ความคิดเห็นที่ 1 . จากคุณ : จุ๊กกุ๊กจัง เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:16:42

ความคิดเห็นที่ 2 .. จากคุณ : จุ๊กกุ๊กจัง เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:17:19

ความคิดเห็นที่ 3 ... จากคุณ : จุ๊กกุ๊กจัง เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:17:39

ความคิดเห็นที่ 4 สวัสดีครับหนุ่มๆสาวๆแห่งปิ๊งๆๆๆๆ และผู้ที่กำลังจะมาสมัครเข้าบ้าน และผู้เยี่ยมชมบ้านทั้งหลายครับ ถ้าจะให้กิฟท์แก่ผู้เปิดบ้าน ก็จะสร้างกำลังใจได้เยอะครับ และจะได้รู้ด้วยว่า มีพี่ๆน้องๆท่านใดมาบ้างแล้วหรือไม่ครับ ข่าวสารและข้อมูลทั้งมีสาระและไม่มีสาระ นำมาเพื่อคิดพิจารณาและวิเคราะห์ ไปด้วยอารมณ์ดีๆด้วยกันนะครับ จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:26:51

ความคิดเห็นที่ 5 กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น. วันนี้ ( 11 ธันวาคม 2555 )บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ในวันพรุ่งนี้ (12 ธ.ค. 55) ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีอากาศเย็นลง โดยอุณหภูมิ จะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส และมีน้ำค้างแข็งบางแห่งตามบริเวณยอดดอยในภาคเหนือ สำหรับ ลมตะวันออกพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนกระจายในระยะนี้ พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้. ภาคเหนือ มีหมอกในตอนเช้า ทางตอนบนของภาค อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-15 องศาเซลเซียส ส่วนทางตอนล่างของภาค อากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 3-13 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ส่วนมากทางด้านตะวันตกของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภูอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-17 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ภาคกลาง อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 17-23 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ภาคตะวันออก มีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากตามบริเวณชายฝั่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 17-23 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎรธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส อ่าวไทยตอนบนตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานีขึ้นมา : ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร อ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป: ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีหมอกบางในตอนเช้า กับมีฝนบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. สำนักงานเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานเกิดแผ่นดินไหวเมื่อเวลา 00.34 น.วันนี้ ( 11 ธันวาคม 2555 ) จุดศูนย์กลางที่ KEPULAUAN TALAUD, INDONESIA  ขนาด : 4.9 ริกเตอร์   พิกัดละติจูด : 3° 46' 48'' เหนือ ลองจิจูด : 127° 22' 12'' ตะวันออก  ความลึกจากระดับผิวดิน : 60 กิโลเมตร จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:31:36

ความคิดเห็นที่ 6 Good Morning News จากกองทุนบัวหลวง - 11 ธันวาคม 2555 General News ------------------ • ธ.กลางเยอรมนี ลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ลงสู่ 0.7% จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 1.0% และคาดว่าปีหน้าจะขยายตัวเพียง 0.4% จากเดิมที่คาดว่าจะเป็น 1.6% โดยอัตราว่างงานมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นแตะ 7.2% ในปีหน้าจาก 6.8% ในปีนี้ • นายกรัฐมนตรี มาริโอ มอนติ ของอิตาลี แถลงในทำเนียบว่า หากร่างกฎหมายงบประมาณผ่านรัฐสภาได้เร็วเขาจะลาออกในทันที ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในอิตาลีระบุว่าการขาดเสียงหนุนทางการเมืองส่งผลให้การฟื้นฟูภาคการเงินของรัฐบาลเปราะบาง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความเสี่ยงของมาตรการรัดเข็มขัดที่อาจทำให้เศรษฐกิจอิตาลีซึ่งอยู่ในภาวะถดถอยอยู่แล้วต้องสะดุดลง • ก.แรงงานสหรัฐ รายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรปรับตัวขึ้นสูงเกินคาดถึง 146,000 ตำแหน่งในเดือน พ.ย. ขณะที่อัตราว่างงานลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปีที่ 7.7% เมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 7.9% ตัวเลขที่ดีเกินคาดนี้ บ่งชี้ว่า พายุเฮอริเคนแซนดี้ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานในสหรัฐเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายระบุว่า การที่อัตราว่างงานลดลงนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ว่างงานมาเนิ่นนานเกิดความท้อแท้ และไม่รายงานตัวต่อ ก.แรงงาน อีกต่อไป กลุ่มคนเหล่านี้จึงไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลว่างงานของ ก.แรงงาน • สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติของสหรัฐ (NFIB) เปิดเผยว่า การจ้างงานของธุรกิจขนาดย่อมลดลงสู่ -0.04 ในเดือน พ.ย. จาก +0.02 ในเดือน ต.ค. เนื่องจากแซนดีส่งผลให้บริษัทขนาดย่อมหลายพันแห่งปิดตามแนวชายฝั่งตะวันออก และยังไม่ได้เปิดดำเนินการอีกครั้งเป็นจำนวนมาก • ธ.กลางสหรัฐ รายงานว่า ความมั่งคั่งของครัวเรือนในประเทศเพิ่มขึ้น 2.7% ในไตรมาส 3 เพราะได้ปัจจัยหนุนจากมูลค่าบ้านและราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน หนี้สินภาคครัวเรือน และหนี้สินเชื่อบ้านหดตัวลง 2% และ 3% ตามลำดับ • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐต้นเดือน ธ.ค. ร่วงลงแตะ 74.5 จาก 82.6 ในเดือนก่อน ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน และลดลงครั้งแรกหลังจากที่ขึ้นมา 4 เดือนติดต่อกัน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการลดการใช้จ่ายภาคครัวเรือน • ก.สถานการณ์ฉุกเฉินของรัสเซีย เปิดเผยว่า กำลังเฝ้าระวังเหตุปะทุของภูเขาไฟ “พลอสกี โทลบาจิก” บริเวณคาบสมุทรคัมชัตกาที่งกว่า 3,085 เมตรเหนือน้ำทะเล เพราะปะทุต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายเดือนก่อน ทั้งที่สงบนิ่งมานานถึง 36 ปี โดยเกรงว่าจะเกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น • ส.สถิติ ออสเตรเลีย รายงานว่า ยอดปล่อยสินเชื่อบ้านเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่อ่อนตัวกว่าที่คาด ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ธนาคารกลางออสเตรเลียอาจจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีหน้า • ศุลกากรจีน รายงานว่า ยอดส่งออกของจีนเพิ่มขึ้น 2.9% ในเดือน พ.ย. เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนการนำเข้าทรงตัว ส่วนยอดเกินดุลการค้าระหว่างประเทศลดลงเหลือ 1.96 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิม 3.19 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน ต.ค. • ส.สถิติแห่งชาติจีน รายงานว่า ยอดลงทุนในสินทรัพย์คงที่ของจีนเพิ่มขึ้น 20.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ไปแตะ 32.32 ล้านล้านหยวนในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ทั้งนี้ การลงทุนในภาคกลางของจีนขยายตัว 26.2% รองลงมาเป็นภาคตะวันตกที่ขยาย 24.2% และภาคตะวันออกที่ 18% • ส.สถิติแห่งชาติของจีน รายงานว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตของจีนลดลง 2.2% ในเดือน พ.ย. เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นการปรับตัวลง 9 เดือนติดต่อกัน โดยดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อของประเทศ เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 10.1% โดยการขยายตัวอย่างรวดเร็วในเดือน พ.ย. บ่งชี้ว่า จีนกำลังฟื้นตัวขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการสนับสนุนการขยายตัวและการผ่อนปรนนโยบายของทางรัฐบาล • อัตราการขยายตัวของ GDP ญี่ปุ่นในไตรมาส 3 ที่ทบทวนแล้วกลายเป็นหดตัว 3.5% ต่อปี เพราะมีการปรับลดการลงทุนในภาคสาธารณะ แม้ความต้องการในภาคเอกชน เช่น การใช้เงินทุนจะถูกปรับให้อยู่ในช่วงขาขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นในไตรมาส 4 เป็นติดลบ 5.5 จากเดิมบวก 2.2 ในไตรมาสที่แล้ว โดยติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ไตรมาส เนื่องจากการผลิตและการส่งออกอ่อนตัวลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากข้อพิพาทดินแดนกับจีน • ก.คลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ต.ค. ร่วงลง 29.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการส่งออกอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงขาลง • รัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยว่า เป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นได้เข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง หลังจากที่ดัชนีบ่งชี้เศรษฐกิจร่วงลง 7 เดือนติดต่อกันในเดือน ต.ค. โดย Coincident Economic Indicators ร่วงลง 0.9% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. • รอยเตอร์ รายงานผลสำรวจว่า สิ่งที่บริษัทผู้ผลิตของญี่ปุ่นครึ่งหนึ่งต้องการให้ผู้ชนะการเลือกตั้งรัฐสภาในเดือนนี้ทำมากที่สุดก็คือ “ผลักดันให้เยนอ่อนค่าลง” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น • รัฐบาลญี่ปุ่น ระบุว่า ยังไม่พบความผิดปกติที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในฟูกุชิมะ มิยางิ และ อาโมโมริ หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหว 7.3 ริกเตอร์ทางภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น • ธ.กลางเกาหลีใต้ รายงานว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตของเกาหลีใต้เดือน พ.ย.อ่อนตัวลง 0.6% เมื่อเทียบกับเดือน ต.ค. และอ่อนตัว 0.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากราคาน้ำมันโลกร่วงลงต่อเนื่อง และเงินวอนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ • ส.สถิติแห่งชาติเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ภาคการผลิตเกาหลีใต้ขยายตัว 0.4% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีก่อน ขยายตัวต่ำสุดในรอบมากกว่า 3 ปี เนื่องจากอุปสงค์เพื่อการส่งออกและอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแรงลงท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก • โฆษกรัฐบาล รายงานว่า จีนสนใจลงทุนโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงของไทย โดยจีนยืนยันว่ารถไฟฟ้าจีนมีราคาถูก ก่อสร้างไว คุณภาพดี และมีราคาก่อสร้างต่ำกว่าคู่แข่ง โดยจะใช้เวลาก่อสร้างแต่ละสาย 6-7 ปี ทั้งนี้ ไทย-จีน ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือรถไฟไปแล้วเมื่อวันที่ 17 เม.ย. ปีนี้ ซึ่งจีนได้ศึกษาเส้นทาง กทม-เชียงใหม่ และ กทม.-หนองคาย แล้ว Equity Market ------------------ • SET Index ปิดที่ 1,334.95 จุด ลดลง 4.93 จุด หรือ -0.37% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 35,194.67 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 103.04 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลด สวนทางกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก Fixed Income Market -------------------------- • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอยู่ในช่วงระหว่าง -0.01% ถึง 0.01% Guru Corner --------------- • Bill Gates ”ลูกค้าที่ไม่มีความสุขกับสินค้าและบริการของคุณมากที่สุด จะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของบริษัท” ”โลกไม่ได้แคร์เกี่ยวกับความชื่นชมในตัวเองของเรา โลกหวังว่าเราจะทำอะไรสำเร็จสักอย่างก่อนที่เราจะเริ่มรู้สึกดีๆ ต่อตัวเอง” • Peter Schiff ”อันตรายที่แท้จริงของสหรัฐไม่ใช่การตกหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) แต่เป็นการที่ไม่ยอมตกลงไป เพราะมันจะทำให้เป็นหนี้และขาดดุลงบประมาณมากขึ้น” http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=38809 จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:31:41

ความคิดเห็นที่ 7 พระร่วงโรจนฤทธิ์                                -   มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก                -   หากใครอธิษฐานขอพรสิ่งใดก็มักจะได้รับสิ่งนั้นสมดังปรารถนาในทุกประการ                -   พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย                -   ประดิษฐานในซุ้มวิหารทางทิศเหนือหน้าองค์พระปฐมเจดีย์                -   รัชกาลที่  6  โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง                -  พระเศียร  /  พระหัตถ์  /  พระบาท  มาจากเมืองศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย                -   ร. 6  โปรดเกล้าฯ  ให้ช่างทำรูปปั้นขี้ผึ้งปฏิสังขรณ์ให้บริบูรณ์เต็มองค์                -  ทำพิธีหล่อที่วัดพระเชตุพนฯ  เมื่อ  พ.ศ. 2456                -   อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในซุ้มวิหารด้านทิศเหนือตรงกับบันไดใหญ่                -  พระราชทานนามว่า                    "  พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ ธรรมโมภาส มหาวชิราวุธราชปูชนียบพิตร  "                    -   ฐานพระพุทธรูปองค์นี้เป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของ                    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ( รัชกาลที่ 6 ) จากคุณ : จุ๊กกุ๊กจัง เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:33:00

ความคิดเห็นที่ 8 เกิด​แผ่นดิน​ไหว 7.4 ริก​เตอร์ทางตะวันออกของอิน​โดนี​เซีย ​ไม่มี​เตือนสึนามิ สำนักงานอุตุนิยมวิทยา​และธรณีวิทยาของอิน​โดนี​เซียรายงานว่า ​เกิด​แผ่นดิน​ไหวรุน​แรง 7.4 ริก​เตอร์ที่หมู่​เกาะมาลูกุ ​ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของมา​เล​เซีย ​โดย​แผ่น​เดิน​ไหว​เกิดขึ้น​เมื่อ​เวลาประมาณ 23.53 น.​เมื่อวานนี้ตาม​เวลา​ไทย อย่าง​ไร​ก็ตาม ยัง​ไม่มี​การ​เตือนภัยคลื่นสึนามิ ​และ​ไม่มีรายงาน​ความ​เสียหาย​และ​ผู้​เสียชีวิต จน​ถึงขณะนี้ ด้านสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐ (USGS) ​เปิด​เผยว่า USGS วัดระดับ​ความรุน​แรงของ​แผ่นดิน​ไหวครั้งนี้​ได้ที่ 7.2 ริก​เตอร์ ที่ระดับ​ความลึก​ใต้ทะ​เล 155.2 กิ​โล​เมตร http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=38811 จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:33:04

ความคิดเห็นที่ 9 SET แกว่งตัวในแดนลบเมื่อวันศุกร์ รายย่อยซื้อ ฝรั่งขาย ดัชนีหุ้นไทยเมื่อวันศุกร์ ปิดตลาดในแดนลบ ปรับตัวลงไป 4.93 จุด หรือ 0.37% มาอยู่ที่ระดับ 1,334.95 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 35,195 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ – 688.95 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ – 159.71 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ - 10.04 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ + 951.70 ล้านบาท นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผอ.อาวุโส สายงานวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสินบอกในรายการหุ้นโค้งสุดท้าย ว่า สัปดาห์นี้ น้ำหนัก ตัวเลขเศรษฐกิจบวกนิดหน่อย ทั้งในการประชุม FOMC การประชุมของกลุ่มสหภาพยุโรปเพื่อพิจารณาช่วยเหลือกรีซ รวมทั้งการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจีน ดังนั้นในช่วงต้นสัปดาห์ เป็นจังหวะขายทำกำไร และในช่วงปลายสัปดาห์จะเห็นดัชนีปรับตัวลงเล็กน้อย และหลังกลางเดือนเป็นต้นไป เม็ดเงินจาก LTF& RMF จะไหลเข้ามามากขึ้น แต่สำหรับนักลงทุนที่รอซื้อหุ้น แนะให้ไปซื้อต้นปีจะดีกว่า เพราะช่วงนั้นสถาบันจะขายหุ้นทำกำไรออกมา โดยไตรมาส 1 ปีที่แล้วขายออกมาถึง 50,000 ล้านบาท จึงน่าจะเป็นจังหวะเข้าซื้อที่ดีกว่า จากการรวบรวมของ Money Channel บริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ ให้กรอบการลงทุนทางด้านเทคนิคและหุ้นแนะนำในสัปดาห์นี้ ดังนี้ บล. ซีไอเอ็มบีไทย ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,328- 1,340 จุด แนะลงทุน WORK บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,325 -1,340 จุด จุด แนะลงทุน OTW ที่มา http://www.moneychannel.co.th/index....-10-08-15.html จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:33:44

ความคิดเห็นที่ 10 ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนและเยอรมนี ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถสกัดปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะหน้าผาการคลังของสหรัฐ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 14.75 จุด หรือ 0.11% ปิดที่ 13,169.88 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 0.48 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 1,418.55 จุด ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 8.92 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 2,986.96 จุด ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน ด้านเยอรมนีรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนต.ค.ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังจากที่ร่วงลง 2.45 ในเดือนพ.ย. อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลังในสหรัฐ รวมทั้งข่าวที่ว่านายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลีจะประกาศลาออกภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าการลาออกของนายมอนติจะยิ่งทำให้สถานการณ์ด้านการเงินของอิตาลีย่ำแย่ลงอีก หุ้นแมคโดนัลด์ พุ่งขึ้น 1.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 2.4% ในเดือนพ.ย. หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ดีดตัวขึ้น โดยหุ้นนิวมอนท์ ไมนิ่ง พุ่งขึ้น 1.6% ขณะที่หุ้นคลิฟส์ เนเชอรัล ทะยานขึ้น 4.5% หุ้นอเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (AIG) ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลง 2.3% เนื่องจากผลกระทบของพายุเฮอริเคนแซนดี้มีแนวโน้มว่าจะทำให้ต้นทุนการจ่ายเงินสินไหมทดแทนของบริษัทพุ่งขึ้นเป็น 1.3 พันล้านดอลลาร์ จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:34:00

ความคิดเห็นที่ 11 ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $8.9 หลังจีน​เผยข้อมูลศก.​แข็ง​แกร่ง สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้น​เมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) ​เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูล​เศรษฐกิจที่​แข็ง​แกร่งของจีน พร้อมกับจับตาดู​ความคืบหน้า​ใน​การ​เจรจา​เพื่อหลีก​เลี่ยงภาวะหน้าผา​การ คลัง (fiscal cliff) ของสหรัฐ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบ​เดือนก.พ.​เพิ่มขึ้น 8.9 ดอลลาร์ ​หรือ 0.52% ปิดที่ 1,714.4 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจาก​เคลื่อนตัว​ในช่วง 1703.30 - 1718.80 ดอลลาร์ สัญญา​โลหะ​เงินส่งมอบ​เดือนมี.ค.ปิดที่ 33.377 ดอลลาร์/ออนซ์ ​เพิ่มขึ้น 0.246 ดอลลาร์ ​และสัญญา​โลหะทอง​แดงส่งมอบ​เดือนมี.ค.ปิดที่ 3.7060 ดอลลาร์/ปอนด์ ​เพิ่มขึ้น 4.3 ​เซนต์ สัญญาพลาตินัมส่งมอบ​เดือนม.ค.ปิดที่ 1623.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ​เพิ่มขึ้น 16.30 ดอลลาร์ ​และสัญญาพัลลา​เดียมส่งมอบ​เดือนมี.ค.ปิดที่ 704.75 ดอลลาร์/ออนซ์ ​เพิ่มขึ้น 6.75 ดอลลาร์ สัญญาทองคำพุ่งขึ้น​เพราะ​ได้​แรงหนุนจากข้อมูล​เศรษฐกิจที่​แข็ง​แกร่ง ของจีน ​โดยสำนักงานสถิติ​แห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม​เดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% ​เมื่อ​เทียบ​เป็นรายปี ​หรือ​เพิ่มขึ้น 9.6% ​เมื่อ​เทียบ​เป็นราย​เดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกของจีนพุ่งขึ้น​เพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวน​เมื่อ​เทียบ​เป็นรายปี ​ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีก​ในช่วง 11 ​เดือน​แรกทะยานขึ้น 14.2% ​เมื่อ​เทียบ​เป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน นอกจากนี้ สัญญาทองคำยัง​ได้รับปัจจัยบวกจาก​การคาด​การณ์ที่ว่า สกุล​เงินดอลลาร์มี​แนว​โน้มอ่อนตัวลงอีก​เนื่องจาก​ความวิตกกังวลที่ว่า​ทำ ​เนียบขาว​และสภาคอง​เกรสสหรัฐอาจจะ​ไม่สามารถ​ทำข้อตกลง​เพื่อหลีก​เลี่ยง ภาวะหน้าผา​การคลัง ขณะ​เดียวกันทองคำ​ได้รับ​แรงหนุนจาก​การคาด​การณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (​เฟด) อาจจะประกาศ​ใช้มาตร​การกระตุ้น​เศรษฐกิจ​เพิ่ม​เติม​ใน​การประชุมวันที่ 11 ธ.ค.นี้ http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=38810 จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:34:42

ความคิดเห็นที่ 12 ราคาทองคำโลกย้อนหลัง 40 ปี จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:35:09

