ความคิดเห็นที่ 1 ประกันชีวิต แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ 1. ประกันชีวิตแท้จริง หรือ ที่เรียกว่า เบี้ยจ่ายทิ้ง.... กล่าวคือ จะจ่ายค่าสินไหมให้เมื่อ "เสียชีวิต" เท่านั้นไม่ว่าจะ "เสียชีวิต" จาก อุบัติเหตุ, สุขภาพ หรือ ตามอายุขัย ก็ตาม หากมีชีวิตอยู่จนกระทั่งกรมธรรม์หมดอายุ จะไม่มีเงินคืนใดๆให้ จึงเป็นที่มาของการเรียกว่า เบี้ยจ่ายทิ้ง 2. ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ เป็นเบี้ยประกันที่นิยมกัน โดยอาศัยหลักว่า ผู้ทำประกันคาดว่า จะมีชีวิตอยู่จนกระทั่งครบกำหนดอายุกรมธรรม์...ประกันชีวิตประเภทนี้ จะจ่ายเงินคืนให้ตอนครบกำหนดสัญญามากกว่ากรณีเสียชีวิตภายในระยะเวลาเอาประกัน อัตราผลตอบแทน ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาจ่ายเบี้ยและระยะเวลาเอาประกัน รวมถึง อัตราผลตอบแทนในตลาดขณะที่ทำสัญญา สิ่งที่เราเห็นว่ามีให้เลือกมากมายนั้น จะเป็นเรื่องของ กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ ซึ่งมีแบบให้เลือกตามระยะเวลาการจ่ายเบี้ยและระยะเวลาเอาประกัน ความแตกต่างระหว่างประเภทของกรมธรรม์ จะเป็นเรื่องของ ผลตอบแทน และ การจ่ายคืนผลตอบแทนเป็นหลัก โดยส่วนตัวไม่คิดว่า การทำประกันชีวิตให้กับบิดามารดาเป็นการตอบแทนบุญคุณบิดามารดาครับ เพราะ สุดท้ายแล้วผลประโยชน์กลับเป็นของ "ผู้รับผลประโยชน์" ไม่ใช่ "บิดามารดา" ส่วนการเลือกทำประกันชีวิตแบบใดให้คุ้มค่า คงต้องดูเรื่องของ "อายุ" ของบิดามารดาเป็นส่วนประกอบครับตามหลักการข้างต้น จากคุณ : kitz เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 14:20:03

ความคิดเห็นที่ 2 #1 ผมไม่แน่ใจว่าประกันชีวิตกับประกันสุขภาพมันอันเดียวกันหรือเปล่า ความต้องการของผมคือ ต้องการให้พ่อกับแม่ผมได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนดีๆ ยาดีๆ เครื่องมือเทคโนโลยีทางการแพทย์ดีๆ ประกันตามที่ท่านได้กล่าวมายังไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ครับ เดี๋ยวต้องลองศึกษาเพิ่มเติมครับ ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 14:30:33

ความคิดเห็นที่ 3 ทำให้พ่อแม่ หมายความว่า คุณจะเป็นผู้เอาประกัน และมีผู้รับผลประโยชน์ เป็น คุณพ่อ กับ คุณแม่ใช่มั๊ยคะ เพราะถ้าเป็นในทางตรงกันข้าม อันนั้นจะเรียกว่าทำประกันชีวิตของพ่อแม่ ให้ตัวเราเองค่ะ ซึ่งทำได้ทั้งสองอย่างค่ะ แต่ดิฉันว่า อย่างหลังควรจะทำก่อน เพราะพ่อแม่มอายุมากแล้ว เกิดเราจากไปฉุกเฉิน ท่านจะลำบาก ดิฉันก็ทำไว้ทั้งประกันชีวิตของคุณแม่ เพราะต้องเตรียมเอาไว้สำหรับอนาคต หากท่านจากไป จะได้เป็นเงินสำหรับการฌาปนกิจ ถือเป็นการวางแผนทางการเงินของตนเอง ส่วนของคุณพ่อ ทำไม่ทัน ตอนนี้ท่านเป็นเบาหวาน และความดัน ลองสมัครไปดูแล้ว ต้องเพิ่มเบี้ยประกันมากกว่าอัตรามาตรฐาน เพระสุขภาพไม่ดี เสียดาย ที่ตัวเองคิดได้ช้าไป และทำประกันชีวิตของตัวดิฉันเอง หากจากไปก่อนเวลาอันควร คุณพ่อกับคุณแม่ก็จะได้มีเงินเอาไว้ใช้ เพราะดิฉันคงไม่ได้อยู่ส่งเงินให้ท่านใช้แล้ว อยากทำประกัน ถ้าการเงินพร้อมแล้ว อย่าปล่อยไว้นานค่ะ จะทำก็รีบทำ จะได้ไม่ต้องเสียดายในภายหลัง ในวันที่บริษัทประกันเค้าไม่รับซะแล้ว สำหรับ จขกท. โชคดีในการหาหนังสือค่ะ นอกจากนี้ลองไปศึกษาจาก website ของ คปภ. สิคะ ตรงนั้นน่าจะได้เกร็ดความรู้ และตัวอย่างกรณีศึกษาให้คุณเข้าใจได้ดี เท่าที่ผ่านมาไม่เคยเห็นหนังสือเกี่ยวกับการประกันชีวิตผ่านตา ถ้าจะมีก็คือคู่มือสำหรับการสอบตัวแทน นั่นก็ได้ความรู้เยอะดีค่ะ จากคุณ : นู๋อัง เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 14:35:08

