนแรงลง ในขณะที่ RSI ยังไม่หลุด 50% ระยะ day ...slow stoc ตัดขึ้นแล้ว ราคากำลังทดสอบ EMA 25 วันเส้นสีฟ้า และ RSI กำลังทดสอบระดับ 50% ...สถานะผ่านจุด(ซื้อ) โปรเจค S50b หยุดซื้อหรือทิ้งทวนไม้สุดท้ายก็ได้ ตัวผมเองจะหยอดไม้เล็กๆ อีกนิดนึง จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 10:55:39

ความคิดเห็นที่ 6 แวะมาเก็บข้อมูลครับ ส่วนตัวกองทุนทอง น้ำมันยังเล่นไม่เป็น เข้าไม่ถูก ขอเก็บแต่ข้อมูลไปศึกษาก่อน ขอบคุณครับ จากคุณ : yamr เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:01:36

ความคิดเห็นที่ 7 THB/AUD น้องอู๊ด ระยะ Day ...เริ่ม Over Bought ครับ RSI ทำจุดสูงลดต่ำลง...ทั้งระยะ Week และ Day ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ 50% ...สถานะ(ถือ)ตามแนวโน้มน้องดาวและเกราะทองคำ หรือ(ขาย)ลดความเสี่ยงออกบ้างหากพอมีกำไรนะครับ จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:02:22

ความคิดเห็นที่ 8 NYMEX น้องออย ...ยังคงเป็นแนวโน้มขาลงต่อเนื่อง แนวรับที่เห็นสำคัญมากๆ Slow stoc ระยะ Week ...เกิดสัญญาณซื้อลวง fake signal ไปแล้ว ....สถานะ(รอ)ครับ .... จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:10:50

ความคิดเห็นที่ 9 สวัสดีครับทุกท่าน ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนและเยอรมนี ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถสกัดปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะหน้าผาการคลังของสหรัฐ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 14.75 จุด หรือ 0.11% ปิดที่ 13,169.88 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 0.48 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 1,418.55 จุด ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 8.92 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 2,986.96 จุด ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน ด้านเยอรมนีรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนต.ค.ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังจากที่ร่วงลง 2.45 ในเดือนพ.ย. อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลังในสหรัฐ รวมทั้งข่าวที่ว่านายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลีจะประกาศลาออกภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าการลาออกของนายมอนติจะยิ่งทำให้สถานการณ์ด้านการเงินของอิตาลีย่ำแย่ลงอีก หุ้นแมคโดนัลด์ พุ่งขึ้น 1.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 2.4% ในเดือนพ.ย. หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ดีดตัวขึ้น โดยหุ้นนิวมอนท์ ไมนิ่ง พุ่งขึ้น 1.6% ขณะที่หุ้นคลิฟส์ เนเชอรัล ทะยานขึ้น 4.5% หุ้นอเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (AIG) ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลง 2.3% เนื่องจากผลกระทบของพายุเฮอริเคนแซนดี้มีแนวโน้มว่าจะทำให้ต้นทุนการจ่ายเงินสินไหมทดแทนของบริษัทพุ่งขึ้นเป็น 1.3 พันล้านดอลลาร์ สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่าสหรัฐอาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ซึ่งทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังอ่อนแรงลงหลังจากจีนเปิดเผยยอดการส่งออกที่ขยายตัวน้อยเกินคาด สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 37 เซนต์ หรือ 0.43% ปิดที่ 85.56 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังปรับตัวในช่วง 85.33- 86.78 ดอลลาร์ ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ หรือ 0.29% สู่ระดับ 107.33 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังปรับตัวในช่วง 107.01-108.54 ดอลลาร์ สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลังในสหรัฐ รวมทั้งข่าวที่ว่านายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลีจะประกาศลาออกภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าการลาออกของนายมอนติจะยิ่งทำให้สถานการณ์ด้านการเงินของอิตาลีย่ำแย่ลงอีก นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันหลังจากจีนรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนพ.ย.ขยายตัวเพียง 2.9% ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันดิบปิดขยับลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวันเนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของเยอรมนีและจีน โดยเยอรมนีรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนต.ค.ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังจากที่ร่วงลง 2.45 ในเดือนพ.ย. ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน นักลงทุนจับตาดูการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ซึ่งจะมีขึ้นในวันพุธนี้ และการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันอังคารที่ 11 ธ.ค. สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน พร้อมกับจับตาดูความคืบหน้าในการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ของสหรัฐ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 8.9 ดอลลาร์ หรือ 0.52% ปิดที่ 1,714.4 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1703.30 - 1718.80 ดอลลาร์ สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 33.377 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.246 ดอลลาร์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 3.7060 ดอลลาร์/ปอนด์ เพิ่มขึ้น 4.3 เซนต์ สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ปิดที่ 1623.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 16.30 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 704.75 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 6.75 ดอลลาร์ สัญญาทองคำพุ่งขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกของจีนพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่า สกุลเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัวลงอีกเนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่าทำเนียบขาวและสภาคองเกรสสหรัฐอาจจะไม่สามารถทำข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง ขณะเดียวกันทองคำได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมวันที่ 11 ธ.ค.นี้ สกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วันทำการเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เนื่องจากข่าวการลาออกของนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อเงินยูโรเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ค่าเงินยูโรปรับตัวขึ้น 0.12% แตะที่ 1.2940 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.2924 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.23% แตะที่ 1.6073 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6036 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.11% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 82.370 เยน จากระดับ 82.460 เยน และอ่อนค่าลง 0.09% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9332 ฟรังค์ จากระดับ 0.9340 ฟรังค์ ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียทรงตัวที่ 1.0485 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้น 0.18% แตะที่ 0.8336 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8321 ดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนเข้าซื้อเงินยูโรเพื่อความปลอดภัยหลังจากมีข่าวว่า นายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลีจะประกาศลาออกภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าการลาออกของนายมอนติจะยิ่งทำให้สถานการณ์ด้านการเงินของอิตาลีย่ำแย่ลงอีก นอกจากนี้ เงินยูโรยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของเยอรมนีและจีน โดยเยอรมนีรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนต.ค.ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังจากที่ร่วงลง 2.45 ในเดือนพ.ย. ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียย่ำฐานทรงตัว หลังจากธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 3.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในการประชุมครั้งล่าสุด เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั่วโลก นายเกลน สตีเวนส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลียกล่าวภายหลังการประชุมว่า สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าที่ธนาคารกลางคาดการณ์ไว้ อันเนื่องมาจากราคาสินค้าส่งออกปรับตัวลดลงและเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลง และการที่ธนาคารกลางออสเตรเลียตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าออสเตรเลียได้รับแรงกดดันจากอัตราค่าแรง รวมทั้งยอดการใช้จ่ายในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่ปรับตัวลดลง และอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) ขานรับรายงานที่ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกของจีนขยายตัวได้ดีเกินคาด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยบรรเทาปัจจัยลบจากข่าวการลาออกของนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.1% ปิดที่ 279.55 จุด ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3612.10 จุด บวก 6.49 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 7530.92 จุด บวก 13.12 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5921.63 จุด บวก 7.23 จุด -- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนและเยอรมนี ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถสกัดปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะหน้าผาการคลังของสหรัฐ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 14.75 จุด หรือ 0.11% ปิดที่ 13,169.88 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 0.48 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 1,418.55 จุด ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 8.92 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 2,986.96 จุด -- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน พร้อมกับจับตาดูความคืบหน้าในการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ของสหรัฐ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 8.9 ดอลลาร์ หรือ 0.52% ปิดที่ 1,714.4 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1703.30 - 1718.80 ดอลลาร์ สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 33.377 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.246 ดอลลาร์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 3.7060 ดอลลาร์/ปอนด์ เพิ่มขึ้น 4.3 เซนต์ สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ปิดที่ 1623.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 16.30 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 704.75 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 6.75 ดอลลาร์ -- สกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วันทำการเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เนื่องจากข่าวการลาออกของนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อเงินยูโรเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ค่าเงินยูโรปรับตัวขึ้น 0.12% แตะที่ 1.2940 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.2924 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.23% แตะที่ 1.6073 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6036 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.11% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 82.370 เยน จากระดับ 82.460 เยน และอ่อนค่าลง 0.09% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9332 ฟรังค์ จากระดับ 0.9340 ฟรังค์ ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียทรงตัวที่ 1.0485 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้น 0.18% แตะที่ 0.8336 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8321 ดอลลาร์สหรัฐ -- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่าสหรัฐอาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ซึ่งทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังอ่อนแรงลงหลังจากจีนเปิดเผยยอดการส่งออกที่ขยายตัวน้อยเกินคาด สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 37 เซนต์ หรือ 0.43% ปิดที่ 85.56 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังปรับตัวในช่วง 85.33- 86.78 ดอลลาร์ ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ หรือ 0.29% สู่ระดับ 107.33 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังปรับตัวในช่วง 107.01-108.54 ดอลลาร์ -- ดัชนี FTSE 100 ปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) ขานรับรายงานที่ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกของจีนขยายตัวได้ดีเกินคาด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยบรรเทาปัจจัยลบจากข่าวการลาออกของนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 7.23 จุด หรือ 0.12% แตะที่ 5,921.63 จุด หลังจากปรับตัวในช่วง 5,891.33-5,923.97 จุด จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:10:57

