ความคิดเห็นที่ 1 ยังเด็กครับ ไม่คอยรู้สึกอะไรกับตัวเท่าไร เพราะพ่อแม่ รับราชการ หมดเลยไม่กระทบ จะมีก็แต่น้า ที่ทำ BBC สมัยนั้น จำได้ว่าน้าตกงาน ทำงานด้านสินเชื่อมาก่อน ยังดีที่ เขาจ้างต่ออีกซัก 2-3 ปี เพื่อตามเก็บหนี้ จำได้แต่ว่าตอนนั้น อสังหาตกมา ราคาเหลือ ครึ่งๆ แบบจากเดิมเคยขาย 3 ล. ตอนปี 40 -41 ขายกัน 1.5 ล. เอง ยังไม่คอยมีคนเอา เพราะธนาคารตอนนั้น ไม่ปล่อยกู้แล้ว มีแต่จะเรียกเก็บหนี้ คนตกงานเยอะ เป็นช่วงที่ ตลาดเปิดท้ายเริ่มดัง ณ ตอนนั้น ใครๆก็เปิดท้ายขายของเอาตัวรอดกัน ตกงาน หางานใหม่ยาก แทบไม่มีใครรับเลยดีกว่า แต่ก็รอดกันมาได้ มีคนฆ่าตัวตายกันเยอะช่วงนั้น บางคนทำใจได้ ก็เป็นคนล้มละลายไป ถ้าไม่ยึดติดนะ แต่พวกยึดติด ว่าเคยมี เคยใช้ แล้วไม่เหลือนี้ ก็ฆ่าตัวตายกันเยอะ ........................... ส่วนตอนนี้ ผมว่าใกล้แล้ว สังเกตุจาก บรรยากาศ ที่จังหวัดผมนะ ที่ดิน บูมมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ใครๆก็ขายที่ดิน แม่ค้าส้มตำ ยังมีที่ดินขายเลยแล้วกัน ไปไหนในตัวจังหวัด เจอแต่คนประกาศขายที มีทีขาย เป็นนายหน้ากันเยอะมาก บางคนถึงขั้นเปิดสำนักงาน กันเลย เป็นนายหน้าที่ดินนี้แหละ เพราะช่วงนี้ราคาที่ดินดี เลยมีแต่คนแห่ขาย ที่ในซอยตัน ตร.ว ละ 1 หมื่น ถนนเข้าก้แคบ รถส่วนกันไม่ได้อะครับ ที่ในซอยทะลุได้ แต่ว่าถนนอย่างแย่ เป็นหลุมเป็นบ่อเพียบ ขายกัน ตร.วาละ 15000 ที่ติดถนนใหญ่ ตร.วา ละ 20000 - 40000 ไปแล้ว บ้าไปกันใหญ่ ใครมันจะไปซื้อ แพงจัด ก็เห็นยังขายกันไม่คอยจะได้ ที่บางแปลง ซื้อมายังไม่รู้เลยว่าจะทำประโยชน์อะไรได้ ก็ขายกัน ตร.วา ละหลายพัน อย่างทีเลยบ้านผมไปซัก 2 กม เคยขับไปดู ที่ข้างเคียงยังปลูกผัก เลี้ยงควายกันอยู่เลย โฆษณาซะว่า ทีดี ทำเลสวย ใกล้เมือง ขาย ตร.วา ละ 5 พัน ผมเห็นที่แล้ว ให้ราคาอย่างเก่ง 2000 ก็หรู แล้วพูดง่ายๆคือซื้อทิ้งได้อย่างเดียว ซื้อมา ปลูกบ้านเช่า ไม่มีคนเช่าแน่ๆ ไกลเกิน ร้านค้าไม่ต้องพูดถึง จะไปขายใคร แถวนั้นยังเป็นแปลงปลูกผักอยู่เลย สรุปตอนนี้ ก็ยังขายไม่ออก แต่เห็นราคาในเน็ต ก็ลดมาเลยนะครับ ตอนแรกประกาศขาย 6 แสน 1 งาน ลดลงเหลือ 550000 ตอนนี้เหลือ 5 แสนแล้ว ยังไม่มีคนเอาเลย จากคุณ : Miracle Boy เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 12:28:01