ความคิดเห็นที่ 13 OUE เปิดฉากทำสงครามราคาซื้อหุ้น F&N กับกลุ่มเจริญ OUE ขยายกำหนดเวลาการเสนอซื้อหุ้น F&N ออกไป เปิดฉากการทำสงครามซื้อหุ้น F&N กับเสี่ยเจริญ หลังจาก กลุ่มบริษัทของ เจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ขยายกำหนดเวลาการเข้าเสนอซื้อหุ้นบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ หรือ F&N ออกไปเป็นวันที่ 11 ธันวาคม ล่าสุด กลุ่มบริษัท โอเวรอ์ซีส์ ยูเนียน เอ็นเตอร์ไพรเซส หรือ OUE ก็ได้ขยายกำหนดเวลาการเสนอซื้อหุ้น บริษัท F&N ออกไปเป็นวันที่ 3 มกราคม 2556 เช่นกัน โดย นักวิเคราะห์มองว่า การขยายกำหนดการเสนอซื้อหุ้น F&N ออกเป็น ของทั้ง 2 กลุ่ม เป็นการเปิดฉากทำสงครามราคาเพื่อซื้อหุ้น F&N อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของ ดีเอ็มจี แอนด์ พาร์ทเนอร์ส ซีเคียวริตี้ส์ นายโก๊ะ ฮัน เพง บอกว่า กลุ่มของ เจริญ สิริวัฒนภักดี กำลังแข่งขันกับ สตีเฟน ไรดี้ นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในภูมิภาคนี้ และมีข่าวว่า กลุ่ม OUE กำลังกู้เงินระยะสั้นสูงถึง 8 พัน 5 ร้อย - 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับเป็นการกู้เงินระยะสั้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดอีกครั้งหนึ่งของภูมิภาคเอเซียเพื่อเสนอซื้อหุ้น F&N จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:35:46

ความคิดเห็นที่ 14 "เบอร์ลี่ ยุคเกอร์"  กรุยทางเปิดตัวกลุ่มธุรกิจรีเทลเต็มรูปแบบ ประเดิมเปิด 'BJC'Smart' ร้านคอนวีเนียน สโตร์ โมเดลใหม่ "มัลติ ฟอร์แมท มัลติบิสิเนส มัลติ คันทรี" ผสมผสานทั้งขายผ่านหน้าร้าน  - บีเจซี สมาร์ท บอร์ด ในรูปแบบ QR Code  ชูเรือธงขยายตลาดอาเซียน นำร่องเวียดนามในต้นปีหน้า ขณะที่ประเทศไทยเตรียมผุดสมาร์ท บอร์ดกระจายทั่วกรุง เผยดีเดย์เปิดร้านขายยา และร้านจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ากลางปีหน้า มั่นใจ 2 ปีดันรายได้กลุ่มรีเทล ติดท็อปไฟว์    นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ด้วยนโยบายของบริษัทที่มุ่งขยายธุรกิจปลายน้ำ  เพื่อมุ่งนำเสนอสินค้าไปยังผู้บริโภคในวงกว้างทั้งในประเทศไทย  อาเซียน เอเชีย และทั่วโลก ทำให้บริษัทมุ่งสร้างเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกผ่านรูปแบบต่างๆ และล่าสุดบริษัทได้เริ่มดำเนินการกลุ่มธุรกิจค้าปลีก (รีเทล) ขึ้นเป็น 1 ใน 7 กลุ่มธุรกิจของบริษัท หลังจากที่มีการปรับโครงสร้างใหม่ พร้อมเดินหน้ารุกธุรกิจเต็มรูปแบบ หลังจากศึกษาตลาดมานาน โดยจะเปิดตัว บีเจซี สมาร์ท (BJC’S mart) ขึ้น ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยมาก่อน แต่การเปิดให้บริการในรูปแบบของร้านจะเริ่มขึ้นแห่งแรกในต่างประเทศ โดยเบื้องต้นจะเป็นช่วงทดลองและพัฒนาระบบให้ดี ก่อนที่จะเดินหน้าขยายต่อไป    ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ คาดว่าจะเติบโต 20%  ส่วนปี 2556 บริษัทตั้งเป้าที่จะเติบโต 15%  โดยบริษัทยังคงเดินหน้ารุกตลาดในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต    ด้านนายพิษณุ พงษ์วัฒนา  ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่  ฝ่ายธุรกิจค้าปลีก  เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ กล่าวว่า  บริษัทพร้อมเปิดให้บริการธุรกิจค้าปลีกโมเดลใหม่นี้อย่างเต็มที่ หลังจากศึกษามานานร่วมปี  โดยร้านค้าปลีก BJC’S mart อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ "มัลติ ฟอร์แมท-มัลติ บิสิเนส-มัลติ คันทรี"  ซึ่งเป็นการผสมผสานการให้บริการค้าปลีกในรูปแบบที่แตกต่างจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นนวัตกรรมค้าปลีก ทั้งการขายผ่านหน้าร้าน ซึ่งแต่ละสาขาจะมีสินค้าและบริการที่แตกต่างกันไป ภายใต้สินค้ากว่า 8 พันรายการ  และร้านค้าปลีกในรูปแบบของบีเจซี สมาร์ท บอร์ด หรือ BJC’S mart Virtural : QR Code ซึ่งจะติดตั้งอยู่ตามแหล่งชุมชน เช่น สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส, อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ , สนามบิน เป็นต้น  โดยลูกค้าสามารถสแกนสินค้าที่ต้องการและสั่งซื้อ ซึ่งเครื่องจะรับคำสั่งพร้อมจัดส่งสินค้าไปยังสถานที่ที่ต้องการภายใน 24 ชั่วโมง โดยเบื้องต้นจะมีสินค้าจำหน่ายผ่านสมาร์ท บอร์ดกว่า 100 รายการและจะพัฒนาเพิ่มเป็นกว่า 1 พันรายการต่อไปในอนาคต    "ระบบสมาร์ท บอร์ด ประสบความสำเร็จและเป็นที่นิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกา  ยุโรป รวมทั้งหลายประเทศในเอเชีย  และถือเป็นบริการใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนในกลุ่มค้าปลีกประเภทคอนวีเนียน สโตร์  อย่างไรก็ดี ในค้าปลีกรูปแบบดังกล่าว จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งทั้งในด้านโลจิสติกส์และไอที ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทลงทุนด้านระบบไอทีในหลักหลายร้อยล้านบาท และมีแผนจะขยายการลงทุนต่อเนื่องเพื่อพัฒนาระบบให้ดีที่สุด เพื่อใช้เป็นจุดแข็งในการดำเนินธุรกิจ"    อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนจะขยายสาขาในรูปแบบร้านค้าในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ฯลฯ ส่วนในประเทศไทยจะเปิดให้บริการในรูปแบบของบีเจซี สมาร์ท บอร์ดก่อน และหากมีศักยภาพได้รับการตอบรับที่ดี ก็จะขยายในรูปแบบของหน้าร้าน ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยร้านบีเจซี สมาร์ท จะมีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 70 ตร.ม.  ใช้งบลงทุนราว 2-3 ล้านบาท    นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนจะขยายร้านขายยารูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นความร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ลงทุนด้านโนว์ฮาว  ส่วนเบอร์ลี่ จะขยายสาขาภายใต้ชื่อของตนเอง โดยจะเปิดสาขาแรกในกลางปี 2556 เช่นเดียวกับร้านค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งบริษัทจะเปิดให้บริการสาขาแรกในกลางปีหน้าเช่นกัน    นายพิษณุ กล่าวอีกว่า  บริษัทมีความแข็งแกร่งและมีความพร้อมในการลงทุนธุรกิจค้าปลีกเต็มที่  โดยไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อกิจการของใคร ดังเช่นที่เคยเสนอซื้อกิจการของคาร์ฟูร์ และแฟมิลี่มาร์ท โดยจากนี้ต่อไปบริษัทจะมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ของตนเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ดี การที่บริษัทไม่เร่งขยายสาขาร้านค้าปลีกในเมืองไทย เพราะมองว่าในตลาดประเทศเพื่อนบ้านมีศักยภาพ สามารถแข่งขันและเติบโตได้ ขณะที่ตลาดในประเทศไทย มีผู้ทำตลาดที่แข็งแกร่ง ทั้งเซเว่น อีเลฟเว่น , แฟมิลี่ มาร์ท  , ท็อปส์  และเทสโก้ โลตัส ฯลฯ    "การเดินหน้ารุกหนักกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถมียอดขายเติบโตเท่าตัว จากปีนี้ที่มีรายได้ราว 2 พันล้านบาท โดยกลุ่มธุรกิจค้าปลีกจะเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตมากที่สุด และคาดว่าจะสามารถติดอันดับ 1 ใน 5 กลุ่มธุรกิจที่ทำรายได้สูงให้กับบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ฯ  จากปัจจุบันที่มีอยู่ 7 กลุ่มธุรกิจ อาทิ  กลุ่มสินค้าและบริการทางอุตสาหกรรม, กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค , กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์ และเทคนิค   เป็นต้น  ภายในระยะเวลา 5 ปี จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:49:33

ความคิดเห็นที่ 15 สวัสดีค่า คุณฮะ คุณหย๊ายหย่าย คุณพันเกลียว คุณตำลึงริมรั้ว และเพื่อนๆ พี่ๆ ที่น่าร๊ากกกกกกกกกกกกทุกท่าน ^ ^ วันนี้ปวดฟันพูดมากกกกกกกกกกไม่ค่อยได้ 555 จากคุณ : จุ๊กกุ๊กจัง เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 07:53:27

ความคิดเห็นที่ 16 สรุปข่าว หนังสือพิมพ์ทันหุ้น 'ROJNA' กองทุนฝรั่งรุมทึ้ง กูรูแนะสอยก่อนเข้า SET100 ROJNA ดี๊ด๊าติดโผเข้า SET100 มั่นใจกองทุนฝรั่งตุนหุ้นเข้าพอร์ตเพียบ เดินเครื่องธุรกิจเต็มสูบสร้างฐานธุรกิจปี 2556 แกร่ง ส่วนงบปี 2555 สดใส ปั๊มรายได้สุดโต่ง จากปีก่อนที่ 6.46 พันล้านบาท แถมทยอยรับรู้รายได้คอนโดในจีนมูลค่ามากกว่า 3 พันล้านบาท กูรูแนะสอยเป้าหมาย 14.18 บาท LEE ฟาดกำไร Q4/55 พุงกาง เล็งแตกไลน์ธุรกิจครบวงจร LEE ยันบิ๊กล็อต LEE-W2 ไม่กระทบโครงสร้างผู้ถือหุ้น แม้ใกล้วันใช้สิทธิแปลงสภาพ 28 ธันวาคมนี้ ขณะที่ผลงานไตรมาส 4/2555 มีลุ้นกำไรฝุ่นตลบหลังเข้าสู่ฤดูส่งออกเนื้อสัตว์ คาดยอดขายอาหารสัตว์สำเร็จรูปกระฉูด พร้อมดันรายได้รวมปีนี้โตเกิน 10% ด้านโบรกเคาะแนวต้านรอบนี้ต้องเห็น 3.74 บาท กสทช.คลอดไลเซนส์ 3G แล้ว ชู INTUCH ปันผลงาม-ราคาถูก กสทช.มีมติออกไลเซนส์ 3G คลื่น 2.1 GHz ให้ ADVANC-DTAC-TRUE ภายใน 7 วันนับจากวันที่ 7 ธันวาคม 2555 มีอายุ 15 ปี และจะเปิดให้บริการกับลูกค้าได้เดือนเมษายน 2556 ด้านโบรกประเมิน 20 ธันวาคมนี้ เอกชนได้ไลเซนส์ แนะ "ซื้อ" INTUCH เป้า 87.75 บาท ADVANC เป้า 252 บาท และ DTAC เป้า 120 บาท แต่ชู INTUCH เด่นสุดด้วยปันผลสูง ส่วนลดจาก Market NAV ถึง 26% SITHAI จิบอินเดียร่วมทุน เคาะรายได้ปี 56 ทะลุ 9 พันล. SITHAI เล็งหาพันธมิตรอินเดียร่วมทุน ผุดโรงงานผลิตผงเมลามีน แย้มอยู่ระหว่างเจรจาหลายรายส่วนเป้ารายได้ปีหน้าตั้งเป้าโตทะลุ 9,000 ล้านบาท ฟากโบรกคาดยอดขายโค้งท้ายพีคสุด หลังบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม-อาหาร-สินค้า หนุนโตแรง เทคนิคจับเส้นกราฟส่งซิกมีลุ้นทดสอบไฮเดิมที่ 33.50 บาท แนะ "ซื้อเก็งกำไร" 'TKS' ผนึกพม่าเข้าถือหุ้น 50% กินรวบงานตปท.-ดันมาร์จิ้นพุ่ง TKS เผยเซ็นสัญญาจอยซ์เวนเจอร์กับนายทุนพม่า โดยเข้าถือหุ้น 50% พร้อมบุกตลาดไอทีและสิ่งพิมพ์เต็มสูบ แถมเนื้อหอมฝรั่งเรียงคิวเจรจาส่งมอบงาน กินรวบมาร์จิ้นเต็มพอร์ต จากเดิมแค่ 20% หนุนงบปี 2556 พุ่งพรวด ด้านไตรมาส 4/2555 รุ่งโรจน์ รับอานิสงส์ช่วงไฮซีซัน 'CCP' วายุภักษ์หนุนงบรุ่งโรจน์ SEAFCO คว้างานยักษ์พม่า 4 ดีล CCP ส่งซิกรัฐบาลคลอดกองทุนวายุภักษ์ 2 ขนาด 5 แสนล้านบาท ภายในเดือนธันวาคม 2555 นี้ หนุนผลประกอบการกลุ่มรับเหมารุ่งโรจน์ ตุนงานเข้าพอร์ตมือเป็นระวิง ปักธงปี 2556 กำไรก้าวกระโดดด้าน SEAFCO ไม่น้อยหน้าปิดดีลพันธมิตรพม่า พร้อมเดินเครื่องโปรเจ็กต์ยักษ์ 3-4 ดีล PTTGC ผนึกเปอร์ตามีนาอินโด ตั้งโรงงานปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ PTTGC จับมือเปอร์ตามีนา ขยายการลงทุนในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ครบวงจรที่มีสายการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำในประเทศอินโดนีเซีย หลังเล็งเห็นความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้น และอินโดนีเซียยังนำเข้าปิโตรเคมีสูงถึง 50% TRCขาขึ้นซดแบ็กล็อกอื้อ ปิดดีลลุยพลังงานQ1ปีหน้า TRC จ่อปิดดีลลงทุนพลังงานทดแทนไตรมาส 1/2556 กวาดรายได้เข้ากระเป๋าปีละ 100 ล้านบาท แถมรุกเก็บงานใหม่ต่อเนื่อง เสริมรายรับอนาคต พร้อมมั่นใจปี 2555 รายได้ตามฝัน 4 พันล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์ชี้ธุรกิจเข้าช่วงขาขึ้นกอดแบ็กล็อกไตรมาส 3/2555 เต็มมือ 3.4 พันล้านบาท บุ๊กเข้าไตรมาส 4/2555 ที่ 1.4 พันล้านบาท มีลุ้นชนะการประมูลอีกราว 1.1 หมื่นล้านบาทเคาะเป้าไกล 10.00 บาท ERW ปักธงรายได้ปีหน้าโต 18% อัพกองอสังหาหนุนกำไรกระฉูด ERW ตั้งธงรายได้ปี 2556 โตเท่าปีนี้ที่คาดขยับ 18% คาดราคาพุ่งต่อเนื่อง หลังนักลงทุนมั่นใจแนวโน้มธุรกิจ-ผลประกอบการยังโต ฟากโบรกส่องธุรกิจโรงแรมดีต่อเนื่อง มองกำไรปี 2556 จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากการขายสินทรัพย์ให้กับกองทุนอสังหาในไตรมาส 2/2556 เป็นมูลค่า 1.5-2 พันล้านบาท QLTอนาคตสดใสกำไรพุ่ง โบรกจับสัญญาณราคาแรง โบรกส่องกล้อง "QLT" คาดผลงานปี 2556 รายได้พุ่งขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 432 ล้านบาท ส่วนกำไรทะยาน 9% เป็น 98 ล้านบาท หลังยื่นประมูลมูลค่าราว 100 ล้านบาท ลุ้นคว้าได้ 80% แถมมีสิทธิสอยงาน ตรวจสอบท่อก๊าซของกลุ่ม ปตท.อีก 2 เส้นทาง คาดได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1/2556 BEAUTY จุดพลุเข้าเทรด มั่นใจเหนือจอง-หุ้นแกร่ง BEAUTY ประกาศพร้อม เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ มั่นใจราคาเหนือราคาจอง 8.00 บาท จากจำนวนหุ้นไอพีโอ 80 ล้านหุ้น หวังดึงเงินขยายธุรกิจในและต่างประเทศ พร้อมขยายสาขาร้าน BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE - ผุดแบรนด์น้องใหม่ MADE IN NATURE ปักธงการเติบโตรายได้ 20% ต่อปี SCC กางแผน 5 ปี ทุ่มงบ 2 แสนล. ลุยธุรกิจซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง SCC ออกตัวแรง กางแผนลงทุน 5 ปีข้างหน้า "ทุ่มงบกว่า 2 แสนล้านบาท" ธุรกิจปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และธุรกิจจัดจำหน่าย หนุนมูลค่าสินทรัพย์แกร่ง รองรับขยายตัวภาคก่อสร้างในอาเซียนหลังเปิดประชาคมเสรีอาเซียนปี 2558 แย้มลงทุนก่อสร้างโรงปูนซีเมนต์ โรงไฟฟ้าและลอจิสติกส์ในประเทศพม่ามูลค่าการลงทุน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐเห็นชัวร์ KTAM ปลื้ม กอง HK5 เดือนโต 11% นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กองทุนเปิดเคแทม ฮ่องกง อีทีเอฟ แทร็กเกอร์ (HK) ได้เริ่มทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 สามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้เป็นที่น่าพอใจ โดย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2555 ราคากองทุน HK ปิดที่ 4.45 ปรับตัวขึ้นมาจากราคาพาร์ 4.00 บาทคิดเป็น 11.25% ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลผุดโปรโมชั่นอื้อ ส่ง LTF-RMF ทิ้งท้ายปีลดหย่อนภาษี "เจิดพันธุ์ นิธยายน" บิ๊กซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ขนโปรโมชั่นกอง LTF-RMF ส่งท้ายปี ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี พร้อมรับบัตรกำนัลห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล หรือบัตรกำนัลเทสโก้ โลตัส http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=38812 จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:07:49

