ความคิดเห็นที่ 1 Robbers Cave Experiment :: การทดลองทำให้เด็กเกลียดชังคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกัน จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 10:56:32

ความคิดเห็นที่ 2 นักจิตวิทยาสังคมที่ชื่อ Muzafer Sherif ต้องการศึกษาว่า ถ้ามีกลุ่มคนอยู่ 2 กลุ่ม และอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแข่งขันกัน ทั้งสองกลุ่มนี้จะพัฒนาความเกลียดชังต่ออีกฝ่ายอย่างไร และสำหรับการทดลองนี้ เขาได้ใช้ตัวอย่างเป็นเด็กจริงๆ ที่ไม่ได้รู้เรื่องด้วยว่าตัวเองมีส่วนในการทดลอง จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 10:58:46

ความคิดเห็นที่ 3 ในหน้าร้อนปี ค.ศ.1954 เด็กชายชั้นประถมอายุ 11-12 ปี จำนวน 22 คน ได้มาเข้าค่ายฤดูร้อนที่ Robbers Cave State Park รัฐโอกลาโฮมา เด็กทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 11 คน โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีกลุ่มที่เป็นพวกคนอื่นนอกจากพวกของตัวเองด้วย และไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนี่เป็นแค่การทดลองที่ผู้ปกครองของตัวเองเซ็นยินยอมมาเรียบร้อยแล้ว จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:00:25

ความคิดเห็นที่ 4 ในสัปดาห์แรก ทั้งสองกลุ่มได้ทำกิจกรรมแยกกัน ในกลุ่มก็จะมีการทำกิจกรรมเพื่อให้เด็กๆ ในคุ้นเคยกัน มีการแบ่งลำดับชั้นและมีคนที่เป็นหัวหน้าใหญ่ มีการตั้งชื่อกลุ่ม (ทีม Eagles และทีม Rattlers) และทำธงประจำกลุ่ม เมื่อเด็กๆ ในสนิทสนมกันดีแล้วก็ถึงการทดลองขั้นต่อไปคือ ให้เด็กทั้งสองกลุ่มได้มาเจอกัน และสร้างสถานการณ์ที่จะทำให้เด็กเกลียดเด็กฝั่งตรงข้ามตนเอง จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:01:41

ความคิดเห็นที่ 5 เพื่อให้เกิดสถานการณ์ของความเกลียดชัง ได้มีการจัดแข่งขันเช่น เบสบอล วิ่งสามขา และชักกะเย่อ โดยจะมีรางวัลพิเศษต่างๆ สำหรับทีมผู้ชนะ เมื่อเอารางวัลมาล่อแบบนี้แล้ว เด็กทั้งสองกลุ่มก็เริ่มแข่งขันกันหนักขึ้น และจากที่เริ่มแค่การดูถูก เยาะเย้ย ถากถาง การแข่งขันก็เริ่มกลายเป็นการต่อสู้ที่จบลงด้วย ทีม Eagles เผาธงของทีม Rattlers เนื่องจากไม่พอใจที่กลุ่มตนเองแพ้การแข่งชักกะเย่อ จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:04:51

ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อการทดลองดำเนินไปเรื่อยๆ ความขัดแย้งระหว่างเด็กทั้งสองกลุ่มก็มากขึ้น จนถึงการทำร้ายกันชกต่อยกันเมื่อทั้งสองทีมต้องมากินอาหารเย็นที่เดียวกัน สุดท้ายแล้วเมื่อการแข่งขันทั้งหมดสิ้นสุดลงโดยทีม Eagles เป็นผู้ชนะและได้รางวัลไป แต่ทีม Rattlers ก็พากันบุกเข้าไปรื้อค้นที่พักของทีม Eagles และขโมยรางวัลไป จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:06:40

ความคิดเห็นที่ 7 สภาพบ้านพักที่ถูกรื้อค้นโดยทีมฝั่งตรงข้าม จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:07:11

ความคิดเห็นที่ 8 จริงๆ แล้วการทดลองยังมีต่อไปในขั้นที่จะมีการสร้างสถานการณ์เพื่อให้ทั้งสองกลุ่มลดความขัดแย้ง และหันมาร่วมมือ แต่เราจะไม่พูดถึงในที่นี้ เพราะไม่ว่าผลการทดลองจะออกมาเป็นอย่างไร Muzafer Sherif ทำสำเร็จในการเปลี่ยนเด็กประถมธรรมดาๆ ให้กลายเป็นแก๊งอันธพาน เด็กมีปัญหา ที่มีพฤติกรรมรุนแรงได้ในที่สุด และทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์เท่านั้น จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:09:03

ความคิดเห็นที่ 9 Bobo doll experiment :: การทดลองให้เด็กแสดงความรุนแรงต่อตุ๊กตาล้มลุก จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:10:19

