ตัวนี้อยู่ใน list เหมือนกัน รอคนเลิกสนใจ ราคาเริ่มกลับมา หรือบางทีหลังจากมันลงมา มันอาจจะเงียบนานหลายปีก็ได้
ถึงแม้จะเคยเป็นหุ้น VI ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นหุ้น VI ตลอดไป ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ ราคา และมูลค่าที่แท้จริงของมัน
สำหรับผมเหล่า VI เมืองไทย ไม่ได้ร่ำรวยด้วยการถือหุ้นไปตลอดชีวิต และได้รายได้จากเงินปันผลเป็นหลัก สำหรับผมๆ คิดว่าหุ้นในเมืองไทยมีน้อยตัวมากที่จะสามารถถือได้ตลอดชีวิต (ในความคิดของผม) สิ่งที่เหล่า VI นำหลักการของบัพเฟตมาปรับใช้ในเมืองไทย คือการ หาหุ้นที่มีราคาถูก มีผลประกอบการดี มีปันผลดี และ "ขาย" มันเมื่อมันมีมูลค่าที่เหมาะสม หรือขายตอนแพง แล้วก็โยกเงินไปหาหุ้นตัวใหม่ นี่คือวิธีการที่เอามาปรับใช้ให้เหมาะสมกับตลาดหุ้นเมืองไทย สำหรับผลกำไรที่เหล่า VI ได้ก็คือ "ส่วนต่าง" ราคา และระหว่างรอกำไรจากส่วนต่าง เขาก็ได้รับ "เงินปันผล" เป็นดอกผล
ในมุมมองของผมต่อตลาดหุ้นไทย VI เมืองไทยจะไม่เหมือนกับเมืองนอก
มุมมองเปรียบเทียบ
เมืองนอก คือ คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้ (หาหุ้นที่มีราคาถูก พื้นฐานดี) และปลูกมันจากต้นกล้า (เข้าซื้อหุ้นในราคาถูก หรือเหมาะสม) รอจนต้นมันเติบใหญ่ (ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น) แล้วก็เก็บดอกผล (เงินปันผล) โดยที่เขาไม่คิดที่จะโค่นมันทิ้งตราบเท่าที่มันยังเติบโต และยังออกดอกผลได้
สำหรับเมืองไทยแล้ว มีต้นไม้ที่สามารถเก็บดอกผลกินไปตลอดชีวิตได้น้อยมาก (หุ้นที่สามารถถือไปตลอดชีวิต โดยมีรายได้จากเงินปันผลอย่างเดียว เพราะตลาดไทยอาจจะไม่มีบริษัท หรือมีน้อยบริษัทที่มีคุณสมบัติแบบนั้น)
สำหรับเมืองไทย ก็คือ คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้ (หาหุ้นที่มีราคาถูก พื้นฐานดี) และปลูกมันจากต้นกล้า (เข้าซื้อหุ้นในราคาถูก หรือเหมาะสม) รอจนต้นมันเติบใหญ่ (ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น) แล้วก็เก็บดอกผลระหว่างมันเติบโต (เงินปันผล) หลังจากที่เขาคิดว่าถึงเวลาที่เหมาะสม เขาก็จะโค่นต้นไม้ต้นนั้นทิ้ง (ขายหุ้นทิ้งทั้งหมด) เพื่อนำเงินไปซื้อต้นกล้าต้นใหม่ (หาบริษัทใหม่ ที่น่าสนใจกว่า ราคาถูกกว่า)
แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 55 08:03:22
จากคุณ |
:
bigzaa
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ธ.ค. 55 08:02:52
|
|
|
|