ความคิดเห็นที่ 17 สรุปข่าว หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น JASตัดหุ้นซื้อคืนทิ้ง! กำไรต่อหุ้นพุ่ง0.30บ. มูลค่าทางบัญชีทะลุ1.25บาท เสนอบอร์ดไฟเขียวพรุ่งนี้ JAS เตรียมเสนอบอร์ดไฟเขียวลดทุนจดทะเบียนพรุ่งนี้(12ธ.ค.) ด้วยวิธีการตัดหุ้นที่ซื้อคืน 106.85 ล้านหุ้นทิ้ง ส่งผลกำไรต่อหุ้นเพิ่มเป็น 0.30 บาท มูลค่าทางบัญชีเพิ่ม 1.25 บาท ตามประมาณกำไรปีนี้ 2,000 ล้านบาท พร้อม JAS ลุ้นเข้าคำนวณ SET50 ที่ตลท.ประกาศกลางเดือนนี้ PTTEPขึ้นแท่นเบอร์3 มาร์เก็ตแคป6แสนล้าน "ปตท.สผ." มาร์เก็ตแคปเพิ่มอีก 9.9 หมื่นล้านบาท หลังขายหุ้นเพิ่มทุน 650 ล้านหุ้นหมดเกลี้ยง ช่วยดันมาร์เก็ตแคป รวมพุ่งทะยานเกิน 6 แสนล้านบาท รอขึ้นแท่นอันดับ 3 หุ้นมาร์เก็ตแคปสูงสุดของตลาดหลักทรัพย์ฯ แซงหน้า (SCB) SIRIลุ้นกำไร2.74พันล. ลุยโรดโชว์จูงใจต่างชาติ "แสนสิริ" แย้มไตรมาส 4 รายได้พุ่ง 1.2 หมื่นล้านบาท อานิสงส์บุ๊ครายได้โอนคอนโดกว่า 12โครงการ ดันรายได้ปีนี้เข้าเป้า 2.8หมื่นล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิปีนี้ใกล้เคียงโบรกฯคาด 2.74 พันล้านบาท เดินสายโรดโชว์ดึงต่างชาติลงทุนเพิ่ม ANANหลุดจองรายแรกของปีนี้ต่ำไอพีโอ9.52% "อนันดาฯ" ไอพีโอน้องใหม่นัมเบอร์ 15 ของปีนี้ เข้าเทรดวันแรก 7 ธ.ค.55 หลุดจองเป็นรายแรก ปิดตลาด 3.80 บาท ลดลง 9.52% จากราคาไอพีโอ 4.20 บาท พรุ่งนี้ลุ้นไอพีโอรายต่อไป BEAUTY ที่จะเข้าเทรดจะยืนเหนือจองได้หรือไม่ บัวหลวงกองหุ้นสุดเจ๋ง ผลตอบแทนสูง60.47% กองทุนหุ้น บล.บัวหลวง โชว์ผลตอบแทนติดอันดับสูงสุด 1 ใน 10 ถึง 8 กองทุน พบ "กองทุนทศพล" พุ่งกว่า 60% เผยกลบยุทธ์ลงทุน เน้นหุ้นที่อิงกับอัตราการเติบโตของโครงการขนาดใหญ่ และการขยายของเมืองออกไป SCCทุ่ม2แสนล้านลงทุน5ปี "ปูนใหญ่" ทุ่ม 2 แสนล้าน ลงทุน 5 ปี (ปี56-60) โฟกัสลงทุนซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง-จัดจำหน่ายมากขึ้น ดันสัดส่วนรายได้แตะ 40% จาก 32% พร้อมลดลงทุนเคมิคอลเหลือ 40% จาก 53% รายได้ปีนี้แตะ 4 แสนล้านบาท ส่วนธุรกิจปูนซีเมนต์โต 10% ADVANC-DTAC-TRUEยิ้มออก กทค.ไฟเขียวแจกไลเซ่นส์ 3จี-สัปดาห์นี้ได้ชัวร์ 3 หุ้นสื่อสาร "ADVANC-DTAC-TRUE" ยิ้มออก หลังกทค.ไฟเขียวแจกไลเซ่นส์ 3 จีแล้ว "เศรษฐพงค์" ระบุสัปดาห์นี้ถึงมือเอกชนแน่! เชื่อใน 2 เดือนนี้เอกชนสามารถให้บริการ 3 จีบนคลื่น 2.1 GHz บางพื้นที่ และขยายพื้นที่ให้บริการวงกว้างได้ เม.ย.56 'เพ้ง'เล็งขึ้นราคาLPG ขาย24.82บาทต่อกก. ทั้งภาคขนส่ง-ครัวเรือน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางกระทรวงพลังงานได้ศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างราคา LPGทั้งระบบ โดยราคาแอลพีจีครัวเรือนและภาคขนส่งปี 2556 จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม PSยอดขาย11เดือน2.6หมื่นล้าน แบ็กล็อก3.5หมื่นล้านกินยาว3ปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลประกอบการช่วง 11 เดือนปีนี้ของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS มียอดขายประมาณ 2.6 กว่าหมื่นล้านบาท จาก 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายที่ 2.06 หมื่นล้านบาท โดยช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มอีกประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท ซึ่งจะเป็นไปตามเป้าที่บริษัทตั้งไว้ที่ 2.9 หมื่นล้านบาท BEAUTYมั่นใจเทรดวันแรกฉลุย ยืนเหนือไอพีโอ 8 บาท ย้ำรายได้ปีนี้เติบโต 20% "บิวตี้ คอมมูนิตี้" มั่นใจเทรดวันแรก 12 ธ.ค.นี้ฉลุย ยืนเหนือราคาไอพีโอ 8 บาท เชื่อพื้นฐานทางการเงินแข็งแกร่ง คาดยอดขายและรายได้ปีนี้เติบโต 20% จากปีก่อนที่ทำได้ 615 ล้านบาท เดินหน้าขยายสาขาเพิ่ม PTTGCเซ็นMOU เปอร์ตามีนา ศึกษาลงทุน"ปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์"ในอินโดนีเซีย "PTTGC" เซ็นเอ็มโอยูกับ "เปอร์ตามีนา" บริษัทน้ำมันแห่งชาติของอินโดนีเซีย ศึกษาการร่วมลงทุนสร้างปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ครบวงจรในอินโดนีเซีย รองรับความต้องการของประชากรเกือบ 300 ล้านคน และขยายธุรกิจสู่ตลาดอาเซียน เร่งสร้างมอเตอร์เวย์ เส้นบางปะอิน-โคราช คมนาคมคาด1ปีเห็นผล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จะเร่งรัดโครงการก่อสร้างทางพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) บางปะอิน-โคราช และเส้นทางเชื่อมต่อมอเตอร์เวย์ สีคิ้ว-โคราช ให้เป็นรูปธรรมภายใน 1 ปีจากนี้ เพราะถือเป็นโครงการสำคัญที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางออกต่างจังหวัดและมีแผนจะดำเนินโครงการมานานมากแล้ว ปีหน้าราคาทองคำลดลง โกลด์แมนฯคาดเหลือราว 1,750 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ โกลด์แมน แซคส์ ชี้ วงจรราคาทองคำในขณะนี้น่าจะเปลี่ยนทิศทางในปีหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงขึ้นเพราะการเติบโตที่ดีขึ้น ช่วยชดเชยการขยายงบดุลเพิ่มจากธนาคารกลางสหรัฐ โดยได้ลดประมาณการราคาทองในช่วง 3 ,6 และ 12 เดือนข้างหน้าลงเหลือ 1,825 ,1805 และ 1,800 ดอลลาร์ต่ออนซ์ตามลำดับ จากที่ในขณะนี้ราคาทองอยู่ใกล้ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โพลล์หวั่นแก้ รธน.แล้ววุ่น เกิดชุมนุมการเมือง แนะควรถามปชช.ก่อน เอแบคโพลล์ระบุประชาชนส่วนใหญ่ที่สำรวจความเห็น มองว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น และคาดว่าจะมีการชุมนุมทางการเมืองเพื่อต่อต้านรัฐบาลในปี 56 ค่ายประกันภัยลูบปาก รอขายประกันมือถือเครือข่ายล่ม ธุรกิจประกันภัยส้มหล่นเรียกรีอินชัวร์เรอส์เข้าหารือ เตรียมแผนคว้าธุรกิจโทรคมนาคมที่ได้ 3G เข้าพอร์ตเพิ่ม หลัง กสทช. เปิดทาง กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่ได้รับใบอนุญาต 3G ซื้อประกันความเสียหายกรณีเครือข่ายล่มเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในอนาคต 'เคทีบีลีสซิ่ง'ตั้งเป้าแรง สินเชื่อปีหน้าขยับ50% เคทีบีลีสซิ่ง ปรับกลยุทธ์ธุรกิจเตรียมทำตลาดนอกประเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างทำการศึกษา ส่วนเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อธุรกิจเช่าซื้อปีหน้า ตั้งเป้าเพิ่ม 50 % จากสิ้นปี 55 ที่มียอดสินเชื่ออยู่ที่ 34,000 ล้านบาท ส่งผลให้สิ้นปี 56 มียอดสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ล้านบาทแทน KTAMปลื้มกองHKโต11% นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่ากองทุนเปิดเคแทม ฮ่องกง อีทีเอฟ แทร็กเกอร์(HK) ได้เริ่มทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 สามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้เป็นที่น่าพอใจ โดย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2555 ราคากองทุน HK ปิดที่ 4.45 ปรับตัวขึ้นมาจากราคาพาร์ 4.00 บาทคิดเป็น 11.25% 'ทีเอ็มบี'ตื่นตูมบอกคนรูดปรื๊ดยอดหนี้ท่วมหัว ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ออกโรงเตือนผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตในช่วงเทศกาลปลายปี เพราะตัวเลขยอดบัตรเครดิตอาจพุ่งกว่าร้อยละ 30 หรือ 3.5 หมื่นล้านบาท แนะผู้บริโภคควรรูดอย่างมีสติ ควบคุมการใช้จ่าย และเลี่ยง "5 พฤติกรรมเสี่ยง" สู่ความเป็นหนี้ 'กสิกรไทย'ปันผล7กองทุน รวมกว่า 450 ลบ.-เริ่มจ่าย 12-19 ธ.ค.นี้ บลจ.กสิกรไทย เตรียมข่ายปันผล 7 กองทุน มูลค่ากว่า 450 ล้านบาท มีทั้งกองทุนอสังหาฯ กองทุนหุ้น 'ไทยพาณิชย์'ชี้ดบ.ลงอีก ดัชนีตลาดหุ้นแรลลี่ยาว นายศรชัย สุเนต์ตา รองกรรมการผู้อำนวยการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยน่าจะสดใสต่อเนื่องไปในปี 2556 แม้สำนักวิจัยต่างๆ จะมองว่าเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอลงในปี 56 แต่ผลสำรวจนักวิเคราะห์กลับมองว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะยังขยายตัวได้ ประมาณ 15-20% ในปี 56 สูงกว่าอัตราการขยายตัวในปี 55 เล็กน้อย "TCAP-KK-TISCO"กอดคอโต เหตุสินเชื่อรถเกื้อหนุนลากยาวปี56 3 แบงก์เช่าซื้อรับอาณิสงส์ภาษีรถคันแรก พ่วง Motor Expo คาดจบงานทะลุเป้า 5 หมื่นคัน ดันสินเชื่อรถยนต์เติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่องถึงครึ่งปีหน้า 56 เคาะ TCAP บวกมากสุด ด้านผู้บริหารเผยอยู่ระหว่างทำแผนธุรกิจปีหน้า เดินหน้ารักษาเจ้าตลาด โบรกชี้ "TCAP-KK-TISCO" ฉายแสงเด่น จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:09:38

ความคิดเห็นที่ 18 สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่าสหรัฐอาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ซึ่งทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังอ่อนแรงลงหลังจากจีนเปิดเผยยอดการส่งออกที่ขยายตัวน้อยเกินคาด สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 37 เซนต์ หรือ 0.43% ปิดที่ 85.56 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังปรับตัวในช่วง 85.33- 86.78 ดอลลาร์ ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ หรือ 0.29% สู่ระดับ 107.33 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังปรับตัวในช่วง 107.01-108.54 ดอลลาร์ สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลังในสหรัฐ รวมทั้งข่าวที่ว่านายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลีจะประกาศลาออกภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าการลาออกของนายมอนติจะยิ่งทำให้สถานการณ์ด้านการเงินของอิตาลีย่ำแย่ลงอีก นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันหลังจากจีนรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนพ.ย.ขยายตัวเพียง 2.9% ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันดิบปิดขยับลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวันเนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของเยอรมนีและจีน โดยเยอรมนีรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนต.ค.ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังจากที่ร่วงลง 2.45 ในเดือนพ.ย. ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน นักลงทุนจับตาดูการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ซึ่งจะมีขึ้นในวันพุธนี้ และการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันอังคารที่ 11 ธ.ค. สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน พร้อมกับจับตาดูความคืบหน้าในการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ของสหรัฐ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 8.9 ดอลลาร์ หรือ 0.52% ปิดที่ 1,714.4 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1703.30 - 1718.80 ดอลลาร์ สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 33.377 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.246 ดอลลาร์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 3.7060 ดอลลาร์/ปอนด์ เพิ่มขึ้น 4.3 เซนต์ สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ปิดที่ 1623.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 16.30 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 704.75 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 6.75 ดอลลาร์ สัญญาทองคำพุ่งขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกของจีนพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่า สกุลเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัวลงอีกเนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่าทำเนียบขาวและสภาคองเกรสสหรัฐอาจจะไม่สามารถทำข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง ขณะเดียวกันทองคำได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมวันที่ 11 ธ.ค.นี้ สกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วันทำการเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เนื่องจากข่าวการลาออกของนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อเงินยูโรเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ค่าเงินยูโรปรับตัวขึ้น 0.12% แตะที่ 1.2940 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.2924 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.23% แตะที่ 1.6073 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6036 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.11% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 82.370 เยน จากระดับ 82.460 เยน และอ่อนค่าลง 0.09% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9332 ฟรังค์ จากระดับ 0.9340 ฟรังค์ ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียทรงตัวที่ 1.0485 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้น 0.18% แตะที่ 0.8336 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8321 ดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนเข้าซื้อเงินยูโรเพื่อความปลอดภัยหลังจากมีข่าวว่า นายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลีจะประกาศลาออกภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าการลาออกของนายมอนติจะยิ่งทำให้สถานการณ์ด้านการเงินของอิตาลีย่ำแย่ลงอีก นอกจากนี้ เงินยูโรยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของเยอรมนีและจีน โดยเยอรมนีรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนต.ค.ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังจากที่ร่วงลง 2.45 ในเดือนพ.ย. ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียย่ำฐานทรงตัว หลังจากธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 3.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในการประชุมครั้งล่าสุด เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั่วโลก นายเกลน สตีเวนส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลียกล่าวภายหลังการประชุมว่า สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าที่ธนาคารกลางคาดการณ์ไว้ อันเนื่องมาจากราคาสินค้าส่งออกปรับตัวลดลงและเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลง และการที่ธนาคารกลางออสเตรเลียตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าออสเตรเลียได้รับแรงกดดันจากอัตราค่าแรง รวมทั้งยอดการใช้จ่ายในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่ปรับตัวลดลง และอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) ขานรับรายงานที่ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกของจีนขยายตัวได้ดีเกินคาด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยบรรเทาปัจจัยลบจากข่าวการลาออกของนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.1% ปิดที่ 279.55 จุด ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3612.10 จุด บวก 6.49 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 7530.92 จุด บวก 13.12 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5921.63 จุด บวก 7.23 จุด -- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนและเยอรมนี ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถสกัดปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะหน้าผาการคลังของสหรัฐ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 14.75 จุด หรือ 0.11% ปิดที่ 13,169.88 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 0.48 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 1,418.55 จุด ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 8.92 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 2,986.96 จุด -- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน พร้อมกับจับตาดูความคืบหน้าในการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ของสหรัฐ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 8.9 ดอลลาร์ หรือ 0.52% ปิดที่ 1,714.4 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1703.30 - 1718.80 ดอลลาร์ สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 33.377 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.246 ดอลลาร์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 3.7060 ดอลลาร์/ปอนด์ เพิ่มขึ้น 4.3 เซนต์ สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ปิดที่ 1623.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 16.30 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 704.75 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 6.75 ดอลลาร์ -- สกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วันทำการเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เนื่องจากข่าวการลาออกของนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อเงินยูโรเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ค่าเงินยูโรปรับตัวขึ้น 0.12% แตะที่ 1.2940 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.2924 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.23% แตะที่ 1.6073 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6036 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.11% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 82.370 เยน จากระดับ 82.460 เยน และอ่อนค่าลง 0.09% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9332 ฟรังค์ จากระดับ 0.9340 ฟรังค์ ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียทรงตัวที่ 1.0485 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้น 0.18% แตะที่ 0.8336 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8321 ดอลลาร์สหรัฐ -- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่าสหรัฐอาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ซึ่งทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังอ่อนแรงลงหลังจากจีนเปิดเผยยอดการส่งออกที่ขยายตัวน้อยเกินคาด สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 37 เซนต์ หรือ 0.43% ปิดที่ 85.56 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังปรับตัวในช่วง 85.33- 86.78 ดอลลาร์ ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ หรือ 0.29% สู่ระดับ 107.33 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังปรับตัวในช่วง 107.01-108.54 ดอลลาร์ -- ดัชนี FTSE 100 ปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) ขานรับรายงานที่ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกของจีนขยายตัวได้ดีเกินคาด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยบรรเทาปัจจัยลบจากข่าวการลาออกของนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 7.23 จุด หรือ 0.12% แตะที่ 5,921.63 จุด หลังจากปรับตัวในช่วง 5,891.33-5,923.97 จุด จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:12:11

