ส่องเศรษฐกิจโลก 2556 ใครล่ม-ใครรอด-ใครรุ่ง
|
|
19 ธ.ค. 2555 เวลา 11:50:46 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิดทำให้ความเป็นไปในประเทศต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างยุโรปที่วิกฤตหนี้สาธารณะยังไม่มีทีท่าสงบลงง่าย ๆ จนฉุดให้การส่งออกของไทยทรุดตาม หรือสหรัฐที่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาและการว่างงานสูงที่บีบให้ธนาคารกลางอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบแบบขนานใหญ่ ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าภูมิภาคเอเชียและไทยมหาศาล แม้จะทำให้ตลาดการเงินบูมแต่ก็สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทเช่นกัน
และที่ลืมไม่ได้คือ "จีน" อีกหนึ่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่เป็นทั้งตลาดนำเข้าและส่งออกรายใหญ่ของไทย และยังเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่มีอิทธิพลสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าปีหน้าทั้ง 3 เสาหลักเศรษฐกิจโลกจะมีทิศทางอย่างไร
"ยูโรโซน" ยังอยู่ในไอซียู
วิกฤตในยุโรปยังคงเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก และคาดว่าปีหน้ากรีซซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาจะยังไม่เห็นสัญญาณดีขึ้นมากนัก ขณะที่สถานการณ์ในสเปน อิตาลี โปรตุเกสก็ยังน่ากังวล อย่างไรก็ตาม ยังมีข่าวดีอยู่บ้าง โดยมูดีส์ อนาไลติกส์คาดว่า ภาวะตกต่ำในยูโรโซนจะสิ้นสุดลงในปี 2556 แม้ว่าความเสี่ยงหลายประการยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งอาจผลักดันให้ยูโรโซนกลับสู่ภาวะตกต่ำอีกรอบ
นักวิเคราะห์ของ มูดีส์ อนาไลติกส์ มองว่า ปีหน้าเศรษฐกิจกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรจะขยายตัว 0.2% ที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากปีนี้ที่คาดว่าจะติดลบ 0.5% โดยเยอรมนีซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจ
เบอร์หนึ่งในยูโรโซนจะโต 1.2% ส่วนฝรั่งเศสจะเติบโตเล็กน้อยที่ 0.4% แต่เศรษฐกิจของสเปนและกรีซจะยังติดลบ โดยหดตัว 1.5% และ 4.2% ตามลำดับ
ปัจจัยสำคัญ 2 ประการที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตยูโรโซนในปีหน้าคือ การที่สเปนจะขอรับความช่วยเหลือแบบเต็มรูปแบบหรือไม่ หลังจากขอเงินกู้เพื่อกอบกู้ระบบการธนาคารไปแล้วในปีนี้ ซึ่งหากแดนกระทิงดุยอมเดินตามรอยกรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส จะทำให้เข้าเกณฑ์ที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะเข้ามาแทรกแซงตลาดพันธบัตรของสเปนได้ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของประเทศดังกล่าวแล้ว ยังผ่อนคลายแรงกดดันต่อการเติบโตของยูโรโซนในภาพรวมด้วย
อีกปัจจัยคือ ความเป็นไปได้ที่ "กรีซ" จะออกจากยูโรโซน หากเกิดขึ้นในปีหน้าจะฉุดให้จีดีพีของกลุ่มยูโรหายไป 4.5%
อีซีบีมองสถานการณ์ในแง่ลบกว่ามูดีส์ อนาไลติกส์มาก แม้ธนาคารกลางยุโรปจะคาดว่าปีนี้ เศรษฐกิจยูโรโซนจะหดตัว 0.5% เช่นกัน แต่ประเมินว่าปีหน้าเศรษฐกิจยังคงอยู่ในแดนลบคือหดตัว 0.3% "มาริโอ ดรากิ" ประธานอีซีบีชี้ว่า ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจจะยังดำเนินต่อไปในปีหน้า ความไม่แน่นอนจะสร้างแรงกดดันต่อการบริโภคและการลงทุน แต่คาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในปลายปี 2556 ซึ่งนำไปสู่การเติบโตในปี 2557
ลุ้น "สหรัฐ" เริ่มฟื้นไข้