ความคิดเห็นที่ 2 เข้ามาฟังเรื่องราวจากพี่ ๆ ด้วยคนครับ ตอนนั้นยังแบเบาะอยู่เลย จากคุณ : ไผ่หวานพลิ้วลิ่วลม เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 12:39:00

ความคิดเห็นที่ 3 อีกไม่กี่ปี น่าจะได้เจออีกรอบ อาจจะก่อนปี 2560 คอนโดโผล่มากมาย คล้ายๆตอนนั้นที่บ้านสร้างกันมากมายเช่นกัน ธุรกิจมองว่าจะเกิด AEC เป็นผลดีต่อไทยในข้างหน้า แล้วพอถึงเวลามันเกิดไม่ได้ละ ผู้คนเป็นหนี้มากขึ้น บ้านหลังแรก รถคันแรก กู้ง่าย ขายคล่อง สักพักไม่มีเงินจ่าย อีก 2-3 ปีพอหนี้เริ่มเก็บ เก็บไม่ได้ ดอกเบี้ยบาน ทิ้งหนี้ เจ้าหนี้เก็บหนี้ไม่ได้ จากคุณ : ปุ่ม shift อยู่ไหน เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 13:33:26

ความคิดเห็นที่ 4 อสังหาในตอนนั้น ที่ดินผืนเดิม แต่ถูกนำไปขายทำกำไรหลายต่อ จาก แสน เป็น สองแสน เป็น สามแสน เป็น ห้าแสน โดยที่แบงค์ก็ยังปล่อยกู้ ทั้งที่ห่างจากราคาประเมินมาก ทำไมถึงยังปล่อย ก็กู้ต่างชาติมาดอกต่ำๆ ไม่เกินร้อยละ10 พี่เอามาปล่อย 18 กำไรเห็นๆ npl ไม่รู้จัก ตอนนั้น ผลตอบแทนจากกองทุนรวม สูงมาก ปันผลดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ดบ.ฝากร้อยละ10 ราคาก็วิ่งขึ้นตลอด หลายๆ แบงค์ผุดกองทุนใหม่ๆ ยัง:-)กเห็ด ทั้งกองทุนปิดและกองทุนเปิด พนักงานชักชวนลูกค้าให้ซื้อกองทุนอย่างเยอะ ตาสีตาสาลูกค้าแบงค์นับเหรียญก็ยังซื้อกองทุน ฟังกว้างๆ เหมือนเริ่มใกล้เคียงเลยเนอะ แต่ คหสต.ผมว่ายังหรอก มันแค่เพิ่งออกสตาร์ทเอง จากคุณ : Add Value เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 13:40:16

ความคิดเห็นที่ 5 เท่าที่จำได้  ก่อนเกิดต้มยำกุ้ง ประเทศไทยมีการเปิดเสรีทางการเงิน แต่ยังคงใช้อัตราแลกเงินในแบบ fix rate คือ กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินแบบคงที่ +/- ได้เล็กน้อยเท่านั้น (ประมาณ 25-27 บาท) เมื่อเปิดเสรี เงินนอกจึงไหลทะลักเข้ามาในประเทศอย่างเร็ว และแรงมาก ในรูปแบบต่างๆ  แต่ที่นิยมมากในสมัยนั้นคือ เงินกู้จากต่างประเทศที่มาเป็นเงินสกุลดอลลาร์ ที่มีดอกเบี้ยต่ำมาก  ต่ำจนกู้มาฝากธนาคารในประเทศแล้วยังได้กำไรอีก  จึงทำให้บรรดาบริษัท ห้างร้าน รวมถึงคนธรรมดา สามารถกู้เงินพวกนี้มาได้ทีละจำนวนมากๆ  เมื่อเงินมากก็เอาไปลงทุนสารพัด ทั้งอสังหาฯ ตลาดหุ้น จนเกิดฟองสบู่  และในปี 2540 มีการโจมตีค่าเงินบาท จนธนาคารประเทศไทยไม่สามารถคงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ได้  จึงต้องปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินเป็นแบบลอยตัว  พอเงินลอยตัว เงินบาทก็ลอยจาก 25 -27 ไปเป็น 50 กว่า  คนที่มีหนี้เป็นเงินกู้่างประเทศเลยเป็นหนี้เพิ่มขึ้นมาอีก 1 เท่าตัว  จากนั้นฟองสบู่ก็แตกกระจาย จนเป็นตำนานของ วิกฤตต้มยำกุ้ง ที่แพร่ขยายไปอีกหลายประเทศ   ปล. ความรู้น้อย ถ้าอ่านไม่เข้าใจ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จากคุณ : คนเรื่องมาก เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 14:09:18

