 |
เอาเต็มๆมาให้อ่านดีกว่าครับ อ่านสองสามบรรทัด เดี๋ยว panic กันไป
-------- กองทุนต่างชาติชี้หุ้นอาเซียนแพงมาก! แห่ลงทุนจีน อินเดีย
วันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2555 เวลา 13:01:58 น.
รอยเตอร์รายงานว่า นักลงทุนแห่ถอนเงินลงทุนออกจากกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระดับที่มากเป็นประวัติการณ์ในเดือนต.ค. และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าภาวะเฟื่องฟูในตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจจะสิ้นสุดลงแล้ว ในขณะที่ผู้จัดการกองทุนหันไปลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆ ที่มีราคาถูก และตั้งเป้าไปที่ตลาดหุ้นจีนและอินเดีย
ทั้งนี้ การที่หุ้นมีราคาแพงในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้กองทุนหันไปลงทุนในตลาดอื่นๆ ที่มีราคาถูกกว่า โดยตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในภาวะกระทิงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งภาวะดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยและฟิลิปปินส์ติดอยู่ในกลุ่มตลาดหุ้นที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในโลกในปีนี้
ข้อมูลของลิปเปอร์ระบุว่า นักลงทุนถอนเงินลงทุนสุทธิ 505 ล้านดอลลาร์ออกจากกองทุนรวมที่ลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเดือนต.ค. ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นจุดหักเหที่สำคัญ เพราะก่อนหน้านี้กองทุนกลุ่มนี้เคยมีเงินไหลเข้าสุทธิทุกเดือน ในช่วงระหว่างเดือนม.ค.-ก.ค.ปีนี้ ก่อนที่จะมีเงินไหลออกสุทธิ 1 ล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. และ 2 ล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย.
กองทุนต่างชาติที่ลงทุนในอินโดนีเซียเคยมีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิราว 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วงต้นปีนี้ ก่อนที่จะมียอดเงินไหลออกสุทธิหากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนต.ค.
นายบิล มัลโดนาโด หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนในเอเชีย-แปซิฟิกของบริษัทเอชเอสบีซี โกลบอล แอสเซท แมเนจเมนท์ กล่าวว่า มีบริษัทที่ดีมากหลายแห่งอยู่ในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) แต่ราคาหุ้นในตลาดภูมิภาคนี้มีราคาที่อยู่ในระดับเต็มมูลค่ามากแล้ว
การตั้งเป้าลงทุนในหุ้นที่เติบโตเร็วแทนที่จะลงทุนในหุ้นราคาถูก ไม่ใช่แผนยุทธศาสตร์การลงทุนที่ดี โดยกองทุนของนายมัลโดนาโดได้หันมาลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีน ขณะนี้ดัชนี IBES MSCI ของหุ้นจีนและอินเดียอยู่ที่ระดับต่ำว่าค่ากลาง 10 ปีของค่าพี/อีเรโชล่วงหน้า 12 เดือนราว 18% และ 2% ตามลำดับ
ในทางตรงกันข้าม ดัชนีหุ้นฟิลิปปินส์และไทยอยู่ที่ระดับสูงกว่าค่ากลาง 10 ปีของค่าพี/อีเรโชล่วงหน้า 12 เดือนราว 25% และ 11% ตามลำดับ
ตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีขนาดเล็ก ดังนั้นตลาดหุ้นภูมิภาคนี้จึงอาจได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงในกระแสเงินลงทุนของต่างชาติ โดยมูลค่าทุนจดทะเบียนของตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ทั้งตลาด มีขนาดเล็กกว่าของบริษัทไชน่า โมไบล์หรือบริษัทปิโตรไชน่าของจีน
ในบรรดากองทุน 60 แห่งที่เน้นการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 3 แห่งได้บริหารสินทรัพย์มูลค่าสูงกว่า 50% ของสินทรัพย์ของกองทุนทั้ง 60 แห่งนี้ กองทุน 3 แห่งนี้มีเงินไหลออกสุทธิราว 600 ล้านดอลลาร์ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
โดยกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้คือกองทุนฟิเดลิตี ฟันด์ส-อาเซียน ซึ่งกองทุนแห่งนี้มีเงินไหลออกสุทธิ 350 ล้านดอลลาร์
ตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2013 แต่ผู้จัดการกองทุนไม่คาดว่าตลาดหุ้นดังกล่าวจะทรุดตัวลงอย่างรุนแรงเพราะยังคงได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะในมาเลเซียและอินโดนีเซีย รวมทั้งได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในภูมิภาค
กระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุนที่ลงทุนทั่วทั้งทวีปเอเชีย โดยเฉพาะกองทุน ETF จะส่งผลให้มีการจัดสรรเงินทุนบางส่วนไว้ลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย โดยกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่เอเชียอยู่ที่ระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันพุธที่ 12 ธ.ค. ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2010
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นแหล่งลงทุนที่มีความปลอดภัยนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลก เนื่องจากตลาดและเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ ตกต่ำลงในช่วงนั้น ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถรักษาระดับความแข็งแกร่งไว้ได้ดีในช่วงที่ผ่านมา
โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ชนชั้นกลางในภูมิภาคนี้ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยตลาดหุ้นฟิลิปปินส์พุ่งขึ้น 28.63% นับตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงเมื่อวานนี้ส่วนตลาดหุ้นไทยทะยานขึ้น 32.55%
หุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค เช่น หุ้นฮีโร่ ซูเปอร์มาร์เก็ตของอินโดนีเซีย, หุ้นบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) หรือ SSC ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมและน้ำดื่มของไทย และหุ้นอาร์เอฟเอ็ม คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มของฟิลิปปินส์ มีมูลค่าพุ่งขึ้นกว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีนี้
โดยการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นภูมิภาคนี้ส่งผลให้กองทุนรวมและกองทุน ETF ของต่างชาติที่ลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มียอดเงินสดภายใต้การบริหารพุ่งขึ้นสู่สถิติสูงสุดที่ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงก่อนหน้านี้ในปีนี้
ทั้งนี้ ลิปเปอร์ได้สำรวจข้อมูลของกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นเกือบ 27,000 แห่งทั่วโลกเพื่อจัดทำ 100 อันดับกองทุนที่มีผลประกอบการดีที่สุด และมีกองทุน 7 แห่งที่เน้นการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดอยู่ใน 100 อันดับนี้ หลังจากตลาดหุ้นพุ่งขึ้นในปีนี้ ตลาดหุ้นอินโดนีเซียก็อยู่ ที่ระดับ 3.1 เท่าของมูลค่าทางบัญชี และส่งผลให้อินโดนีเซียกลายเป็นตลาดหุ้นที่แพงที่สุดในเอเชีย ส่วนอันดับรองลงมาเป็นของฟิลิปปินส์และไทย
ผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ในอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์และไทยลดลงในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา และกำลังมีการปรับทบทวนตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของผลกำไรให้ต่ำลงจากเดิมด้วย โดยเฉพาะในไทยและมาเลเซีย
นายโจนาธาน การ์เนอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดหุ้นเกิดใหม่และเอเชียของบริษัทมอร์แกน สแตนเลย์ กล่าวว่า ภายในอาเซียนนั้น เราปรับลดน้ำหนักการลงทุนในฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ดี แต่มีคำสั่งซื้อเข้ามามากเกินไปแล้ว และราคาหุ้นอยู่ในระดับ ที่แพงมาก โดยรวมแล้วเราต้องการลงทุนในภูมิภาคเอเชียเหนือมากกว่า และได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในจีนขึ้นเป็นอย่างมาก
กองทุน ETF ที่เน้นการลงทุนในจีนดึงดูดเงินลงทุนสุทธิได้เกือบ 5 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 โดยกองทุนรวมของต่างชาติที่เน้นการลงทุนในจีนมียอดเงินไหลเข้าสุทธิในเดือนพ.ย. ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ.ที่กองทุนกลุ่มนี้มีเงินไหลเข้าสุทธิ
กองทุน ETF ที่เน้นการลงทุนในอินเดียมีเงินไหลเข้า 440 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ โดยกว่าครึ่งหนึ่งของเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่เพิ่งไหลเข้าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยกองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในอินเดียยังคงมียอดเงินไหลออกสุทธิ แต่อัตราการไหลออกชะลอตัวลงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การที่กระแสเงินลงทุนไหลกลับเข้าจีนอีกครั้งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับการที่เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มสดใสยิ่งขึ้น โดยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกในจีนพุ่งขึ้นในเดือนพ.ย.ในอัตรารายปีที่สูงที่สุดในรอบ 8 เดือน และสิ่งนี้ช่วยสนับสนุนแนวคิดที่ว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอาจจะเริ่มปรับสูงขึ้นอีกครั้งหลังจากร่วงลงมาเป็นเวลานาน
นักลงทุนบางรายคาดว่าเศรษฐกิจอินเดียอาจจะเริ่มฟื้นตัวเช่นกัน หลังจากผลผลิตภาคโรงงานของอินเดียเติบโตขึ้นในเดือนต.ค.ในอัตราที่สูงที่สุดในรอบกว่า 1 ปี
นายแอนดรูว์ สวอน ผู้จัดการการลงทุนในหุ้นเอเชียในบริษัทแบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวว่า หุ้นกลุ่มการเงินและสาธารณูปโภคที่มีราคาถูกคือหุ้นกลุ่มที่ดีที่สุดในการทำประโยชน์จากศักยภาพในการฟื้นตัวของอินเดีย
โดยมีสัญญาณบ่งชี้ว่าบางทีตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจจะแตะจุดสูงสุดสำหรับระยะใกล้ไปแล้ว โดยนายสวอนปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นมาเลเซีย และคงน้ำหนักการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเขากล่าวเสริมว่าหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มที่จะปรับฐานลง
ทางด้านนายมัลโดนาโดระบุว่าหุ้นกลุ่มที่น่าลงทุนที่สุดคือหุ้นกลุ่มการเงิน,วัฏจักรการบริโภค, วัสดุ และพลังงานของจีน
---------------------------------------- จบข่าว
อ้างอิง
http://www.kaohoon.com/online/52421/%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2-.htm
แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 55 14:57:33
จากคุณ |
:
HotLZ
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ธ.ค. 55 14:52:58
|
|
|
|
 |