ตลาดแรงงานสหรัฐซึ่งประสบกับปัญหาอัตราว่างงานสูงเรื้อรังมาเป็นเวลาหลายปีเริ่มมีแนวโน้มสดใสขึ้นบ้างแล้ว เห็นได้จากดัชนีการสร้างตำแหน่งงานสหรัฐของแกลลัพ (Gallup′s US Job Creation Index) ที่สำรวจตำแหน่งงานที่เพิ่มขึ้นสุทธิ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากดิ่งถึงจุดต่ำสุดในเดือนเมษายน 2552 นักวิเคราะห์จาก "บีเอ็มโอ ไฟแนนเชียล" เชื่อว่า หลังจาก 4 ปีของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ผู้บริโภคและภาคธุรกิจของสหรัฐพร้อมจะกลับมาจับจ่ายอีกครั้ง
บีเอ็มโอฯคาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวจาก 2% ในปีนี้ เป็น 2.3% ในปีหน้า ซึ่งใกล้เคียงกับที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟคาดการณ์ไว้ 2.1%
แต่ปัญหาเร่งด่วนของสหรัฐที่จะกระทบเศรษฐกิจในวงกว้างคือ หน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ซึ่งเป็นผลจากมาตรการตัดลดรายจ่ายภาครัฐที่จะมีผลหลังสิ้น
ปี 2555 ประกอบกับการสิ้นสุดของมาตรการลดหย่อนภาษีที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช หากสภาคองเกรสและทำเนียบขาวไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงหน้าผาการคลังได้ก่อนกำหนดเส้นตาย รายจ่ายภาครัฐที่ลดลงบวกกับอัตราภาษีที่พุ่งสูงขึ้นจะสร้างความเสียหายครั้งใหญ่
สำนักงานงบประมาณสภาคองเกรส (CBO) ประเมินว่า หากสหรัฐตกหน้าผาการคลังจะทำให้เศรษฐกิจครึ่งแรกของปีหน้าหดตัว 1.3% ชาวอเมริกัน 2 ล้านคนจะตกงาน แต่ "จอห์น มากิน" อดีตที่ปรึกษากระทรวงการคลังสหรัฐมองว่า ซีบีโอมองโลกในแง่ดีเกินไป เขาประเมินว่า ถ้าสหรัฐตกหน้าผาการคลัง เงินจะหายไปจากระบบเศรษฐกิจราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ (6.3% ของจีดีพีสหรัฐ) ในช่วง 18 เดือน นับจากมกราคม 2556 เมื่อดูจากตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของหลายสำนักที่ชี้ว่า สหรัฐจะโตราว 2% ในปีหน้า ผลจาก fiscal cliff จะทำให้เศรษฐกิจมะกันติดลบ 2.2% ในปี 2556 ซึ่งสอดคล้องกับการคำนวณของไอเอ็มเอฟ
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายเชื่อมั่นว่าพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจะหาทางประนีประนอมกันได้ก่อนสิ้นปี นักวิเคราะห์จากแคปพิทอล อีโคโนมิกส์มองว่า สหรัฐจะสามารถเลี่ยงการตกเหวการคลังได้ทันในนาทีสุดท้าย แต่ถึงกระนั้นจีดีพีจะโตเพียง 1.5% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของสำนักอื่น ๆ โดยให้เหตุผลว่า แม้ตัวเลขการจ้างงานจะเพิ่มขึ้นแต่จำนวนคนที่มีงานทำก็ยังไม่มากพอจะช่วยกระตุ้นการเติบโต พร้อมกับเตือนว่า สถานการณ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐยังคงไม่น่าไว้วางใจ ยอดขายบ้านในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาดูดีก็จริงแต่ภาพรวมยังไม่สดใส โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงิน
"เดวิด มาดานิ" จากแคปพิทอล อีโคโนมิกส์เห็นว่า "สหรัฐกำลังมาถูกทางแล้วเพียงแต่เศรษฐกิจยังฟื้นไม่เร็วพอที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงทางบวกที่ชัดเจน การเติบโตช้าเกินกว่าจะผลักดันประเทศออกจากปัญหาด้านการคลัง และช้าเกินกว่าจะกระตุ้นให้ภาคธุรกิจขยายการลงทุนหรือจ้างงานเพิ่ม"
ส่วนผลจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) แบบไม่จำกัดเวลา ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐเข็นออกมาเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจ้างงาน นักเศรษฐศาสตร์จากสกอเทียแบงก์มองว่า มีผลดีไม่มากอย่างที่หวัง แม้จะยอมรับว่า ถ้าปราศจากมาตรการดังกล่าวเศรษฐกิจแดนลุงแซมอาจย่ำแย่กว่าที่เป็นอยู่
ด้านโกลด์แมน แซกส์ ชี้ว่า หากสหรัฐหลีกเลี่ยงหน้าผาการคลังสำเร็จ เศรษฐกิจในปี 2556 จะค่อนข้างสดใส เพราะรัฐบาล "บารัก โอบามา" ซึ่งผ่านพ้นศึกเลือกตั้งมาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นมีแนวโน้มจะคลอดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ประกอบกับการบูมของภาคพลังงานในสหรัฐจากแหล่งเชื้อเพลิงใหม่อย่าง "เชลก๊าซ" จะผลักดันให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงด้วย