ความคิดเห็นที่ 10 ราคาน้ำมันผันผวน จากปัญหาหน้าผาการคลังของสหรัฐฯ และความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์” บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ โดย บมจ. ไทยออยล์: “ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะเคลื่อนไหวในกรอบ 105-112 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเวสต์เท็กซัสเคลื่อนไหวในกรอบ 83-90 เหรียญฯ” แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมัน (10 - 14 ธ.ค. 55) ราคาน้ำมันคาดว่าจะผันผวน โดยได้รับแรงกดดันจากปัญหาหน้าผาการคลังในสหรัฐฯ ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ โดยเฉพาะประเด็นการปรับเพิ่มภาษีของผู้มีรายได้สูง อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงในอียิปต์ของกลุ่มผู้ต่อต้านการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ และสถานการณ์ความตึงเครียดรอบใหม่ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากความกังวลว่าอุปทานน้ำมันดิบอาจได้รับผลกระทบหากเหตุการณ์รุนแรงขึ้น ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้: • ความคืบหน้าของข้อสรุปเกี่ยวกับการขึ้นภาษีคนรวย ซึ่งถือเป็นประเด็นคงค้างที่สำคัญในการเจรจาปัญหาหน้าผาการคลังในสหรัฐฯ ระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้หรือไม่ แม้ว่าสภาคองเกรซจะมีมติร่วมกันที่จะลดการใช้จ่ายภาครัฐฯ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าสภาคองเกรซจะสามารถหาข้อสรุปของประเด็นคงค้างได้ทันก่อนที่มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้โดยอัตโนมัติในเดือน ม.ค. ปีหน้า • การลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญของอียิปต์ในวันที่ 15 ธ.ค. นี้ จะคลายความรุนแรงของสถานการณ์ประท้วงและต่อต้านประธานาธิบดีรวมถึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวที่มีความรุนแรงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา • สถานการณ์ความตึงเครียดรอบใหม่ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบที่อาจได้รับผลกระทบ หลังอิสราเอลประกาศแผนเดินหน้าสร้างที่อยู่อาศัยในเขตเวสต์แบงค์ เพื่อเป็นการตอบโต้สหประชาชาติที่มีมติรับรองสถานะปาเลสไตน์ให้เป็นรัฐชาติ • ในการประชุมกลุ่มโอเปคที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ เบื้องต้นตลาดคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปคจะตัดสินใจคงโคว้ตาการผลิตไว้ที่เดิม หลังจากสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือบานปลายและส่งผลให้ตลาดกังวลว่าจะกระทบต่อการผลิตและการขนส่งน้ำมันดิบในบริเวณดังกล่าว ประกอบกับรัฐมนตรีน้ำมันซาอุดิอาระเบียก็ส่งสัญญาณแสดงความพอใจต่อระดับราคาน้ำมันในปัจจุบัน • ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีชี้วัดภาคการผลิตและยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ยอดดุลการค้าของสหรัฐฯ และจีน ดัชนีความรู้สึกต่อภาวะเศรษฐกิจและดุลการค้าเยอรมนี การผลิตภาคอุตสาหกรรมและดัชนีราคาผู้บริโภคของยูโรโซน • ติดตามการประชุมธนาคารการสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 ธ.ค. และการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปผู้นำกลุ่มยูโรโซนในวันที่ 13 ธ.ค. นี้ รวมถึง รายงานสถานการณ์น้ำมันประจำเดือน ธ.ค. โดยสำนักงานสารสนเทศทางด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) และโดยโอเปกในวันที่ 11 ธ.ค. และโดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ในวันที่ 12 ธ.ค. นี้ สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (3 - 7 ธ.ค. 55) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 4.21 เหรียญฯ สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 107.02 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับลดลง 2.98 เหรียญ มาปิดที่ 85.93 เหรียญฯ ราคาน้ำมันดิบได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ จากแรงกดดันของความไม่แน่นอนของปัญหาหน้าผาการคลังในสหรัฐฯ ที่ยังมีบางประเด็นที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลีกัน โดยเฉพาะการขึ้นภาษีของผู้มีรายได้สูง นอกจากนี้ความกังวลของนักลงทุนยังเพิ่มมากขึ้นหลังธนาคารกลางยุโรปปรับลดคาดการณ์ จีดีพี ปี 2556 มาอยู่ที่ -0.3% จากประมาณการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 0.5% ในเดือน ก.ย. 55 โดยนักวิเคราะห์มองว่าเศรษฐกิจยุโรปจะยังคงมีความเสี่ยงอยู่ต่อไปจนถึงต้นปี 2557 อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ รวมถึงความรุนแรงในอียิปต์ยังเป็นส่วนที่พยุงราคาน้ำมัน วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน : บมจ.ไทยออยล์ "เบรนท์เพิ่มจากตัวเลขจีนที่ออกมาดี ขณะที่ WTI ลดจากอากาศที่ไม่หนาวเย็น" เบรนท์ส่งมอบ ม.ค  ปรับเพิ่มขึ้น 0.31 ปิดที่ 107.33 เหรียญฯ และน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสส่งมอบเดือน ม.ค. ปรับลดลง 0.37 ปิดที่ 85.56 เหรียญฯ + ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้นหลังตัวเลขการนำเข้าน้ำมันดิบของจีน เดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 5.69 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่กำลังการผลิตของโรงกลั่นในประเทศก็ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งสัญญาณว่าความต้องการน้ำมันของจีนปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลงเนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าอากาศที่ไม่เย็นหนาวในปีนี้จะกดดันความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อทำความร้อนในประเทศ + ยอดขายปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีน เดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 14.9% และ 10.1% ตามลำดับ เนื่องจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น โดยนักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับในช่วงต้นปีหน้าเป็นต้นไป โดยภาคการส่งออกจะฟื้นตัวภายในปีหน้า ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรโซนด้วยว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นได้หรือไม่ + ดัชนีความรู้สึกผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในเดือน ธ.ค. ปรับลดลงมาอยู่ที่ 74.5 ซึ่งต่ำกว่าคาดที่ 82.4  และนับเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับจากเดือน ส.ค. เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อนโยบายการแก้ปัญหาหน้าผาการคลังของสภาคองเกรซว่าจะมีทิศทางเช่นไร โดยเฉพาะการขึ้นภาษีที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชน + การเจรจาเพื่อหาข้อสรุปของปัญหาหน้าผาการคลังยังดำเนินต่อไป หลังการเจรจาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้า โดยประธานาธิบดีโอบามายังคงยืนกรานที่จะให้ปรับเพิ่มภาษีผู้มีรายได้สูง ในขณะที่ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันมองว่าการเพิ่มภาษีคนรวยจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเสนอให้ยืดเวลามาตราการตกลงขึ้นภาษียืดเวลาออกไป อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหากสหรัฐฯ ไม่สามารถตกลงการแก้ปัญหาหน้าผาการคลังได้สำเร็จในต้นปีหน้า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่สภาวะถดถอยทันที + ธนาคารกลางของสหรัฐฯ เตรียมซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวเป็นจำนวนเงิน 45 พันล้านเหรียญฯ ต่อเดือน หลังการประชุมในวันที่ 11-12 ธ.ค. นี้ ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะอัดฉีดเงินเข้าระบบเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศและลดอัตราการว่างงาน ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นสวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบ จากความกังวลว่าอุปทานจะตึงตัวขึ้นตามแผนการซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในภูมิภาคช่วงต้นปีหน้า ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดีเซล ปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากแรงกดดันของอุปทานภายในภูมิภาคที่มีมากกว่าอุปสงค์ โดยเฉพาะปริมาณการส่งออกจากจีนที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงไม่มีโอกาสในการขนย้ายน้ำมันดีเซลจากฝั่งเอเซียไปยังฝั่งสหรัฐฯและยุโรป ทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นและปัจจัยที่น่าจับตามอง กรอบการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ เบรนท์ 105 -112 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเวสต์เท็กซัส 83-90 เหรียญฯ   ราคาจะยังคงผันผวนจากแรงกดดันเรื่องปัญหาหน้าผาการคลังของสหรัฐฯ ขณะที่ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงสร้างความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบ และผลการประชุมของกลุ่มโอเปคว่าจะคงกำลังการผลิตที่ระดับเดิมหรือไม่ ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ วันอังคาร: ดุลการค้าสหรัฐฯ ดัชนีความรู้สึกต่อภาวะเศรษฐกิจเยอรมนี วันพุธ: การผลิตภาคอุตสาหกรรมยูโรโซน และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ วันพฤหัส: ยอดค้าปลีก ยอดขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานสหรัฐฯ การประชุมผู้นำกลุ่มยูโรโซน รวมทั้งดัชนีชี้วัดภาคการผลิตจีน (HSBC) วันศุกร์: ดัชนีชี้วัดภาคการผลิตสหรัฐฯ ดัชนีชี้วัดภาคการผลิตและบริการ รวมทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคยูโรโซน - รายงานสถานการณ์น้ำมันประจำเดือน ธ.ค. ที่ของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) และโอเปกในวันที่ 11 ธ.ค. และของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ในวันที่ 12 ธ.ค. นี้ รวมถึง การประชุมกลุ่มโอเปควันเดียวกันด้วย ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าน่าจะคงโควต้ากำลังการผลิตไว้ที่เดิม - การประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปในวันที่ 13-14 ธ.