ความคิดเห็นที่ 10 ในช่วงต้นปี ค.ศ.1960 นักจิตวิทยาสังคม Albert Bandura ต้องการทดลองว่า เด็กๆ จะแสดงพฤติกรรมรุนแรงโดยเลียนแบบจากการดูเพียงอย่างเดียวได้หรือไม่ วิธีการก็คือ ถ่ายวิดีโอที่มีผู้ใหญ่กำลังทำร้าย เตะ ทุบตีตุ๊กตาล้มลุกรูปตัวตลกด้วยค้อน แล้วเอาวิดีโอนั้นไปเปิดให้เด็กกลุ่มแรกจำนวน 24 คนดู เด็กกลุ่มที่สองได้ดูวิดีโอธรรมดาๆ ที่ไม่มีความรุนแรง ส่วนเด็กกลุ่มสุดท้ายไม่ได้ดูอะไร แล้วจากนั้นก็ปล่อยเด็กๆ ทั้งหมดเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่มีตุ๊กตาล้มลุกรูปตัวตลกอยู่ แล้วสังเกตพฤติกรรม แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 55 11:12:39 จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:12:12

ความคิดเห็นที่ 11 ภาพจากการทดลองเด็ก จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:13:24

ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว เด็กกลุ่มแรกตรงเข้าไปทำร้ายตุ๊กตาล้มลุกทันที บ้างก็เข้าไปใช้ค้อนตีแบบที่เห็นในวิดีโอ ในขณะที่มีเด็กบางคนเอาปืนของเล่นมาจ่อที่ตุ๊กตาด้วย ทั้งๆ ที่ในวิดีโอไม่ได้มีการใช้ปืนเลยแม้แต่น้อย ส่วนเด็กกลุ่มที่สองก็เข้าไปต่อยเตะตุ๊กตาเช่นกัน แต่ไม่ทำรุนแรงอย่างเด็กกลุ่มที่ได้ดูวิดีโอที่มีคนสาธิตตัวอย่างการทำร้ายหุ่นให้ดู จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:13:59

ความคิดเห็นที่ 13 อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อโต้แย้งว่าผลการทดลองนี้สรุปอะไรไม่ได้ เพราะตุ๊กตาล้มลุกถูกออกแบบมาเพื่อเป็นของเล่นให้เด็กๆ ทุบตีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะได้ดูวิดีโอหรือไม่ก็ตาม Albert Bandura เลยทำการทดลองซ้ำคล้ายๆ แบบเดิม ด้วยการถ่ายวิดีโอผู้ใหญ่กำลังทำร้ายและทุบตี คราวนี้เป็นคนจริงๆ แต่งตัวเป็นตัวตลก ด้วยค้อน จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:14:59

ความคิดเห็นที่ 14 หลังจากให้เด็กๆ ดูวิดีโอแล้ว ก็ปล่อยเข้าไปอยู่ในห้องกับตัวตลกจริงๆ และแน่นอนว่าเด็กที่ได้ดูวิดีโอก็เข้าทำร้ายตัวตลกแบบที่เห็นตัวอย่างผู้ใหญ่ทำมาก่อน ผลจึงสรุปได้ว่า เด็กๆ สามารถเลียนแบบพฤติกรรมรุนแรงได้จริงๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรเลย เพราะเด็กยังไม่มีความเข้าใจถึงผลที่จะตามมาและยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่แสดงออกไปเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ การทดลองนี้จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในเรื่องของการชี้นำให้เด็กมีพฤติกรรมรุนแรง และอาจส่งผลระยะยาวต่อพฤติกรรมในอนาคต แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 55 11:15:46 จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:15:35

ความคิดเห็นที่ 15 Visual Cliff Experiment :: ทดลองให้ทารกคลานผ่านหน้าผาจำลอง จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:16:20

ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อเด็กทารกโตพอที่จะคลานได้แล้ว เด็กส่วนมากจะหลีกเลี่ยงไม่คลานไปยังที่ๆ เป็นขอบสูงๆ ที่ถ้าตกลงไปแล้วจะทำให้เป็นอันตรายต่อตัวเอง นักวิทยาศาสตร์เองไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดเด็กจึงรู้ว่า ความสูงเท่ากับอันตราย ทั้งๆ ที่เด็กเหล่านี้ไม่เคยตกจากที่สูงมาก่อน และทางเดียวที่จะรู้ได้ว่าทำไม คือการทดลองกับเด็กโดยสร้างสถานการณ์ที่จะโน้มน้าว ให้เด็กคลานผ่านที่สูงที่ดูอันตราย จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:17:20

ความคิดเห็นที่ 17 ในปี ค.ศ.1960 นักจิตวิทยาสังคมสองคนจากมหาวิทยาลัย Cornell ชื่อ Eleanor J. Gibson และ Richard D. Walk สร้างโต๊ะแบบพิเศษที่เรียกว่า หน้าผาจำลอง (Visual cliff) ที่ครึ่งหนึ่งเป็นโต๊ะไม้ทึบๆ แต่อีกครึ่งหนึ่งเป็นกระจกใสๆ จนดูเหมือนไม่มีอะไรรองอยู่ จากนั้นก็วางทารกลงตรงด้านโต๊ะทึบแล้วไห้แม่เด็กพยายามเรียก และหลอกล่อเด็กให้มาอีกฝั่งที่เป็นกระจกใสๆ เพื่อดูว่าเด็กจะทำอย่างไร จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:18:20

