ความคิดเห็นที่ 1 อย่างนั้นเขาเรียกว่า VI ค่ะ  ซึ่งสไตล์ใครสไตล์มัน  บางคนเขาก็กินปันผล บางคนก็ตบแต่งพอร์ตคือขายบ้าง แต่ยังคงถือไว้เยอะ  มีหลายแนวค่ะ ถ้าคนที่เขาตัดสินเลือกวิธีไหน  เขาก็คงคิดว่าดีแบบของเขาแล้วล่ะค่ะ  ไม่มี การว่ากันอยู่แล้ว   ส่วนเราก็คงเป็นแบบคุณถือไว้ไม่ขาย  คงอึดอัดใจตายเลยเหมือนกัน จากคุณ : ต๊อตโตะจัง เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:22:44

ความคิดเห็นที่ 2 Gap SET +- ไม่น่าเกิน 200-300 จุด เข้า-ออก ให้สนุก ดีกว่าไปรอให้ทุบกำไรหาย ปลายตลาด เทคนิคเยอะ เน้นความไวดีกว่า สำหรับน้องที่เข้าใหม่ ส่วนพี่เค้ามาต้นตลาด อย่าไปเลียนแบบเขา เพราะน้องจะเน่าในเอง จากคุณ : นักลงทุน999 เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:25:49

ความคิดเห็นที่ 3 ก็หุ้นบางตัว คนเลือกเขามั่นใจในธุรกิจ รวมทั้งศึกษาพื้นฐานทางบัญชีแล้ว แถมเข้าถูกจังหวะ ทำให้ต้นทุนค่อนข้างต่ำ ก็เลยรับปันผลปล่อยราคามันเติบโตไปเรื่อยๆ จนกว่าพื้นฐานทางธุรกิจมันเปลี่ยนไป หรือมีเหตุให้ใช้เงิน ก็ค่อยขายอ่ะครับ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงต้องมีสองพอร์ท ในกรณีอดใจไม่ไหวมันขึ้นมาเยอะก็ขายบ้าง.. จากคุณ : ชิตวรนันต์ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:29:00

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าคิดเหมือนกัน แย่เลยครับ การซื้อ ขาย คงไม่เกิด อิ อิ จากคุณ : humble beggar เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:32:02

ความคิดเห็นที่ 5 บางคนเค้าไม่ได้ถือไว้ขาย เค้าถือไว้กินปันผลน่ะ ถ้ามันลงแล้วพื้นฐานไม่เปลี่ยน เขาก็เอาเงินมาซื้อเพิ่มครับ จากคุณ : Exzion เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:33:42

ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อเขาแน่ใจว่าตัวที่ถือ จะลง เขาก็คงขายแน่ครับ แต่ที่เห็นยังไม่ขาย เพราะแน่ใจว่าจะขึ้นต่อแน่ๆ ไม่มากก็น้อย จากคุณ : พุงลุย เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:42:42

ความคิดเห็นที่ 7 แล้วแต่คนคิดครับ อย่าไปคิดแทนกันเลย จากคุณ : baby_naked เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:44:31

ความคิดเห็นที่ 8 ผมว่ามีหลายแบบนะ -บางคนมีหลายพอร์ทครับ พอร์ท VI วิเคราะห์หาหุ้นแล้วซื้อทิ้งไว้เลย ถือไว้ยาวๆ ไม่สนใจราคาแต่ละวัน -บางคนเปิดพอร์ทมาอีกพอร์ท ซื้อหุ้นไว้ทุกๆตัว ตัวละ 100 หุ้น ไว้ดูนิสัยแต่ละตัว ไว้ดูแนวโน้มราคา ฯลฯ จากคุณ : โทษที ชื่อนี้มีแล้ว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:46:12

ความคิดเห็นที่ 9 บางคนเค้าได้ปันผลมาจนได้หุ้นฟรีไปแล้ว เค้าจะขายทำไมล่ะครับ จากคุณ : Tee1 เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:47:45