ความคิดเห็นที่ 6 ตอนนั้นจำได้พ่อเล่นหุ้นไรก็กำไรปีนิดๆหลังจากนั้นร่วงกระจุย ดีนะพ่อหยุดเมื่อกำไรลดลงเยอะ เลยยังเหลือกำไรกลับมาจากรอบนั้นแล้วเข้าไปใหม่3ถึง4หลังจากนั้น แต่เพื่อนพ่อบางคนลงต่อเข้าต่อจนเจ้งหลายล้านเลยบางคนสิบล้าน อวังหาตอนนั้นบ้านจัดสรรเยอะมากซื้อกระจายคอนโดเริ่มมาแต่ตอนนั้นบ้านยังไม่มีเงินเลยแค่ดูๆกัน คนบอกให้ซื้อจัดสรร คอนโดเก็งกำไร ไปๆมาๆคนจองบ้านจองคอนโดเยอะแต่คนอยู่จริงๆไม่มีเพราะซื้อไปขายกันหมด หลังจากนั้นสองสามปีรอซื้อที่ดินราคาถูกคนร้อนงินเเยอะ จากคุณ : Define เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 14:22:40

ความคิดเห็นที่ 7 เจ้าของศิริวัฒน์แซนด์วิช ก็เป็นหนึ่งในบรรดาเศรษฐี ที่กัดฟันสู้วิกฤติมาได้ จากผู้บริหาร มาเดินขายแซนด์วิชเอง เดี๋ยวนี้กลับมามีเงินมีทองเหมือนเดิมแล้วมั้ง ดูเค้ามีความสุขดี ในวิกฤติยังมีโอกาสให้คนที่มีสติปัญญา มีใจเข้มแข็ง เป็นนักต่อสู้ ได้ฟันฝ่า และเข้มแข็งยิ่งขึ้น จากคุณ : Panjasila เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 14:29:25

ความคิดเห็นที่ 8 ตอนนั้นเจ้าของกิจการที่ขยายงานเกินกำลัง ส่วนใหญ่ล้มหายตายจากไป ก่อนหน้านั้น ขอสินเชื่อแทบไม่ต้องดูหลักทรัพย์ เล่นหมุนเงินเป็นรอบ ๆ มนุษย์เงินเดือนถูกลอยแพ โดยเฉพาะพวกที่ทำงานหลักทรัพย์ ส่วนธุรกิจอื่นก็ลดเงินเดือน เงินเดือนไม่ขึ้น เจ้าของธุรกิจหลายรายเลือกปรับองค์กรโดยลดเงินเดือนพนักงานที่ไม่อยู่ส่วนที่เป็นหัวใจของธุรกิจไปเพิ่มให้กับพนักงานที่เป็นหัวใจของธุรกิจ เรียกว่าคนส่วนใหญ่ต้องขมกลืน ไม่มีหวานครับ หลายคนก็ช่วยตัวเองเมื่อเดือนลดโดยการเปิดท้ายขายของ หารายได้เพิ่ม เอาของที่เกินจำเป็นออกขายแลกเงินมาใช้จ่าย ก็ขอภาวนาอย่าให้เกิดอีกเลยครับ ไม่สนุกแน่ จากคุณ : ไอไอ เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 14:31:01