ความคิดเห็นที่ 18 ถึงแม้จะดูไม่อันตรายเพราะยังไงเด็กก็ไม่ได้ตกจากโต๊ะจริงๆ แต่การทดลองนี้มีผลทำให้เด็กเกิดความสับสนและขวัญเสีย เมื่อแม่ของตัวเองพยายามเรียกให้มาหาทั้งๆ ที่เด็กก็เข้าใจว่าทางข้างหน้าเป็นที่สูงอันตราย เด็กจะถูกบังคับให้เลือกระหว่างสัญชาตญาณการป้องกันตัวเอง กับการเชื่อฟังแม่ จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:19:08

ความคิดเห็นที่ 19 นักจิตวิทยาทำการทดลองกันทารก 36 คน อายุตั้งแต่ 6-14 เดือน และจากในจำนวนทั้งหมดมีเพียง 3 คน เท่านั้นที่ยอมคลานผ่านหน้าผาไปหาแม่ ส่วนที่เหลือจะนิ่งอยู่กับที่ไม่ก็คลานหนีไปห่างๆ บางคนก็ร้องไห้ด้วยความสับสน อย่างไรก็ตาม มีการสังเกตกันว่าทารกที่ไม่ยอมคลานข้ามมาก็จะพยายาม อยู่ใกล้กับขอบให้มากที่สุดจนถึงขนาดที่ถ้าเป็นขอบจริงๆ เด็กคงจะตกลงไปแล้ว ดังนั้น ถึงแม้เด็กทารกจะเข้าใจอันตรายของความสูงแล้วแต่ก็ไม่ควรจะปล่อยเด็กไว้คนเดียวอยู่ดีเพราะการกะระยะยังไม่ดีเท่ากับผู้ใหญ่นั่นเอง จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:19:50

ความคิดเห็นที่ 20 ใช้เด็กเป็นตุ๊กตาฝึกหัด จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:20:27

ความคิดเห็นที่ 21 ย้อนไปในสมัยที่หน้าที่ของผู้หญิงก็คือการเรียนรู้วิธีการเป็นแม่บ้านที่ดีพร้อมกับเลี้ยงลูกไปด้วย มีสถานศึกษามากมายที่เปิดหลักสูตรสอนการเลี้ยงเด็กเช่น ที่มหาวิทยาลัย Minnesota and Eastern Illinois State ที่เชื่อว่า ไม่มีวิธีการฝึกแบบไหนดีเท่าการผึกกับเด็กทารกจริงๆ จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:22:27

ความคิดเห็นที่ 22 เริ่มต้นเมื่อช่วงปี ค.ศ.1920 มหาวิทยาลัยเหล่านี้ “ยืม” เด็กทารกนับร้อยๆ มาจากสถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้าเพื่อนำมาให้นักศึกษาหญิงฝึกหัดเลี้ยง ทารกเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในส่วนของตึกฝึกหัด ที่ๆ นักศึกษาหญิงเป็นกลุ่มครั้งละ 8-12 คน จะพลัดกันมาหัดเลี้ยงเด็กเหล่านี้ จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:23:05

ความคิดเห็นที่ 23 ชื่อจริงๆ ของเด็กจะถูกเก็บเป็นความลับ และสาวๆ มือใหม่แต่ละคนก็จะตั้งชื่อให้เด็กเอง หลังจากทำหน้าที่เป็นตุ๊กตาสำหรับฝึกหัดได้ปีหรือสองปี และผ่านการเลี้ยงดูจากแม่มากที่สุดถึง 12 คน เด็กเหล่านี้ก็จะถูกส่งกลับไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าหรือไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ ในรูป เป็น Denny Domecon หนึ่งในเด็กที่ถูกนำมาใช้เป็นตัวฝึกทดลองการเลี้ยงเด็ก จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:23:58

ความคิดเห็นที่ 24 หลักสูตรการเลี้ยงเด็กที่ใช้ทารกจริงๆ แบบนี้ดำเนินไปจนถึงช่วงปี ค.ศ.1960 ในช่วงที่คนเริ่มรู้แล้วว่าการเลี้ยงดูเด็กจริงๆ นั้นที่สำคัญไม่ใช่แค่การดูแล ให้อาหาร แต่เป็นการสร้างสายสัมพันธ์ตั้งแต่เมื่อเป็นทารก และการกระทำแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรม โครงการเหล่านี้จึงถูกยกเลิกไปหรือใช้หุ่นตุ๊กตาให้การฝึกแทน น่าเสียดายที่ไม่มีการติดตามดูว่าเด็กเหล่านี้ที่ถูกรับเลี้ยงไปจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างไร และการเลี้ยงดูแบบนี้จะมีผลอย่างไรก็การใช้ชีวิตเมื่อเป็นผู้ใหญ่ จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:24:50

ความคิดเห็นที่ 25 การทดลองแปลงเพศเด็กทารก จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:25:15

ความคิดเห็นที่ 26 David Reimer และ Brian Reimer เป็นฝาแฝดเหมือนเพศชายที่เกิดเมื่อปี ค.ศ.1965 เมื่อ David อายุได้ 8 เดือน เขามีปัญหาเรื่องการปัสสาวะและต้องทำการผ่าตัดโดยใช้อุปกรณ์ที่เป็นแท่งร้อนๆ เผาผิวหนังบางส่วนออก แต่การผ่าตัดล้มเหลวและหมอพลาดทำให้อวัยวะเพศของเขาถูกเผาจนไม่สามารถแก้คืนได้ จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:27:28