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นด้วยบางกรณี อย่างเช่น jas ทุน 0.5 ถ้าขายตอนทำไฮรอบแรก แล้วทะยอยซื้อตอนลงไป 1 กว่า หรือ 2 บาท ตอนนี้ เงินก้อนนั้น จะกลายเป็น 20 เด้ง เลยทีเดียว ถึงแม้บางท่านจะแย้งว่าจะขายตอน 3 กว่า แล้วมาซื้อตอน บาทกว่าได้ยังไง นั่นก็คงต้องเป็นการบ้านอย่างนึงนะผมว่า ถ้าทำได้นี่ผลกำไรก็ทวีคูณละครับ บางคนบอกถือรับปันผล ไม่สนว่าตลาดจะแคลส รึป่าว แปลว่า jas จะลงมา 2 บาทอีกรอบก็ถือไว้ โอ้ ความรู้สึกผมเหมือนซื้อหุ้นแล้วขาดทุนเลยนะ ถึงแม้จะขาดทุนกำไร แต่ไอ้ที่ขาดทุนไปก็เงินเราจริงๆ ปล. ส่วนตัวผมเล่นสั้นมาก เข้าออกบ่อยมาก เล่นมาปีเดียว พอร์ทโต 30 เด้งได้เหมือนกัน (ทุน 1แสน ตอนนี้ 3 ล้าน) แต่ข้อเสียของผมก็คือเล่นสั้นเกินไปบางตัวรออีกนิดกำไรกว่าเดิมเป็น 10 เท่า กำลังหาวิธีแก้อยู่ครับ ปล. ทุกวิธีนั้นผมว่าใช้ได้จริงหมด รวยได้หมด แต่อาจยังไม่ดีที่สุดต้องรู้จักปรับแก้ไขอยู่ตลอดเวลาครับ จากคุณ : ป่าโข่ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 11:51:35

ความคิดเห็นที่ 11 อุ้ย! ถามถูกใจมากกกกก คริ คริ จากคุณ : ไผ่หวานพลิ้วลิ่วลม เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 12:11:22

ความคิดเห็นที่ 12     กท. คนรวย เราอ่านไม่เข้าใจ งงงง    จากคุณ : มาอีกแล้ว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 12:13:51

ความคิดเห็นที่ 13 เหตุผลในการซื้อของแต่ละท่านต่างกัน เหตุผลในการขายก็ต่างกัน คิดเหมือนกันหมดก็คงไม่มีคนรวยหรือจนให้เห็น จากคุณ : ลาเต้หวานน้อย เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 12:21:23

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าได้มาทุนต่ำมาก คาดว่าจะโตได้อีก ผมก็เก็บยาวนะ แต่ผมเข้าก็กลางตลาดแล้ว ขืนเก็บยาวมีหวัง - -" สรุปแล้ว ตอนนี้ซื้อ-ขายเป็นรอบๆ ขอกำไรติดมือไว้ก่อน วิกฤติมาเมื่อไหร่ จะซื้อถือยาว ค่อยขายเมื่อ +100% จากคุณ : yamr เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 12:50:13

ความคิดเห็นที่ 15 cpall 1 เด้ง = 21 บาท อย่าว่าแต่แนว vi เลย  , แม้แต่สายเทคนิค ถ้ามีราคานี้ในปอด จะตัดใจขายหรือเปล่า ขายแล้วเอาเงินมาเสี่ยงกับอะไร ในเมื่อธุรกิจมันโตของมันเอง 20-30% ถึงจะแนวโน้มไม่เท่าเดิม แต่ก็ โตอยู่ แล้วถ้านับจากทุน 21 บาท มันเกิน  มันไม่เป็น 50% เลยหรือ ปล.ผมเป็นเม่า จากคุณ : เม่าซรอกกราว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 13:06:47