ค. ติดตามการอนุมัติเงินช่วยเหลือกรีซรอบใหม่อย่างเป็นทางการหลังมีการเห็นชอบในหลักการเบื้องต้นไปก่อนหน้านี้ - ความคืบหน้าของการหาทางออกให้กับปัญหาหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) ของสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีโอบามาออกมาแสดงความเห็นว่าการเจรจาระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันใกล้ได้ข้อยุติหากรีพับลิกันยอมรับประเด็นการขึ้นภาษีผู้มีรายได้สูง - ติดตามผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในอียิปต์วันที่ 15 ธ.ค.นี้ หลังเกิดการประท้วงอย่างรุนแรงจากฝ่ายต่อต้านที่ไม่เห็นด้วยในหลายมาตรา นอกจากนี้ล่าสุดสมาคมผู้พิพากษาอียิปต์ออกมาประกาศจะไม่กำกับดูแลการลงประชามติดังกล่าว - นอกจากนี้ติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดรอบใหม่ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์หลังอิสลาเอลประกาศแผนเดินหน้าสร้างที่อยู่อาศัยในเขตเวสต์แบงค์เพื่อตอบโต้ UN ที่รับรองสถานะปาเลสไตน์ให้เป็นรัฐชาติ รวมทั้งสถานการณ์ความรุนแรงในซีเรียยังเป็นที่กังวลต่อนานาชาติโดยเฉพาะประเด็นความเสี่ยงของการใช้อาวุธเคมี Good Morning News จากกองทุนบัวหลวง - 11 ธันวาคม 2555 General News ------------------ • ธ.กลางเยอรมนี ลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ลงสู่ 0.7% จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 1.0% และคาดว่าปีหน้าจะขยายตัวเพียง 0.4% จากเดิมที่คาดว่าจะเป็น 1.6% โดยอัตราว่างงานมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นแตะ 7.2% ในปีหน้าจาก 6.8% ในปีนี้ • นายกรัฐมนตรี มาริโอ มอนติ ของอิตาลี แถลงในทำเนียบว่า หากร่างกฎหมายงบประมาณผ่านรัฐสภาได้เร็วเขาจะลาออกในทันที ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในอิตาลีระบุว่าการขาดเสียงหนุนทางการเมืองส่งผลให้การฟื้นฟูภาคการเงินของรัฐบาลเปราะบาง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความเสี่ยงของมาตรการรัดเข็มขัดที่อาจทำให้เศรษฐกิจอิตาลีซึ่งอยู่ในภาวะถดถอยอยู่แล้วต้องสะดุดลง • ก.แรงงานสหรัฐ รายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรปรับตัวขึ้นสูงเกินคาดถึง 146,000 ตำแหน่งในเดือน พ.ย. ขณะที่อัตราว่างงานลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปีที่ 7.7% เมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 7.9% ตัวเลขที่ดีเกินคาดนี้ บ่งชี้ว่า พายุเฮอริเคนแซนดี้ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานในสหรัฐเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายระบุว่า การที่อัตราว่างงานลดลงนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ว่างงานมาเนิ่นนานเกิดความท้อแท้ และไม่รายงานตัวต่อ ก.แรงงาน อีกต่อไป กลุ่มคนเหล่านี้จึงไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลว่างงานของ ก.แรงงาน • สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติของสหรัฐ (NFIB) เปิดเผยว่า การจ้างงานของธุรกิจขนาดย่อมลดลงสู่ -0.04 ในเดือน พ.ย. จาก +0.02 ในเดือน ต.ค. เนื่องจากแซนดีส่งผลให้บริษัทขนาดย่อมหลายพันแห่งปิดตามแนวชายฝั่งตะวันออก และยังไม่ได้เปิดดำเนินการอีกครั้งเป็นจำนวนมาก • ธ.กลางสหรัฐ รายงานว่า ความมั่งคั่งของครัวเรือนในประเทศเพิ่มขึ้น 2.7% ในไตรมาส 3 เพราะได้ปัจจัยหนุนจากมูลค่าบ้านและราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน หนี้สินภาคครัวเรือน และหนี้สินเชื่อบ้านหดตัวลง 2% และ 3% ตามลำดับ • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐต้นเดือน ธ.ค. ร่วงลงแตะ 74.5 จาก 82.6 ในเดือนก่อน ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน และลดลงครั้งแรกหลังจากที่ขึ้นมา 4 เดือนติดต่อกัน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการลดการใช้จ่ายภาคครัวเรือน • ก.สถานการณ์ฉุกเฉินของรัสเซีย เปิดเผยว่า กำลังเฝ้าระวังเหตุปะทุของภูเขาไฟ “พลอสกี โทลบาจิก” บริเวณคาบสมุทรคัมชัตกาที่งกว่า 3,085 เมตรเหนือน้ำทะเล เพราะปะทุต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายเดือนก่อน ทั้งที่สงบนิ่งมานานถึง 36 ปี โดยเกรงว่าจะเกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น • ส.สถิติ ออสเตรเลีย รายงานว่า ยอดปล่อยสินเชื่อบ้านเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่อ่อนตัวกว่าที่คาด ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ธนาคารกลางออสเตรเลียอาจจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีหน้า • ศุลกากรจีน รายงานว่า ยอดส่งออกของจีนเพิ่มขึ้น 2.9% ในเดือน พ.ย. เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนการนำเข้าทรงตัว ส่วนยอดเกินดุลการค้าระหว่างประเทศลดลงเหลือ 1.96 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิม 3.19 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน ต.ค. • ส.สถิติแห่งชาติจีน รายงานว่า ยอดลงทุนในสินทรัพย์คงที่ของจีนเพิ่มขึ้น 20.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ไปแตะ 32.32 ล้านล้านหยวนในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ทั้งนี้ การลงทุนในภาคกลางของจีนขยายตัว 26.2% รองลงมาเป็นภาคตะวันตกที่ขยาย 24.2% และภาคตะวันออกที่ 18% • ส.สถิติแห่งชาติของจีน รายงานว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตของจีนลดลง 2.2% ในเดือน พ.ย. เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นการปรับตัวลง 9 เดือนติดต่อกัน โดยดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อของประเทศ เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 10.1% โดยการขยายตัวอย่างรวดเร็วในเดือน พ.ย. บ่งชี้ว่า จีนกำลังฟื้นตัวขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการสนับสนุนการขยายตัวและการผ่อนปรนนโยบายของทางรัฐบาล • อัตราการขยายตัวของ GDP ญี่ปุ่นในไตรมาส 3 ที่ทบทวนแล้วกลายเป็นหดตัว 3.5% ต่อปี เพราะมีการปรับลดการลงทุนในภาคสาธารณะ แม้ความต้องการในภาคเอกชน เช่น การใช้เงินทุนจะถูกปรับให้อยู่ในช่วงขาขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นในไตรมาส 4 เป็นติดลบ 5.5 จากเดิมบวก 2.2 ในไตรมาสที่แล้ว โดยติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ไตรมาส เนื่องจากการผลิตและการส่งออกอ่อนตัวลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากข้อพิพาทดินแดนกับจีน • ก.คลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ต.ค. ร่วงลง 29.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการส่งออกอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงขาลง • รัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยว่า เป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นได้เข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง หลังจากที่ดัชนีบ่งชี้เศรษฐกิจร่วงลง 7 เดือนติดต่อกันในเดือน ต.ค. โดย Coincident Economic Indicators ร่วงลง 0.9% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. • รอยเตอร์ รายงานผลสำรวจว่า สิ่งที่บริษัทผู้ผลิตของญี่ปุ่นครึ่งหนึ่งต้องการให้ผู้ชนะการเลือกตั้งรัฐสภาในเดือนนี้ทำมากที่สุดก็คือ “ผลักดันให้เยนอ่อนค่าลง” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น • รัฐบาลญี่ปุ่น ระบุว่า ยังไม่พบความผิดปกติที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในฟูกุชิมะ มิยางิ และ อาโมโมริ หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหว 7.3 ริกเตอร์ทางภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น • ธ.กลางเกาหลีใต้ รายงานว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตของเกาหลีใต้เดือน พ.ย.อ่อนตัวลง 0.6% เมื่อเทียบกับเดือน ต.ค. และอ่อนตัว 0.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากราคาน้ำมันโลกร่วงลงต่อเนื่อง และเงินวอนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ • ส.สถิติแห่งชาติเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ภาคการผลิตเกาหลีใต้ขยายตัว 0.4% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีก่อน ขยายตัวต่ำสุดในรอบมากกว่า 3 ปี เนื่องจากอุปสงค์เพื่อการส่งออกและอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแรงลงท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก • โฆษกรัฐบาล รายงานว่า จีนสนใจลงทุนโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงของไทย โดยจีนยืนยันว่ารถไฟฟ้าจีนมีราคาถูก ก่อสร้างไว คุณภาพดี และมีราคาก่อสร้างต่ำกว่าคู่แข่ง โดยจะใช้เวลาก่อสร้างแต่ละสาย 6-7 ปี ทั้งนี้ ไทย-จีน ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือรถไฟไปแล้วเมื่อวันที่ 17 เม.ย. ปีนี้ ซึ่งจีนได้ศึกษาเส้นทาง กทม-เชียงใหม่ และ กทม.-หนองคาย แล้ว Equity Market ------------------ • SET Index ปิดที่ 1,334.95 จุด ลดลง 4.93 จุด หรือ -0.37% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 35,194.67 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 103.04 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลด สวนทางกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก Fixed Income Market -------------------------- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอยู่ในช่วงระหว่าง -0.01% ถึง 0.01% Guru Corner --------------- • Bill Gates ”ลูกค้าที่ไม่มีความสุขกับสินค้าและบริการของคุณมากที่สุด จะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของบริษัท” ”โลกไม่ได้แคร์เกี่ยวกับความชื่นชมในตัวเองของเรา โลกหวังว่าเราจะทำอะไรสำเร็จสักอย่างก่อนที่เราจะเริ่มรู้สึกดีๆ ต่อตัวเอง” • Peter Schiff ”อันตรายที่แท้จริงของสหรัฐไม่ใช่การตกหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) แต่เป็นการที่ไม่ยอมตกลงไป เพราะมันจะทำให้เป็นหนี้และขาดดุลงบประมาณมากขึ้น” จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:13:12