ความคิดเห็นที่ 4 อีกอย่างที่คนมักพูดกัน คือ คำว่า ประกันแบบจ่ายเบี้ยทิ้ง จริง ๆ แล้วประกันแบบที่ให้ความคุ้มครองอย่างเดียว โดยไม่มีเงินคืนมาให้ เบี้ยที่คุณจ่ายไปไม่ได้หายไปไหนนะคะ ไม่ใช่เป็นการจ่ายเบี้ยทิ้งซะหน่อยนะคะ ถ้าวันนึง คุณมีความจำเป็นต้องใช้เงิน หรือ หากคุณเห็นว่า หมดห่วง สำหรับผู้รับผลประโยชน์แล้ว เช่น ผู้รับผลประโยชน์เป็นพ่อแม่ แล้วท่านจากไปแล้ว ไม่มีใครในครอบครัวที่เหลือ ที่คุณอยากยกผลประโยชน์ให้ คุณก็เวนคืนมูลค่าเงินสดของกรมธรรม์ออกมาได้นะคะ ปรึกษาตัวแทนคุณดูก่อนว่า มูลค่ามันมากกว่า เบี้ยสะสมที่จ่ายไปรึยัง แล้วผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับมาแล้วล่ะ ถ้าคิดแล้วว่า อ่ะ คุ้มแล้ว ตอนนี้ไม่ห่วงใครแล้ว เอามันออกมาได้ค่ะ มีมูลค่าแน่นอน จากคุณ : นู๋อัง เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 14:43:55

ความคิดเห็นที่ 5 #3 ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ แต่ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของผมเรื่อง รับผลประโยชน์อะไรเทือกนั้นครับ ผมกล่าวไปแล้วเรื่องวัตถุประสงค์ใน #2 ปล.ผมขอดักไว้ก่อนนะครับ เนื้อหาข้อมูลประมาณว่าโน้มน้าวขายประกันอะไรเทือกนี้ ไม่ต้องเสียเวลา นะครับ ผมพอดูออกอันไหนคือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือแฝงอย่างมีนัยยะ ผมกล่าวรวมๆ นะครับ คนที่จะมาแนวขายประกัน ดักไว้ก่อน เรื่องข้อมูล ไม่ต้องห่วงครับผมมีวิธีเจาะหาศึกษาได้ ถ้าไม่มีหนังสือแนะนำก็ไม่เป็นไรครับ ก็ยังอีกหลายแหล่งข้อมูลหาได้ ยุคสารสนเทศ เป็นการเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์อีกทีเท่านั้นเองครับ จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 14:45:46

ความคิดเห็นที่ 6 แนะนำประกันสุขภาพ เน้นสุขภาพ (แต่ยังไงก็ซื้อประกันหลักด้วย)คุ้มครองรักษาสุขภาพถึงอายุ80-90ปี(ซื้อประกันโรคร้ายพ่วงด้วยจะดีมาก) แล้วแต่บริษัทตอนนี้เขาแข่งกันอยู่  เพราะสมัยนี้คนแก่อายุยืนแยะ  (เขาจะรับอายุไม่เกิน65นะคะ) รีบๆไปทำตอนไม่เจ็บไม่ป่วยก่อนดีกว่า หากเป็นแล้วประกันที่ไหนก็ไม่รับ ดิฉันเข้าใจจขกท..นะคะ ว่าต้องการให้พ่อแม่เมื่อเจ็บป่วยได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ได้หวังเงินอะไรจากพ่อ-แม่ตอนเสียชีวิต.. จากคุณ : bitter sugar เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 15:12:40