ความคิดเห็นที่ 16 เงินที่ผมใช้ลงทุนเป็นเงินเย็นครับ ขายหุ้นไปก็ต้องลงในหุ้นตัวอื่นต่อ ไม่ได้เอาไปใช้อะไรที่ไร้สาระ ถ้าธุรกิจมีแนวโน้มที่จะโตต่อถึงแม้ว่าผมได้มา 1 เด้งถ้าขายไปแล้ว หลังจากนั้นหุ้นไป 2-3 เด้ง.ร้องอู๊ดๆๆ แน่ครับ ก็เพราะเราเสียโอกาสทำกำไรมากกว่านั้นอีกมาก หุ้นเองก็มีขึ้นมีลงเป็นวัฏจักรของมันในระยะสั้น ผมไม่เสียดายหรอกครับกำไรที่หายไปในระยะสั้น วันเดียวกำไรหายไปเป็นแสนก็เคยเจอ สุดท้ายถ้าธุรกิจที่เราซื้อมันมีอนาคตผมก็ถือต่อไป แล้วมันก็จะกลับมา ที่กำไรเดิมไม่นานถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน แล้วหลังจากนั้นมันจะทำให้คุณยิ้มออก กลับกันแทนที่จะพูดว่ารู้งี้ขายไปก็ดี หรือขายไม่ทัน แต่จะเป็น ตอนนั้นขายทำไมว่ะ ถ้าหุ้นยังอยู่ตอนนี้ได้มาเป็นล้านแล้ว พ่อผมเองช่วงซับพราม กำไรหายไปเป็นล้าน แทนที่จะหนีเหมือนเม่าอื่นๆ แกกลับซื้อเพิ่มแล้วมองพอร์ทแดงๆ อย่างใจเย็น ก็เพราะแกมั่นใจว่าธุรกิจมันยังคงเดินต่อไปตราบใดที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน สุดท้ายแล้วมันก็กลับมาที่เดิมจริงๆ แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 55 13:59:10 จากคุณ : .NetMagic เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 13:57:21

ความคิดเห็นที่ 17 บางทีก็เห็นด้วยค่ะ บางคนโชว์พอร์ตทุนตั้งแต่หลายปีที่แล้ว ทำไมเขาไม่ขาย ก็เข้าใจว่ากินปันผลอย่างเดียว สุขใจที่เห็นพอร์ตเขียวๆหลายเด้ง ... คือนั่งดูเงินแต่ไม่กล้าขาย ไม่กล้าเอาออกมาใช้ หรือเปล่าคะ ..แอบสงสัยว่าทำไมไม่ขาย ...รอจังหวะย่อลงแล้วเข้าใหม่อะไรงี้ .. แค่สงสัยนะคะ  เพราะตัวเราเอง เขียวแล้วทนไม่ได้ทู๊กที เพราะถ้าลงไปแดงอีก อยากจะกระโดดตีลังกาม้วนหลังสักสิบรอบลงบ้านไปเลย .. ^-^ จากคุณ : แช มัน ฮวา เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 14:04:53

ความคิดเห็นที่ 18 แนวทางการลงทุนของแต่ละคน ต่างกัน... จากคุณ : น่าจะอย่างนั้นนะ (Takinuy) เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 14:22:21

ความคิดเห็นที่ 19 เศรษฐกิจโลกและในประเทศพอที่จะเดินต่อไปได้ พื้นฐานหุ้นไม่เปลี่ยน ตลาดหุ้นโดยรวมยังไม่ถึงจุดสูงสุดแต่ก็ร้อนแรงมากแล้ว ซึ่งดัชดนีตลาดก็เป็นตัวช่วย พอตลาดหุ้นคนบอกว่าดีมันขึ้นเยอะ เม่าก็มาช่วยกันดันอีกหน้าใหม่มือใหม่มาเพียบเลยดูจากในสินธรก็รู้ คิดง่ายๆแค่นี้ก็รู้แล้วว่าหุ้นมันขึ้นต่อครับ ผมถามว่าดัชนีจะจบตรงนี้เลยแค่1350รึเปล่าครับในอีก1-2ปีข้างหน้า ทนรวยหน่อยครับ ทนจนกับทนติดดอยผมว่ามันไม่น่าสนุกเท่าทนรวยนะครับ ปล.บางคนซื้อหุ้นดีตั้งแต่ปี51-52พอปี54ได้เป็นเด้งไปแล้ว แล้วไปตกใจขายตอนขณะน้ำท่วมหรือก่อนน้ำกำลังท่วมหมดปลายปี54 พอน้ำท่วมหมดแล้วเกือบสินปีsetลงไป8ร้อยกว่า บางคนคิดว่านั่นไงเราขายหุ้นทันแล้ว แต่หุ้นที่ตัวเองขายอาจจะไม่ได้ลงเยอะเลย หลังจากน้ำท่วมเข้าปีใหม่ถึงปลายปี ถ้าหุ้นตัวนั้นยังถืออยู่ก็ได้อีกเป็นเด้งๆเพราะดัชนีพุ่งขึ้นมาที่1350 แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 55 14:32:39 แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 55 14:24:28 แก้ไขเมื่อ 15 ธ.ค. 55 14:23:43 จากคุณ : แน่ข้างเดียว เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 14:23:23