ความคิดเห็นที่ 11 กรุงเทพฯ--11 ธ.ค.--ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส - ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 - ติดตามการประชุมเฟดวันนี้และวันพรุ่งนี้ - แนวต้านของราคาทองคำ 1,715-1,720 ดอลลาร์ - ในการซื้อขายวันศุกร์ ราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแนวรับและแนวต้านทางเทคนิคระหว่าง 1,680-1,700 ดอลลาร์ โดยราคาดีดตัวขึ้นพรอ้มกับการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะแรงซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่เริ่มมีกลับเข้ามา หลังจากราคาทองปรับตัวลงมามากติดต่อกันหลายวัน เช่นเดียวกับราคาโลหะเงินซึ่งปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ทรงตัวจากวันพฤหัส โดยแกว่งตัวระหว่าง 32.50-33.30 ดอลลาร์ เมื่อวานนี้ราคาทองคำและราคาโลหะเงินยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 - การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐเพิ่มขึ้น 146,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย.สูงกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ขณะที่อัตราว่างงานร่วงลงสู่ 7.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2008 โดยตลาดประเมินว่าอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ 7.9% นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนตัวเลขการจ้างงานเดือนก.ย.และต.ค. โดยปรับลดลง 49,000 ตำแหน่งจากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ - การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในวันนี้และพรุ่งนี้เป็นประเด็นหลักที่ตลาดให้ความสนใจ โครงการ Operation Twist ที่กำลังจะหมดอายุและมีแนวโน้มว่าจะไม่มีการต่ออายุหรือมีมาตรการใหม่ทดแทน โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจรอดูการเจรจาเพื่อแก้ปัญหาหน้าผาทางการคลังก่อน หากไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ก็จะมีการพิจารณาเพิ่มปริมาณเงินในการซื้อพันธบัตรในการประชุมครั้งหน้า แต่หากมีการออกมาตรการใหม่ในการประชุมครั้งนี้จะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ราคาทองดีดตัวขึ้นได้ต่อไป - ราคาทองคำสามารถทะลุผ่านแนวต้านที่บริเวณ 1,700 ดอลลาร์ ขึ้นไปได้ ทำให้มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่คาดนักลงทุนรอดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ ทำให้คาดระยะสั้นราคาทองคำจะแกว่งตัวในกรอบ 1,700-1,720 ดอลลาร์ โดยมีแนวต้านบริเวณ 1,715-1,720 ดอลลาร์และ 1,730 ดอลลาร์ตามลำดับ ขณะที่แนวรับอยู่ที่บริเวณ 1,700-1,705 ดอลลาร์ โกลด์ฟิวเจอร์สเดือนธ.ค.55 Close   chg.  Support        Resistance 24,830  +60   24,700/24,600  24,850/25,000 ราคาทองมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway up โดยนักลงทุนรอดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในวันอังคารและวันพุธ ซึ่งนักลงทุนบางส่วนมีความหวังว่าจะธนาคารกลางสหรัฐจะประกาศซื้อหลักทรัพย์เพิ่มเติมในการประชุมครั้งนี้ หลังจากที่ราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 วัน คาดว่าอาจมีการอ่อนตัวลงในระหว่างวัน จุดที่แนะนำให้เปิดสถานะซื้อเก็งกำไรอยู่ที่ 1,700 ดอลลาร์ และมีจุดปิดสถานะตัดขาดทุนอยู่ที่บริเวณ 1,695 ดอลลาร์ ซิลเวอร์ฟิวเจอร์สเดือนธ.ค.55 Close  chg.  Support        Resistance 1,013  +7    1,000/980/975  1,015-1,020 การเข้าเก็งกำไรฝั่งซื้อในซิลเวอร์ฟิวเจอร์ส แนะนำให้ราคาโลหะเงินปรับฐานลงเข้าใกล้แนวรับบริเวณ 32.50 ดอลลาร์ โดยมีจุดปิดสถานะตัดขาดทุนอยู่ที่บริเวณ 32.10-32.20 ดอลลาร์ กรุงเทพฯ--11 ธ.ค.--คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส Price Movement ราคาทองคำในตลาด COMEX ปิดที่ 1,714.40 USDต่อออนซ์เพิ่มขึ้น 8.90 USDต่อออนซ์ มีความเคลื่อนไหวในกรอบ 1,703.30 - 1,718.80 USDต่อออนซ์ ราคาทองคำปิดบวกได้ 3 วันติดต่อกัน จากความหวังว่าเฟดจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อในการประชุม FOMC วันที่ 11 — 12 ธ.ค.นี้ นักลงทุนคาดว่าว่านอกจากการซื้อพันธบัตรระยะยาวมูลค่า 4.5 หมื่นล้านUSD ต่อเดือนแล้ว เฟดจะมีมาตรการซื้อพันธบัตรเพิ่มเติมพื่อทดแทน Operation Twist ที่จะสิ้นสุดลง ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงหลังจากต้นทุนการกู้ยืมเงินของอิตาลีพุ่งสูงขึ้น จากการที่นายกรัฐมนตรี มอนติ ของอิตาลีประกาศว่าเขาจะลาออกทันทีหลังจากงบประมาณปี 2013 ได้รับการอนุมัติ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าใครจะนำพาอิตาลีให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ สำหรับในช่วงเช้าวันนี้ราคาทองคำเคลื่อนไหวบริเวณ 1,708 USDต่อออนซ์ มีแนวโน้มอ่อนตัวลง คาดว่าวันนี้ทองคำมีแนวรับบริเวณ 1,705/1,700/1,685 แนวต้านบริเวณ 1,720/ 1,730 แนะนำนักลงทุนระยะสั้น Trading ในกรอบแนวรับ แนวต้าน นักลงทุนระยะกลาง — ยาว รออ่นตัวบริเวณแนวรับสะสม Long เพิ่ม ถ้าไม่หลุด 1,670 ส่วนกรอบความเคลื่อนไหวในสัปดาห์นี้คาดว่าอยู่ในกรอบ 1,665 — 1,755 โดยมีแนวรับสำคัญบริเวณ 1,670 หากหลุดจะทำให้ภาพเป็น Bearish มากขึ้น ส่วนการผ่านบริเวณ 1,725 ได้จะทำให้ภาพกลับมาเป็น Bullish ในสัปดาห์นี้ Spot Gold Technical Analysis ภาพกราฟทางเทคนิคราคาขึ้นสู่แนวต้านบริเวณ 1,718 ไม่ผ่านทำให้อ่อนตัวลงมา คาดว่าวันนี้มีแนวรับบริเวณ 1,705/1,700/1,685 แนวต้านบริเวณ 1,720/ 1,730 แนะนำนักลงทุนระยะสั้น Trading ในกรอบแนวรับ แนวต้าน นักลงทุนระยะกลาง — ยาว รออ่นตัวบริเวณแนวรับสะสม Long เพิ่ม ถ้าไม่หลุด 1,670 ส่วนกรอบความเคลื่อนไหวในสัปดาห์นี้คาดว่าอยู่ในกรอบ 1,665 — 1,755 โดยมีแนวรับสำคัญบริเวณ 1,670 หากหลุดจะทำให้ภาพเป็น Bearish มากขึ้น ส่วนการผ่านบริเวณ 1,725 ได้จะทำให้ภาพกลับมาเป็น Bullish โดยมีแนวต้านในสัปดาห์บริเวณ 1,740/1,755 Key Point in Precious Market - ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำ ค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้น ( - ) ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ( - ) ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อลดลง ( - ) ความต้องการทองคำจากธนาคารกลางประเทศต่างๆเพิ่มขึ้น ความต้องการของกองทุน ETF ทองคำเพิ่มขึ้น ( + ) นักลงทุนคาดหวังว่าเฟดจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ( + ) - ประเด็นที่ต้องติดตาม การแก้ปัญหาหนี้ของกรีซ การแก้ปัญหา Fiscal Cliff ของสหรัฐ การชุมนุมประท้วงในอียิปต์ การชุมนุมประท้วงในซีเรีย การประชุม FOMC ของสหรัฐในวันที่ 11 — 12 ธ.ค. การประชุม EU Summit ในวันที่ 13 -14 ธ.ค. - การรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ วันอังคาร ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. ข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค. FOMC เริ่มการประชุมกำหนด นโยบายการเงินวันแรก วันพุธ ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย. ตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ FOMCประกาศมติการประชุม กำหนดนโยบายการเงิน งบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนพ.ย. วันพฤหัสบดี ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค. วันศุกร์ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย. ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังผลิตเดือนพ.ย. - SPDR ซื้อ 1.81 ตัน ถือทองจำนวน 1,353.35 ตัน Spot Silver ราคาโลหะเงินปิดที่ 33.38 USDต่อออนซ์ โดยมีความเคลื่อนไหวระหว่าง 33.09 - 33.50 USDต่อออนซ์ ishares silver trust ถือโลหะเงินจำนวน 9,829.15ตัน คาดว่าวันนี้มีแนวรับบริเวณ 32.7/32.5 แนวต้านบริเวณ 33.3/33.5 แนะนำนักลงทุน Trading ในกรอบแนวรับ แนวต้าน จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:14:26