ความคิดเห็นที่ 9 เห็นด้วยกับคห.3 และ 4 มันเริ่มต้นแล้ว...ตอนนี้เริ่มมีการปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็ง เพื่อให้เงินต่างชาติไหลเข้า...มันเริ่มขึ้นแล้วจริง ๆ จากคุณ : Panjasila เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 14:31:53

ความคิดเห็นที่ 10 คงไม่นาน เปลี่ยนNPL จากภาคเอกชนไปภาครัฐแทน เอกชนล้มยึดทรัพทย์ แต่รัฐล้มจะยึดอะไร จากคุณ : สัมภเวสี (SomePrivacy) เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 15:20:00

ความคิดเห็นที่ 11 ตอนนั้นรับเงินเดือนเป็น USD เลยได้อานิสงค์อยู่พอสมควร เเต่ตอนนี้ว่างงาน จากคุณ : Syllabus เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 15:38:10

ความคิดเห็นที่ 12 ตอนนั้นเรายังไม่ได้เข้ามาตลาดฯ อยู่ในช่วงเก็บหอมรอมริบ ช่วงนั้นเงินทองเหมือนได้มาง่ายๆ คนรอบตัวอู้ฟู่ทุกคน. ซื้อบ้าน ซื้อรถแพงๆ. เราได้แต่มองตาปริบๆ เค้าใช้เงินกันเหมือนเบี้ยเลย ทำไมรวยกันจัง เราอยากรวยแบบคนอื่น ๆ ก็เลยเก็บแต่เงิน ไม่กล้าใช้ ฝากแบงค์อย่างเดียว  เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เห็นคนที่อู้ฟู่เริ่มหน้าหมอง บางคนหายสาบสูญ  บ้านปล่อยรกร้างตอนแรกนึกว่ารวยแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น  ที่แท้โดนแบงค์ยึด แต่ช่วงนั้นเรามีความสุขมาก. ดบ. เงินฝาก 18 เปอร์เซนต์ จากคุณ : The Gollum เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 15:39:12

ความคิดเห็นที่ 13 มันเริ่มมาจากวงจรเดียวกัน คือเงิน เงิน หมุนมา หมุนไป หาเติมไม่ทัน เจ๊ง ทำอย่างไร ถ้าคุณคิดว่า มือเติบ จ่ายเงินง่าย นั่นแหละ ระวังไว้ เริ่มๆ ก็ดู community mall ร้านเริ่มปิด เตรียมเลย คือ town in town ก็เป็นตัวอย่างของพวกที่รอดจากวิกฤต ตอนนั้น แน่นอน บางคนไม่ล้มซ้ำสอง คนไม่รู้ นั่นแหละจะล้ม จากคุณ : You'll never walk alone เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 15:44:17

ความคิดเห็นที่ 14 เริ่มจากการเปิดเสรีการเงิน คนไทยสมัยนั้นกู้เงินนอกมาฝากแบงค์ไทยยังกำไรส่วนต่างดอกเบี้ยหลายเปอร์เซนต์ กู้เงินนอกดอกไม่ถึง10%กู้เงินในประเทศดอก16% ก็เลยมีคนเปิดไฟแนนส์กู้เงินนอกมาปล่อยกู้อีกทีในประเทศ จับเสือมือเปล่า อะไรที่ได้มาง่ายๆ โดยไม่เอะใจว่าเป็นแผนของฝรั่งเลย ปล่อยกู้เป็นเงินดอลรอปล่อยจนเยอะแล้วก็โจมตีเงินบาท คนไทยตายกันเกือบหมด แล้วฝรั่งมันก็เอาเงินที่มันโจมตีค่าเงินไทยกำไรตรงนั้นมาซื้อหนี้จากบริหารสินทรัพย์ถูกๆมาขายคือคนไทยกำไรอีกดอก สุดท้ายคนไทยตกเป็นเหยื่อ ฝรั่งมันฉลาดคิดอะไรหลายขั้นลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้นจงอย่าไว้วางใจ ระมัดระวังตัว พวกฝรั่งมันจะหลอกกินอีก จากคุณ : ขนมปังบูด (ขนมปังบูด) เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 16:22:59

