มองภาพตลาดหุ้นสหรัฐปี 2013
|
|
การเมือง : ทัศนะวิจารณ์ วันที่ 27 ธันวาคม 2555 01:00
โดย : ผศ.ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "มุมคิดมหภาค" โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ทุกสิ้นปี หนังสือพิมพ์ด้านการลงทุนที่มีชื่อเสียงในสหรัฐ Barron’s จะทำการสำรวจความเห็นของนักกลยุทธ์การลงทุน
ว่ามีความเห็นต่อตลาดหุ้นในปีหน้าเป็นอย่างไร เพื่อเป็นการส่งท้ายปีมังกรทอง ผู้เขียนขอสรุปบทสำรวจดังกล่าว
หากมองในภาพรวม นักลงทุนกลุ่มนี้เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในปีหน้า น่าจะขึ้นได้ราวร้อยละ 10 ส่งผลให้ดัชนี S&P ไปแตะระดับสูงสุดเทียบเท่ากับดัชนีในช่วงเดือนมีนาคม 2007 ด้วยเหตุผลอย่างน้อย 4 ประการ
เหตุผลแรก ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ส่งผลให้ความเสี่ยงทางการเมืองลดระดับลงอย่างมาก ซึ่งต่างจากตลอดปีนี้ โดยเฉพาะช่วงต้นปีที่ความเสี่ยงดังกล่าวมีอยู่สูงจากกระแสของรีพับลิกันค่อนข้างแรง
เหตุผลที่สอง ความกังวลต่อวิกฤตยุโรปได้ผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็คงไม่มีอะไรที่น่าจะเซอร์ไพร์สต่อนักลงทุนในระยะสั้น แม้ว่ารากเหง้าของปัญหายังมิได้ถูกกำจัดออกอย่างเรียบร้อยก็ตามที
เหตุผลที่สาม ความร้อนแรงของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มิได้ลดระดับลงอย่างที่คาดไว้เช่นช่วงกลางปีนี้ ในทางตรงข้าม เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้กลับขยายตัวขึ้นด้วยซ้ำไป
ท้ายสุด ในประเด็น Fiscal Cliff นั้น จากความเห็นที่ต่างกันระหว่างประธานาธิบดี บารัก โอบามา และ สภาคองเกรส ที่ฝ่ายแรกต้องการให้เพิ่มอัตราภาษีของกลุ่มคนที่รายได้สูงสุดของประเทศ ส่วนฝ่ายหลังต้องการให้ขยายฐานของผู้ที่อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีนั้น เหล่าเซียนนักลงทุนได้มีความเห็นค่อนข้างไปในทางเดียวกันว่า หน้าผาการคลังน่าจะตกลงกันได้ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งน่าจะกระทบต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นเท่านั้น ทั้งนี้ อัตราส่วนระหว่างราคาต่อรายได้ หรือ P/E Ratio ในปัจจุบันเท่ากับ 13.1 เท่า หากประเมินจากเป้าดัชนี S&P ปีหน้า P/E น่าจะเท่ากับ 14.5 ซึ่งแม้ว่าราคาจะไม่ถูกมาก ทว่าก็ยังต่ำกว่าช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 อยู่มาก
หากมองในกลุ่มรายอุตสาหกรรมต่างๆ กลุ่มสินค้าบริโภค โทรคมนาคม และ สาธารณูปโภค น่าจะให้ผลตอบแทนน้อย จากการที่ราคาในตอนนี้สูงไปแล้ว รวมถึงการเจริญเติบโตของรายได้ก็ยังไม่สูงมากนัก นอกจากนี้หุ้นตัวเล็กในกลุ่มที่ต้องพึ่งพาตลาดในประเทศน่าจะไปได้ไม่สวยเท่าไร เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ในตอนนี้มักจะมองไปที่หุ้นตัวใหญ่ที่หารายได้จาก ต่างประเทศ
นอกจากนี้ นักกลยุทธ์โดยส่วนใหญ่มองว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ในปีหน้าน่าจะไม่สดใสสักเท่าไร เนื่องจากคาดกันว่าการเจริญเติบโต ของเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐและต่างประเทศน่าจะไปได้ไม่เลว อย่างไรก็ดี ตลาดพันธบัตร ถือเป็นตลาดปราบเซียน ซึ่งซีอีโอของบริษัทที่บริหารพันธบัตรมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของสหรัฐยังหน้าแตกมาเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐนั้น บทสำรวจนี้ ได้แบ่งข้อสรุป ออกเป็น 3 ประการ ดังนี้