ความคิดเห็นที่ 19 'TTA' เชื่อมือ 'ผู้บริหาร"แต่ยังแคลงใจ 'ผู้ถือหุ้นใหญ่' หลังตระกูลมหากิจศิริ ทุ่มทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ยึดกุมหุ้นใหญ่ และยึดเก้าอี้กรรมการบริษัท 5 ตัวในทีทีเอ มีหรือที่ "เสี่ยประยุทธ" จะอยู่เฉย!! เส้นทางธุรกิจของ บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (ทีทีเอ) หลายปีที่ผ่านมาต้องโต้คลื่นฝ่ามรสุม "ขาลง" มาโดยตลอด ขณะเดียวกันบริษัทแห่งนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ และผู้บริหารมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุดกิจการตกอยู่ในมือ "ตระกูลมหากิจศิริ" ที่ส่งทายาท "กึ้ง" เฉลิมชัย มหากิจศิริ และ "ณา" อุษณา มหากิจศิริ ลูกสะใภ้ "กร ทัพพะรังสี" เข้ามาร่วมกำหนดทิศทางบริษัทโดยมี "เสี่ยเนสกาแฟ" ประยุทธ มหากิจศิริ เป็นขุมกำลังหลักอยู่เบื้องหลัง ขณะเดียวกันก็เชิญ ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ มาเป็น "ประธานกรรมการบริษัท" พร้อมส่งกรรมการเข้ามาอีกหลายคน โดยผลักดัน "กึ้ง" เฉลิมชัย ขึ้นรักษาการกรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) ควบตำแหน่งรักษาการกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์ หนึ่งในเส้นเลือดหลักของทีทีเอ เท่ากับกุมอำนาจการบริหารได้เกือบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ว่าได้ จากประวัติที่ผ่านมาครอบครัวมหากิจศิริ มีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มาโดยตลอดทั้งส่วนบุคคล และในนามบริษัท โดยเป็นเจ้าของ บมจ.ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ (TFI) และ บมจ.ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส (INOX) ภายหลังขายหุ้น INOX ใหักับกลุ่ม POSCO จากเกาหลีใต้ เมื่อปี 2554 ได้เงินสดออกไปกว่า "หมื่นล้านบาท" และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บมจ.โพสโค-ไทยน๊อคซ์ แต่นักลงทุนจำนวนไม่น้อยกลับมีประสบการณ์ "ที่ไม่ดี" กับหุ้นทั้งสองบริษัทนี้ ขณะเดียวกัน "กึ้ง" และ "ณา" ก็เป็นนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันพบถือหุ้น BROOK, TFI, TTA, SUSCO, GOLD, GSTEEL, GJS, BTS และ JUTHA เป็นต้น ทีทีเอในมือ "หม่อมไอซ์" ม.ล.จันทรจุฑา จันทรทัต กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แม้หลายคนจะ "เชื่อมือ" แต่ยังรู้สึกแคลงใจผู้ถือหุ้นใหญ่ "กลุ่มมหากิจศิริ" ที่กำลังเดินแผนสร้าง Wealth กับหุ้นตัวนี้อยู่ ล่าสุดทีทีเออยู่ระหว่างการเพิ่มทุนก้อนใหญ่มูลค่า 9,900 ล้านบาท จำนวน 708 ล้านหุ้น อัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาเสนอขายหุ้นละ 14 บาท เป็นหนึ่งในแผนธุรกิจที่กลุ่มมหากิจศิริ ต่อจิ๊กซอว์เอาไว้ "หม่อมไอซ์" ม.ล.จันทรจุฑา จันทรทัต เปิดเผยกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า ปกติบริษัทจะนัดประชุมวางแผนธุรกิจ 3 ปี (2556-2558) ทุกเดือนมิถุนายน ครั้งนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็เข้ามาช่วยวางยุทธศาสตร์ด้วย ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี บริษัทสามารถปรึกษาหารือกันได้อย่างตรงไปตรงมา ใช้เวลาเพียง 2 เดือน ก็สามารถสรุปแผนธุรกิจได้ เขาเล่าว่า ผู้ถือหุ้นรายใหม่ได้เชิญ ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตซีอีโอ ปตท. มานั่งเป็นประธานบริษัทถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะท่านมีประสบการณ์ในองค์กรใหญ่ ผู้ถือหุ้นใหญ่และคณะกรรมการทุกคนปักธงว่า อยากเห็นบริษัทมีกำไรสุทธิขยายตัวสม่ำเสมอ หากเพิ่มทุนสำเร็จบริษัทจะมีกำไรสุทธิเพิ่มมากกว่า 1 เท่าตัว ถ้าไม่สำเร็จกำไรจะวิ่งแถว 300-400 ล้านบาทต่อปี "ผู้ถือหุ้นใหญ่อยากเห็น 3 หน่วยธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน มีความแข็งแกร่ง และสามารถต่อยอดธุรกิจได้ นี่จึงเป็นที่มาของการเพิ่มทุน ที่ผ่านมาเราได้รับกระแสไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเรื่องเพิ่มทุน ผมก็หนักใจ แต่ก็เข้าใจหัวอกผู้ถือหุ้นรายย่อย แต่อยากจะบอกว่าธุรกิจเราเริ่มดีขึ้น แผนธุรกิจทั้งหมดไม่ได้พูดขึ้นมาเองลอยๆ ทุกอย่างมีเหตุผล มีข้อมูลสนับสนุน เงินเพิ่มทุนก็นำไปขยายธุรกิจไม่ได้นำไปใช้หนี้" หม่อมไอซ์ ฉายภาพให้ฟังว่า สาเหตุที่ต้องเพิ่มทุนเพราะช่วงนี้เป็นจังหวะดีที่จะลงทุนซื้อสินทรัพย์ใหม่ ไม่ได้มีกำไรแค่เด้งเดียว แต่จะมากถึง "สี่เด้ง" ซึ่งรายได้และกำไรของบริษัทจะเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในปี 2556 เป็นต้นไป ปี 2555 ขาดทุนกว่า 4,619 ล้านบาท แต่ปีหน้าจะพลิกเป็น "กำไรสุทธิ" และการันตีตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไปกำไรจะ "ทะยาน" ในแง่ของรายได้อาจเติบโตมากกว่า 20% “กำไรเด้งแรก” จะเกิดจากธุรกิจขนส่ง วันนี้เริ่มส่งสัญญาณแล้วว่าจะกลับมา “สดใส” อีกครั้ง พยากรณ์ว่าภายในปี 2557-2558 ดัชนีค่าระวางเรือจะกลับมายืนภาวะปกติ 2,000-3,000 จุด จากสิ้นปี 2555 ที่จะยืนระดับ 1,000 จุด อธิบายง่ายๆ อุปสงค์ยังคงเพิ่มขึ้นทุกปีเฉลี่ย 6-7% แต่ในแง่ของอุปทาน โดยเฉพาะการขยายกองเรือ เริ่มลดลงตั้งแต่ปี 2557 เฉลี่ยน่าจะอยู่ระดับ 2.5% และ 2% ในปี 2558 เมื่อเทียบกับปี 2555 ที่อยู่ระดับ 6.5% “กำไรเด้งที่สอง” ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า ราคาเรือบรรทุกสินค้าแห้งเทกองในตลาดมือสองอายุ 5 จะมีราคาต่ำเพียง 19-20 ล้านเหรียญต่อลำ เมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อนที่มีราคาสูงถึง 33 ล้านเหรียญต่อลำ และเทียบกับ 4 ปีก่อนที่มีราคาสูงถึง 76 ล้านเหรียญต่อลำ หากบริษัทซื้อเรือในราคา 30 ล้านเหรียญจะมี จุดคุ้มทุนจะอยู่ที่ 11,644 เหรียญต่อวัน แต่ถ้าซื้อที่ราคา 20 ล้านเหรียญ จุดคุ้มทุนจะลดเหลือ 9,452 เหรียญต่อวัน ซึ่งแตกต่างกันถึง 19% แถมดอกเบี้ยและค่าเสื่อมก็น้อยกว่า เท่ากับว่าเรือลำนี้จะ “โชว์กำไร” ทันที "ตอนนี้ต้องรีบหาเงินมาซื้อเรือทั้งแบบสั่งใหม่และมือสองอายุไม่เกิน 8 ปี ประมาณ 15 ลำ จากปลายปี 2555 ที่บริษัทมีเรือ 16 ลำ เท่ากับว่าภายในปี 2558 เราจะมีเรือประมาณ 24-30 ลำ สัดส่วนระหว่างเรือใหม่และเก่าจะเป็นเท่าไร ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาในช่วงนั้น ตอนนี้ราคาเรือใหม่อยู่ที่ 24-26 ล้านเหรียญต่อลำ" “กำไรเด้งที่สาม” ธุรกิจพลังงาน นำโดย บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์ เขาเป็นเจ้าของเรือบริการนอกชายฝั่ง 8 ลำ และเรือขุดเจาะ 2 ลำ ช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วง "ขาขึ้น" ล่าสุดบริษัทร่วมทุนของเมอร์เมด เพิ่งได้รับสัญญาจ้างงานสำหรับการให้บริการนอกชายฝั่งในการตรวจสอบ ซ่อมแซม และบำรุง อายุสัญญา 5 ปี มูลค่า 530 ล้านเหรียญ หรือกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท โดยเมอร์เมดจะได้รับส่วนแบ่ง 60-70% ตลอด 5 ปี ปัจจุบันทีทีเอ ถือหุ้นเมอร์เมด 57.14% นอกจากนั้น บริษัท เอเชีย ออฟชอร์ ดริลลิ่ง (AOD) ซึ่งเมอร์เมดถือหุ้น 33.75% สามารถหาสัญญาจ้างงานให้กับเรือขุดเจาะ อายุสัญญา 3 ปี มูลค่า 236.5 ล้านเหรียญ หรือกว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งจะได้ค่าเช่าต่อวัน 187,000 เหรียญต่อวัน สัญญานี้ถือว่าสูงสุดในรอบนี้ ตอนแรกเราทำราคาภายในแค่ 150,000 เหรียญต่อวันเอง ถือว่าเซอร์ไพรส์เหมือนกัน ขณะเดียวกันบริษัทยังได้อีก 1 สัญญา มูลค่าน้อยหน่อยเกือบ 800 ล้านบาท เป็นสัญญาให้บริการนอกชายฝั่งลูกค้าในประเทศกาตาร์ อายุ 5 ปี ลูกค้ารายนี้ทำงานเพียง 60-100 วัน ซึ่งเราจะมีรายได้ขั้นต่ำ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลอดระยะเวลา 5 ปี แต่ถ้าเขาทำงานมากขึ้น บริษัทก็จะมีรายได้มากขึ้น ช่วงนี้อัตราการใช้ประโยชน์เรือขุดเจาะทุกประเภทสูงถึง 92-99% “ผมบินไปกลับตะวันออกกลางหลายรอบมาก ถามเลขาดูสิ! ใช้เวลาคุยกับลูกค้าในแถบตะวันออกกลางเพียง 5 สัปดาห์ ก็ปิดดีลสำเร็จ (ยิ้ม) เราคุยกับลูกค้ามานานหลายปีแล้ว ในเมื่อธุรกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น เราก็ต้องสร้างเรือใหม่ แม้ราคาจะสูงถึง 120-140 ล้านเหรียญต่อลำ เพราะเรือท้องแบน 2 ลำ อายุเยอะมากแล้ว ลำหนึ่งอายุ 31 ปี อีกลำอายุ 34 ปี ตอนนี้ผู้บริหารของเมอร์เมด กำลังดูอยู่ว่าจะสั่งซื้อหรือมีทางอื่นที่ดีกว่า" “กำไรเด้งสุดท้าย” ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน นำทีมโดยบริษัท บาคองโค ซึ่งทำธุรกิจโลจิสติกส์ที่เวียดนาม เป็นบริษัทที่ดีมาก ปี 2555 เพิ่งขยายโกดังเพิ่มใช้เม็ดเงินลงทุนแค่ 3.5 ล้านเหรียญ คิดเป็น 1 ใน 6 ของเรือ 1 ลำ และ 1 ใน 40 ของเรือขุดเจาะ (หัวเราะ) เรียกว่าลงทุนน้อยมาก ปกติ “บาคองโค” มีกำไรเฉลี่ย 7 ล้านเหรียญ ฉะนั้นเขาสามารถนำเงินสดมาลงทุนได้ แทบไม่ต้องการอะไรจากเรา (ทีทีเอ) เลย เขาดูแลตัวเองได้ ส่วน ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) หากดูจากสินทรัพย์ต่างๆ เขาพร้อมเดินเครื่อง 30 ล้านตันต่อไปได้สบายๆ แต่ปัญหาคือ เรื่องสิ่งแวดล้อมที่โรงงานสมุทรสาคร ตราบใดยังไม่จบก็คงวิ่งได้เพียงโรงงานอยุธยาแห่งเดียว ตอนนี้กำลังคุยกับแกนนำที่เขาต่อต้าน เจรจากันมาสักระยะแล้ว เราอยากอยู่ร่วมกันกับเขาให้ได้ ปกติบริษัทนำเข้าถ่านหิน 1.2 ล้านตันต่อปี หม่อมไอซ์ ทิ้งท้ายว่า หากคำพยากรณ์เป็นจริง สัดส่วนรายได้จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นธุรกิจขนส่ง 40% ธุรกิจพลังงาน 40% และธุรกิจโครงสร้างขั้นพื้นฐาน 20% "ผมอยากให้แฟนพันธุ์แท้หุ้น TTA อดทนหน่อย รับรองตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป เราจะ “วิ่ง” ไปเจอกันที่จุดสูงสุด แต่อนาคตจะมีกำไร 8,000 ล้านบาท ตามที่ผู้ถือหุ้นใหญ่อยากเห็น (เคยพูดไว้) หรือไม่! ทำงานแค่นี้คงไม่ได้ ต้องทำมากกว่านี้อีก" บิซวีคถามต่อว่า ที่ผ่านมา (มีแต่ข่าวไม่ดี) เหนื่อยบ้างมั้ย!!! “ไม่เหนื่อยครับ..ผมชินแล้ว” หม่อมไอซ์ ตอบ มหากาพย์ 'ทีทีเอ'จาก 'ไทเก้น' สู่มือ 'เสี่ยเนสกาแฟ' ประวัติของบริษัทเดินเรือยักษ์ใหญ่ บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) ไม่ต่างไปจากมหากาพย์ ที่คลุกเคล้าไปด้วยผลประโยชน์และการหักเหลี่ยมแย่งชิงกันทางธุรกิจ ประหนึ่งความไม่แน่นอนของมหาสมุทรที่มีภัยธรรมชาติและโจรสลัดเป็นเพื่อนร่วมทาง ทีทีเอก่อตั้งเมื่อปี 2526 โดย "กลุ่มไทเก้น" นักเดินเรือชาวนอร์เวย์ เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2538 ในยุคแรกๆนั้นมี "แต้อี่เล้า" เสฐียร เตชะไพบูลย์ หรือ ชิกเสี่ย เป็นกรรมการและร่วมถือหุ้น โดยมี อาร์เน่ ไทเก้น กับบุตรชาย 2 คนคือ โฟรเด้ ไทเก้น และ โอเลย์ ไทเก้น กุมอำนาจการบริหาร และมี ม.ร.ว.จันทรแรมศิริโชค จันทรทัต อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน นั่งเป็นประธานกรรมการมาตั้งแต่ปี 2537 (ปัจจุบันเสียชีวิต) วัฎจักรธุรกิจเดินเรือลุ่มๆดอนๆ มานานนับสิบปีจนกระทั่งปี 2546 ธุรกิจนี้กลับมา "รุ่งเรือง" ได้ทีตระกูลไทเก้นเห็นโอกาส "ถอนสมอ" ก็เริ่มขายหุ้น TTA ได้เงินไปร่วม 2,000 ล้านบาท และเดินหน้าขายหุ้นออกตลอดปี 2537 ได้เงินไปอีกกว่า 3,000 ล้านบาท รวมๆแล้วกลุ่มไทเก้นขายหุ้น TTA เอาเงินออกไป 5,000-6,000 ล้านบาท จาก "ผู้ถือหุ้นใหญ่" กลายเป็นผู้ถือหุ้น "รายย่อย" แล้วเอาเงินไปเก็งกำไรหุ้น RAIMON, GRAND, MALEE และ TIPCO อย่างสนุกมือ พอเข้าปี 2548 อาร์เน่ ไทเก้น ผู้ก่อตั้งบริษัทในวัย 68 ปี จึงขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เช่นเดียวกับ โฟรเด้ ไทเก้น และ โอเลย์ ไทเก้น ซึ่งขอลดบทบาทตัวเอง ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ม.ร.ว.จันทรแรมศิริโชค ก็ไปดึงบุตรชาย "หม่อมไอซ์" ม.ล.จันทรจุฑา จันทรทัต วัย 39 ปี ดีกรีปริญญาโท MBA มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์คลีย์ อดีตผู้บริหารกลุ่มบริษัท มอร์แกน สแตนเลย์ (สิงคโปร์) เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ เส้นทางของหม่อมไอซ์ในทีทีเอช่วงที่พ่อยังมีชีวิตอยู่แม้จะผ่านอุปสรรคเรื่องวัฎจักรธุรกิจเดินเรือขึ้นๆลงๆ ก็ไม่มีปัญหาจนกระทั่งม.ร.ว.จันทรแรมศิริโชค เสียชีวิตและหุ้น TTA ไม่มี "เจ้ามือ" ดูแล ช่วงเดือนพฤษภาคม 2554 บี เตชะอุบล บุตรชายคนโต "เสี่ยไมค์" สดาวุธ เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหาร บล.คันทรี่ กรุ๊ป เปิดเกมร่วมกับ วิจิตร สุพินิจ อดีตประธานกรรมการ ก.ล.ต. และ วีระ มานะคงตรีชีพ อดีตผู้บริหารบงล.ซิทก้า 1 ใน 56 ไฟแนนซ์ที่ถูกแบงก์ชาติสั่งปิดกิจการไปขอพบหม่อมไอซ์ เพื่อแจ้งให้ทราบว่าได้มีกลุ่มนักลงทุนรวบรวมหุ้น TTA ได้แล้ว 30% ขอเปลี่ยนตัว อัศวิน คงสิริ ประธานกรรมการทีทีเอ และอยากให้บริษัทเปลี่ยนเป็นบริษัทเพื่อการลงทุน (Investment Company) คล้ายกับ Berkshire Hathaway ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ "จุดอ่อน" ของทีทีเอที่ทำให้ "หม่อมไอซ์" เสียภูมิคุ้มกัน เพราะวัฎจักรธุรกิจเดินเรืออยู่ในช่วง "ขาลง" ขณะที่เงินลงทุนในธุรกิจใหม่ยังไม่ให้ผลตอบแทนที่ดี ระหว่างที่ บี เตชะอุบล "ล่าถอย" ด้วยกระแสสังคมกดดัน ได้มีตาอยู่ "เสี่ยเนสกาแฟ" ประยุทธ มหากิจศิริ ที่ขายหุ้น "ไทยน๊อคซ์" ให้ "โพสโค" จากเกาหลีใต้ กำเงินสดๆ 10,278 ล้านบาท (4,671.96 ล้านหุ้นๆ ละ 2.20 บาท) เอาเงินสดกว่า 2,000 ล้านบาท ไปไล่เก็บหุ้น TTA ในตลาดหลักทรัพย์ หลังตระกูลมหากิจศิริ ทุ่มทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ยึดกุมหุ้นใหญ่ และยึดเก้าอี้กรรมการบริษัท 5 ตัวในทีทีเอ มีหรือที่ "เสี่ยประยุทธ" จะอยู่เฉย!!! Tags : ม.ล.จันทรจุฑา จันทรทัต http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=38813 จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:12:56

ความคิดเห็นที่ 20 การส่งออกน้ำมันหินเชลของสหรัฐ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในต่างประเทศ ที่ไปไกลเกินกว่าที่ใครจะคาดถึง และทำให้สหรัฐมีความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างมาก น้ำมันหินเชล และก๊าซธรรมชาติ ได้ช่วยสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมพลังงาน และหนุนเศรษฐกิจอเมริกาเหนือ ด้วยการจัดหาพลังงานราคาถูกให้กับบริษัท และผู้บริโภค อย่างไรก็ดี นอกภูมิภาคนี้มีปริมาณน้ำมันหินเชลสำรองอยู่จำนวนมาก ซึ่งบริษัทพลังงาน และรัฐบาลทั่วโลก ล้วนแต่อยากที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย กระนั้นก็ตาม บรรดาบริษัทน้ำมันต่างต้องเผชิญอุปสรรคมากมาย จากความพยายามที่จะดำเนินตามรอยประสบการณ์ของสหรัฐ ในการเจาะเข้าไปยังแหล่งน้ำมันหินเชลในภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลให้การผลิตพลังงานประเภทนี้ในต่างประเทศอาจต้องรอกันอีกเป็นสิบปี เหตุผลหลักๆ ที่เป็นอุปสรรคสำหรับความพยายามข้างต้น รวมถึง การที่รัฐบาลเป็นเจ้าของสิทธิในการทำเหมือง ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม และการขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ในด้านการขุดเจาะ และขนส่งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ทั้งบริษัทเหล่านี้ยังแทบไม่มีความรู้ในเรื่องภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศ ไม่เหมือนกับในสหรัฐ ที่มีกิจกรรมการขุดเจาะหาน้ำมันมามากกว่าศตวรรษ จนถึงขณะนี้ สหรัฐ และแคนาดา ยังคงเป็นประเทศหลักที่สร้างความได้เปรียบให้กับเศรษฐกิจ โดยอาศัยน้ำมันจากหินเชล และคงเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง โดยก๊าซธรรมชาติ และอีเทนที่มีอยู่จำนวนมากในทั้ง 2 ประเทศ ดึงดูดให้บรรดาบริษัทปิโตรเคมี และผู้ผลิตปุ๋ยเข้ามาตั้งโรงงานใหม่ การเคลื่อนไหวที่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากหลายปีที่ผ่านมาบริษัทเหล่านี้พากันย้ายฐานการผลิตไปอยู่ในต่างประเทศ ขณะเดียวกัน หลายรัฐของสหรัฐ อย่าง เท็กซัส และนอร์ทดาโกตา ล้วนแต่มีแหล่งน้ำมันหินเชลสำรอง ที่จะกลายมาเป็นแรงหนุนเพิ่มเติมให้กับเศรษฐกิจ ผ่านทางกิจกรรมการขุดเจาะทรัพยากรเหล่านี้ ครั้งหนึ่ง โปแลนด์เคยถูกมองว่า เป็นหนึ่งในผู้เล่นในด้านนี้ที่มีศักยภาพอย่างมาก แต่การขุดเจาะในช่วงเริ่มแรกได้ก๊าซธรรมชาติน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ชุมชนยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับเรื่องการขุดเจาะ ทั้งการเปลี่ยนแปลงในกฎข้อบังคับด้านค่าภาคหลวง และภาษีของรัฐบาล ยิ่งทำให้อุตสาหกรรมนี้มืดหม่นหนักขึ้น และส่งผลให้เอ็กซ์ซอน โมบิล คอร์ป ผู้บุกเบิกเรื่องน้ำมันหินเชลโปแลนด์ ตัดสินใจถอนตัว ทั้งที่เพิ่งขุดไปได้แค่เพียง 2 บ่อเท่านั้น โดยระบุว่า หาน้ำมัน หรือก๊าซไม่ได้ในปริมาณมากพอที่จะทำให้บริษัทดำเนินการต่อไปได้ ส่วนจีนนั้น เเม้จะเชื่อกันว่า มีน้ำมันหินเชล และก๊าซธรรมชาติมากกว่าสหรัฐ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า เกือบทั้งหมดอยู่ในพื้นที่แห้งแล้ง หรือไม่ก็เป็นพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนมลพิษอย่างหนัก ทั้งบรรดาบริษัทน้ำมัน ก็กังวลว่า จะมีน้ำไม่เพียงพอสำหรับการนำมาอัดฉีดเพื่อให้หินแตก อันเป็นกระบวนการที่จำเป็นสำหรับการกำจัดไฮโดนคาร์บอนออกจากน้ำมันหินเชล "การที่จะสร้างฐานขุดเจาะบนพื้นที่เรียบๆ ได้นั้น เราแทบจะต้องเอาพื้นที่เนินเขาบางส่วนออกไปทั้งนั้น ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว นั่นหมายถึงนาข้าวของบางคนด้วย" ไซมอน เฮนรี กรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิก ของโรยัล ดัทช์ เชลล์ กล่าว เมื่อเร็วๆ นี้ อาร์เจนตินาก็เพิ่งจะยึดสินทรัพย์ของบริษัทสเปนมาเป็นของรัฐ โดยบริษัทรายนี้เป็นผู้ค้นพบแหล่งน้ำมันหินเชลสำรองขนาดใหญ่ ที่ประเมินกันว่า จะมีปริมาณมากเทียบเท่าน้ำมันเกือบ 1,000 ล้านบาร์เรลทีเดียว การกระทำของรัฐบาลอาร์เจนตินา ยิ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการเข้ามาลงทุนในประเทศ หลังจากที่ต้องเจอกับกฎข้อบังคับ ที่ทำให้การนำเข้าเทคโนโลยีที่จำเป็น และส่งออกเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการทำกำไรกลายเป็นเรื่องยาก อาปาเช คอร์ป บริษัทที่มีฐานดำเนินงานอยู่ในเมืองฮูสตัน สหรัฐ ซึ่งถือครองสิทธิขุดเจาะน้ำมันหินเชลในอาร์เจนตินา บนพื้นที่ 2.812 ล้านไร่ ระบุว่า การเข้าขุดเจาะน้ำมันหินเชลในอาร์เจนตินา ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าในสหรัฐถึง 2 เท่า และสูงกว่า 2-4 เท่า สำหรับการบดหิน เพื่อที่จะเริ่มการผลิตได้ ส่วนอุปสรรคขวางการลงทุนในประเทศอื่นๆ อย่างฝรั่งเศส และบัลแกเรีย ยิ่งเดินหน้าไปไกลกว่าใคร และยังมีการห้ามใช้เแรงดันน้ำอัดฉีดหินเชลด้วย เพราะกังวลในเรื่องสภาพแวดล้อม ทำให้การพัฒนาเพื่อนำพลังงานประเภทนี้ออกมาใช้ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด "ในตอนแรกนั้น ทั่วโลกมีความหวังอย่างมากถึงการพัฒนาน้ำมันหินเชลทั่วโลก แต่หลังจากนั้นอุตสาหกรรมก็เริ่มตระหนักถึงความจริง ซึ่งแน่นอนว่า อุตสาหกรรมน้ำมันหินเชลโลกจะเกิดขึ้นแน่ แต่อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้" ดจเซฟ สเตนิสลอว์ ที่ปรึกษาพลังงานอิสระ ของดีลอยท์ กล่าว ความลำบากอีกอย่างหนึ่งที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมน้ำมันหินเชลต้องเจอ คือ การที่แทบจะไม่มีใครรู้เลยว่าแหล่งน้ำมันหินเชลสำรองมีอยู่ที่ใดบ้างในโลก แตกต่างจากในสหรัฐ ที่มีการขุดเจาะไปแล้วเป็นหมื่นบ่อ และเจ้าหน้าที่คุมกฎระเบียบต่างๆ ของรัฐ ก็มักจะเผยแพร่ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ให้ประชาชนได้รับรู้ กระนั้นก็ตาม ผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนนี้มีขนาดมหึมาอย่างมาก และทั่วโลกก็มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มากมาย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเชื่อว่า มีน้ำมันหินเชลอยู่เป็นจำนวนมากในโลกนี้ ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐได้ดำเนินการศึกษาเรื่องดังกล่าวใน 32 ประเทศ และประเมินว่าประเทศเหล่านี้ มีน้ำมันหินเชลสำรองอยู่ราว 6.6 พันล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ซึ่งเพียงพอกับให้โลกบริโภคไปมากกว่า 50 ปี โดยในสหรัฐนั้น มีน้ำมันหินเชลอยู่ราว 862 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หรือราว 13% ของปริมาณสำรองที่คาดว่าจะมีอยู่ทั่วโลก จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:17:41