หวั่นเศรษฐกิจ "จีน" เริ่มแผ่ว
นอกจากความเสี่ยงที่ "ยูโรโซน" จะล่มสลาย ภาวะชะลอตัวในประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะจีนเป็นอีกสถานการณ์ที่น่ากังวล ช่วงปี 2550-2554 พญามังกรเติบโตเฉลี่ยราว 9.3% ต่อปี แต่ปีนี้ไอเอ็มเอฟคาดว่าจีนจะขยายตัวเพียง 7.8% ก่อนขยับเป็น 8.2% ในปีหน้า แม้จะเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับการเติบโตในประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในฐานะเขตเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก และเป็นตัวจักรสำคัญของการค้าโลก การสะดุดเพียงเล็กน้อยของจีนย่อมส่งผลกระทบไปทั่ว
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจีนแผ่วลง มาจากกระแสเงินที่ติดขัดในยุโรปและสหรัฐ จนทำให้ดีมานด์ต่อสินค้าส่งออกจากจีนลดลง ตลอดจนมาตรการชะลอความร้อนแรงของภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้จีดีพีของจีนในไตรมาส 3 ปีนี้อยู่ที่ 7.4% ต่ำสุดนับจากไตรมาสแรกของ
ปี 2552 จากพิษวิกฤตการเงินโลก อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ชี้ว่า ปีหน้าจีนจะยังเป็นผู้ขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แม้จะมีความเสี่ยงบางอย่างรอจู่โจม โดยมองว่าปีหน้าจีนจะโต 8.5% และเพิ่มเป็น 8.9% ในปี 2557 จากดีมานด์ในประเทศที่ขยายตัวเพราะคนจีนมีฐานะดีขึ้น การใช้จ่ายเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น รวมถึงการก่อสร้างเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนมองว่า รัฐบาลปักกิ่งจะไม่ผุดแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ในปีหน้า แม้ว่าในเดือนมีนาคม 2556 จะมีการเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารประเทศ โดย "สี จิ้นผิง" จะก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทน "หู จิ่นเทา" และ "หลี่อเฉียง" จะนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแทน "เวิน เจียเป่า" จากปกติที่ผ่านมามักมีการลงทุนลอตใหญ่จากภาครัฐเมื่อเปลี่ยนตัวผู้นำชุดใหม่
เนื่องจากทุกวันนี้รัฐบาลกลางยังต้องตามล้างตามเช็ดปัญหาที่เกิดจากแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน ที่คลอดออกมาเพื่อรับมือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งทำให้รัฐบาลท้องถิ่นของจีนมีหนี้สินรุงรัง นอกจากนี้ผู้นำจีนยังยอมรับความจริงว่า 3 ทศวรรษแห่งการเติบโตด้วยเลข 2 หลักสิ้นสุดลงแล้ว และการเติบโตในระดับที่ต่ำลงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเปิดพื้นที่ให้เศรษฐกิจได้ปรับตัวและเปลี่ยนจากประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกมาพึ่งพาดีมานด์ในประเทศมากขึ้น
ทั้ง "สี จิ้นผิง" และ "หลี่อเฉียง" ส่งสัญญาณว่า ต้องการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตในระยะยาว ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะครอบคลุมถึงการเพิ่มเสรีให้กับอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน
"หม่า เจียงตง" ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเผยว่า รัฐบาลอาจตั้งเป้าการเติบโตในปีหน้าที่ 7-8% ซึ่งพอเหมาะกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะเกิดขึ้น "ถ้าเราต้องการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เราคงไม่สามารถคาดหวังการเติบโตอัตราสูง ๆ ได้ และควรยอมรับที่ 7-8%"
และนี่คือปัจจัยเสี่ยงจาก 3 เสาหลักเศรษฐกิจโลก
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ธ.ค. 55 10:12:22
|
|
|
|