ความคิดเห็นที่ 7 #6 พ่อ-แม่ให้ผมมาเยอะแล้วครับ อยากให้พ่อมีสุขสบายไม่ลำบาก เรื่องผลประโยชน์ ผมมีตลาดหุ้นอยู่แล้ว การทำประกันไม่ใช่การลงทุนในความคิดผม แต่เป็นการซื้อคุณภาพชีวิตให้พ่อกับแม่ครับ ส่วนหุ้น คือ การลงทุนในธุรกิจมัน คือ การซื้อหลักประกันความมั่นคงทางการเงิน ประมาณนั้น แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 55 16:19:30 จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 16:18:54

ความคิดเห็นที่ 8 แนะนำลองเข้าเว็บ bupa ดูครับ ผมว่าเรื่องสุขภาพบริษัทนี้โอเค จากคุณ : illuminare777 เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 16:31:26

ความคิดเห็นที่ 9 ได้ยินว่าประกันสุขภาพที่ดีที่สุดเป็นของ BUPA นะครับ คนขายประกันยี่ห้ออื่นแนะนำมา ลองติดต่อโดยตรงไปที่บริษัทดีกว่า เข้าใจ จขกท.นะครับ ต้องการดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลให้กับพ่อแม่อย่างดี ดังนั้นจึงเลือกที่จะทำประกันสุขภาพไว้เพื่อลดภาระตรงนี้ เป็นสิ่งที่ดีครับ จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 16:31:30

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าต้องการทำประกันให้พ่อแม่ ซึ่งตอนนี้อายุเริ่มมากแล้ว แนะนำให้ทำประกันแบบคุ้มครองตลอดชีพ และซื้อสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ ซึ่งเมื่อเจ็บป่วยจะสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ค่ะ และชื่อผู้เอาประกันเป็นพ่อแม่นะค่ะ (กรณีต้องการให้หักลดหย่อนภาษีได้ ก็ให้ระบุชื่อผู้ชำระเบี้ยเป็นชื่อเราแทนค่ะ ต้องแจ้งบริษัทประกันให้ชัดเจน) -ประกันหลักที่คุ้มครองตลอดชีพ คือจ่ายเบี้ยประกันทุกปีไปเรื่อยๆ แต่คุ้มครองผู้เอาประกันไปตลอดชีพ บางบริษัทจะระบุอายุ เช่น 80 ปี, 90 ปี ค่ะ (ลองศึกษาดูนะค่ะ) -สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ จะแบ่งเป็นผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ชดเชยรายได้ โรคร้ายแรง กลุ่มนี้มีเยอะค่ะ แล้วแต่จะเลือก ค่าเบี้ยจะแพงตามอายุค่ะ (ลองศึกษาดูนะค่ะ แต่ละบริษัทจะไม่เหมือนกันค่ะ) พอจะมีความรู้บ้างเล็กๆน้อยๆ ไม่แน่ใจว่าพอจะเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าของกระทู้หรือเปล่าค่ะ จากคุณ : mono_gibgae เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 17:17:10

ความคิดเห็นที่ 11 #10 เป็นประโยชน์มากครับ +2 พ่ออายุ 55 แม่อายุ 49 ครับ จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 17:52:24