ความคิดเห็นที่ 21 ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) ขานรับรายงานที่ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกของจีนขยายตัวได้ดีเกินคาด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยบรรเทาปัจจัยลบจากข่าวการลาออกของนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.1% ปิดที่ 279.55 จุด ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3612.10 จุด บวก 6.49 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 7530.92 จุด บวก 13.12 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5921.63 จุด บวก 7.23 จุด ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน ด้านเยอรมนีรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนต.ค.ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังจากที่ร่วงลง 2.45 ในเดือนพ.ย. อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวันจากข่าวที่ว่านายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลีจะประกาศลาออกภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าการลาออกของนายมอนติจะยิ่งทำให้สถานการณ์ด้านการเงินของอิตาลีย่ำแย่ลงอีก หุ้นยูนิเครดิต เอสพีเอ ซึ่เงป็นธนาคารรายใหญ่สุดของสเปน ร่วงลง 5.2% เพราะได้รับผลกระทบจากข่าวการลาออกของนายกรัฐมนตรีมอนติ ขณะที่หุ้นธนาคารบังโค มอนติ เดอ ปาชี  ดิ่งลง 5.9% และหุ้นอินเทซา ซานเปาโล ร่วงลง 5.2% หุ้นเฟี๊ยต ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สุดของอิตาลี ร่วงลง 3.5% หุ้นฟินเมคคานิกา ซึ่งเป็นผู้รับเหมาด้านยุทธปัจจัยทางทหารของอิตาลี ดิ่งลง 2.2% หุ้นออริเฟม คอสเมติก ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามระดับโลก ดีดตัวขึ้น 4.2% หลังจากนักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทอาจจะมีผลกำไรที่แข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาสนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) ขานรับรายงานที่ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกของจีนขยายตัวได้ดีเกินคาด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยบรรเทาปัจจัยลบจากข่าวการลาออกของนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 7.23 จุด หรือ 0.12% แตะที่ 5,921.63 จุด หลังจากปรับตัวในช่วง 5,891.33-5,923.97 จุด ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวันจากข่าวที่ว่านายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลีจะประกาศลาออกภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าการลาออกของนายมอนติจะยิ่งทำให้สถานการณ์ด้านการเงินของอิตาลีย่ำแย่ลงอีก หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ขยับขึ้น 0.8% ขณะที่หุ้นยูเรเซียน เนเชอรัล รีซอสเซส ร่วงลง 2.4% จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:30:56

ความคิดเห็นที่ 22 สรุปข้อมูลการขายชอร์ตของหุ้นไทย ณ วันที่ 07 ธ.ค. 2555 มีรายละเอียดดังนี้ หลักทรัพย์        ปริมาณหุ้นที่          มูลค่าการ  %ปริมาณการขายชอร์ต ขายซอร์ต          ขายชอร์ต  เทียบกับปริมาณการซื้อขาย (หุ้น)            (บาท)     บนกระดานหลัก RATCH           209,300    11,459,175.00        23.90% SVI           1,049,000     4,140,860.00        14.38% KBANK           405,900    80,121,800.00         6.26% CPF           1,365,000    45,386,250.00         4.99% ADVANC          219,800    46,939,600.00         4.27% CPN              40,000     3,190,000.00         3.25% GLOBAL          100,000     1,780,000.00         2.60% PTT              90,000    29,480,000.00         2.16% MINT            110,000     2,236,300.00         2.11% PTTGC           206,000    13,711,500.00         1.96% PTTEP           223,000    34,564,000.00         1.64% JAS           1,000,000     5,350,000.00         1.59% STEC            108,300     2,782,550.00         1.41% TICON            20,700       288,000.00         1.30% BLA              20,800     1,137,550.00         1.28% KTB             200,000     3,720,000.00         1.12% BJC              18,300     1,053,000.00         0.94% HMPRO           170,800     2,032,520.00         0.87% PS               41,000       885,600.00         0.85% DTAC             34,000     2,968,000.00         0.63% SCB              50,000     8,550,000.00         0.53% DELTA            11,000       346,125.00         0.52% IRPC            149,600       634,304.00         0.45% BEC               7,100       413,575.00         0.44% TUF              10,000       697,500.00         0.39% SCC               2,000       796,000.00         0.38% TOP              13,400       898,725.00         0.36% BH                4,800       355,200.00         0.35% AOT               4,400       396,000.00         0.23% MAJOR             2,500        48,000.00         0.16% BCP               1,900        54,625.00         0.08% IVL               5,000       124,000.00         0.08% SPALI             9,600       169,920.00         0.07% BBL               5,600     1,048,500.00         0.06% TTW               1,900        16,150.00         0.02% TCAP                500        18,500.00         0.01% CK                1,000        10,800.00         0.00% TRUE              1,700         8,466.00         0.00% ที่มา: www.set.or.th ตลาดอนุพันธ์ (TFEX) รายงานสรุปปริมาณการซื้อขาย All Futures โดยแบ่งตามประเภทนักลงทุน ประจำวันที่ 7 ธันวาคม 2555 ดังนี้ (หน่วย: จำนวนสัญญา) นักลงทุน              ซื้อ       ขาย       สุทธิ สถาบัน           12,183    13,098     -915 ต่างชาติ           2,739     3,590     -851 ในประเทศ        17,733    15,967    1,766 ตลาดอนุพันธ์ (TFEX) รายงานสรุปปริมาณการซื้อขาย Index Futures โดยแบ่งตามประเภทนักลงทุน ประจำวันที่ 7 ธันวาคม 2555 ดังนี้ (หน่วย: จำนวนสัญญา) นักลงทุน               ซื้อ       ขาย       สุทธิ สถาบัน             3,385     3,914      -529 ต่างชาติ            1,957     2,791      -834 ในประเทศ          7,577     6,214     1,363 จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:34:16

ความคิดเห็นที่ 23 วันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2555 (ตามเวลาประเทศไทย) สหรัฐ                            02:00 น.                   คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐประชุมวันแรก วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2555 (ตามเวลาประเทศไทย) ประเทศไทย                                                คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)กำหนดเผยแพร่รายงานการประชุม สหรัฐ                                02:00 น.               คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐประชุมวันสุดท้าย วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2555(ตามเวลาประเทศไทย) สหรัฐ                                                        สหรัฐเปิดเผยยอดขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงาน สหรัฐเปิดเผยดัชนี PPI สหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีก วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2555 (ตามเวลาประเทศไทย) ยุโรป                                                        สหภาพยุโรปเปิดเผยดัชนี CPI ยูโรโซน สหรัฐ                                                        สหรัฐเปิดเผยดัชนี CPI สหรัฐเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรม วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2555 (ตามเวลาประเทศไทย) ญี่ปุ่น                                                         ญี่ปุ่นจัดการเลือกตั้งทั่วไป จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:36:43

ความคิดเห็นที่ 24 สวัสดีครับ ทุกๆท่าน วันนี้ลุ้น ต่อ ว่า set จะไปทางไหน อิอิ       จากคุณ : มารหุ้นแสวงพ่าย เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:42:06

ความคิดเห็นที่ 25 ราคาน้ำมันผันผวน จากปัญหาหน้าผาการคลังของสหรัฐฯ และความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์” บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ โดย บมจ. ไทยออยล์: “ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะเคลื่อนไหวในกรอบ 105-112 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเวสต์เท็กซัสเคลื่อนไหวในกรอบ 83-90 เหรียญฯ” แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมัน (10 - 14 ธ.ค. 55) ราคาน้ำมันคาดว่าจะผันผวน โดยได้รับแรงกดดันจากปัญหาหน้าผาการคลังในสหรัฐฯ ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ โดยเฉพาะประเด็นการปรับเพิ่มภาษีของผู้มีรายได้สูง อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงในอียิปต์ของกลุ่มผู้ต่อต้านการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ และสถานการณ์ความตึงเครียดรอบใหม่ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากความกังวลว่าอุปทานน้ำมันดิบอาจได้รับผลกระทบหากเหตุการณ์รุนแรงขึ้น ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้: • ความคืบหน้าของข้อสรุปเกี่ยวกับการขึ้นภาษีคนรวย ซึ่งถือเป็นประเด็นคงค้างที่สำคัญในการเจรจาปัญหาหน้าผาการคลังในสหรัฐฯ ระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้หรือไม่ แม้ว่าสภาคองเกรซจะมีมติร่วมกันที่จะลดการใช้จ่ายภาครัฐฯ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าสภาคองเกรซจะสามารถหาข้อสรุปของประเด็นคงค้างได้ทันก่อนที่มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้โดยอัตโนมัติในเดือน ม.ค. ปีหน้า • การลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญของอียิปต์ในวันที่ 15 ธ.ค. นี้ จะคลายความรุนแรงของสถานการณ์ประท้วงและต่อต้านประธานาธิบดีรวมถึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวที่มีความรุนแรงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา • สถานการณ์ความตึงเครียดรอบใหม่ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบที่อาจได้รับผลกระทบ หลังอิสราเอลประกาศแผนเดินหน้าสร้างที่อยู่อาศัยในเขตเวสต์แบงค์ เพื่อเป็นการตอบโต้สหประชาชาติที่มีมติรับรองสถานะปาเลสไตน์ให้เป็นรัฐชาติ • ในการประชุมกลุ่มโอเปคที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ เบื้องต้นตลาดคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปคจะตัดสินใจคงโคว้ตาการผลิตไว้ที่เดิม หลังจากสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือบานปลายและส่งผลให้ตลาดกังวลว่าจะกระทบต่อการผลิตและการขนส่งน้ำมันดิบในบริเวณดังกล่าว ประกอบกับรัฐมนตรีน้ำมันซาอุดิอาระเบียก็ส่งสัญญาณแสดงความพอใจต่อระดับราคาน้ำมันในปัจจุบัน • ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีชี้วัดภาคการผลิตและยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ยอดดุลการค้าของสหรัฐฯ และจีน ดัชนีความรู้สึกต่อภาวะเศรษฐกิจและดุลการค้าเยอรมนี การผลิตภาคอุตสาหกรรมและดัชนีราคาผู้บริโภคของยูโรโซน • ติดตามการประชุมธนาคารการสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 ธ.ค. และการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปผู้นำกลุ่มยูโรโซนในวันที่ 13 ธ.ค. นี้ รวมถึง รายงานสถานการณ์น้ำมันประจำเดือน ธ.ค. โดยสำนักงานสารสนเทศทางด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) และโดยโอเปกในวันที่ 11 ธ.ค. และโดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ในวันที่ 12 ธ.ค. นี้ สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (3 - 7 ธ.ค. 55) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 4.21 เหรียญฯ สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 107.02 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับลดลง 2.98 เหรียญ มาปิดที่ 85.93 เหรียญฯ ราคาน้ำมันดิบได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ จากแรงกดดันของความไม่แน่นอนของปัญหาหน้าผาการคลังในสหรัฐฯ ที่ยังมีบางประเด็นที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลีกัน โดยเฉพาะการขึ้นภาษีของผู้มีรายได้สูง นอกจากนี้ความกังวลของนักลงทุนยังเพิ่มมากขึ้นหลังธนาคารกลางยุโรปปรับลดคาดการณ์ จีดีพี ปี 2556 มาอยู่ที่ -0.3% จากประมาณการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 0.5% ในเดือน ก.ย. 55 โดยนักวิเคราะห์มองว่าเศรษฐกิจยุโรปจะยังคงมีความเสี่ยงอยู่ต่อไปจนถึงต้นปี 2557 อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ รวมถึงความรุนแรงในอียิปต์ยังเป็นส่วนที่พยุงราคาน้ำมัน จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:51:34

ความคิดเห็นที่ 26 สวัสดีค่ะ น้องโซว์  พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆทุกคน จากคุณ : Kading เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:55:55

ความคิดเห็นที่ 27 http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=38820 จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:58:55

ความคิดเห็นที่ 28 . จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 08:59:09

ความคิดเห็นที่ 29 สำนักงานอุตุนิยมวิทยาและธรณีวิทยาของอินโดนีเซียรายงานว่า เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 7.4 ริกเตอร์ที่หมู่เกาะมาลูกุ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของมาเลเซีย โดยแผ่นเดินไหวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 23.53 น.เมื่อวานนี้ตามเวลาไทย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเตือนภัยคลื่นสึนามิ และไม่มีรายงานความเสียหายและผู้เสียชีวิต จนถึงขณะนี้ ด้านสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐ (USGS) เปิดเผยว่า USGS วัดระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวครั้งนี้ได้ที่ 7.2 ริกเตอร์ ที่ระดับความลึกใต้ทะเล 155.2 กิโลเมตร บริษัทอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำของโลก "เนสท์เล่" ปรับทีมบริหารใหม่ เอาจริงตลาดแคปซูลกาแฟ รับมือคู่แข่งที่แห่ชิงแชร์ตลาดกาแฟระดับบน ไม่นานมานี้ "เนสท์เล่" เพิ่งปรับเปลี่ยนผู้บริหารในแผนกแคปซูลกาแฟ "เนสเปรสโซ" ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรให้บริษัทมหาศาล รวมทั้งเป็นหนทางที่จะรับมือกับการชะลอตัวในตลาดยุโรป และตั้งรับคู่แข่งที่พากันมาลงสนามอย่างคับคั่ง ทั้งรายเล็กและรายใหญ่อย่างสตาร์บัคส์ คอร์ป เชนกาแฟเบอร์หนึ่ง เพราะได้กลิ่นหอมของตลาดกาแฟแบบชงทีละแก้ว (single-serve) ที่มีมูลค่าถึง 8 พันล้านดอลลาร์ ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารจากสวิตเซอร์แลนด์รายนี้แต่งตั้ง "ฌอง-มาร์ก ดูโวแซง" ลูกหม้อที่ร่วมงานกับเนสท์เล่มานาน 26 ปี และนั่งเก้าอี้ผู้บริหารฝ่ายบุคคลอยู่ในตอนนี้ มาคุมธุรกิจเนสเปรสโซ ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงถึง 3 พันล้านฟรังก์สวิต หรือราว 3.1 ล้านดอลลาร์ ในปี 2554 แทนที่ "ริชาร์ด กีราร์โดต์" ที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของเนสเปรสโซมาตั้งแต่ปี 2550 ดูโวแซง จะเข้ารับตำแหน่งใหม่ในแผนกเนสเปรสโซ ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2556 ขณะที่กีราร์โดต์ถูกโยกไปประจำที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 ของบริษัท กาแฟเนสเปรสโซ ซึ่งใช้ดาราฮอลลีวูดชื่อดังอย่างจอร์จ คลูนีย์ เป็นนายแบบโฆษณา ถือเป็นแบรนด์สินค้าที่เติบโตรวดเร็วที่สุดของเนสท์เล่ ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 20%ในปีที่แล้ว แต่ธุรกิจแคปซูลกาแฟ ต้องเผชิญกับการเติบโตอย่างเชื่องช้า เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงในปีนี้ และการแห่เข้ามาของคู่ต่อสู้จำนวนมากในตลาดนี้ "จอน ค็อกซ์" นักวิเคราะห์จากเคปเลอร์ แคปิตัล มาร์เก็ตส์ ให้ความเห็นว่า การเติบโตของเนสเปรสโซผ่อนฝีเท้าลง จนอาจลดลงถึงตัวเลขสองหลัก สนามแข่งขันตรงนี้ยากขึ้น เพราะบริษัทอื่นๆ ต่างก็ส่งเครื่องชงกาแฟของตนเข้าสู่ตลาด ข้อมูลในรายงานของบริษัทวิจัย ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นเนล พบว่า ส่วนแบ่งตลาดกาแฟแคปซูลทั่วโลกของเนสท์เล่ลดลงจาก 32% ในปี 2552 ไปสู่ระดับ 27% ในปีที่แล้ว ขณะที่แบรนด์เครื่องชงกาแฟ "เซนซีโอ" ของบริษัทซาร่า ลี คอร์ป และ "เทสสิโม" ของบริษัทคราฟท์ ฟู้ดส์ ต่างเข้ามาลงสนามแข่งด้วย ปัญหาใหญ่ของเนสเปรสโซ อยู่ที่ตลาดยุโรปตะวันตก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของยอดขายเนสเปรสโซ กำลังตกที่นั่งลำบาก เนื่องจากในเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีคู่แข่งในตลาดหนาแน่นขึ้น รวมถึงสตาร์บัคส์ที่เปิดตัวเครื่องชงกาแฟแบบทีละแก้วนามว่า "เวอริสโม" ซึ่งบริษัทอ้างว่าสามารถชงกาแฟลาเต้และเอสเปรสโซได้เหมือนที่เสิร์ฟในร้าน นอกจากนี้ "คูริก" แบรนด์เครื่องชงกาแฟจากบริษัทกรีน เมาท์เท่น คอฟฟี่ โรสเตอร์ ปล่อยเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซแบบทีละแก้วที่เรียกว่า "ริโว" ออกมาร่วมประชันในตลาดด้วย ขณะที่เนสเปรสโซขยายทางเลือกของเครื่องชงกาแฟให้หลากหลายขึ้น แม้ว่าจะมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่า ตลาดกาแฟแบบแคปซูล ยังคงพัฒนาอย่างรวดเร็ว และสามารถล่อตาล่อใจบริษัทอาหารต่างๆ เนื่องจากปริมาณลูกค้ามากมายโปรดปรานรสชาติของกาแฟแบบแคปซูล มากกว่ากาแฟกรองแบบสำเร็จรูปทั่วไป รวมถึงหลายคนดื่มกาแฟเพื่อสถานะทางสังคม จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 09:11:37