ความคิดเห็นที่ 27 อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วคุณหมอไม่ได้สนใจเรื่องคุณภาพชีวิตของ David สักเท่าไหร่ แต่ที่เขาต้องการคือ เพื่อศึกษาและพิสูจน์ว่า ธรรมชาติไม่ได้เป็นตัวกำหนดเพศแต่เป็นที่การเลี้ยงดูต่างหาก ที่จะเป็นตัวตัดสินว่าเด็กคนนั้นจะเติบโตมาแบบเพศไหน อีกทั้ง David ยังมีฝาแฝดชายที่ถูกเลี้ยงดูมาพร้อมๆ กัน ยิ่งทำให้เขาเป็นตัวอย่างชั้นดีในการทดลองนี้ จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:27:56

ความคิดเห็นที่ 28 ปัญหาก็คือ David (ซึ่งได้ชื่อใหม่เป็น Brenda) ถูกเลี้ยงมาแบบเด็กผู้หญิงก็จริง แต่เขาไม่ยอมใส่ชุดกระโปรง ไม่ยอมเล่นแบบเด็กผู้หญิง และมักถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนอยู่บ่อยๆ พ่อแม่ของเขาพยายามปรึกษาและขอความช่วยเหลือจากหมอ John Money แต่เขากลับไม่สนใจและยังคงตีพิมพ์ผลงานวิชาการที่เกี่ยวกับกรณีของ David ออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง David เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นและได้รู้ความจริง ครอบครัวจึงหยุดการเดินทางไปหาหมอ และงานวิจัยก็ถูกล้มเลิกไป จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:28:58

ความคิดเห็นที่ 29 เมื่ออายุได้ 14 ปี David ตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตเป็นผู้ชายเหมือนอย่างเก่า แต่เขาต้องเผชิญกับปัญหาในการใช้ชีวิตมากมาย รวมถึงกลายเป็นโรคซึมเศร้า เขามีชื่อเสียงขึ้นมาในปี ค.ศ.1997 เมื่อเขาออกมาเล่าเรื่องราวของเขา David และได้ตีพิมพ์หนังสือชีวประวัติ As Nature Made Him: The Boy Who Was Raised as a Girl เขาได้แต่งงานกับผู้หญิง และเลี้ยงลูกติดของเธอทั้งสามคน จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:29:51

ความคิดเห็นที่ 30 แต่สุดท้ายแล้วชีวิตของ David ก็ต้องจบลงอย่างน่าเศร้าเมื่อเขาฆ่าตัวตายในปี ค.ศ.2004 ซึ่งก่อนหน้านั้น Brian  ฝาแฝดของเขาก็เพิ่งเสียชีวิตลงจากการเสพยาในปี ค.ศ.2002 เชื่อกันว่าสาเหตุหลักที่นำไปสู่การจบชีวิตของเขาก็เนื่องมาจากประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็กนี้นี่เอง จากคุณ : สดชื่นสลื่นบาน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 11:30:30

ความคิดเห็นที่ 31 การทดลองโต๊ะกระจกเป็นงานวิจัยที่ไม่โหดร้ายนะครับ ทำความเข้าใจใหม่ จุดมุ่งหมายคือดูว่าเด็ก อายุ กี่ขวบถึงจะเริ่มมีความรับรู้ด้ายความลึก ซึ่งเป็นงานวิจัยที่สำคัญมาก องค์ความรู้นั้นยังใช้ประโยชน์มาจนถึงปัจจุบัน. จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 12:34:45

ความคิดเห็นที่ 32 Bobo doll experiment ทำให้นึกถึงเนเน่ในเรื่องชินจัง จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 12:36:35

ความคิดเห็นที่ 33 เรื่องแฝด David กับ Brian น่าเศร้ามาก ไม่รู้ว่าหมอคนนั้นได้รับผลอะไรจากการทดลองนี้หรือไม่ จากคุณ : papos เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 12:42:13

ความคิดเห็นที่ 35 ไปเข้าค่ายลูกเสือ แล้วแบ่งเด็กออกเป็นหมู่ต่างๆ มีการทำกิจกรรม แข่งขันกัน วันสุดท้ายประกาศผู้ชนะ มันคือ Robbers Cave Experiment ดีๆนี่เอง จากคุณ : พี_พีจัง เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 13:18:59

ความคิดเห็นที่ 36 นึกถึง battle royale เลย จากคุณ : ไอซ์ที เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 14:27:00

ความคิดเห็นที่ 37 เคยได้ดูสารคดีที่ทดลองใช้เด็กให้คลานผ่าน virtual cliff ดูๆก็ไม่ได้โหดร้ายอะไร มันเหมือนทดสอบการรับรู้ของเด็กเท่านั้น การใช้เด็กเล็กๆมาฝึกการเลี้ยงเด็กในวัยรุ่นหญิง ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรกับเด็ก (ตราบใดที่เด็กวัยรุ่นหญิงเหล่านั้นได้รับการฝึกสอนอย่างถูกต้อง และอยู่ภายใต้การดูแลของครู และเป็นการฝีกในห้องเรียนเท่านั้น) เพราะเด็กต้องการการดูแลและสัมผัสกอดรัดทางร่างกาย ไม่สำคัญนักว่า ผู้กอดนั้นจะเป็นใคร แต่ขอให้กอดอย่างนุ่มนวลอ่อนโยนเท่านั้น ซึ่งก็น่าจะดีกว่าการที่จะทิ้งเด็กให้นอนอยู่ใน baby cot อย่างโดดเดี่ยวตลอดวันที่สถานสงเคราะห์ แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 55 17:34:04 จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 16:05:16