ความคิดเห็นที่ 12 กรุงเทพฯ--11 ธ.ค.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ ราคาทองคำเปิดตลาดที่ระดับ 1,703 เหรียญ/ออนซ์ และกลับมาปิดช่วงกลางคืนที่ระดับ 1,702 (22.30 น.) เหรียญ/ออนซ์ ค่าเงินบาทปิด 30.67 บาท/ดอลลาร์ ราคาสมาคมเปิดที่ 24,650 บาท กับ 24,750 บาท และกลับมาปิดที่ 24,650 บาท กับ24,750 บาท ปริมาณการซื้อขาย Gold Futures 50 บาท อยู่ที่ 4,036 คู่สัญญา แบบ 10 บาท อยู่ที่ 9,581 คู่สัญญา และ Silver Futures อยู่ที่ 23 คู่สัญญา Open Interest แบบ 50 บาท เพิ่มขึ้น 0.5% แบบ 10 บาท เพิ่มขึ้น 0.07% Silver Futures เพิ่มขึ้น 0.7% GFZ12 ปิด 24,900 บาท และ GFG12 ปิด 25,060 บาท GF10Z12 ปิดที่ 24,900 บาท GF10G12 ปิดที่ 25,060 บาท SVZ12ปิดที่ 1,010 บาท สัญญา Comex ปิดเพิ่มขึ้น 8.9 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,714.4 ดอลลาร์/ออนซ์ Silver ปิดเพิ่มขึ้น 0.246 เซนต์ ปิดที่ระดับ 33.377 ดอลลาร์/ออนซ์ SPDR ถือครองทองคำ 1,353.34 ตัน ( คืนวันศุกร์เพิ่ม 1.81 ตัน ) น้ำมัน NYMEX ปิดลดลง 37 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 85.56 ดอลลาร์/บาร์เรล ดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 14.75 จุด ปิดที่ 13,169.88 จุด Ratio Gold / Silver เท่ากับ 51.3 ต่อ 1 ข่าวที่สำคัญ ที่มา : TheBullionDesk, Reuters, Infoquest และ CNBC - ราคาทองคำเมื่อคืนวันศุกร์ปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบมากกว่า 1 เดือน หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรปรับตัวขึ้นสูงเกินคาด 146,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ขณะที่อัตราว่างงานปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปีที่ 7.7% เมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวเท่ากับเดือนก่อนหน้านี้ที่ระดับ 7.9% ภายหลังมีแรงเข้าซื้ออย่างมากจากตลาดจากการที่ตัวเลขการจ้างงานเดือนที่ผ่านมามีการปรับทบทวนลดลง รวมไปถึงการทำ short covering จากกองทุนต่างๆ ส่งผลให้ราคามีการฟื้นตัวกลับมาปิดตลาดบวก 3.7 เหรียญ ที่ระดับ 1,705.5 เหรียญ นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนส่วนหนึ่งคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะประกาศผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปอีกในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายในสัปดาห์นี้ เแม้ข้อมูลแรงงานเดือนพ.ย.จะออกมาดีเกินคาดก็ตาม โดยมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะประกาศการเข้าซื้อพันธบัตรมูลค่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพิ่มเติมจากเดือนกันยายนที่มีการประกาศการเข้าซื้อหลักทรัพย์ MBS มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนจนกว่าตลาดแรงงานจะฟื้นตัว ขณะเดียวกันความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ในสหรัฐ ก็ช่วยกระตุ้นให้มีแรงซื้อเข้าสู่ตลาดทองคำเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อมองภาพรวมตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวลดลง 0.7% โดยนับเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกันที่ราคาทองคำปรับตัวลดลง นายแมทธิว เทิร์นเนอร์ นักวิเคราะห์ฝ่ายวิจัยจากมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กล่าวว่า การประชุม FOMC ในวันอังคารและวันพุธนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดมากที่สุด โดยมาตรการ Operation Twist ใกล้จะหมดอายุลง และเราควรที่จะคอยติดตามว่าทางคณะกรรมการจะจัดหามาตรการใดมาทดแทน ซึ่งก่อนหน้านี้มาตรการดังกล่าวได้หมดอายุไปในเดือนมิถุนายน และมีการต่ออายุมาจนถึงสิ้นปี ดังนั้นการประชุม FOMC ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะทำอะไรบางอย่างก่อนเข้าสู่ปีใหม่ นอกจากนี้นายเทิร์นเนอร์มีตัวเลือกอยู่หลายทางด้วยกัน หากเฟดไม่ทำอะไรเลยนั่นจะเทียบเท่ากับเป็นการเข้มงวดทางการเงิน หรือหากมีการขยายระยะเวลาต่อไปหรือใช้ทางอ้อมที่จะผ่อนคลายการเงินแบบดั้งเดิม ซึ่งเขาขนานนามสิ่งนี้ว่า “QE3.5” และนั่นจะเป็นผลบวกต่อตลาดทองคำ มีการรายงานเมื่อวันศุกร์ว่า ปริมาณการส่งออกทองคำจากฮ่องกงไปยังจีนลดลงในเดือนตุลาคมสู่ระดับต่ำสุดในรอบสิบเดือน เนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อทองคำแท่งต่างๆ เพิกเฉยต่อการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งในช่วงเวลานั้นสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นถึง 1.5% ข้อมูลจาก CFTC รายงานเมื่อวันศุกร์ว่า กลุ่มเฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการฝ่ายการเงินต่างๆ ได้ลดสถานะการลงทุนในทิศทางขาขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาลงไปสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม อย่างไรก็ตามนักลงทุนบางรายยังคงมีการลงทุนในกองทุน ETFs ซึ่งปริมาณการถือครองทองคำของกองทุน Gold ETFs ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมาที่ระดับ 76.129 ล้านออนซ์ แม้ว่าราคาจะไม่ค่อยเคลื่อนไหวนักในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนที่มีการประกาศออกมาได้แก่ ยอดการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ของจีนเพิ่มขึ้น 20.7% ต่อปี แตะ 32.32 ล้านล้านหยวน หรือ 5.18 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ในขณะที่ทางด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน สำหรับทองคำเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ราคาปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สาม ปิดตลาดบวก 8.9 เหรียญ ที่ระดับ 1,714.4 เหรียญ เนื่องจากนักลงทุนต่างไม่มั่นใจเกี่ยวกับวิกฤตทางด้านงบประมาณของสหรัฐที่ยังคงไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาทางสหรัฐ หลังจากที่ทำเนียบขาวและโฆษกสภาพรรครีพับลิกัน นายจอห์น โบห์นเนอร์ ได้มีการเจรจาต่อรองเพิ่มเติม แต่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ก็ยังไม่ได้มีรายละเอียดใดตอบกลับ โดยนายโอบามายังคงยึดมั่นในแนวความคิดที่จะเพิ่มอัตราภาษีผู้มีรายได้สูง ทั้งนี้นายโอบามายังมอบหมายให้นายแฮรี่ รี้ด ผู้นำพรรคเดโมแครตหารือในประเด็นงบประมาณแทน ขณะที่นายจอห์น คาร์นี ไม่ยอมเปิดเผยถึงผลการเจรจาส่วนตัวระหว่างนายโอบามาและนายจอห์น โบห์นเนอร์ แต่พรรครีพลับลิกันยังคงรอว่านายโอบามาจะระบุงบประมาณส่วนใดที่จะทำการตัดลดเพื่อให้บรรลุ Balanced Approach ที่จะนำไปสู่ข้อตกลง การเข้าพบส่วนตัวระหว่างนายโอบามาและนายจอห์น โบห์นเนอร์เมื่อวานนี้ยังไม่มีความคืบหน้า ขณะที่นายโอบามายังยืนกรานที่จะเพิ่มอัตราภาษีผู้มีรายได้สูง ขณะที่ผู้นำพรรครีพลับลิกันมีท่าทีต่อต้านแนวคิดนี้เมื่อ 