หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจออกมาตรการ QE4 เพื่อประคับประคองการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ผลกระทบจะเป็นอย่างไร Morning News กรุงเทพธุรกิจทีวี วันนี้ (14 ธ.ค.) สัมภาษณ์เจาะลึกเซียนฟันด์โฟลว์ วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารสายงานวิจัย บล.ทรินิตี้ ติดตามได้แบบคำต่อคำ
ถาม หลังจากผลกระทบของ QE 4 ออกมาแล้ว ตลาดเงิน ตลาดทุน รวมไปถึงอัตราแลกเปลี่ยนต่างๆ จะตอบรับอย่างไร
ตอบ ก่อนหน้านี้นักลงทุนมีการคาดการณ์อยู่แล้วว่าตัวเม็ดเงินที่จากโอเปอเรชั่น ทวิสหลังจากหมดอายุแล้วน่าจะมีการคาดการณ์ออกไป เม็ดเงินเก่าของเขามิสชั่นทวิตประมาณ 6 แสนล้านเหรียญ แต่รอบนี้เฟดคือว่าจะทำการซื้อ 2 อย่าง 1.ซื้อพันธบัตรระยะยาวประมาณ 4 หมื่น 5 พันล้านเหรียญต่อเดือน 2.พันธบัตรที่มีสินทรัพย์ที่มีพร็อพเพอร์ตี้เป็นหลักประกัน รืออสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน หรือ NBS ผลกระทบคือ 1.การซื้อพันธบัตรระยะยาว อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง เฟดเอ็กซปอร์ตเงินทั่วโลก แต่การซื้อสินทรัพย์พวก NBS สินทรัพย์พวกอสังหาริมทรัพย์คนถือส่วนใหญ่เป็นคนอเมริกันเอง ฉะนั้นเม็ดเงินก้อนนี้ก็จะไม่ไหลออกนอกประเทศ นี่เป็นการที่ว่าเงินของเขาซื้อมาเพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจเขาเอง คิดว่าผลกระทบอาจจะไม่มากเท่า QE 1 เนื่องจากว่าครึ่งหนึ่งเป็นการซื้อพันธบัตรระยะยาว ครึ่งหนึ่งเป็นการซื้อสินทรัพย์ NBS ผลกระทบอย่างเก่ง 4 หมื่น 5 พันล้านเหรียญต่อเดือน เราจะเห็นว่าตลาดพองขึ้นมา ตลาดทุนทั่วโลกน่าจะมีแรงเทขายทำกำไร แต่ระยะยาวรัฐบาลสหรัฐ หรือเฟด ใช้มาตรการ QE 4 ออกมาจะเกิดผลกระทบในเชิงลบ คือ จะเกิดซิงโคไนซ์ QE จะกระตุ้นให้ธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ทั่วโลกใช้นโยบายเดียวกับเฟด จะเห็นว่าญี่ปุ่น หรือธนาคารกลางยุโรปเองมีแนวโน้มที่จะใช้มาตรการนี้เหมือนกันในการซื้อ พันธบัตร คิดว่าเราต้องเตรียมรับมาตรการเกี่ยวกับการไหลเข้าของเงินทั่วโลกมากกว่า ไม่เฉพาะอเมริกาเพราะว่าอเมริการอบนี้ 4 หมื่น 5 พันล้านเหรียญต่อเดือน แต่ของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกจะมากกว่านั้น
ถาม การเตรียมรับมือกับเงินไหลเข้าจากทั่วโลกควรจะเตรียมรับมืออย่างไร โดยเฉพาะเรื่องนโยบายการเงิน
ตอบ นโยบายการเงินต้องยอมรับว่าดอกเบี้ยของเราเมื่อเทียบกับทั่วโลกเป็นดอกเบี้ย ที่ยังสูงอยู่ สิ่งหนึ่งคือว่าทางการจะต้องดูเรื่องเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเปรียบ เทียบกับเงินเฟ้อและความสามารถในการแข่งขันเรียลแอคซิทีฟเอ็กเชนท์เรท เชื่อว่าเป็นไปได้มีโอกาสลดดอกเบี้ยตามธนาคารกลางของแต่ละประเทศทั่วโลก