ความคิดเห็นที่ 38 ของแบนดูร่าเอง ปัจจุบันเราก็ยังใช้แนวคิดนี้กันอยู่นะคะ โดยเฉพาะการนำมาประยุกต์ใช้กับสภาพสังคมปัจจุบัน ซึ่งมีสื่อต่างๆมากมาย ความรุนแรงทางการ์ตูนอย่างทอมกับเจอรี่ ฟาดๆๆๆกัน ตอนด็กเราก็ชอบดูสนุกๆไม่ได้คิดอะไร แต่พอเอาการ์ตูนหลายๆเรื่องมาดูดีๆแล้ว มันมีความรุนแรงแฝงอยู่ลึกๆ ซึ่งเด็กสามารถซึมซับและเลียนแบบได้ จนไปถึงเกมส์บางอย่างที่รุนแรงเหมือนกัน  เหมือนที่แบนดูร่าทดลองน่ะ ให้ดูภาพการเล่นที่รุนแรง แม้จะแค่แปบเดียว แต่พอให้เด็กลองเล่นดูบ้าง เราจะเห็นได้ว่า เด็กเลียนแบบพฤติกรรม จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 16:50:48

ความคิดเห็นที่ 39 ทดลองเปลี่ยนเพศทารก ... เอ่อ ................. จากคุณ : Lunar_Eclipse (Moonlight-Eclipse) เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 17:24:05

ความคิดเห็นที่ 40 ในไทยเราก็มีครับ การทดลองคือ ครูในห้องจะถามคำถามในบทเรียน ใครตอบได้นั่งลงโชคดี ไม่ได้รับคำชมปรบมือใดๆ ใครตอบไม่ได้โดนตี โดนลงโทษให้เจ็บหรืออาย เมื่อเด็กเจ็บหรืออายก็จะฝังลึกลงไป ทำให้เมื่อโตขึ้น เด็กๆก็ไม่กล้าออกเสียงหรือออกความคิด ไม่กล้าถามสิ่งที่ไม่เข้าใจ การทดลองนั้น การศึกษาไทยนั้นเอง .... แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 55 18:48:31 จากคุณ : Mr.thanyawat เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 18:40:15

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่การเมืองกันบ้างจะได้มั้ย...ซักเรื่องเหอะ จากคุณ : Pigusto เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 19:35:58

ความคิดเห็นที่ 43 ถ้ามีเด็กถูกทดลองตั้งแต่แบบเบาะจนโต ในหนังเรื่อง The Truman Show ผมว่าก็น่าสงสารนะ เหมือนเป็นสินค้า เนื้อเรื่อง ทรูแมน เบอร์แบงค์ (จิม แคร์รี) เป็นหนุ่มชาวอเมริกันธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่มีวิถีชีวิตปกติสุข เขามีภรรยาที่แสนดี (ลอร่า ลินนีย์) ที่เป็นนางพยาบาล เป็นคู่ชีวิต แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีกล้องวิดีโอตกลงมาจากฟ้า เขาจึงตั้งข้อสงสัย ต่อมาเขาได้พบความผิดปกติขึ้นเรื่อย ๆ ในชีวิตประจำวันของเขา แต่คนรอบข้างเขาไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ภรรยาหรือเพื่อน ๆ ก็พยายามปลอบใจว่าไม่มีอะไร จนกระทั่งวันหนึ่ง ทรูแมนได้พบกับ ลอเรน ซิลเวียร์ (นาตาชา แมคเอลฮอล) อดีตคนรัก เธอพยายามบอกทรูแมนว่า ชีวิตของเขานั้นไม่ใช้คนธรรมดา แต่แล้วเธอก็ดูเหมือนถูกคุกคามจากกลุ่มคนลึกลับ จนในที่สุด ทรูแมนก็พบว่า ชีวิตของเขานั้นเป็นเพียงตัวละครตัวหนึ่งในรายการเรียลลิตี้ที่ชื่อ Truman Show ซึ่งเป็นรายการโทรทัศน์ที่มียอดคนดูมากที่สุดในโลก โดยมี คริสตอฟ (เอ็ด แฮร์ริส) เป็นผู้กำกับ ซึ่งได้กำหนดชีวิตให้เขามาตั้งแต่ก่อนเขาจะเกิดซะอีก ซึ่งทำให้ทรูแมนพยายามจะหนีออกจากโลกสมมติใบนี้ให้ได้ จากคุณ : สีตุ่น เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 20:57:09

ความคิดเห็นที่ 44 คห สี่สิบ เราเองก็ถูกทดลองมาแบบนั้นเช่นกัน เราก็เลยไม่ทำแบบนั้นกับพวกเด็กๆเช่นเดียวกัน จากคุณ : Fuya เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 20:58:01