2 — 3 วันก่อน เป็นไปได้ว่าข้อตกลงอาจจะทำให้มีการเพิ่มรายได้ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และมีการตัดงบประมาณไป 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดตรงกลางระหว่างข้อเสนอของทั้ง 2 พรรค โดยอัตราภาษีผู้มีรายได้สูงอาจเพิ่มเป็น 37% หรือ 38% จากเดิม 35% และจะเพิ่มเป็น 39.6% ในปีหน้า หากรัฐสภายังคงไม่ดำเนินการใดๆ และทั้ง 2 พรรคอาจจะยอมรับการลดค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มรายได้และตัดลดงบประมาณในปีหน้า พร้อมทั้งการปฏิรูปภาษีและโครงการ สวัสดิการต่างๆ นอกจากนี้อีกทางเลือกหนึ่งคือ พรรครีพลับลิกันอาจจะเสนอร่างให้มีการขยายระยะเวลาอัตราภาษีระดับต่ำสำหรับ ทุกคนยกเว้นผู้มีรายได้สูงตามที่พรรคเดโมแครตต้องการเป็นการชั่วคราว และใช้ระดับเพดานหนี้ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า จากนั้นค่อยมาใช้วิธีการตัดลดโครงการสวัสดิการต่างๆ แทน อย่างไรก็ตามนาย บ๊อบ คอร์กเกอร์ สมาชิกระดับอาวุโสของพรรครีพลับลิกันกล่าวว่า พรรครีพลับลิกันต้องทำการอนุมัติการเพิ่มอัตราภาษีผู้มีรายได้สูงเพื่อที่ เจรจาจะดำเนินจากประเด็นภาษีไปประเด็นโครงการสวัสดิการต่างๆแทน เนื่องจากการโต้แย้งประเด็นนี้ จะทำให้พรรคดูเหมือนจะพยายามที่จะปกป้องผู้มีรายได้สูงเพียงอย่างเดียว อีกทั้งเวลาในการแก้ปัญหาเหลือเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น นอกจากนี้การพบปะส่วนตัวระหว่างนายโอบามาและนายจอห์น โบห์นเนอร์ ทำให้มีความหวังในการแก้ปัญหาเป็น 40% แม้ทั้ง 2 พรรคจะปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดในการพบปะครั้งนี้ แต่นายคอร์กเกอร์ก็ยังมีความกังวลว่าพรรครีพลับบลิกกันจะไม่ยอมในประเด็น โครงการสวัสดิการต่างๆด้วย นอกจากนี้ยังมีความกังวลเพิ่มมากขึ้นทางฝั่งยุโรปซึ่งช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างทองคำ หลังจากที่นายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลีได้ประกาศว่าเขาจะลาออกถ้าแผนงบประมาณปี 2013 ได้รับการอนุมัติ ตลาดทองคำโดยภาพรวมเพิกเฉยต่อข่าวที่ว่า นายจอห์น พอลสัน ผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ได้กล่าวต่อกลุ่มลูกค้าของเขาในคืนวันศุกร์ว่า กองทุนพอลสันประสบกับผลกำไรที่ผสมปนเปกันในเดือนพฤศจิกายนจากการที่ราคาทองคำปรับตัวลดลง ซึ่งมีอิทธิพลต่อพอร์ทของนักลงทุนบางพอร์ท แม้ว่าความสนใจของนักลงทุนจะพุ่งตรงมาที่ความคืบหน้าในการเจรจาเรื่อง Fiscal Cliff ของสหรัฐและความไม่แน่นอนทางการเมืองของอิตาลี แต่กุญแจสำคัญในสัปดาห์นี้จะกลับกลายเป็นการประชุมกำหนดนโยบายของคณะกรรมาธิการที่จะมีการประกาศในคืนวันพฤหัสบดี ประมาณเวลาเที่ยงคืนครึ่งตามเวลาประเทศไทย พร้อมกับการแถลงของนายเบน เบอร์นันเก ถึงการอัพเดทมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้มีการคาดการณ์ว่า เฟดจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่จะมีการซื้อพันธบัตรเพิ่มอีก 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนแทนที่มาตรการ Operation Twist ที่จะหมดอายุสิ้นปี จากเดิมที่มีการซื้อหลักทรัพย์ MBS อยู่แล้ว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนก็เป็นตัวสนับสนุนทองคำเช่นกัน ตัวเลขเศรษฐกิจคืนวันศุกร์ - Non-Farm Employment Change ออกมาที่ระดับ 146,000 ราย จากตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 138,000 ราย - Unemployment Rate ออกมาที่ระดับ 7.7% จากตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 7.9% -Prelim UoM Consumer Sentiment ออกมาที่ระดับ 74.5 จากตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 82.7 ตัวเลขเศรษฐกิจคืนนี้ - Trade Balance ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ -41.5B คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ระดับ -42.4B วิเคราะห์ทางเทคนิค Gold — ราคาทองคำปรับตัวลดลงในคืนวันศุกร์ หลังจากที่มีการประกาศอัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7.7% และมาดีดกลับในช่วงท้ายตลาด ในขณะที่ในวันจันทร์ราคาทองคำเริ่มทรงตัวเหนือระดับ 1,700 เหรียญได้ และไปทำจุดสูงสุดที่ระดับประมาณ 1,715 เหรียญ ทองคำยังมีการเคลื่อนไหวในการแกว่งตัวอย่างมาก แต่เริ่มกลับมาแกว่งในทิศทางขาขึ้น โดยมีแนวรับแรกที่ 1,700 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 1,715 เหรียญและ 1,720 เหรียญตามลำดับ ทองคำยังคงรอข่าวในคืนวันพุธ(เช้าวันพฤหัสบดี)กับการแถลงของนายเบอร์นันเกที่จะสิ้นสุดการประชุม FOMC ในเชิงเทคนิคแล้วจะเห็นได้ว่า ราคาทองคำจะมีแรงกดดันในทิศทางการขาย ทำให้ในระยะสั้นกราฟรายวันกับกราฟรายชั่วโมงยังแกว่งตัวอย่างมาก แต่เริ่มกลับมาเป็นทิศขึ้นในระยะสั้นรายชั่วโมง ในขณะที่นักลงทุนระยะกลางกราฟรายวันยังมีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1,715 เหรียญและ 1,720 เหรียญ คาดว่าราคามีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นตาม sentiment การแถลงของนายเบอร์นันเก ในเชิงเทคนิคจะเห็นได้ว่า ราคาทองคำสามารถยืนอยู่เหนือระดับ 1,700 เหรียญได้ ถ้าราคาทองคำสามารถทะลุระดับ 1,720 เหรียญได้ทองคำดูจะเริ่มสดใสขึ้นมาใหม่ ในทางตรงกันข้ามถ้าราคาปรับลดลงหลุดระดับ 1,700 เหรียญอีกครั้ง อาจทำให้ราคาคงจะแกว่งตัวในทิศทาง Sideways ในภาพรวมยังเชื่อว่ายังรอสองข่าวใหญ่ที่น่าจะเป็นผลบวกต่อทองคำ ไม่ว่าจะเป็นการแถลงของนายเบอร์นันเก ซึ่งน่าจะใช้วิธีการเข้าซื้อพันธบัตรอย่าง QE3 ต่อจากการที่มาตรการ Operation Twist จะหมดอายุสิ้นปีนี้ ในขณะที่สัปดาห์หน้าน่าจะสามารถตกลงกันได้ในส่วนของ Fiscal Cliff เพื่อที่จะจบปัญหาก่อนสิ้นปี สรุปได้ว่าราคาทองคำในวันนี้น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,705 — 1,715 เหรียญ Gold Futures Z12 จะมีแนวรับที่ระดับ 24,920 บาท และแนวต้านที่ระดับ 25,100 บาท Gold Futures G13 จะมีแนวรับที่ระดับ 25,080 บาท และแนวต้านที่ระดับ 25,250 บาท Silver Futures Z12 จะมีแนวรับที่ระดับ 990 บาท และแนวต้านที่ระดับ 1,030 บาท คำแนะนำ สำหรับนักลงทุนเก็งกำไรรายวัน (Swing Trade) เก็งกำไรในภาวะการแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ระหว่าง 1,705 — 1,715 เหรียญ นักลงทุนระยะสั้น 7 — 20 วัน (Weekly Trade) ยังคงเป็นการทยอยเข้าถือพอร์ทเพิ่มเมื่อราคาอ่อนตัว ประมาณ 40% นักลงทุนระยะยาวทองคำแท่ง ถือครองสถานะ Portfolio อยู่ที่ 50-60% บทวิเคราะห์ข้างต้น ยึดหลักตาม Technical Analysis บริษัทไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการวิเคราะห์ข้างต้นและโปรดระลึกเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุนด้วยตัวของท่านเอง จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:15:45