ความคิดเห็นที่ 30 *ROJNA -นสพ.รายงาน  ดี๊ด๊าติดโผเข้า SET100 มั่นใจกองทุนฝรั่งตุนหุ้นเข้าพอร์ตเพียบ เดินเครื่องธุรกิจเต็มสูบสร้างฐานธุรกิจปี 2556 แกร่ง ส่วนงบปี 2555 สดใส ปั๊มรายได้สุดโต่ง จากปีก่อนที่ 6.46 พันล้านบาท แถมทยอยรับรู้รายได้คอนโดในจีนมูลค่ามากกว่า 3 พันล้านบาท *LEE -นสพ.รายงาน  ยันบิ๊กล็อต LEE-W2 ไม่กระทบโครงสร้างผู้ถือหุ้น แม้ใกล้วันใช้สิทธิแปลงสภาพ 28 ธันวาคมนี้ ขณะที่ผลงานไตรมาส 4/2555 มีลุ้นกำไรฝุ่นตลบหลังเข้าสู่ฤดูส่งออกเนื้อสัตว์ คาดยอดขายอาหารสัตว์สำเร็จรูปกระฉูด พร้อมดันรายได้รวมปีนี้โตเกิน 10% *ADVANC, DTAC, TRUE -นสพ.รายงาน กสทช.มีมติออกไลเซนส์ 3G คลื่น 2.1 GHz ให้ ADVANC-DTAC-TRUE ภายใน 7 วันนับจากวันที่ 7 ธันวาคม 2555 มีอายุ 15 ปี และจะเปิดให้บริการกับลูกค้าได้เดือนเมษายน 2556 ด้านโบรกประเมิน 20 ธันวาคมนี้ เอกชนได้ไลเซนส์ *SITHAI -นสพ.รายงาน เล็งหาพันธมิตรอินเดียร่วมทุน ผุดโรงงานผลิตผงเมลามีน แย้มอยู่ระหว่างเจรจาหลายรายส่วนเป้ารายได้ปีหน้าตั้งเป้าโตทะลุ 9,000 ล้านบาท ฟากโบรกคาดยอดขายโค้งท้ายพีคสุด หลังบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม-อาหาร-สินค้า หนุนโตแรง *TKS -นสพ.รายงาน เผยเซ็นสัญญาจอยซ์เวนเจอร์กับนายทุนพม่า โดยเข้าถือหุ้น 50% พร้อมบุกตลาดไอทีและสิ่งพิมพ์เต็มสูบ แถมเนื้อหอมฝรั่งเรียงคิวเจรจาส่งมอบงาน กินรวบมาร์จิ้นเต็มพอร์ต จากเดิมแค่ 20% หนุนงบปี 2556 พุ่งพรวด ด้านไตรมาส 4/2555 รุ่งโรจน์ รับอานิสงส์ช่วงไฮซีซัน *CCP -นสพ.รายงาน  ส่งซิกรัฐบาลคลอดกองทุนวายุภักษ์ 2 ขนาด 5 แสนล้านบาท ภายในเดือนธันวาคม 2555 นี้ หนุนผลประกอบการกลุ่มรับเหมารุ่งโรจน์ ตุนงานเข้าพอร์ตมือเป็นระวิง ปักธงปี 2556 กำไรก้าวกระโดด *TRC -นสพ.รายงาน  จ่อปิดดีลลงทุนพลังงานทดแทนไตรมาส 1/2556 กวาดรายได้เข้ากระเป๋าปีละ 100 ล้านบาท แถมรุกเก็บงานใหม่ต่อเนื่อง เสริมรายรับอนาคต พร้อมมั่นใจปี 2555 รายได้ตามฝัน 4 พันล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์ชี้ธุรกิจเข้าช่วงขาขึ้นกอดแบ็กล็อกไตรมาส 3/2555 เต็มมือ 3.4 พันล้านบาท บุ๊กเข้าไตรมาส 4/2555 ที่ 1.4 พันล้านบาท มีลุ้นชนะการประมูลอีกราว 1.1 หมื่นล้านบาท *ERW -นสพ.รายงาน ตั้งธงรายได้ปี 2556 โตเท่าปีนี้ที่คาดขยับ 18% คาดราคาพุ่งต่อเนื่อง หลังนักลงทุนมั่นใจแนวโน้มธุรกิจ-ผลประกอบการยังโต ฟากโบรกส่องธุรกิจโรงแรมดีต่อเนื่อง มองกำไรปี 2556 จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากการขายสินทรัพย์ให้กับกองทุนอสังหาในไตรมาส 2/2556 เป็นมูลค่า 1.5-2 พันล้านบาท *QLT -นสพ.รายงาน โบรกส่องกล้อง "QLT" คาดผลงานปี 2556 รายได้พุ่งขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 432 ล้านบาท ส่วนกำไรทะยาน 9% เป็น 98 ล้านบาท หลังยื่นประมูลมูลค่าราว 100 ล้านบาท ลุ้นคว้าได้ 80% แถมมีสิทธิสอยงาน ตรวจสอบท่อก๊าซของกลุ่ม ปตท.อีก 2 เส้นทาง คาดได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1/2556 *PTT -นสพ.รายงาน  ปตท.จำกัด (มหาชน) กำลังเร่งปรับโครงสร้างองค์กร ปตท.เพื่อความคล่องตัวในการทำธุรกิจที่จะมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 ซึ่งเป้าหมายของ ปตท.ต้องการเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติและก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานข้ามชาติ โดยมีแผนปรับลดขนาดและปรับโครงสร้างองค์กร 39 บริษัทในเครือให้เหลือเพียง 29 บริษัทจากบริษัทในเครือทั้งหมด 250 บริษัท *SLC -นสพ.รายงาน ยันรายได้ปีหน้าโต 30-40% ปรับ แผนใช้บริษัทย่อยหางานมากขึ้นหวังดึงงาน เอกชนเพิ่ม-ลดสัดส่วนงานรัฐเหลือ 50% หลังพบความเสี่ยงงบล่าช้า รับปีนี้รายได้ต่ำเป้าเหลือ 200 ล้านบาท *BAY -นสพ.รายงาน ปีหน้ามุ่งสู่ Virtual Bank หรือแบงก์ออนไลน์ เล็งขยายช่องทางออนไลน์และบริการผ่านมือถือเพิ่มมากขึ้น ตั้งเป้าเพิ่มธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ให้เพิ่มขึ้นอีก 2-3 เท่าตัว จากปัจจุบันที่มี 2-3 ล้านรายการต่อเดือน ส่วนสาขาใหม่เล็งเปิดเพิ่มอีก 50 แห่งทั่วประเทศ *SCB -นสพ.รายงาน ปีหน้าไม่เน้นรุกสินเชื่อ แต่ขอรุกสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมแทนหวังเพิ่ม สัดส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเป็น 50% *AMATA -นสพ.รายงาน ตั้งเป้ายอดขายที่ดินโตปีละ 20% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า รายได้ของโรงงานในนิคมฯเพิ่มเป็น 20% ของจีดีพีประเทศ จากปัจจุบันอยู่ที่ 8% ชี้นักลงทุนจากญี่ปุ่น-จีนเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่ม เพื่อขยายฐานการผลิตเข้าสู่อาเซียน ดึง "ยรรยง พวงราช" อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์มาช่วยพัฒนาบริษัท สร้างคนรองรับเปิดเออีซี *SPPT -นสพ.รายงาน อ่อยไตรมาส 4 ผลงานทรุด เหตุเศรษฐกิจยุโรปสหรัฐฯ อึมครึม แถมปัญหาจีนญี่ปุ่น ทำออเดอร์หาย ยันปีนี้ปลื้มผลงานสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา แม้เป็นเงินจากรายการพิเศษ  ประเมินปีหน้ารายได้ 700 ล้านบาท เชื่อไตรมาสแรกกลับสู่ปกติ ลูกค้าเก็บวัตถุดิบเข้าสต๊อกหลังออเดอร์ซบมานาน เผยจากนี้งาน NON-HDD เป็นพระเอกพร้อมปรับสัดส่วนรายได้ให้ HDD ต่ำลงจากเดิม *GL -นสพ.รายงาน  มั่นใจปี 2556 ยอดปล่อยสินเชื่อมอเตอร์โตอีก 30% หลังปีนี้ทะลุ 7,000 คัน/เดือน ด้านผู้บริหารตั้งเป้าใหม่ที่ 10,000 คัน/เดือน ส่วนธุรกิจที่กัมพูชาไปได้สวยจับมือ Honda NCX เจ้าตลาด เขมร ปูพรมตั้งศูนย์ปล่อยสินเชื่อในโชว์รูม 36 แห่งทั่วประเทศหวังฟัน 25% จากยอดขาย 200,000 คัน พร้อมเล็งเทกโอเวอร์ลีสซิ่งมอเตอร์ไซค์ในเวียดนาม โดยใช้บริษัทลูกในสิงคโปร์ระดมทุนเข้าซื้อ *JAS -นสพ.รายงาน  เตรียมเสนอบอร์ดไฟเขียวลดทุนจดทะเบียนพรุ่งนี้(12ธ.ค.) ด้วยวิธีการตัดหุ้นที่ซื้อคืน 106.85 ล้านหุ้นทิ้ง ส่งผลกำไรต่อหุ้นเพิ่มเป็น 0.30 บาท มูลค่าทางบัญชีเพิ่ม 1.25 บาท ตามประมาณกำไรปีนี้ 2,000 ล้านบาท พร้อม JAS ลุ้นเข้าคำนวณ SET50 ที่ตลท.ประกาศกลางเดือนนี้ *PTTEP -นสพ.รายงาน  มาร์เก็ตแคปเพิ่มอีก 9.9 หมื่นล้านบาท หลังขายหุ้นเพิ่มทุน 650 ล้านหุ้นหมดเกลี้ยง ช่วยดันมาร์เก็ตแคป รวมพุ่งทะยานเกิน 6 แสนล้านบาท รอขึ้นแท่นอันดับ 3 หุ้นมาร์เก็ตแคปสูงสุดของตลาดหลักทรัพย์ฯ แซงหน้า (SCB) *SIRI -นสพ.รายงาน แย้มไตรมาส 4 รายได้พุ่ง 1.2 หมื่นล้านบาท อานิสงส์บุ๊ครายได้โอนคอนโดกว่า 12โครงการ ดันรายได้ปีนี้เข้าเป้า 2.8หมื่นล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิปีนี้ใกล้เคียงโบรกฯคาด 2.74 พันล้านบาท เดินสายโรดโชว์ดึงต่างชาติลงทุนเพิ่ม *กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง -นสพ.รายงาน  รชม.คมนาคมเผย จะเร่งรัดโครงการก่อสร้างทางพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) บางปะอิน-โคราช และเส้นทางเชื่อมต่อมอเตอร์เวย์ สีคิ้ว-โคราช ให้เป็นรูปธรรมภายใน 1 ปีจากนี้  เพราะถือเป็นโครงการสำคัญที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางออกต่างจังหวัดและมีแผนจะดำเนินโครงการมานานมากแล้ว *กลุ่มธรุกิจประกันภัย -นสพ.รายงาน ธุรกิจประกันภัยส้มหล่นเรียกรีอินชัวร์เรอส์เข้าหารือ เตรียมแผนคว้าธุรกิจโทรคมนาคมที่ได้ 3G เข้าพอร์ตเพิ่ม หลัง กสทช. เปิดทาง กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่ได้รับใบอนุญาต 3G ซื้อประกันความเสียหายกรณีเครือข่ายล่มเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในอนาคต *ITD -นสพ.รายงาน "เปรมชัย"รอรัฐบาล"ยิ่งลักษณ์"ลงนามพม่าเดินหน้านิคมฯทวาย ชี้โครงการล่าช้ามาแล้ว 8 เดือน เตรียมเปิดขายพื้นที่ใน 2 เดือน เตรียมเปิดขายพื้นที่ใน 2 เดือนนี้ เผยมีกลุ่มอุตสาหกรรมกว่า 100 รายสนใจ สิ่งทอมากที่สุด "ชัชชาติ" คาดสรุปแผนเสร็จเดือนก.พ.ปีหน้า ยันรัฐบาลหนุนเต็มที่ *กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ -นสพ.รายงาน  ปิดฉากมหกรรมยานยนต์เกินเป้า คาดยอดจองพุ่ง 8.3 หมื่นคัน แห่ซื้ออีโคคาร์มากที่สุด จับตาปีหน้าค่ายรถแข่งเดือด รักษาฐานลูกค้า ลดผลกระทบตลาดรวมสะดุด หลังจากหมดโครงการรถคันแรก มาสด้าชี้บริหารการผลิต ตลาดง่าย หลังรู้ความต้องการที่แท้จริง *PAE -นสพ.รายงาน บริษัทประสบความสำเร็จในการระดมทุน ทำให้มีเงินทุนเข้ามาประมาณ 1,800 ล้านบาท ซึ่งมากเพียงพอที่จะทำให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจได้เต็มกำลังมากขึ้น *SAMCO -นสพ.รายงาน  ปีหน้าบริษัทเตรียมแผนบุกตลาดทาวน์เฮาส์และบ้านแฝดเป็นครั้งแรก ภายใต้ยี่ห้อใหม่ "เทียร่า ดิบิน่า" เพื่อเจาะตลาดที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท จับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง ซึ่งเคยเป็นกลุ่มหลักของตลาดบ้านเดี่ยวราคาประมาณ 3 ล้านบาท *เครือซีพี -นสพ.รายงาน  ได้ส่งหนังสือแถลงการณ์เรื่องการซื้อหุ้นบางส่วนจากบริษัท ผิงอัน อินชัวรันซ์บริษัทประกันภัยอันดับ 2 ของประเทศจีน ว่า เครือซีพีเชื่อมั่นในบริษัทและทีมงานผู้บริหารที่มีความสามารถสูงภายใต้การนำของนายปีเตอร์ มา ประธานกรรมการ บริษัทผิงอัน อินชัวรันซ์ ซึ่งเครือซีพีหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะแสวงหาโอกาสที่จะเสริมสร้างและพัฒนาธุรกิจที่เกิดประโยชน์ร่วมกันระหว่างพันธมิตรในอนาคตต่อไป เนื่องจากบริษัทผิงอันฯ เป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดีมีอนาคต *HYDRO -นสพ.รายงาน รุกต่างประเทศ เตรียมขยายลงทุนผลิตน้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสียประเทศอินโดนีเซีย ผนึก UAC กรุยพม่า จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 09:21:53

ความคิดเห็นที่ 31 ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในช่วงเช้าวันนี้ ก่อนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะเริ่มขึ้นในคืนนี้ตามเวลาไทย ซึ่งมีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ดัชนี MSCI Asia Pacific ขยับลง 0.1% ที่ระดับ 126.16 จุด ณ เวลา 10.26 น.ตามเวลาโตเกียว ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 9,510.60 จุด ลดลง 23.15 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,077.56 จุด ลดลง 6.21 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,295.99 จุด เพิ่มขึ้น 19.27 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 7,621.00 จุด เพิ่มขึ้น 11.50 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,962.52 จุด เพิ่มขึ้น 5.10 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,127.53 จุด เพิ่มขึ้น 13.19 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 5,759.16 จุด เพิ่มขึ้น 1.62 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,633.82 จุด เพิ่มขึ้น 1.67 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 4,563.40 จุด เพิ่มขึ้น 5.50 จุด จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 09:25:03

ความคิดเห็นที่ 32 สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์ (3 — 7 ธันวาคม 2555) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้มีมูลค่ารวม 304,571  ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 60,914 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้ประมาณ 13% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 73% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 220,996 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 69,039 ล้านบาท  และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 4,601 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23% และ 2% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB145B (อายุ 1.4 ปี) LB176A (อายุ 4.6 ปี) และ LB196A (อายุ 6.5 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 11,392 ล้านบาท 9,220 ล้านบาท และ 8,942 ล้านบาท ตามลำดับ  ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB12D25A (อายุ 14 วัน) CB13307C (อายุ 91 วัน) และ CB13103C (อายุ 28 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 45,249 ล้านบาท 23,419 ล้านบาท และ 16,025 ล้านบาท ตามลำดับ ทางด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (TLT12DA (AAA)) มูลค่าการซื้อขาย 456 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีสจำกัด มหาชน รุ่น AYCAL145A (A+) มูลค่าการซื้อขาย 402 ล้านบาท และ หุ้นกู้ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รุ่น THAI155A (A+) มูลค่าการซื้อขาย 343 ล้านบาท เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุน้อยกว่า 1 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1  Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุตั้งแต่ 5 ปี ถึง 15 ปีปรับตัวลดลงในช่วง -2 ถึง -3 Basis Point  และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ +2 Basis Point   ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ลดลงไปบ้างจากสัปดาห์ก่อนหน้า  เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆเข้ามากระทบตลาดมากนัก แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังคงกังวลถึงปัญหามาตรการทางการคลังของสหรัฐ (Fiscal Cliff) ที่อยู่ระหว่างการหารือถึงการแก้ไขปัญหา ซึ่งประธานาธิบดีโอบามาเชื่อว่าจะมีความชัดเจนในช่วงก่อนวันคริสมาสต์สำหรับปัจจัยทางฝั่งยุโรปที่มีผลต่อตลาดตราสารหนี้ เริ่มจากการที่ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ลดอันดับความน่าเชื่อถือกรีซลงเป็น “Selective Default” หรือ ผิดนัดชำระหนี้บางส่วน นอกจากนี้กรีซได้จัดทำโครงการรับซื้อพันธบัตรคืนวงเงิน 1 หมื่นล้านยูโรที่ครบกำหนดปี 2566 -2575 ในราคาประมาณ 34.1% จากหน้าตั๋ว ซึ่งทาง EU และ ECB มั่นใจว่ากรีซจะรับซื้อพันธบัตรคืนได้ตามวงเงิน 1 หมื่นล้านยูโร หากเป็นไปตามแผนจะทำให้หนี้สาธารณะลดลง และเปิดทางให้ EU และ ECB พิจารณาเงินช่วยเหลือ 3.44  หมื่นล้านยูโร ในวันที่ 13 ธค.นี้ สำหรับความเคลื่อนไหวในประเทศ อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ +2.74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (yoy) ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนตุลาคมที่ระดับ 3.32% yoy ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน อยู่ที่ +1.85% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วง สอดคล้องกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแถลงถึงภาวะเศรษฐกิจในเดือนตุลาคมว่ายังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง จากการใช้จ่ายภาคเอกชน ทั้งการบริโภคและการลงทุนขยายตัวในเกณฑ์ดี ทั้งนี้ ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภทรวมกัน (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) 14,886 ล้านบาท   แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการขายสุทธิ 2,840 ล้านบาท จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 09:30:37

ความคิดเห็นที่ 33 หยิบเงินหยิบทอง : บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง กลยุทธ์วันนี้ Sideways ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ที่ผ่านมา ปรับฐานลงอีกครั้ง 4.93 จุด มาปิดที่ 1334.95 จุด มูลค่าการซื้อขาย 35,195 ล้านบาท ต่างชาติกลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ 103 ล้านบาท และกลับมา Short สุทธิใน Index Futures 834 สัญญา พร้อมโยกเงินเข้าพักในตลาดตราสารหนี้ 3,293 ล้านบาท ทิศทางต่อ SET INDEX วันนี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบระหว่าง 1330 – 1340 จุด หลังการรับซื้อพันธบัตรกรีซคืนใกล้เคียงกับที่ตั้งเป้าไว้ และทำให้กรีซขยายระยะเวลาการรับซื้อออกไปเป็นสิ้นสุดช่วงเที่ยงวันที่ 11 ธ.ค. ซึ่งน่าจะนำไปสู่การให้เงินช่วยเหลือกรีซในวันพรุ่งนี้ รวมถึงแรงเก็งกำไรต่อการแก้ไขปัญหาหน้าผาทางการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งการประชุมสภาคองเกรสจะสิ้นสุดลงในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ คาดว่าทุกฝ่ายจะเร่งมือในการเจรจาและสรุปแนวทาง ปัจจัยสำคัญวันนี้: การประชุมผู้นำอียูเป็นวันแรก และต่อเนื่องถึงวันพรุ่งนี้ ซึ่งรวมถึงการพิจารณาการให้เงินช่วยเหลือกรีซ MBKET แนะนำให้ “ทยอยสะสมบริเวณ 1,330+/- ราว 5% ของพอร์ต” ทำให้พอร์ตหุ้นขยับขึ้นเป็น 65% กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: MBKET แนะนำ “เพิ่มน้ำหนักอีก 5% ของพอร์ต” พร้อม “ทยอยสะสม” PTT และ “เก็งกำไร” TRUE กลยุทธ์ทางเลือกวันนี้: MBKET แนะนำ “พอร์ตถือ Long อยู่ และเน้นเข้า-ออกเร็ว แนะปิด Long ช่วงดีดเข้าหาแนวต้าน 916/920 จุด” Stop loss< 903 จุด Portfolio   ADD 5%: VNT/AMATA/ MAJOR/ SPCG/ SMT/ BTS/ PJW/ IRPC/ TPIPL/ RCI/ MK/ INET/ BCP/ BBL/ KTB/ BAY/ PTTGC/ QH/ MFEC/ LOXLEY/ TRUE Accumulative Buy: PTT Speculative Buy: TRUE จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 09:41:34

ความคิดเห็นที่ 34 รายละเอียดข้อมูลของบริษัทที่จะมีการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชนทั่วไป (IPO) และ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ บริษัท                                             วันยื่น Filing       จำนวนหุ้น             วันเสนอขาย        ราคาIPO     วันเข้าเทรด          ที่ปรึกษาการเงิน (ล้านหุ้น)                                     (บาท) บิวตี้ คอมมูนิตี้                                         7 ก.ย.55                    82.50 29-30พ.ย.,3 ธ.ค.55 8.00                              12 ธ.ค.55            ฟิลลิป(ประเทศไทย) ดีเอ็นเอ 2002                                           20 ก.ค.55                   160.00           12-14 ธ.ค.55               1.90        21 ธ.ค.55            ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ แอร์โรว์ ซินดิเคท                                    27 ก.ย.55                    50.00            17-19 ธ.ค.55               5-6        25 ธ.ค.55           ฟิลลิป(ประเทศไทย) อัคคีปราการ                                         3 พ.ค.55                     84.00                        Q1/56            -                 Q1/56     คันทรี่ กรุ๊ป พลังงานบริสุทธิ์                                    24 ก.ย.55                   560.00                           -                -     ปี 55/ต้นปี 56       แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น                      29 พ.ย.55                   600.00                   กลางปี 56          -                      -         เอเซีย พลัส สยาม อมาโก้ โฮลดิ้งส์                           1 ส.ค.55                     65.00                            -                -                     -         โกลเบล็ก แปซิฟิค เลินนิ่ง คอร์ปอเรชั่น                        20 ก.ค.54                    74.90                            -                -                     -         แอ๊บโซลูท แอ็ดไวเซอรี่ เอ พลัส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์(APLUS) 27 มี.ค.55                                      60.00                            -                -                     -         สีลม แอ๊ดไวเซอรี่ ยูเรกา ดีไซน์                                            6 ก.ย.55                    50.00                            -                -                     -         ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ พรีเมียร์ โพรดักส์                                    18 ก.ย.55                    82.50                            -                -                     -         เคจีไอ (ประเทศไทย) สหการประมูล                                        4 ต.ค.55                    70.00                            -                -                     -         คันทรี่ กรุ๊ป ซีซีเอ็น-เทค                                              27 พ.ย.55                    60.00                            -                -                     -         คันทรี่ กรุ๊ป อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF)                       27 พ.ย.55                   120.00                           -                -                     -         แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ ซังโกะ ไดคาสติ้ง (ประเทศไทย)             30 พ.ย.55                    44.00                            -                -                     -         โนมูระ พัฒนสิน เซียร์ พร็อพเพอร์ตี้                                    30 พ.ย.55                     75.00                            -                -                     -         แคปปิตอล พลัส แอดไวซอรี่ จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 09:56:57