ความคิดเห็นที่ 20 ของผมขาย แล้วซื้อ กลับ ในราคา ต่ำกว่า เดิม บ่อยๆ ครับ      จากคุณ : มารหุ้นแสวงพ่าย เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 14:28:32

ความคิดเห็นที่ 21 port เขาถึงได้เขียวปี๋อย่างงั้นไงหล่ะ จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 14:33:25

ความคิดเห็นที่ 22 วัวเนื้อกับวัวนมครับ ^ ^ แพงเพราะของมันดีครับ เม่าส่วนใหญ่ขายของดีไปหาของเน่า ขายหมูฉึกๆครับ จากคุณ : มะลิ บาน บาน เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 15:11:03

ความคิดเห็นที่ 23 ในฐานะที่โดนพาดพิง อิอิ ผมเพิ่งโชว์ปอดไป http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I13065880/I13065880.html แรกๆก็อยากเป็นแบบที่ จขกท ว่านั่นแหล่ะครับ มีกำไรแล้วขายพอมันลงแล้วซื้อ แต่!!!! เม่าอย่างผมไม่รู้จริงสักทีว่ามันจะหยุดขึ้นเมื่อไหร่ หรือมันจะลงเมื่อไหร่ หรือมันลงสุดๆ หรือยัง พูดง่ายๆ ผมไม่รู้อนาคตว่า ราคาของหุ้นจะเป็นอย่างไรในแต่ละวัน หรือระยะ สัปดาห์ เดือน จะให้ได้ กำไร 100% หรือ 1 เด้งนี่ ผมทำรอบการซื้อขายไม่ได้จริง นอกจากปล่อยให้มันกำไรโดยตัวเอง ซึ่งก็คือเลือกหุ้นดีๆแล้วโตไปด้วยกัน ใช้เงินสะสมเข้าไปแต่ละเดือน ซื้อสะสมเข้าไป สุดท้ายมันก็กำไร อย่างที่เห็นครับ ที่สำคัญซื้อขายบ่อยๆ ค่าคอมกินหมดครับ ผมลองมาแล้วครับ จากคุณ : Big cap only เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 15:27:46

ความคิดเห็นที่ 24 โลภน้อยไงครับ. ผมขออยู่ฝ่ายโลภมากดีกว่า. อิอิ. 20-30%. เอาทำไม. 300-400 % ยังไม่พอใจเลย แต่. ว่าแต่ว่าตัวไหนดีครับอยากได้สัก 10 เด้ง. อิอิ จากคุณ : STOCK_BABY เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 15:49:58

ความคิดเห็นที่ 25 ยิ่งถือนาน อาจจะยิ่งตัดใจจากกันลำบาก อิอิ ไม่ว่ามันจะทำกำไรหรือเปล่า ผมไม่มีหุ้นรัก ซื้อขายสั้นๆ จะได้ไม่ไปหลงรักมัน เดี๋ยวหลงเหลี่ยมตัวเอง ^^ จากคุณ : กะโหลกกับกะลา เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 18:31:24

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้าคุณซื้อห่านมาตัวนึง แล้วมันดันออกไข่มาเป็นทองคำทุกปีๆ รู้อย่างนี้แล้ว คุณคิดจะขายมันไป หรือจะเลี้ยงดูมันต่อไปอย่างดีล่ะ? จากคุณ : T28 เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 20:44:59