ความคิดเห็นที่ 15 อยากให้กิฟคห. 14 แต่ขอติดไว้ก่อน ^ ^ ฝรั่งบอก ไอไม่ได้หลอก พวกยู  โลภมากลาภหาย อย่ามาโทษไอ..โฮ่ โฮ่ โฮ่..ซานต้าคลอสอีสคัมมิ่งทูทาวน์... จากคุณ : Panjasila เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 16:40:57

ความคิดเห็นที่ 16 ดูแบบเข้าใจง่ายๆง่ายๆ  "ต้มยำกุ้ง" ปล่อยเสรีทางการเงิน จากคุณ : otto เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 17:16:00

ความคิดเห็นที่ 17 จำได้ว่า ครอบครัวของเพื่อนคนนึงมีหนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัวในชั่วข้ามคืนจากการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท จากคุณ : พจมารร้าย เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 17:20:22

ความคิดเห็นที่ 18 จริงหรือเปล่าครับเนี่ย เรายังใช้นี้จากวิกฤตปี 1997 ยังไม่หมดอีกเหรอครับ ผมเข้าใจผิดมาตลอดเลยใช่มั้ย ความคิดเห็นนี้ได้แตกไปยังกระทู้ I13073712 จากคุณ : TIBERIAN SUN FIRESTORM เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 18:01:13

ความคิดเห็นที่ 19 คนเล่นหุ้น ฆ่าตัวตายกันเยอะ โดยเฉพาะพวกแมงเม่า จากคุณ : yut-san เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 18:16:32

ความคิดเห็นที่ 20 ผมเชื่อว่าต่างกันเยอะมากกับปี 40 และคงเกิดขึ้นยากพอสมควรที่จะพังรุนแรงแบบปี 40 ปี40 ทุกอย่างมันมั่วไปหมดเลยรายได้ส่วนมากเกิดจากสิ่งทึ่จับต้องไม่ได้หุ้นในตลาดที่ขึ้นมาจากหุ้นปั่นเป็นส่วมาก สมัยนี้เคยเจอไหมว่า อยากได้ที่ดิน ไปเรียกเจ้าหน้าที่ธนาคารมาประเมินแล้วสามารถประเมินราคาได้สูงกว่าราคาที่จะซื้อ พวกนักการเมืองเอาที่ดินชนบทมาขอกู้ได้ราคาสูงๆ แสดงให้เห็นความอ่อนแอของระบบการตรวจสอบธนาคารพานิช สมัยนี้ดอกเบี้ยต่ำติดดิน ไม่เหมือนสมัยก่อนมีเงิน 1ล้าน ดอกเบี้ยปีละ แสนกว่าบาท การปั่นหุ้นสมัยก่อนไม่สนใจยิ่งกว่านี้ ปัจจุบันควบคุมดีขึ้นเยอะ ปัจจุบันเรามีรายได้ จากส่งออก และท่องเที่ยวเยอะมากๆ รวมถึงการบริโภคภายในเยอะ จากคุณ : AQG_Area เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 18:33:21

ความคิดเห็นที่ 21 จำได้ว่าตอนนั้นยังอยู่ในวัยเรียน ที่บ้านขายของไม่ดีมากๆ เกือบล้ม ดีที่ผ่านมาได้ ผมว่าปัจจุบัน ถ้าจะเกิดอีกผมว่ายากหน่อย เพราะว่ามันมีบทเรียนมาแล้ว ถ้าจะมีคนล้มผมว่าภาครัฐจะล้มก่อน จากคุณ : gankstardra เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 19:22:40