ความคิดเห็นที่ 35 นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ สำนักวิจัยทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งแคบ เพื่อรอปัจจัยชี้นำใหม่เข้ามา โดยในวันที่ 12 ธ.ค.นี้จะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) และในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้จะมีการประชุมผู้นำอียู ซึ่งก็จับตาดูความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหนี้ในยุโรป ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน นอกจากนี้ยังต้องติดตามการเจรจาแก้ปัญหา Fiscal Cliff ต่อไปด้วย ด้านอิตาลี ก็มีประเด็นเรื่องที่นายกฯของอิตาลีเตรียมลาออก ซึ่งทำให้มีการมองกันว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อประเทศที่มีหนี้ได้ พร้อมให้แนวรับ 1,325-1,330 จุด แนวต้าน 1,340 จุด ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน : - ตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อวานนี้(10 ธ.ค.)ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 13,169.88 จุด เพิ่มขึ้น 14.75 จุด (+0.11%) ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,418.55 จุด เพิ่มขึ้น 0.48 จุด(+0.03%) และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 2,986.96 จุด เพิ่มขึ้น 8.92 จุด(+0.30%) - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 23.15 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 6.21 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 19.27 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 11.50 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 5.10 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 13.19 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.62 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.67 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 5.50 จุด - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(7 ธ.ค.)1,334.95 จุด ลดลง 4.93 จุด(-0.37%) - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 101.88 ล้านบาท เมื่อ 7 ธ.ค.55 - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการวานนี้(10 ธ.ค.) ที่ 85.56 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 0.37 ดอลลลาร์หรือ 0.43% - ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดเมื่อวานนี้(10 ธ.ค.) ปิดที่ 6.2 เหรียญฯ/บาร์เรล - เงินบาทเปิดตลาดเช้าที่ระดับ 30.61/67 แข็งค่าตามภูมิภาค จับตามติเฟด-EU Summit - คลังเตรียมเสนอสูตรเดิมใช้กลไกแบงก์รัฐแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ, นักเศรษฐศาสตร์ห่วงหนี้ประเทศขยับสูงต่อเนื่อง ภาคครัวเรือนน่าห่วง เหตุดอกเบี้ยต่ำ-นโยบายประชานิยม ส่งผลให้ก่อหนี้ง่าย ด้านสถาบันการเงินรอประเมินมาตรการรัฐดูแลปล่อยกู้ ยันทำตามเงื่อนไขเคร่งครัดกรุงศรีฯ เผยสินเชื่อรายย่อยโต 11% สูงกว่าจีดีพีสองเท่า - ปิดฉากมหกรรมยานยนต์เกินเป้า คาดยอดจองพุ่ง 8.3 หมื่นคัน แห่ซื้ออีโคคาร์มากที่สุด จับตาปีหน้าค่ายรถแข่งเดือด รักษาฐานลูกค้า ลดผลกระทบตลาดรวมสะดุด หลังจากหมดโครงการรถคันแรก มาสด้าชี้บริหารการผลิต ตลาดง่าย หลังรู้ความต้องการที่แท้จริง - เฟดจ่อขยายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมอังคาร-พุธ นี้ ชดเชย "โอเปอเรชันทวิสต์" ที่จะหมดอายุสิ้นปี ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นไม่มาก เหตุตัวเลขว่างงานสูงกว่า 7% แถมปัญหา "หน้าผาการคลัง" ยังแก้ไม่ได้ - ธปท.ผนึกคลังกำหนดกรอบเงินเฟ้อปีหน้า 0.5-3% เตรียมรับมือเศรษฐกิจหดตัวตามเศรษฐกิจโลก, การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในวันที่ 11 ธ.ค. นายกิตติรัตน์ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง จะเสนอกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อพื้นฐานประจำปี 2556 โดยกำหนดไว้ที่ 0.5-3% - นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.กำลังเตรียมออกมาตรการผ่อนคลายการเคลื่อนย้ายเงินทุนให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติมจากเดิมธปท.เคยออกประกาศให้เคลื่อนย้ายเงินทุนได้ง่ายขึ้นเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา - นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังกล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เดินทางไปพม่าเพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่ของพม่าที่รับผิดชอบเรื่องการลงทุนในโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ในฐานะประธานอนุกรรมการหารูปแบบการลงทุนและประธานอนุกรรมการกฎระเบียบการลงทุนในโครงการทวาย จะเดินทางไปพม่าเพื่อหารือกับรัฐมนตรีที่รับผิดชอบโครงการทวายของพม่าก่อนสิ้นปีนี้ *หุ้นเด่นวันนี้ - กลุ่มยานยนต์(ทรีนีตี้)ปิดฉากมหกรรมยานยนต์เกินเป้า คาดยอดจองพุ่ง 8.3 หมื่นคัน สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยมีมากกว่า 6.8 หมื่นคัน แนวโน้มตลาดรถยนต์ปีนี้จะทำได้ถึง 1.3-1.4 ล้านคัน ส่วนปีหน้าคาดจะลดลงเล็กน้อยหลังหมดโครงการรถคันแรก โดยคาดว่าจะอยู่ในระดับประมาณ 1.2 ล้านคัน แต่ปีหน้าจะได้แรงหนุนจากตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 1.3-1.4 ล้านคัน จากปีนี้ 1 ล้านคัน ทำให้ปี 2556 ยอดผลิตรถยนต์ยังโตสู่ระดับ 2.5-2.7 ล้านคัน จากปีนี้ราว 2.3-2.4 ล้านคัน สำหรับหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ แนะ"ซื้อ"หุ้น AH เป้า 24 บาท, SAT เป้า 33 บาท และ STANLY เป้า 250 บาท - TRUE(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)"ซื้อเก็งกำไร"เป้า 6.30 บาท เนื่องจากใบอนุญาต 3G เป็น 1 ในเงื่อนไขเพื่อหาพันธมิตรร่วมทุนทางธุรกิจ หลังได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในการเจรจาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าตลาดมีแนวโน้มตอบรับเชิงบวก หาก TRUE ได้พันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งด้านการเงิน ซึ่งเป็นจุดอ่อนในปัจจุบันเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน - TCAP(เกียรตินาคิน)"ซื้อเป้า 42.50 บาท ราคาหุ้นไม่น่าตอบรับในเชิงบวกการการเริ่มซื้อคืนหุ้นในวันนี้ เนื่องจากราคาซื้อหุ้นคืนต่ำกว่าราคาปัจจุบัน แต่ TCAP จากการเป็นเจ้าตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ทำให้จะได้ประโยชน์จากการจัดงาน Motor Expo ที่มียอดจองรถสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 78,807 คัน และไตรมาสนี้น่าจะเป็นไตรมาสที่สินเชื่อของ TCAP โตสูงที่สุด - PS(ทรีนีตี้)"ซื้อ"ตัวเลข Presales ต.ค.-พ.ย. โดดเด่นสูงถึง 3-3.3 พันล้านบาท  รวม 11 เดือนแรก 27,054 ล้านบาท แนวโน้ม Presale ปีนี้จะทะลุเป้า 29,000 ล้านบาท  แนวโน้มผลประกอบการปี 2555 คาดจะทำจุดสูงสุดใหม่  และแนวโน้มปี 2556 จะเป็นปีที่ Best & Beautiful & Sexy ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง พร้อมปรับประมาณการเพิ่มขึ้น  และเพิ่มเป้าหมายเป็น 25 บาท จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 09:58:10

ความคิดเห็นที่ 36 วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน : บมจ.ไทยออยล์ "เบรนท์เพิ่มจากตัวเลขจีนที่ออกมาดี ขณะที่ WTI ลดจากอากาศที่ไม่หนาวเย็น" เบรนท์ส่งมอบ ม.ค  ปรับเพิ่มขึ้น 0.31 ปิดที่ 107.33 เหรียญฯ และน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสส่งมอบเดือน ม.ค. ปรับลดลง 0.37 ปิดที่ 85.56 เหรียญฯ + ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้นหลังตัวเลขการนำเข้าน้ำมันดิบของจีน เดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 5.69 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่กำลังการผลิตของโรงกลั่นในประเทศก็ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งสัญญาณว่าความต้องการน้ำมันของจีนปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลงเนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าอากาศที่ไม่เย็นหนาวในปีนี้จะกดดันความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อทำความร้อนในประเทศ + ยอดขายปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีน เดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 14.9% และ 10.1% ตามลำดับ เนื่องจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น โดยนักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับในช่วงต้นปีหน้าเป็นต้นไป โดยภาคการส่งออกจะฟื้นตัวภายในปีหน้า ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรโซนด้วยว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นได้หรือไม่ + ดัชนีความรู้สึกผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในเดือน ธ.ค. ปรับลดลงมาอยู่ที่ 74.5 ซึ่งต่ำกว่าคาดที่ 82.4  และนับเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับจากเดือน ส.ค. เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อนโยบายการแก้ปัญหาหน้าผาการคลังของสภาคองเกรซว่าจะมีทิศทางเช่นไร โดยเฉพาะการขึ้นภาษีที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชน + การเจรจาเพื่อหาข้อสรุปของปัญหาหน้าผาการคลังยังดำเนินต่อไป หลังการเจรจาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้า โดยประธานาธิบดีโอบามายังคงยืนกรานที่จะให้ปรับเพิ่มภาษีผู้มีรายได้สูง ในขณะที่ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันมองว่าการเพิ่มภาษีคนรวยจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเสนอให้ยืดเวลามาตราการตกลงขึ้นภาษียืดเวลาออกไป อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหากสหรัฐฯ ไม่สามารถตกลงการแก้ปัญหาหน้าผาการคลังได้สำเร็จในต้นปีหน้า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่สภาวะถดถอยทันที + ธนาคารกลางของสหรัฐฯ เตรียมซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวเป็นจำนวนเงิน 45 พันล้านเหรียญฯ ต่อเดือน หลังการประชุมในวันที่ 11-12 ธ.ค. นี้ ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะอัดฉีดเงินเข้าระบบเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศและลดอัตราการว่างงาน ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นสวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบ จากความกังวลว่าอุปทานจะตึงตัวขึ้นตามแผนการซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในภูมิภาคช่วงต้นปีหน้า ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดีเซล ปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากแรงกดดันของอุปทานภายในภูมิภาคที่มีมากกว่าอุปสงค์ โดยเฉพาะปริมาณการส่งออกจากจีนที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงไม่มีโอกาสในการขนย้ายน้ำมันดีเซลจากฝั่งเอเซียไปยังฝั่งสหรัฐฯและยุโรป ทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นและปัจจัยที่น่าจับตามอง กรอบการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ เบรนท์ 105 -112 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเวสต์เท็กซัส 83-90 เหรียญฯ   ราคาจะยังคงผันผวนจากแรงกดดันเรื่องปัญหาหน้าผาการคลังของสหรัฐฯ ขณะที่ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงสร้างความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบ และผลการประชุมของกลุ่มโอเปคว่าจะคงกำลังการผลิตที่ระดับเดิมหรือไม่ ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ วันอังคาร: ดุลการค้าสหรัฐฯ ดัชนีความรู้สึกต่อภาวะเศรษฐกิจเยอรมนี วันพุธ: การผลิตภาคอุตสาหกรรมยูโรโซน และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ วันพฤหัส: ยอดค้าปลีก ยอดขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานสหรัฐฯ การประชุมผู้นำกลุ่มยูโรโซน รวมทั้งดัชนีชี้วัดภาคการผลิตจีน (HSBC) วันศุกร์: ดัชนีชี้วัดภาคการผลิตสหรัฐฯ ดัชนีชี้วัดภาคการผลิตและบริการ รวมทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคยูโรโซน - รายงานสถานการณ์น้ำมันประจำเดือน ธ.ค. ที่ของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) และโอเปกในวันที่ 11 ธ.ค. และของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ในวันที่ 12 ธ.ค. นี้ รวมถึง การประชุมกลุ่มโอเปควันเดียวกันด้วย ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าน่าจะคงโควต้ากำลังการผลิตไว้ที่เดิม - การประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปในวันที่ 13-14 ธ.ค. ติดตามการอนุมัติเงินช่วยเหลือกรีซรอบใหม่อย่างเป็นทางการหลังมีการเห็นชอบในหลักการเบื้องต้นไปก่อนหน้านี้ - ความคืบหน้าของการหาทางออกให้กับปัญหาหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) ของสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีโอบามาออกมาแสดงความเห็นว่าการเจรจาระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันใกล้ได้ข้อยุติหากรีพับลิกันยอมรับประเด็นการขึ้นภาษีผู้มีรายได้สูง - ติดตามผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในอียิปต์วันที่ 15 ธ.ค.นี้ หลังเกิดการประท้วงอย่างรุนแรงจากฝ่ายต่อต้านที่ไม่เห็นด้วยในหลายมาตรา นอกจากนี้ล่าสุดสมาคมผู้พิพากษาอียิปต์ออกมาประกาศจะไม่กำกับดูแลการลงประชามติดังกล่าว - นอกจากนี้ติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดรอบใหม่ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์หลังอิสลาเอลประกาศแผนเดินหน้าสร้างที่อยู่อาศัยในเขตเวสต์แบงค์เพื่อตอบโต้ UN ที่รับรองสถานะปาเลสไตน์ให้เป็นรัฐชาติ รวมทั้งสถานการณ์ความรุนแรงในซีเรียยังเป็นที่กังวลต่อนานาชาติโดยเฉพาะประเด็นความเสี่ยงของการใช้อาวุธเคมี จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 10:09:00

ความคิดเห็นที่ 37 บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ปิดฉากมหกรรมยานยนต์เกินเป้า คาดยอดจองพุ่ง 8.3 หมื่นคัน สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยมีมากกว่า 6.8 หมื่นคัน แนวโน้มตลาดรถยนต์ปีนี้จะทำได้ถึง 1.3-1.4 ล้านคัน ส่วนปีหน้าคาดจะลดลงเล็กน้อยหลังหมดโครงการรถคันแรก โดยคาดว่าจะอยู่ในระดับประมาณ 1.2 ล้านคัน แต่ปีหน้าจะได้แรงหนุนจากตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 1.3-1.4 ล้านคัน จากปีนี้ 1 ล้านคัน ทำให้ปี 2556 ยอดผลิตรถยนต์ยังโตสู่ระดับ 2.5-2.7 ล้านคัน จากปีนี้ราว 2.3-2.4 ล้านคัน สำหรับหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.อาปิโก ไฮเทค(AH) เป้า 24 บาท, บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี(SAT)เป้า 33 บาท และบมจ.ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า(STANLY)เป้า 250 บาท ด้านบล.เกียรตินาคิน ระบุว่า ยอดจองรถในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปปี 2555 นี้(29 พ.ย. — 10 ธ.ค.) มีโอกาสทะลุ 8 หมื่นคันทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นกว่า 150% YoY และสูงกว่างานมอเตอร์โชว์ในช่วงต้นปีที่มียอดจองราว 5.7 หมื่นคัน เป็นสัญญาณบวกต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยว่ายอดผลิตรถยนต์จะยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องในปี 2556 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่ยอดขายจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2556 โดยเลือก SAT เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานมีความแข็งแกร่งและมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงสุด แนะนำ “ซื้อ" มูลค่าเหมาะสม 40.50 บาท ล่าสุดเมื่อ 7 ธ.ค.55 หุ้น SAT 28 บาท ลดลง 0.25 บาท(-0.88%) หุ้น AH ปิดที่ 19.90 บาท ลดลง 0.30 บาท(-1.49%) หุ้น STANLY ปิดที่ 208 บาท ลดลง 3 บาท(-1.42%) จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 10:18:09

ความคิดเห็นที่ 38 ดวงชะตาผู้ที่เกิดวันจันทร์ จะทำสิ่งใด ต้องมีความมุ่งมั่นและเดินหน้าฝ่าฟันอุปสรรคที่ขวางกั้น มีเรื่องให้กังวลใจหลายเรื่อง การงานที่คั่งค้างยังไม่แล้วเสร็จ เหน็ดเหนื่อยกับการแก้ไขและหาทางออกให้กับปัญหาเดิมๆ การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นไม่สำเร็จ การเงินจำเป็นต้องจ่ายไปกับเรื่องต่างๆ การลงทุนเสียมากกว่าได้ ระวังอุบัติเหตุในการเดินทาง สุขภาพมีอาการปวดขาและเข่า ระมัดระวังการเดินและการขึ้นลงบันได จะได้รับทราบข่าวที่ไม่ค่อยดีของคนที่อยู่ห่างไกล สีเหลือง ม่วง และน้ำเงินเสริมดวงชะตาให้แข็งแกร่ง ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ ดวงชะตาผู้ที่เกิดวันอังคาร คิดหาทางให้กับเรื่องต่างๆ ไม่ได้ รู้สึกเคว้งคว้าง ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อาวุโสกว่า การงานต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า มีงานใหม่เข้ามาเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ทางวิชาการ การติดต่อกับหน่วยงานราชการไม่ราบรื่นเท่าที่ควร การเงินมีผู้อุปถัมภ์ การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศดี การเดินทางไกลร่วมกับผู้อื่นติดขัด เดินทางลำพังดีกว่า สีเขียวและแดง เสริมพลังความมั่นใจ ทำการต่างๆ สำเร็จ ดวงชะตาผู้ที่เกิดวันพุธ การเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ต้องเผื่อใจไว้บ้างเพราะไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ต้องเปลี่ยนกลับไปกลับมาหลายรอบ การเดินทางไกลหรือการไปติดต่อเรื่องงานหรือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นไม่ราบรื่น ทำงานอยู่กับที่ให้เสร็จเป็นเรื่องๆ ไปจะดีกว่า จะได้รับข่าวที่ไม่ดีนักของคนที่คุ้นเคยกัน การเงินมีแต่รายจ่าย การลงทุนโดยวิธีการซื้อมาขายไปมีแต่ความเสียหาย ไม่ควรเสี่ยง ควรหลีกเลี่ยงสีน้ำเงิน ดวงชะตาผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี การค้าการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศหรือทำร่วมกับชาวต่างชาติมีการแข่งขันสูง ต้องยอมรับสภาพกับผลกำไรที่ได้และปัญหาการทำงานต่างๆ ที่เพิ่งพบ คนใกล้ชิดไม่มีความสามารถเท่าที่ควร บริวารไม่ขยันและจริงจังในการทำงาน การขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่เป็นไปได้ยาก ท่านใช้เวลาคิดไตร่ตรองนาน อาจต้องตัดสินใจกู้เงินจากแหล่งเงินทุนต่างๆ ต้องดูแลสุขภาพอย่าโหมงานหนัก จะมีอาการปวดบริเวณท้องหรือหลังและหัวเข่า ความรักต้องทำใจ คนรักทุ่มเทเวลาให้กับงานมากกว่าจะสนใจความเป็นไปของคุณ สีฟ้า ชมพู เหลือง และเทา เสริมสติปัญญา ช่วยให้เกิดความคิดฉับไว ดวงชะตาผู้ที่เกิดวันศุกร์ วันนี้ควรหลีกเลี่ยงที่จะริเริ่มหรือเริ่มต้นสิ่งทำใหม่ๆ เพราะมีแต่เรื่องวุ่นวาย ซ้ำยังทำให้เครียดและได้ผลสำเร็จเพียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น การซื้อขายบ้าน ที่ดิน หรือรถยนต์มีปัญหาระวังการมีปากเสียง การลงทุนได้อย่างเสียอย่าง ควรลงทุนแต่พอประมาณการเงินมีแต่รายจ่าย การขับรถต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ไม่ควรขับรถเร็ว อาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด สุขภาพทั้งของตัวเองและคนในครอบครัวไม่ดี มีอาการเจ็บบริเวณลำคอและหน้าอก สีฟ้า ชมพู เหลือง และเทา เสริมดวงชะตา ป้องกันภัย และช่วยให้สิ่งที่ทำพบความสำเร็จบ้าง ดวงชะตาผู้ที่เกิดวันเสาร์ วันนี้ต้องมีความละเอียด รอบคอบ พิถีพิถัน และระมัดระวังกับทุกๆ เรื่อง โดยเฉพาะการงานต้องเป็นผู้ติดต่อ เจรจา คิดและทำเอง ไม่ควรมอบหมายงานสำคัญที่เพิ่งได้รับมาให้ผู้อื่นทำแทน เพราะไม่มีใครสามารถทำได้ถูกต้องและครบถ้วน การเงินระวังถูกหลอกหรือถูกโกง ดูเงินที่จะจ่ายและนับเงินทอนให้ดี การลงทุนได้ผลดีเป็นที่พอใจ แต่ต้องคิดให้รอบคอบและดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย ญาติผู้ใหญ่ผู้ชายที่เจ็บป่วยต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ความรักไม่ควรรีบร้อนตัดสินใจ สีฟ้า ขาว และชมพู นำความสุข ความสำเร็จมาให้ ดวงชะตาผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ การงานทำเท่าที่พอจะทำได้ การแข่งขันหรือทำงานให้ได้เกินจากเป้าหมายไม่สามารถเป็นไปได้ ผู้ที่มองหาช่องทางใหม่เพื่อการลงทุนโอกาสยังมาไม่ถึง ทำสิ่งที่ทำอยู่แล้วจะดีกว่า การเงินไม่ติดขัดแต่ไม่คล่องตัว การเดินทางไกลอาจต้องเลื่อนออกไปก่อน ไม่ควรข้องเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่น เก็บตัวทำงานเงียบๆ ดีกว่า คนรักเข้าใจยากต้องคอยตามเอาอกเอาใจ สีเหลือง ขาว และดำ เสริมบารมีให้เป็นที่เกรงขาม จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 10:30:47