ความคิดเห็นที่ 13 SET ...ปู่เซ็ต สูงมากๆ แล้ว...วันนี้เรามีนัด DDT นี่นา ลืมไปเลย >__# ....RSI 70% ...เดี๋ยวมีลงไปปรับฐานแน่ๆ แต่แนวรับใหญ่ๆ มีรองรับอยู่เยอะ  สถานะ(ถือ) ....นักรบกองทุนไม่ค่อยห่วงเพราะเล่น DDT กันเยอะแล้ว ห่วงก็แต่พรานหุ้น ....ระวังหน่อยครับ ผมก็ไล่ๆดูหุ้นบางตัวที่พอจะลดพอร์ตลงได้ก็จะทะยอยขายออกแล้วครับ จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:29:49

ความคิดเห็นที่ 14 HSKI ...ฮั่งเส็ง ขึ้นมาสูงมากๆ ....RSI เริ่มมีโอกาสเกิดสัญญาณขัดแย้งขึ้นทั้งระยะ Week และ Day ....สถานะ(ถือ)ไปจนกว่าจะลงโดยอาศัย previous peak เป็นจุดขายตัดขาดทุน  หรือหากมีกำไรก็ให้(ขาย)ลดพอร์ตลงบ้างครับ จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:41:08

ความคิดเห็นที่ 15 2828 H-shares ETF ...น้องศรี ...แนวโน้มเดียวกับฮั่งเส็งครับ สูงเกิน ต้องระวัง จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:45:44