หนึ่ง แม้ว่าหลายท่านที่วิเคราะห์หุ้นจากภาพใหญ่ลงมา มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะเป็นช่วงขาขึ้นแม้จะไม่มากมายนักในปีหน้า ทว่าเป็นการขึ้นแบบมีความผันผวนอยู่พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความไม่เป็นเอกภาพของนักการเมืองในประเด็นหน้าผาการคลัง โดยที่การลดลงของตลาดเป็นช่วงๆ ราวร้อยละ 5-7 อาจจะมีให้เห็นเป็นครั้งคราว ทว่าหุ้นน่าจะขึ้นไปได้ในที่สุดหากไม่มีการล้มโต๊ะ Fiscal Cliff แบบเบ็ดเสร็จ แต่ก็มีนักลงทุนบางท่านเชื่อว่าปีหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐจะเป็นปีที่ชะลอการเติบโตเพื่อรอที่จะขึ้นอีกทีในปี 2014 เช่นกัน ในทางกลับกัน หากมองจากรายได้ของบริษัทต่างๆ ในตลาดหุ้น เพื่อวิเคราะห์ภาพใหญ่ของตลาด อาจจะดูเหมือนตลาดจะโตได้ถึงร้อยละ 15 ทว่าก็มีอยู่หลายปีที่รายได้บริษัทเติบโตทว่าตลาดหุ้นกลับค่อนข้างนิ่ง
สอง หุ้นสหรัฐส่วนใหญ่ที่ทำธุรกิจเฉพาะในประเทศมีราคาที่ค่อนข้างสูง จากผลวิจัยพบว่า ราคาหุ้นส่วนเพิ่ม (Valuation premium) ของบริษัทสหรัฐที่ทำธุรกิจในต่างประเทศลดลงเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ปี 2001
นอกจากนี้ นับตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว บริษัทที่พึ่งพาตลาดในประเทศสหรัฐ ต่างมีราคาหุ้นที่ลดลงเป็นอย่างมากจากความกังวลปัญหาหน้าผาการคลัง
ที่น่าสนใจคือ การเจริญเติบโตของกำไรจะไม่กระจุกตัวถึงกว่าร้อยละ 88 อยู่กับ 10 บริษัทใหญ่เหมือนในปีนี้ ดังรูป โดยปีหน้า คาดว่าจะช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของกำไรเพียงร้อยละ 34 เท่านั้น
ท้ายสุด หากมองในรายอุตสาหกรรม เซกเตอร์เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมก็ยังถือว่าน่าสนใจที่สุด เนื่องจากทั้งคู่พึ่งพิงตลาดต่างประเทศเป็นหลัก นอกจากนี้ ปีหน้ายังน่าจะเห็นการใช้จ่ายของเงินลงทุนระยะยาวของบริษัทในสหรัฐซึ่งเป็นผลดีต่อเซกเตอร์ทั้งสอง สำหรับ กลุ่มที่ไม่น่าสนใจนัก ได้แก่ สินค้าบริโภคพื้นฐาน โทรคมนาคม และ สาธารณูปโภค เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้มักจะจ่ายเงินปันผล ค่อนข้างมาก ซึ่งในช่วงเวลาที่หุ้นกำลังขาขึ้นและอัตราภาษีของเงินปันผล อาจจะสูงขึ้นในปีหน้า จึงทำให้หุ้นกลุ่มนี้ดูไม่น่าสนใจ รวมถึงราคาที่ค่อนข้างสูงแล้ว
ในมุมมองของผู้เขียน เห็นว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนจากนโยบายการคลังหรือปัจจัยอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ตลาดหุ้นสหรัฐในปีหน้าก็ยังดูน่าสนใจพอสมควร ด้วยเหตุผลสำคัญที่ว่า อย่างไรเสีย ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ดร. เบน เบอร์นันเก้ ก็ยังมีมุกว่าด้วยนโยบายการเงินใหม่ๆ ที่พร้อมจะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจหากมีอะไรแรงๆ เข้ามากระทบเศรษฐกิจสหรัฐ
โดยสรุป คือ ปีหน้าหุ้นสหรัฐ ก็ยังดูน่าสนใจอยู่ แม้ว่าน่าจะไม่ใช่ปีที่ดีที่สุด ก็ตามครับ
หมายเหตุ หนังสือด้านการลงทุนด้วยข้อมูลเชิงมหภาคของผู้เขียน “จิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 วางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ และติดตามประเด็น Fiscal Cliff เพิ่มเติมที่ www.facebook.com/MacroView และ bonthr.** ไม่ใช่ลิควิด ** ครับ
ดูภาพประกอบ http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/boontham/20121227/483381/%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2013.html
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ธ.ค. 55 08:13:08
|
|
|
|