ถาม นอกจากการลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว สิ่งที่นักลงทุนหรือผู้ที่สนใจในการลงทุนจะต้องประเมินเรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างไร
ตอบ มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าค่าเงินบาทคงแข็งขึ้นประมาณปีหน้าเป็นต้นไปตั้งแต่ ไตรมาส 2 ไตรมาส 1 ต้องดูผลฟิสซิคอลคริสที่เกิดขึ้นภายในปลายปีนี้ ซึ่งตรงนั้นจะทำให้เม็ดเงินค่อนข้างผันผวน เพราะฟิสซิคอลคริสยังแก้ปัญหาไม่ได้ 2.เรื่องเกี่ยวกับเงินของอเมริกา เรื่องการค้ำประกันเงินฝากของอเมริกาที่จะหมดอายุลงด้วย ซึ่งเม็ดเงินก้อนนั้นอยู่ประมาณ 1.66 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งตรงนั้นจะทำให้ค่าเงินค่อนข้างผันผวน ผมมองว่าธนาคารกลางแต่ละประเทศทั่วโลกทำแบบนี้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบ แน่นอนว่าสินทรัพย์เสี่ยงแต่ได้ผลอานิสงส์ที่ดีขึ้น แต่ระยะสั้นใหดูผลของฟิสซิคอลคริสจะมีมาตรการแก้ไขออกมาหรือตกลงประนี ประนอมอย่างไร
ถาม Fiscal Cliff จะเป็นส่วนสำคัญหรือเปล่าที่เฟดตัดสินใจที่ต้องทำ QE ครั้งนี้ เพื่อที่จะระมัดระวังกับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ
ตอบ คิดว่าคนละประเด็นกัน เพราะฟิสซิคอลคริสเป็นเรื่องเกี่ยวกับมาตรการทางการคลัง คิดว่าตัวเฟดเองก็มีความชัดเจนว่ามีความต้องการลดการว่างงานให้เหลือ 6.5% ให้ได้ ส่วนฟิสคอลคริสเป็นเรื่องของการปฏิรูปทางการคลังของเขาเลย ซึ่งการปฏิรูปทางการคลังเรื้อรังมากว่า 10 ปี สิ่งสำคัญคือถ้าปฏิรูปรอบนี้สำเร็จคือพวกเกี่ยวกับการปฏิรูปทางด้านภาษีหรือ สวัสดิการสังคมต่างๆ จะเป็นบรรทัดฐานที่ดีของอเมริกาสามารถกลับมาฟื้นคืนได้ ผมมองว่าตัวนโยบายการเงิน การคลังรอบนี้อาจแยกกัน แต่บังเอิญการอัดฉีดเม็ดเงินในระบบ
ถาม หลังจากประเมินผลกระทบต่อค่าเงินบาท ทองคำ น้ำมัน ตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร
ตอบ ตลาดหุ้นจะได้รับอานิสงส์ระยะกลางถึงยาว ส่วนระยะสั้นอย่างที่เรียนให้ทราบ เรื่องฟิสซิคอลคริสจะเป็นปัจจัยที่ให้น้ำหนักสูงสุดทั้งทองคำ ทั้งหุ้น ฉะนั้นตัวทองคำเองหลังจากประกาศตัว QE 4 ออกมาราคาทองคำก็ไม่ตอบสนองเลย อาจมีเหตุผลอื่นในการที่ว่าทองคำจะมีการเคลื่อนไหว สิ่งที่มองต่อคือทองคำจะขึ้น ปรับตัวตามกับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงมากกว่า ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ผ่านมา ทองคำราคาค่อนข้างดีเมื่ออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบมากๆ แต่เมื่อผลของ QE 4 ออกมาดอกเบี้ยอาจจะลดลง แต่ว่าเงินเฟ้อเริ่มขึ้นมา ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจติดลบไม่มากอย่างที่ คาด ฉะนั้นทำให้ราคาทองคำฟื้นตอบสนองในทางบวกมากนัก แต่หุ้นคิดว่าไตรมาส 2 น่าจะดีขึ้น
ถาม เป้าหมายหรือโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปที่บอกว่าจะดีขึ้นอยู่บริเวณเท่าไหร่
ตอบ 1,450-1,500 จุด