ความคิดเห็นที่ 16 2823 A-Shares ETF ...ศึกมังกรฟ้า แรงจัด ...เตรียมเผ่นเช่นกันครับ ปรับฐานอีกครั้งก็ค่อยเข้าไปเก็งกันใหม่ กองพวกนี้ไม่มีปันผลครับ ถิอยาวแล้วจะเจ็บใจที่ไม่ขายซะบ้าง จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:48:33

ความคิดเห็นที่ 17 ว๊าว...วันนี้ CCET หนึ่งในโปรเจค GFDS ของผม ....บวกแรงดีจัง จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:55:06

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณครับ จากคุณ : tensei_ryo เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 12:50:24

ความคิดเห็นที่ 19 อยากมีหุ้นขึ้นแรงๆ บ้างจุงเบยยย KBANK 200 บาทไปแล้ว แรงจริงอะไรจริงครับ เสียดาย ผมขายไปตั้งแต่ 150 T_T จากคุณ : เด็กกรุง เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 12:59:53

ความคิดเห็นที่ 20 HMPRO จะผ่าน 12 บาทได้ไหมหนอ .... จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 13:11:18

ความคิดเห็นที่ 21 SCBCE ตอนนี้ดูใน SCBEasy ได้กำไรแล้วค่ะ (0.71%) แต่ถ้าดูใน siamchart ยังติดลบอยู่ 3.61% คือไม่ชอบ scbeasy ตรงที่เวลาซื้อขายมันจะหักทุน-กำไร ออกไปด้วยอ่ะค่ะ(เรียกไม่ถูกว่ามันคืออะไร) ทำให้เห็นว่ากำไรทั้งที่จริงไม่ใช่ มันเลยไม่สะท้อนทุน-กำไรที่แท้จริง จากคุณ : BeeZ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 13:11:56

ความคิดเห็นที่ 22 โปรแกรมของ siamchart คงนำผลกำไรขาดทุนมาเฉลี่ยต้นทุนให้ด้วยน่ะครับ รวมทั้งเวลาซื้อเพิ่มขายตัดขาดทุนก็คิดให้หมด ตัวเลขในบรรทัดสุดท้ายจึงเป็นผลกำไรขาดทุนที่แท้จริงที่คิดตั้งแต่เริ่มลงทุนเลยทีเดียว แต่กรณีใน scbeasy จะไม่นำผลของการขายตัดขาดทุนมาคิดให้ โดยจะคิดเฉพาะราคา NAV เฉลี่ยคงเหลือกับจำนวนหน่วยคงเหลือ ณ ปัจจุบันเท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่ได้ใช้ siamchart ก็ต้องจดบันทึกและคำนวณด้วยตัวเอง ....หรือไม่ก็เล่นระบบตระกร้าเงินทุน(กำไรขาดทุนระหว่างเทรดไม่สน สนเฉพาะยอดคงเหลือปัจจุบันเท่านั้น) ซึ่งผู้ลงทุนจำให้ได้แค่ยอดเงินลงทุนที่นำเข้าพอร์ตเท่านั้น ถ้าได้กำไรก็ตัดออกไปทันที แต่ถ้าขาดทุนก็สะท้อนให้เห็นที่บรรทัดสุดท้ายอยู่แล้ว   จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 16:32:29

ความคิดเห็นที่ 23 $$ นักรบกองทุน พรานหุ้นเม่าแสยง $$ วันพุธ ...ปู่เซ็ตเริงร่า แรงซื้อต่างชาติหนุน ความคิดเห็นนี้ได้แตกไปยังกระทู้ I13053971 จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 08:14:25