ความคิดเห็นที่ 27 เข้าใจคำว่าลงทุนหรือป่าว ซื้อมาขายไป ซื้อตอนไหน ขายตอนไหน หุ้นขึ้นมาวันนึงมันก็ลงกลับไปที่เดิมแล้วจะได้อะรัยถ้าไม่ขาย ผมสงสัยว่าที่ไม่กล้าขายเพราะกลัวจะซื้อใหม่แล้วติดมากกว่า จริงๆไม่ใช่เซียนเก่งอะรัยหรอก แต่ๆๆๆแค่บังเอิญไปซื้อตอนที่หุ้นมันถูกทั้งตลาดซื้อตัวไหนก็ได้ แล้วก็ถือมาเรื่อยๆ (ขอทีเหอะ) จากคุณ : เมืองเกาะ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 21:56:24

ความคิดเห็นที่ 28 การลงทุนในหุ้น ถ้าเป็นเงินเย็นจริง ๆ ไม่มีกลัวคำว่า "ติดดอย" ครับ จากคุณ : บ้านสวนริมกรุง เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 22:12:02

ความคิดเห็นที่ 29 หลายคนในนี้ตอบดีครับ ขอเอาบทความมาแชร์ครับ http://www.thaivi.com/2009/09/63/ การซื้อหุ้นของ VI นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าการขายหุ้น  สำหรับคนที่ลงทุนในกิจการที่ดีเลิศแบบ Super Company อย่าง วอเร็น บัฟเฟตต์นั้น  เขาบอกว่าถ้าซื้อหุ้นถูกตัวแล้ว  ไม่จำเป็นต้องขายหุ้นเลย   อย่างไรก็ตาม  เวลาที่ซื้อหุ้นของ VI ก็คือเมื่อเขาพบหุ้นที่มีมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่าราคาหุ้นในตลาดมาก  ตัวเลขชัดเจนนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคนและแต่ละหุ้นแต่โดยทั่วไปน่าจะไม่น้อยกว่า 20-30%  และความแตกต่างนี้เรียกว่า  Margin Of Safety ซึ่ง VI เชื่อว่าจะเป็นส่วนที่  “เผื่อ” เอาไว้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือมีอะไรผิดพลาด  หุ้นที่ซื้อโดยมี  Margin Of Safety สูงก็ยังคงรักษามูลค่าของมันไว้ได้   พูดง่าย ๆ  ถ้าหุ้นตกลงไปจากราคาที่ซื้อ  เราก็สามารถถือยาวและในที่สุดมันก็จะฟื้นตัวกลับมาได้ เวลาขายหุ้นสำหรับ VI นั้น  ก็เช่นเดียวกับการซื้อหุ้น  คือไม่ได้อิงกับภาวะเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้น   และโดยทั่วไป  การถือหุ้นมักจะเป็นระยะเวลาค่อนข้างยาวแม้ว่านิยามของคำว่ายาวของ VI แต่ละคนอาจจะต่างกันมาก   เวลาของการขายหุ้นของ VI นั้นไม่ได้กำหนดว่าจะเป็นเมื่อไรและจะขายเมื่อกำไรหรือขาดทุนเท่าไร  แต่หลัก ๆ แล้วเขาจะขายในกรณีดังต่อไปนี้  1)  ตระหนักว่ากิจการหรือหุ้นที่ซื้อมานั้นตนเองวิเคราะห์ผิดพลาดเนื่องจากข้อมูลใหม่ที่ได้รับรู้มา  2)  พื้นฐานของกิจการเปลี่ยนไปเนื่องมาจากเหตุผลต่าง ๆ  ที่คาดไม่ถึง  อย่างไรก็ตาม  ข้อนี้ต้องระวังว่าไม่ใช่เรื่องที่เราเข้าใจผิดถึงพื้นฐานมาตั้งแต่แรก  เพราะโดยทั่วไปพื้นฐานของกิจการนั้น  มักเป็นเรื่องที่เปลี่ยนยาก   ว่าที่จริง  คำว่า “พื้นฐาน” ก็แปลว่า “เปลี่ยนยาก” อยู่แล้ว  3)  ราคาหุ้นขึ้นไปเกินมูลค่าพื้นฐานแล้ว  ซึ่งไม่ได้แปลว่าหุ้นขึ้นไปมากแล้ว  เพราะการที่หุ้นขึ้นไปมากนั้นก็อาจจะไม่เกินพื้นฐานก็ได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  มูลค่าพื้นฐานของกิจการก็อาจจะเพิ่มขึ้นด้วยทำให้ราคาไม่เกินพื้นฐานแม้ราคาหุ้นจะขึ้นไปมาก  4)  มีหุ้นตัวอื่นที่น่าสนใจและมี  Margin Of Safety สูงกว่ามากและเราไม่มีเงินสดเหลือ  เราจึงต้องขายหุ้นตัวเดิมเพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นตัวใหม่  5)  ภาวะเศรษฐกิจการเมืองและสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปมากจนทำลายพื้นฐานของกิจการ   นี่ไม่ใช่เรื่องที่เศรษฐกิจถดถอยไปบ้างหรือการเมือง  “วุ่นวาย”  แต่น่าจะเป็นเรื่องของวิกฤติเศรษฐกิจหรือเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจไปในแนวทางที่ไม่ใช่ระบบตลาดเสรี  เป็นต้น จากคุณ : Heinz เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 23:44:11