ความคิดเห็นที่ 22 หลังต้มยำคนไทยมีภูมิคุ้มกันดีขึ้นเยอะมาตรการป้องกันเพียบมองแล้วยังไงก็คงไม่เกิดอีกครับ แต่ก็ต้องตั้งอยู่บนความไม่ประมาทไม่มำอะไรเกินตัว คนที่รอดจากงานต้มยำส่วนใหญ่รวยขึ้นอีกเพราะทำอะไรไม่เกินตัวกู้1000ล้านไม่จ่ายสุดท้ายประนอมหนี้ซื้อหนี้คืนในราคาไม่ถึง30%เยอะครับรวยขึ้นเพราะยังมีเงินสำรองพอที่จะซื้อหนี้คืนและทำโครงการต่อจนเสร็จกำไรหลายเด้งเพราะเท่ากับจ่ายหนี้น้อยลงถึง70%ส่วนบางคนทุกวันนี้ประนอมหนี้แล้วเงินไม่มีจ่ายกู้ใครก็ไม่ได้ สินทรัพย์ก็เอาไปค้ำตอนกู้จนตอนนี้ยังไม่รู้จะทำยังไง เครียดจนเป็นอัมพาต ที่พูดมาทั้งหมดเพราะครอบครัวผ่านวิกฤตนี้มาอย่างเหนื่อย จากเด็กนอกต้องกลับมาเรียนมหาลัยราม จากขับรถบีเอ็มเป็นนั่งรถเมล์ คุณพ่อกับคุณแม่ต้องสู้เหนื่อยกับต้มยำคราวนั้น ส่วนตัวผมก็ได้แต่เป็นเด็กดีตั้งใจเรียน สุดท้ายพอฐานะเริ่มกลับมาตอนนี้ก็โตทำงานแล้ว จะคอยเตือนตัวเองเสมอว่า อย่าโลภทำอะไรอย่าเกินตัวแล้วอย่าประมาท จากคุณ : ขนมปังบูด เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 19:28:03

ความคิดเห็นที่ 23 เข้ามาอ่านนะครับ จากคุณ : chelsit เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 19:48:45

ความคิดเห็นที่ 24 จำได้ว่าธุริกิจที่บ้านโดนผลกระทบเพราะอยู่ในหมวดอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีงานทำมา 2 ปีเต็มกินบุญเก่าที่เก็บสะสมมา ลูกน้องต้องกลับบ้านนอกไปทำนาเพราะไม่มีเงินจ้าง นึกย้อนมองกลับไปแล้วมันเศร้ามากคะ ปล.ตอนนั้นดิฉันกำลังเรียนมหาวิทยาลัยปี1 ปี 2541 จำขึ้นใจคะ จากคุณ : หนูอยากรวยด้วยคนคะ เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 20:42:05

ความคิดเห็นที่ 25 ยังไม่ถึงเวลานั้นครับ หลังเปิดอาเซียนค่อยมาว่ากัน จากคุณ : เคาะแล้วร่วง เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 20:54:47

ความคิดเห็นที่ 26 ตอนนั้นผมอยู่ ป1 เองแต่โชคดีที่พ่อ-แม่เป็น ข้าราชการ เห็นเรื่องราวของหลายๆคนแล้ว นับถือในความอดทน และสติในการแก้ปัญหา จากคุณ : Love to live เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 00:00:28

ความคิดเห็นที่ 27 จำได้ว่า 1. โครงการบ้านที่ดาวน์ไว้ เร่งโอนสุดขีด โอนเสร็จ ผ่อนไม่ถึงปี ก็เกิดวิกฤต บ้านข้าง ๆ ซอย โครงการเดียวกัน โดนทิ้งดาวน์ โครงการหั่นราคาขายลด 50 % ต่ำกว่าเงินต้นที่เราเป็นหนี้แบงก์อีก 2. ดอกเบี้ยก็ขึ้น ๆ  ๆๆ ๆ ๆๆ ผ่อนบ้านดอกเบี้ยสิบสองสิบสาม ผ่อนไปดอกทั้งนั้น ต้นนิดเดียว 3. เปลี่ยนงานใหม่ได้ไม่นานก็เกิดวิกฤต เอ็มดีคนเก่าโดนเด้ง คนใหม่ที่ส่งมาจากญี่ปุ่น เอามาหั่นค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะ เจ้านายที่รับเราเข้าไปก็โดนออก โชคดีที่เราเข้ากับนายใหม่ได้ ก็เลยรอดมา จากคุณ : Pidchayut เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 12:13:43