ความคิดเห็นที่ 45 ใช่ๆ  คนไทยก็กำัลังถูกทดลอง จากคุณ : นู๋นัน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 21:04:48

ความคิดเห็นที่ 46 ทำไมผมอ่านแล้วนึกถึง ละครไทย มีแต่ตบตีแย่งผัวกัน แล้วเด็ก...... เห้อ...พูดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ จากคุณ : NoMoneyNoGirlfriend เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 21:17:52

ความคิดเห็นที่ 47 เหมือน คห.40 ของผมจะจุดประเด็น สิ่งที่ผมบอกไปเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กๆน่ะครับ ผมเลยบอกไปเช่นนั้น ความเห็นอื่นอย่ายาวไปถึงการมงการเมืองเลยครับ ปล.สุดท้ายนี้ขอบคุณ จขกท. ด้วย ผมกำลังเลี้ยงลูกอายุ 4 เดือนพอดี จากคุณ : Mr.thanyawat เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 21:37:12

ความคิดเห็นที่ 48 การทดลองของไทยอีกอย่างคือ ห้ามเด็กคิดแย้งกับครู เด็กที่คิดไม่เหมือนครูแปลว่าเด็กคิดผิด ไม่สนใจจำ โตขึ้นมาจะได้ปกครองง่ายๆ จากคุณ : jc (jaycee) เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 23:15:03

ความคิดเห็นที่ 49 http://en.wikipedia.org/wiki/Kid_Nation reality TV สร้างเกมส์ลักษณะคล้ายการทดลองในสมัยก่อนโดยไม่ผิดกฏหมาย... แต่ก็ยังมีหลุดๆอยู่เรื่อยๆ จากคุณ : abstract เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 55 01:25:49 A:58.11.134.180 X: TicketID:071021

ความคิดเห็นที่ 50 แล้วรายการ คนอวดผี ตอนที่ผ่านมา ถือเป็นการทดลองกับเด็กละป่าวครับ จากคุณ : แดง สุขุมวิท เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 55 08:36:34

ความคิดเห็นที่ 51 คห. 31 ผมว่าการทดลองให้เด็กคลานนั้นเป็นการทดลองที่ "ทำร้ายจิตใจ" ของเด็กทารกนะครับ เด็กทารก อาจจะคิดอยู่ในใจแล้วก็เป็นได้  แต่พูดออกมาไม่ได้เท่านั้น "เวน จะให้ตรูบินไปเอาของเล่นหรืออย่างไรฟร๊ะ ก็ข้างหน้ามันเป็นเหวนี้ คลานไปตรูก็ตกลงไปสิ" อีกใจก็อยากได้ของเล่น อีกใจก็รู้ว่ามันไปไม่ได้  ก็เลยร้องไห้เรียกร้องสิทธิ์ ละครับ แต่ว่าเพื่อข้อมูลทางการวิจัยเพื่อการนำไปพัฒนาต่อก็ต้องยอมทำร้ายจิตใจเด็กละครับผม ... .. . จากคุณ : แง่มๆ น้องหมา 2 ปี เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 55 16:01:06

ความคิดเห็นที่ 52 อ่านเรื่องแรกแล้วนึกถึงพวกรายการ Survivor แต่นั่นก็ผู้ใหญ่แล้วอะเนอะ จากคุณ : goHm เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 55 16:52:52

ความคิดเห็นที่ 53 ตอนนี้เลยครับ รายการนมอวดผี ที่เอาเด็กที่แม่ตายไป3วันมาออกรายการ แล้วพยายามเค้นและให้เด็กรับรู้ให้ได้ว่า แม่เด็กตายไปแล้วนั่นเอง จากคุณ : [Radio Edit] เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 55 19:14:02

ความคิดเห็นที่ 54 Robbers Cave Experiment ผมนึกถึงมหาภารตะนะครับ ที่มีพี่น้อง 2 ตระกูล (เการพ ปาณฑพ) ที่จริง ๆ ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน อยู่วังเดียวกัน เรียนวิชากับครูคนเดียวกัน แต่ถูกเสี้ยมให้เกลียดชังกันและกัน ถึงขนาดว่าฝ่ายหนึ่งสามารถวางแผนฆ่าอีกฝ่ายได้อย่างเลือดเย็ํน สุดท้าย ทั้ง 2 ฝ่ายก็ยกพวกมาห้ำหั่นกันและกัน กลายเป็นสงครามและความสูญเสีย จากคุณ : ABP@BDZ เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 55 23:50:04

ความคิดเห็นที่ 55 ถ้าของผู้ใหญ่ยังมีอีกที่ไทยไปซื้อเค๊ามาฉายบ้าง ทำเองบ้าง แต่ไม่ใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์... หรืออาจจะแค่ไม่มีใครศึกษามัน จิตวิทยาเชิงลบ http://en.wikipedia.org/wiki/Solitary_(TV_series) http://en.wikipedia.org/wiki/Weakest_Link http://en.wikipedia.org/wiki/The_Apprentice_(TV_series) จิตวิทยาเชิงบวก http://en.wikipedia.org/wiki/Minute_to_Win_It http://en.wikipedia.org/wiki/The_Apprentice_(TV_series) จากคุณ : abstract เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 01:13:16 A:124.120.1.12 X: TicketID:071021

