ผมไม่ทราบว่าเจ้าของกระทู้เขียนร้องเรียนแล้วยัง
แต่อยากขอให้อ่านประกาศกรมสรรพากรฉบับนี้ก่อนครับ
http://www.rd.go.th/publish/3187.0.html
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร 
 เกี่ยวกับภาษีเงินได้(ฉบับที่ 55) 
 เรื่อง    กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์
  
 ---------------------------------------------
  
                 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 42(8)(ค) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 29) พ.ศ.2534 และตามความในข้อ 2(38) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 200 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ไว้ ดังต่อไปนี้ 
  
                 ข้อ 1  ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 41) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2534 
  
                 ข้อ 2  “ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณ เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราช อาณาจักร เฉพาะที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ที่ไม่ใช้เช็คในการถอนไม่ว่า โดยตรงหรือโดยอ้อมผ่านระบบการหักหรือโอนเงินจากบัญชีดังกล่าวไปยังบัญชีเงิน ฝากกระแสรายวันหรือบัญชีเงินฝากอื่นใด และมีจำนวนดอกเบี้ยรวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท ตลอดปีภาษีนั้น” 
 (แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 177) ใช้บังคับ 27 เมษายน 2552 เป็นต้นไป) 
  
                 ข้อ 3  ชื่อบัญชีเงินฝากจะต้องเป็นชื่อของผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยนั้น 
  
                 ข้อ 4  ผู้มีเงินได้ไม่ต้องนำดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ 2 ที่ได้รับไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 
  
                 ข้อ 5  “กรณีผู้มีเงินได้ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ ๒ จากทุกธนาคารรวมกัน มีจำนวนทั้งสิ้นเกิน ๒๐,๐๐๐ บาท ตลอดปีภาษีนั้น ให้แจ้งแก่ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยดังกล่าว เพื่อหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่งตามมาตรา ๕๐ (๒) และมาตรา ๕๒ แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยแต่ละแห่งได้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากดังกล่าวมี จำนวนรวมกันทั้งสิ้นเกิน ๒๐,๐๐๐ บาท ตลอดปีภาษีนั้นให้ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากนั้นหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่งตามมาตรา ๕๐ (๒) และมาตรา ๕๒ แห่งประมวลรัษฎากร” 
 (แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 181) ใช้บังคับ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป) 
  
                 ข้อ 6  ผู้มีเงินได้ที่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ 2 ให้ถือตามหลักเกณฑ์ดังนี้ 
                            (1) ในกรณีที่สามีภริยาเป็นผู้ฝากเงินร่วมกันหรือแยกกัน ให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของสามี 
                            (2) ในกรณีที่ความเป็นสามีภริยาตาม (1) มิได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล 
                            (3) ในกรณีบิดาและหรือมารดาและบุตรผู้เยาว์เป็นผู้ฝากเงินร่วมกันให้ถือว่าเงิน ได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของบิดาหรือของมารดาผู้ใช้อำนาจปกครองแล้วแต่กรณี หรือเป็นเงินได้ของบิดาในกรณีบิดามารดาใช้อำนาจปกครองร่วมกัน 
                                  บุตรผู้เยาว์ในวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงบุตรบุญธรรมที่เป็นผู้เยาว์ด้วยโดยอนุโลม 
                            (4) กรณีบิดาและหรือมารดาเป็นผู้ฝากเงินเพื่อบุตรผู้เยาว์ ให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของบุตรผู้เยาว์ 
                                  บุตรผู้เยาว์ในวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงบุตรบุญธรรมที่เป็นผู้เยาว์ด้วยโดยอนุโลม 
                            (5) กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลเป็นผู้ฝากเงิน ให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลนั้น 
  
                 ข้อ 7  ผู้ มีเงินได้ที่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ 2 เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 20,000 บาทในแต่ละปีภาษี ต้องแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร พร้อมแสดงบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของตนต่อธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝาก ก่อนหรือในขณะรับดอกเบี้ยเงินฝากดังกล่าว และให้ธนาคารแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรดังกล่าวต่อกรมสรรพากร ถ้าผู้มีเงินได้ดังกล่าวไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ให้ผู้มีเงินได้ลงนามรับทราบว่า ถ้าเป็นคนโสดและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีนั้นรวมกันเกิน 30,000 บาท หรือมีคู่สมรสและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีนั้นรวมกันเกิน 60,000 บาท ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องยื่นรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี นั้น และให้ธนาคารส่งหลักฐานการรับทราบของผู้มีเงินได้รายดังกล่าวต่อกรมสรรพากร 
                            ในกรณีที่ผู้มีเงินได้ได้แจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรต่อ ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ต่อไปไม่ต้องแจ้งอีก 
                            “การแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรพร้อมแสดงบัตรประจำตัวผู้ เสียภาษีอากรตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้แจ้งเลขประจำตัวประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรแทนก็ได้” 
 (แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 139) ใช้บังคับ 1 ตุลาคม 2546 เป็นต้นไป) 
  
                 "ข้อ 8  ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ 2 ต้องส่งข้อมูลของ ผู้ฝากเงินพร้อมกับรายละเอียดที่ผู้ฝากเงินแจ้งต่อธนาคารตามข้อ 7 ต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ ในเขตท้องที่ที่ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยตั้งอยู่ แล้วแต่กรณี ดังต่อไปนี้ 
                            (1) กรณีบันทึกข้อมูลของผู้ฝากเงินด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้ส่งสื่อบันทึกข้อมูลของผู้ฝากเงิน ตามรูปแบบ (Format) ที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด หรือ 
                            (2) กรณีไม่ได้บันทึกข้อมูลของผู้ฝากเงินด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้ส่งข้อมูลของผู้ฝากเงินตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด" 
 ( แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 114) ใช้บังคับ 11 ตุลาคม 2545 เป็นต้นไป ) 
                            การส่งข้อมูลพร้อมรายละเอียดของผู้ฝากเงินตามวรรคหนึ่ง สำหรับรอบระยะเวลาตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ต้องส่งภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น และสำหรับรอบระยะเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนธันวาคม ต้องส่งข้อมูลพร้อมรายละเอียดดังกล่าวของเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม ภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป 
  
                 ข้อ 9  ใน กรณีผู้มีเงินได้ที่ได้ฝากเงินต่อธนาคารก่อนวันที่อธิบดีกรมสรรพากรลงนามใน ประกาศนี้ การแจ้งเลขประจำตัวและการส่งหลักฐานการรับทราบของผู้มีเงินได้ที่ธนาคารต้อง ปฏิบัติตามกำหนดเวลาในข้อ 8 ให้ขยายกำหนดเวลาออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2539
  
                 ข้อ 10  ใน กรณีที่มีปัญหาในการปฏิบัติให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอำนาจวินิจฉัยและคำ วินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศนี้ด้วย 
  
                 ข้อ 11  ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 เป็นต้นไป
  
 ประกาศ ณ วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2538
  
 ร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ 
 อธิบดีกรมสรรพากร