ความคิดเห็นที่ 30 "ถ้าจะพูดให้เห็นภาพที่เข้าใจได้ง่ายไม่เป็นวิชาการก็คือ  “เป็นราคาหุ้นที่เรายินดีที่จะจ่ายเงินซื้อเพื่อเก็บกินปันผลไปตลอดชีวิต  โดยที่เราจะไม่ขายหรือเป็นหุ้นที่เราไม่สามารถขายได้”  ดังนั้น  เวลาที่ผมจะซื้อหุ้น  ผมจะต้องคิดว่าราคาที่ผมจ่ายนั้น  ผมยินดีหรือไม่ที่จะเก็บมันไว้ตลอดชีวิตเพื่อรับปันผล  ถ้าคำตอบคือ  “ไม่เอา”  นั่นก็แปลว่าราคานั้นสูงเกินไป  อาจจะเป็นเพราะผมไม่แน่ใจว่าปันผลจะลดลง  หรืออาจจะเป็นเพราะว่าผมกลัวว่าอนาคตบริษัทอาจจะเจ๊งหรือธุรกิจตกต่ำลงมากและจ่ายปันผลน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งผมจะ  “ไม่มีทางออก”   แต่ถ้าคำตอบของผมก็คือ  “เอา”  นั่นก็แปลว่าผมมั่นใจในตัวบริษัทว่าจะยังดีต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ   ปันผลในอนาคตนั้นมีโอกาสสูงที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  ในขณะที่ความเสี่ยงที่ธุรกิจจะตกต่ำลงมีน้อยมาก  ดังนั้น  ผมยินดีซื้อและถือหุ้นตัวนั้นตลอดชีวิต" ส่วนหนึ่งจากบทความ "ปันผลคือพื้นฐานหุ้น" โลกในมุมมองของ Value Investor             11 กันยายน 53 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร http://www.thaivi.com/2010/09/551/ จากคุณ : Heinz เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 23:48:42

ความคิดเห็นที่ 31 ก่อนผมจะลาโลกนี้ไป ก็ขอให้มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็ดีนะ ที่คิดไว้และจะทำให้ไ้ด้ผมถึงไม่ขาย ไม่ใช่ว่า กล้วไม่กล้าขาย ซื้อแล้วจะติดดอยสุเทพ ผมชอบของดีราคาถูกครับ ทุกวันนี้ก็แช่งให้หุ้นที่ตัวเองมีอยู่ราคามันลง จะได้เก็บเพิ่ม จากคุณ : veok0 เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 00:20:18

ความคิดเห็นที่ 32 5hkrrebte getrgetrgetbtrbtr       rbthb54hgb4nn ถ้า ขาย แล้ว จ้าวว  ลากต่อ... ยาวเลย.    ได้หุ้นเราคืน แล้วลากยาว ไม่ย่อลงมาให้เรา เอาของคืน    ไม่เรียกว่าขายหมู หรอก ครับ. .....เรียก ขายมังกร กันเลยที่เดียว จากคุณ : prince-npark เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 01:40:01