ความคิดเห็นที่ 56 อันสุดท้ายใส่ผิด ต้องอันนี้ต่างหาก http://en.wikipedia.org/wiki/The_Biggest_Loser จากคุณ : abstract เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 01:14:33 A:124.120.1.12 X: TicketID:071021

ความคิดเห็นที่ 57 กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ทำให้ต้องหันกลับมามองย้อนสังคมไทยเหมือนกันนะเนี่ย จากคุณ : production เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 03:28:35

ความคิดเห็นที่ 58 เราเป็นคนนึง ที่คิดว่า จริงๆ แล้ว การเลี้ยงดู อบรม สั่งสอน ตัวอย่าง และ สภาพครอบครัวสำคัญมาก แต่... แค่ส่วนเดียว จริงๆ ที่เหลือ ก็แล้วแต่เวรกรรม เพราะหลายครั้ง หลายหน ก็เห็นว่า พ่อแม่บางคน ก็ดี๊ดี ครอบครัวอบอุ่น แต่ ก็ได้ลูกที่ นิสัยไม่ดีมา อีกอย่างคือ บางครั้ง เราก็สับสนกับการเลี้ยงดูสมัยนี้เหมือนกัน พ่อแม่ส่วนใหญ่ พยายามลบปมตัวเองโดยการให้กำเนิดลูกมา แล้วก็เลี้ยงดูลูก อย่างที่ตัวเองไม่เคยได้ คิดไปเองว่า ลูกก็คงอยากได้เหมือนกัน เช่น ลูกไม่ได้ชอบดนตรี แต่ก็ยัดเหยียดให้ลูกไปเรียน อยากให้ลูกเป็นโน่น เป็นนี่ เป็นนั่น เพราะตัวเองเคยอยากได้ อยากเป็น จนลืมคิดที่ความเหมาะสมบางอย่าง พยายามเลี้ยงลูกให้เป็นเพื่อน คือ ... ทำทุกอย่างให้ดูเป็น คุณพ่อ คุณแม่ ที่ทันสมัย หรือ ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง ไม่ให้ลูกคิดแก้ปัญหาเอง หลีกเลี่ยงให้ลูกเจ็บปวด เลี้ยงดูเหมือน พ่อแม่เป็นรีโมท โดยไม่คิดว่า ต้องมีซักวันที่พ่อแม่ต้องตาย นั่นแปลว่า รีโมท ได้หายไปจากชีวิตลูกของเขาแล้ว แล้วเขาจะอยู่ได้ยังไง กับการที่ไม่มีใครคอยสั่งว่าต้องทำยังไง !!!!!! ทุกอย่าง พอดี พอประมาณ กลางๆไว้ ไม่ตึงไม่หย่อน ดีที่สุด จากคุณ : อยากน่ารักน้อยลง เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 14:27:03

ความคิดเห็นที่ 59 อ้อ ขอเพิ่มเติม อีกนิดค่ะ การแข่งขัน ในระหว่างพ่อแม่ เหมือนกัน พ่อแม่บ้านนี้ แข่งขัน กับ พ่อแม่บ้านอื่น คุยทับกันไป ทับกันมา ว่า ลูกฉันดีกว่าอย่างโน่น เก่งกว่า อย่างนี้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า จะไปปลุกกระแสให้เป็นเรื่องกันทำไม บางบ้าน เขี่ยวเข็นให้ลูกเรียนซะจนลืม ชีวิตปกติ เรียนมันอย่างเดียว วันปกติ เรียน ตอนเย็นเรียนพิเศษ วันเสาร์ ติวเตอร์ วันอาทิตย์ เรียนดนตรี เรียน เรียน เรียน เพราะคิดว่า ถ้าเรียนมากๆ แล้วจะทำให้ลูกฉันเก่ง ทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ทั้งหมด ลองคิดดูดีๆ ว่า ทำเพื่อลูกจริงๆ หรอ ให้เรียนทุกอย่างเลย ยกเว้น การใช้ชีวิต มารยาท และ ความมีน้ำใจ สั่งสอนให้ลูกมองอย่างเดียว แทนที่จะมองไปรอบๆ พอผิดหวัง ก็ทนอะไรไม่ค่อยได้ จัดการไม่ได้ เพราะไม่เคยเป็น เด็กสมัยนี้ ภูมิคุ้มกันก็น้อยลง ว่านิด ว่าหน่อย เป็นโรคซึมเศร้า หนักๆ เข้า ฆ่าตัวตายกันซะเลย ผู้ปกครองได้รู้สึกผิด วิจารณญาณ ก็น้อยลง การแก้ปัญหา ก็น้อยลง ไม่ว่าอะไรผิด ทุกอย่าง โทษครอบครัวไม่อบอุ่น คือ...เอาจริงๆ นะ ความผิดบางอย่าง มันไม่ได้ซับซ้อนถึงขนาดคิดเองไม่ได้ เช่น การขโมย การผิดลูกผิดเมีย การติดยาเสพติด มันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ลูกว่า เป็นเรื่องที่ผิด แต่สุดท้าย พอทำผิด ก็โทษครอบครัว ไม่อบอุ่น บางปัญหา เชื่อเหอะ เขาลูกว่ามันผิด แต่บางครั้ง อยากได้รับการยอมรับ จากเพื่อนบ้าง จากสภาพแวดล้อมบ้าง ไม่กล้าคิดต่างในทางที่ถูก ก็เลยต้องทำ ถามว่า ... ความคิดแบบนี้เด็กไหม อะไรที่เรียกว่าเด็กล่ะ อายุ ??? หรือ นิสัย ถ้าเป็นอายุ บางคน จนตายก็ยังนิสัยแบบนี้ บางคน ยังไม่ทันทำบัตรก็โตพอที่รับผิดชอบ รู้ผิดชั่วแล้ว หยุดการแข่งกัน ของผู้ปกครอบเถอะ อย่าใช้ลูกเป็นเครื่องมือ เพียงแค่ อยากชนะในเรื่องไม่เป็นเรื่อง จากคุณ : อยากน่ารักน้อยลง เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 14:39:28