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่แนะนำไม่ชักชวน สิ่งที่คุณต้องการคือให้พ่อแม่ได้รักษาที่ดี มีเทคโนโลยีที่ดี อย่างนั้นทุกคนเป็นหมดค่ะ ที่จะตอบแทนบุณคุณ แต่คุณต้องเข้าใจคำว่าประกันด้วยเช่นกัน การทำประกันทุกที่เพื่อคุ้มครองคนที่คุณรักทั้งนั้นแหละค่ะและมันก็จะมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง อยู่ที่ว่าจะเลือกแบบไหน คุ้มครองสูงสุดถึงพอประมาณที่พอจะจ่ายได้ อยู่ที่ว่าตรงไหนถึงจะพอ เท่านั้นเอง เรื่องแบบประกันไม่มีอะไรมากมาย เหมือนๆกันทุกบริษัท อันนี้แนะนำค่ะ ถ้าคุณบอกว่าเรื่องผลประโยชน์คุณมีตลาดหุ้นอยู่แล้ว อยากได้การรักษาพยาบาลกับโรงพยาบาลเอกชนที่ดี ยาดีๆ  แนะนำให้ติดต่อกับโรงพยาบาลที่คุณคิดว่าดีที่สุดค่ะ เข้าไปถามเลยว่า ทางโรงพยาบาลมีสมัครเป็นสมาชิกหรือป่าว คุณเป็นmember คุณจะได้รับการรักษาอย่างดีเลยค่ะ ไม่ต้องซื้อประกันเลยค่ะ ยังไงลองหาข้อมูลดูค่ะ ง่ายกว่าหาข้อมูลด้านประกันอีก เพราะข้อมูลประกันถ้าอยากรู้ให้ลึกต้องเข้ามาสัมผัสค่ะ ปล. ขอออกตัวค่ะ ไม่ได้ประชดประชันค่ะ แต่ดูแล้วจุดประสงค์ของทาง จขกท.เป็นอย่างนี้จริงๆ ง่ายกว่าหาข้อมูลจากบริษัทประกัน 24 บริษัทในเมืองไทยอีกค่ะ จากคุณ : โอ (Being_ing) เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 18:18:29

ความคิดเห็นที่ 13 #12 หลุดประเด็นไปเยอะครับ ไม่ขอต่อความยาวแล้วกันครับ จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 18:23:50

ความคิดเห็นที่ 14 หากประสงค์จะทำประกันสุขภาพนะครับ ประกันสุขภาพ สามารถซื้อได้ใน 2 ลักษณะ คือ 1.เป็นส่วนควบของประกันชีวิต 2.ประกันสุขภาพ โดยไม่เป็นส่วนควบ กรณี 1. นั่นคือต้องซื้อกรมธรรม์ชีวิตก่อน จากนั้นจึงจะซื้อส่วนของประกันสุขภาพได้เรียกว่าเป็นส่วนควบ ทั้งนี้ "แผนความคุ้มครอง" ของประกันสุขภาพ ที่จะซื้อเพิ่ม อาจมีความสัมพันธ์กับ ความคุ้มครองของกรมธรรม์หลัก เช่น จะสามารถซื้อ แผน 1 ที่มีค่าห้องสูงสุด 2,000 บาท OPD 800 บาท ต่อครั้งได้เมื่อกรมธรรม์หลักมีความคุ้มครอง 1,000,000 บาท หากจะซื้อแผน 3 ที่มีค่าห้องสูงสุด 3,500 บาท OPD 1,200 บาทต่อครั้ง กรมธรรม์หลักต้องมีความคุ้มครอง 3,000,000 บาทขึ้นไป เป็นต้น กรณี 2. เป็นการซื้อกรมธรรม์ประกันสุขภาพ อย่างเดียว ซึ่งในขณะนี้มีบริษัทเดียวที่ทำได้คือ "บูพา" ครับ ในการเลือกทำประกันก็ให้พึงประเมินเปรียบเทียบ "ค่าเบี้ย" กับ "ความคุ้มครอง" ที่ได้ว่า ที่ใดให้ความคุ้มครองในเงื่อนไขและค่าเบี้ยประกันที่ "ตรงใจ" ที่สุดครับ รวมถึงให้ดู "สถานะการเงิน" ของ "ผู้รับประกันภัย" ให้ดีด้วยครับ จากคุณ : kitz เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 10:39:57

ความคิดเห็นที่ 15 บางคนบอก จขกท. มีเจตนาไม่ดีเรื่องที่ต้องการเป็นผู้รับผลประโยชน์ สำหรับประเทศไทย ถ้าอยากได้อะไรอย่างนั้นไม่ต้องทำประกันหรอก รอให้มีการชุมนุมทางการเมืองก็ไปร่วมชุมนุมด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นรัฐบาลจ่ายให้เจ็ดล้าน จ่ายมากกว่าประกันอีก แถมยังไม่ต้องตรวจสุขภาพด้วย จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 55 11:17:57