ความคิดเห็นที่ 60 เด็กไทยก็ล้างสมองง่ายครับ แค่ครูบอกทุกวันว่า เด็กคนนั้นเป็นเด็กไม่ดี ไม่เกิน 7-10 วันครับ เด็กจะกลายเป็นเด็กไม่ดี และทุกคนจะเต็มใจเชื่อว่าเด็กคนนั้นไม่ดี จากคุณ : เจตวิมุติ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 15:10:45

ความคิดเห็นที่ 61 ทุกวันนี้เราก็กำลังถูกทดลองอยู่รึเปล่า จากคุณ : Mr.Ti เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 55 15:47:32

ความคิดเห็นที่ 62 รายการคนอวดผีล่าสุดที่เป็นประเด็นอยู่ ไม่ใช่การทดลองกับเด็ด แต่เป็นการหากินกับเด็ก (รวมถึงทารุณกรรมเด็กด้วย) ทุกวันนี้ ลูกหลานใครถูกเชิญไปออกทีวี อย่านับว่าโชคดีเลย แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 55 08:18:55 จากคุณ : RX-93 เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 08:17:46

ความคิดเห็นที่ 63 เคสแรกนี่ จำได้ว่า เคยมีหนังที่สร้างขึ้นมา คล้ายๆแบบนี้ แต่คือเรือแตกรึไงเนี่ย ผู้ใหญ่ที่คุมเหล่าเด็กๆมา(ค่ายลูกเสือ)ตาย เด็กๆต้องดูแลตัวเอง แล้วความที่ติดเกาะ ก็แบ่งกลุ่มกันเพื่อหาอาหาร เอาตัวรอด แล้วไปๆมาๆ ฆ่ากันเอง นึกชื่อเรื่องไม่ออก จำได้ว่าตอนเด็กๆดู ก็น่ากลัวนะ แต่เรื่องของDavid อ่านแล้วเศร้ามาก เสิร์ชเจอสารคดีเกี่ยวกับเค้าด้วย จากคุณ : มินเอง เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 19:41:03

ความคิดเห็นที่ 64 แต่เรื่องเด็กทารกเราว่าไม่เหมาะสม เมื่อเด็กมีสัญชาตญาณการป้องกันตัวเอง การทดลองโดยใช้แม่เป็นตัวล่อเหมือนทำให้เด็กต้องเลือก ทั้งๆที่อันตราย มันต้องฝังใจเด็กอย่างแน่นอน แต่คงไม่มีใครตามดูเด็กที่ถูกทดสอบหรอกว่า เมื่อเขาเติบโตมานิสัยใจคอเขาเป็นอย่างไร จากคุณ : Diesel Engine เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 21:51:55

ความคิดเห็นที่ 65 คห 63 เรื่อง Lord of the Flies ค่ะ จากคุณ : Govinda Gopala เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 00:16:01

ความคิดเห็นที่ 66 เรื่องเด็กคลานเนี่ย หลานของผมเคยเจอกับตัวโดยบังเอิญด้วย ตอนนั้นน้องเค้าเพิ่งเดินได้ แล้วพื้นบ้านผมในห้องเป็นกระเบื้องสีขาว แต่ออกมาที่ห้องโถงจะเป็นกระเบื้องสีดำ เปิดประตูไว้ แล้วเรียกให้น้องเดือนมาหา เดินจากสีขาว มาที่สีดำ (ผมกับแม่เค้านั่งอยู่บริเวณกระเบื้องสีดำ) ตรงช่วงรอยต่อของกระเบื้อง น้องไม่กล้าเดินมาตรง ๆ ครับ น้องพยายามเกาะประตู แล้วเอาขาข้างนึง ยื่นมาแตะ ๆ ฝั่งกระเบื้องสีดำ ผมกับแม่เค้าเห็น ก็ขำกันว่า เออ เด็กมันก็รู้เรื่องเนอะ คงคิดว่าพื้นไม่เหมือนเดิม ถ้าจะเดินไป จะเป็นอะไรรึเปล่า แต่สุดท้ายน้องก็เดินมาหาครับ หลังจากลองเอาเท้าแตะดูแล้วก็มั่นใจว่าเหยียบได้ จากคุณ : basicguy เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 55 01:38:59