ความคิดเห็นที่ 39 ประเด็นการเมืองกลับมาร้อนแรง และต้องจับตาหลังจากพรรคร่วมรัฐบาลประกาศเจตนารมย์เดินหน้ารัฐธรรมนูญฉบับประชาชนในวาระ 80 ปีประชาธิปไตย โดยวันนี้จะมีการประชุมคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทย โดยจะส่งมอบรายงานผลการศึกษาของคณะทำงานฉบับสมบูรณ์ให้กับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อนำไปศึกษาก่อนมีความเห็นร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย ท่าทีของพรรครัฐบาลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าลงมติวาระ 3 หรือรูปแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญรวมถึงรูปแบบการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญจะชัดเจนหลังการประชุมในวันดังกล่าว - ขณะที่กรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบัน ผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ในช่วงก่อนการถ่ายทอดสดชกมวยไทยที่มาเก๊า ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขึ้นพูดในฐานะประธานสหพันธ์มวยไทยอาชีพ แต่ภาพที่ออกมานี้ยิ่งทำให้เกิดกระแสความขัดแย้งและเพิ่มอุณหภูมิทางการเมืองมากขึ้น จนหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตถึงการทำหน้าที่ของช่อง 11 ว่าการแพร่ภาพถ่ายทอดสดดังกล่าวเป็นการสมควรหรือไม่ - โดยเรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์เตรียมยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภาดำเนินการตรวจสอบผู้บริหารช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ กรณีที่ได้ถ่ายทอดสดการปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงความเหมาะสม และจะถือว่าเป็นการใช้สื่อของรัฐเพื่อประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ - ขณะเดียวกับกลุ่มกรีน นำโดยนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่ม ที่เตรียมจะยื่นเรื่องกล่าวโทษบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวนเอาผิด ทั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี, น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลช่อง 11, นายธีระพงษ์ โสดาศรี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 - นายคารม พลทะกลาง ทนายความ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) จะนำกลุ่มญาติของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี 53 เข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อขอคัดค้านการประกันตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งทั้ง 2 คนเตรียมเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 53 ซึ่งทั้ง 2 คนจะเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 13 ธ.ค.55 - หลังจากโรงเรียนในจ.นราธิวาสพากันปิดเรียนไป เนื่องจากเกรงไม่ปลอดภัย หลังจากครูถูกลอบสังหาร ในวันนี้จะกลับมาเปิดการเรียนการสอนเต็มระบบอีกครั้ง โดยทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมจะดูแลความปลอดภัยครูในวันเปิดเรียนอย่างเต็มระบบ และเข้มงวดรัดกุม - นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เป็นประธานแถลงข่าว "จับใหญ่ส่งท้ายปี 2555 ปราบปรามผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายลักลอบนำเข้ารายใหญ่ย่านสมุทรสาคร" ห้องประชุมชั้น 6 อาคาร 4 ตึก อย. - ภารกิจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วันนี้ช่วงเช้าเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดตัวโครงการพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาภาวะผู้นำสำหรับสตรีมุสลิมใน 14 จังหวัดภาคใต้ ที่ทำเนียบรัฐบาล ส่วนเวลา 15.30 น. นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการและชี้แจงคณะกรรมการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ปี พ.ศ. 2555 ระดับประเทศ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ - พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต รมช.คมนาคม เป็นประธานเปิดโครงการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ประจำปี 2556  ที่กรมการขนส่งทางบก - ตัวแทนเกษตรกรชาวไร่อ้อย หารือกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมไม่พิจารณาอนุมัติใบอนุญาตให้ 4 โรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ พร้อมกับจะนำรถบรรทุกอ้อยมาเทที่หน้ากระทรวงอุตสาหกรรม และหน้าบ้านนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภด้วย - สำหรับประเด็นด้านเศรษฐกิจที่น่าสนใจวันนี้ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เตรียมมอบใบอนุญาตให้บริการ 3G คลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ แก่เอกชนทั้ง 3 ราย คือ บริษัท แอดวานซ์ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด, บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด และบริษัท เรียลมูฟ จำกัด ในวันนี้หลังจากศาลปกครองกลางไม่รับฟ้องคดี 3G ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นฟ้อง - ปัญหาภายในสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)ยังไม่จบ เพราะวันนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารวาระพิเศษ พร้อมเชิญประธาน ส.อ.ท.จังหวัดทั้ง 5 ภาค และคณะกรรมการบริหารมาประชุม เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆ โดยเฉพาะการขอให้นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานส.อ.ท.ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้ใช้เวทีการประชุมแก้ปัญหาภายใน โดยไม่ต้องดึงภาคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง - บมจ.เจ มาร์ท(JMT) ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์เสริมชั้นนำของเมืองไทย จัดงานฉลองเปิดช้อปเจมาร์ท สาขาสยามพารากอน เจมาร์ทช้อป ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน มีนายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ให้สัมภาษณ์ในประเด็นการปรับโฉมใหม่ของเจมาร์ทช้อป คอนเซ็ปต์ของร้าน การให้บริการในรูปแบบใหม่ รวมถึงการขยายการลงทุนและการเติบโตทางธุรกิจ ฯลฯ - บมจ.พลังงานบริสุทธิ์(EA) จัดให้นักลงทุนเข้าร่วมฟังการแนะนำและรายละเอียดเบื้องต้นของหุ้น IPO ของบริษัทที่โรงแรมเชียงใหม่ แกรนด์วิว จ.เชียงใหม่ - บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) จัดงานแถลงข่าวความสำเร็จของการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ปตท.สผ. ที่ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์อาคาร A ถนนวิภาวดี - บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) จัดให้มีการฝึกซ้อมตามแผนระงับเหตุฉุกเฉินระดับ 3 ประจำปี 2555 ณ โรงไฟฟ้าราชบุรี - บมจ. ดีเอ็นเอ 2002 จัดแถลงข่าวพิธีลงนามสัญญาแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ณ ตลาดหลักทรัพย์ฯ - บมจ.ณุศาศิริ (NUSA) แถลงข่าวเปิดตัว NUSA Smart ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอทเซ็นทรัลเวิลด์ - สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย จัดสัมมนา "TLCA CEO Survey: Economic Outlook ครึ่งแรกปี 2556" ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 10:31:54

ความคิดเห็นที่ 40 กรุงเทพฯ--11 ธ.ค.--ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส - ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 - ติดตามการประชุมเฟดวันนี้และวันพรุ่งนี้ - แนวต้านของราคาทองคำ 1,715-1,720 ดอลลาร์ - ในการซื้อขายวันศุกร์ ราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแนวรับและแนวต้านทางเทคนิคระหว่าง 1,680-1,700 ดอลลาร์ โดยราคาดีดตัวขึ้นพรอ้มกับการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะแรงซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่เริ่มมีกลับเข้ามา หลังจากราคาทองปรับตัวลงมามากติดต่อกันหลายวัน เช่นเดียวกับราคาโลหะเงินซึ่งปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ทรงตัวจากวันพฤหัส โดยแกว่งตัวระหว่าง 32.50-33.30 ดอลลาร์ เมื่อวานนี้ราคาทองคำและราคาโลหะเงินยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 - การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐเพิ่มขึ้น 146,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย.สูงกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ขณะที่อัตราว่างงานร่วงลงสู่ 7.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2008 โดยตลาดประเมินว่าอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ 7.9% นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนตัวเลขการจ้างงานเดือนก.ย.และต.ค. โดยปรับลดลง 49,000 ตำแหน่งจากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ - การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในวันนี้และพรุ่งนี้เป็นประเด็นหลักที่ตลาดให้ความสนใจ โครงการ Operation Twist ที่กำลังจะหมดอายุและมีแนวโน้มว่าจะไม่มีการต่ออายุหรือมีมาตรการใหม่ทดแทน โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจรอดูการเจรจาเพื่อแก้ปัญหาหน้าผาทางการคลังก่อน หากไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ก็จะมีการพิจารณาเพิ่มปริมาณเงินในการซื้อพันธบัตรในการประชุมครั้งหน้า แต่หากมีการออกมาตรการใหม่ในการประชุมครั้งนี้จะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ราคาทองดีดตัวขึ้นได้ต่อไป - ราคาทองคำสามารถทะลุผ่านแนวต้านที่บริเวณ 1,700 ดอลลาร์ ขึ้นไปได้ ทำให้มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่คาดนักลงทุนรอดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ ทำให้คาดระยะสั้นราคาทองคำจะแกว่งตัวในกรอบ 1,700-1,720 ดอลลาร์ โดยมีแนวต้านบริเวณ 1,715-1,720 ดอลลาร์และ 1,730 ดอลลาร์ตามลำดับ ขณะที่แนวรับอยู่ที่บริเวณ 1,700-1,705 ดอลลาร์ โกลด์ฟิวเจอร์สเดือนธ.ค.55 Close   chg.  Support        Resistance 24,830  +60   24,700/24,600  24,850/25,000 ราคาทองมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway up โดยนักลงทุนรอดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในวันอังคารและวันพุธ ซึ่งนักลงทุนบางส่วนมีความหวังว่าจะธนาคารกลางสหรัฐจะประกาศซื้อหลักทรัพย์เพิ่มเติมในการประชุมครั้งนี้ หลังจากที่ราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 วัน คาดว่าอาจมีการอ่อนตัวลงในระหว่างวัน จุดที่แนะนำให้เปิดสถานะซื้อเก็งกำไรอยู่ที่ 1,700 ดอลลาร์ และมีจุดปิดสถานะตัดขาดทุนอยู่ที่บริเวณ 1,695 ดอลลาร์ ซิลเวอร์ฟิวเจอร์สเดือนธ.ค.55 Close  chg.  Support        Resistance 1,013  +7    1,000/980/975  1,015-1,020 การเข้าเก็งกำไรฝั่งซื้อในซิลเวอร์ฟิวเจอร์ส แนะนำให้ราคาโลหะเงินปรับฐานลงเข้าใกล้แนวรับบริเวณ 32.50 ดอลลาร์ โดยมีจุดปิดสถานะตัดขาดทุนอยู่ที่บริเวณ 32.10-32.20 ดอลลาร์ กรุงเทพฯ--11 ธ.ค.--คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส Price Movement ราคาทองคำในตลาด COMEX ปิดที่ 1,714.40 USDต่อออนซ์เพิ่มขึ้น 8.90 USDต่อออนซ์ มีความเคลื่อนไหวในกรอบ 1,703.30 - 1,718.80 USDต่อออนซ์ ราคาทองคำปิดบวกได้ 3 วันติดต่อกัน จากความหวังว่าเฟดจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อในการประชุม FOMC วันที่ 11 — 12 ธ.ค.นี้ นักลงทุนคาดว่าว่านอกจากการซื้อพันธบัตรระยะยาวมูลค่า 4.5 หมื่นล้านUSD ต่อเดือนแล้ว เฟดจะมีมาตรการซื้อพันธบัตรเพิ่มเติมพื่อทดแทน Operation Twist ที่จะสิ้นสุดลง ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงหลังจากต้นทุนการกู้ยืมเงินของอิตาลีพุ่งสูงขึ้น จากการที่นายกรัฐมนตรี มอนติ ของอิตาลีประกาศว่าเขาจะลาออกทันทีหลังจากงบประมาณปี 2013 ได้รับการอนุมัติ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าใครจะนำพาอิตาลีให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ สำหรับในช่วงเช้าวันนี้ราคาทองคำเคลื่อนไหวบริเวณ 1,708 USDต่อออนซ์ มีแนวโน้มอ่อนตัวลง คาดว่าวันนี้ทองคำมีแนวรับบริเวณ 1,705/1,700/1,685 แนวต้านบริเวณ 1,720/ 1,730 แนะนำนักลงทุนระยะสั้น Trading ในกรอบแนวรับ แนวต้าน นักลงทุนระยะกลาง — ยาว รออ่นตัวบริเวณแนวรับสะสม Long เพิ่ม ถ้าไม่หลุด 1,670 ส่วนกรอบความเคลื่อนไหวในสัปดาห์นี้คาดว่าอยู่ในกรอบ 1,665 — 1,755 โดยมีแนวรับสำคัญบริเวณ 1,670 หากหลุดจะทำให้ภาพเป็น Bearish มากขึ้น ส่วนการผ่านบริเวณ 1,725 ได้จะทำให้ภาพกลับมาเป็น Bullish ในสัปดาห์นี้ Spot Gold Technical Analysis ภาพกราฟทางเทคนิคราคาขึ้นสู่แนวต้านบริเวณ 1,718 ไม่ผ่านทำให้อ่อนตัวลงมา คาดว่าวันนี้มีแนวรับบริเวณ 1,705/1,700/1,685 แนวต้านบริเวณ 1,720/ 1,730 แนะนำนักลงทุนระยะสั้น Trading ในกรอบแนวรับ แนวต้าน นักลงทุนระยะกลาง — ยาว รออ่นตัวบริเวณแนวรับสะสม Long เพิ่ม ถ้าไม่หลุด 1,670 ส่วนกรอบความเคลื่อนไหวในสัปดาห์นี้คาดว่าอยู่ในกรอบ 1,665 — 1,755 โดยมีแนวรับสำคัญบริเวณ 1,670 หากหลุดจะทำให้ภาพเป็น Bearish มากขึ้น ส่วนการผ่านบริเวณ 1,725 ได้จะทำให้ภาพกลับมาเป็น Bullish โดยมีแนวต้านในสัปดาห์บริเวณ 1,740/1,755 Key Point in Precious Market - ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำ ค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้น ( - ) ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ( - ) ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อลดลง ( - ) ความต้องการทองคำจากธนาคารกลางประเทศต่างๆเพิ่มขึ้น ความต้องการของกองทุน ETF ทองคำเพิ่มขึ้น ( + ) นักลงทุนคาดหวังว่าเฟดจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ( + ) - ประเด็นที่ต้องติดตาม การแก้ปัญหาหนี้ของกรีซ การแก้ปัญหา Fiscal Cliff ของสหรัฐ การชุมนุมประท้วงในอียิปต์ การชุมนุมประท้วงในซีเรีย การประชุม FOMC ของสหรัฐในวันที่ 11 — 12 ธ.ค. การประชุม EU Summit ในวันที่ 13 -14 ธ.ค. - การรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ วันอังคาร ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. ข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค. FOMC เริ่มการประชุมกำหนด นโยบายการเงินวันแรก วันพุธ ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย. ตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ FOMCประกาศมติการประชุม กำหนดนโยบายการเงิน งบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนพ.ย. วันพฤหัสบดี ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค. วันศุกร์ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย. ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังผลิตเดือนพ.ย. - SPDR ซื้อ 1.81 ตัน ถือทองจำนวน 1,353.35 ตัน Spot Silver ราคาโลหะเงินปิดที่ 33.38 USDต่อออนซ์ โดยมีความเคลื่อนไหวระหว่าง 33.09 - 33.50 USDต่อออนซ์ ishares silver trust ถือโลหะเงินจำนวน 9,829.15ตัน คาดว่าวันนี้มีแนวรับบริเวณ 32.7/32.5 แนวต้านบริเวณ 33.3/33.5 แนะนำนักลงทุน Trading ในกรอบแนวรับ แนวต้าน จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 10:44:20

ความคิดเห็นที่ 41 ดีค่า คุณeau_Nam คุณsiriratana.l คุณPeterMc คุณมารหุ้นแสวงพ่าย คุณกุ้ง คุณM011 คุณsu_k3430 คุณhappy-lucky คุณฮัท ฟันน้ำนมกาลังจาหลุด ไม่รู้อีกนานป่าววววววกว่าฟันแท้จะขึ้น 555 จากคุณ : หนมข้างบนอ่ะคนปวดฟันกินได้ป่าว (จุ๊กกุ๊กจัง) เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:05:05

ความคิดเห็นที่ 42 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้รับแบบรายงานการจำหน่าย หุ้นของบมจ. โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) หรือ SLC โดย นางสาว ลัดดา เครือใจวัง  ซึ่งเป็นการจำหน่าย  เมื่อวันที่ 06/12/2555 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น  -5.94% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น  0.0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ นายลูอิส เด กินดอส รมว.เศรษฐกิจสเปน คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสเปนจะหดตัว 1.3% หรือ 1.4% ในปี 2555 นายเด กินดอส ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุแห่งชาติของสเปนว่า การหดตัวทางเศรษฐกิจจะรุนแรงน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะร่วงลง 1.5% แต่ทั้งหมดก็จะขึ้นอยู่กับช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ รมว.เศรษฐกิจกล่าวว่า สเปนจะไม่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจจนกว่าจะถึงช่วงไตรมาส 3 หรือ 4 ของปี 2556 แม้ว่าเขาเน้นย้ำถึงแนวโน้มในเชิงบวก ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เช่น หนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ลดลง รวมทั้งการส่งออกที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เขายังสร้างความมั่นใจว่าสเปนมีแนวโน้มจะลดยอดขาดดุลการคลังได้ อันเนื่องมาจากการปรับเพิ่มภาษีการขายเมื่อเร็วๆนี้ สำหรับประเด็นเกี่ยวกับแผนการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และการช่วยเหลือของอียูสำหรับสเปนที่อาจจะมีขึ้นนั้น นายเด กินดอสกล่าวว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างดีที่สุดในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด แม้เขากล่าวว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะระดมทุน เมื่อพิจารณาถึงต้นทุนการกู้ยืมที่ระดับสูงในปัจจุบันของสเปน สำนักข่าวซินหัวรายงาน จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:06:43

ความคิดเห็นที่ 43 กินได้แล้วอาจจะไม่เหลือฟันแบบภาพบนที่แลบลิ้นนั่น กรุงเทพฯ--11 ธ.ค.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ ราคาทองคำเปิดตลาดที่ระดับ 1,703 เหรียญ/ออนซ์ และกลับมาปิดช่วงกลางคืนที่ระดับ 1,702 (22.30 น.) เหรียญ/ออนซ์ ค่าเงินบาทปิด 30.67 บาท/ดอลลาร์ ราคาสมาคมเปิดที่ 24,650 บาท กับ 24,750 บาท และกลับมาปิดที่ 24,650 บาท กับ24,750 บาท ปริมาณการซื้อขาย Gold Futures 50 บาท อยู่ที่ 4,036 คู่สัญญา แบบ 10 บาท อยู่ที่ 9,581 คู่สัญญา และ Silver Futures อยู่ที่ 23 คู่สัญญา Open Interest แบบ 50 บาท เพิ่มขึ้น 0.5% แบบ 10 บาท เพิ่มขึ้น 0.07% Silver Futures เพิ่มขึ้น 0.7% GFZ12 ปิด 24,900 บาท และ GFG12 ปิด 25,060 บาท GF10Z12 ปิดที่ 24,900 บาท GF10G12 ปิดที่ 25,060 บาท SVZ12ปิดที่ 1,010 บาท สัญญา Comex ปิดเพิ่มขึ้น 8.9 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,714.4 ดอลลาร์/ออนซ์ Silver ปิดเพิ่มขึ้น 0.246 เซนต์ ปิดที่ระดับ 33.377 ดอลลาร์/ออนซ์ SPDR ถือครองทองคำ 1,353.34 ตัน ( คืนวันศุกร์เพิ่ม 1.81 ตัน ) น้ำมัน NYMEX ปิดลดลง 37 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 85.56 ดอลลาร์/บาร์เรล ดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 14.75 จุด ปิดที่ 13,169.88 จุด Ratio Gold / Silver เท่ากับ 51.3 ต่อ 1 ข่าวที่สำคัญ ที่มา : TheBullionDesk, Reuters, Infoquest และ CNBC - ราคาทองคำเมื่อคืนวันศุกร์ปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบมากกว่า 1 เดือน หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรปรับตัวขึ้นสูงเกินคาด 146,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ขณะที่อัตราว่างงานปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปีที่ 7.7% เมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวเท่ากับเดือนก่อนหน้านี้ที่ระดับ 7.9% ภายหลังมีแรงเข้าซื้ออย่างมากจากตลาดจากการที่ตัวเลขการจ้างงานเดือนที่ผ่านมามีการปรับทบทวนลดลง รวมไปถึงการทำ short covering จากกองทุนต่างๆ ส่งผลให้ราคามีการฟื้นตัวกลับมาปิดตลาดบวก 3.7 เหรียญ ที่ระดับ 1,705.5 เหรียญ นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนส่วนหนึ่งคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะประกาศผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปอีกในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายในสัปดาห์นี้ เแม้ข้อมูลแรงงานเดือนพ.ย.จะออกมาดีเกินคาดก็ตาม โดยมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะประกาศการเข้าซื้อพันธบัตรมูลค่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพิ่มเติมจากเดือนกันยายนที่มีการประกาศการเข้าซื้อหลักทรัพย์ MBS มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนจนกว่าตลาดแรงงานจะฟื้นตัว ขณะเดียวกันความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ในสหรัฐ ก็ช่วยกระตุ้นให้มีแรงซื้อเข้าสู่ตลาดทองคำเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อมองภาพรวมตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวลดลง 0.7% โดยนับเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกันที่ราคาทองคำปรับตัวลดลง นายแมทธิว เทิร์นเนอร์ นักวิเคราะห์ฝ่ายวิจัยจากมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กล่าวว่า การประชุม FOMC ในวันอังคารและวันพุธนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดมากที่สุด โดยมาตรการ Operation Twist ใกล้จะหมดอายุลง และเราควรที่จะคอยติดตามว่าทางคณะกรรมการจะจัดหามาตรการใดมาทดแทน ซึ่งก่อนหน้านี้มาตรการดังกล่าวได้หมดอายุไปในเดือนมิถุนายน และมีการต่ออายุมาจนถึงสิ้นปี ดังนั้นการประชุม FOMC ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะทำอะไรบางอย่างก่อนเข้าสู่ปีใหม่ นอกจากนี้นายเทิร์นเนอร์มีตัวเลือกอยู่หลายทางด้วยกัน หากเฟดไม่ทำอะไรเลยนั่นจะเทียบเท่ากับเป็นการเข้มงวดทางการเงิน หรือหากมีการขยายระยะเวลาต่อไปหรือใช้ทางอ้อมที่จะผ่อนคลายการเงินแบบดั้งเดิม ซึ่งเขาขนานนามสิ่งนี้ว่า “QE3.5” และนั่นจะเป็นผลบวกต่อตลาดทองคำ มีการรายงานเมื่อวันศุกร์ว่า ปริมาณการส่งออกทองคำจากฮ่องกงไปยังจีนลดลงในเดือนตุลาคมสู่ระดับต่ำสุดในรอบสิบเดือน เนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อทองคำแท่งต่างๆ เพิกเฉยต่อการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งในช่วงเวลานั้นสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นถึง 1.5% ข้อมูลจาก CFTC รายงานเมื่อวันศุกร์ว่า กลุ่มเฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการฝ่ายการเงินต่างๆ ได้ลดสถานะการลงทุนในทิศทางขาขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาลงไปสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม อย่างไรก็ตามนักลงทุนบางรายยังคงมีการลงทุนในกองทุน ETFs ซึ่งปริมาณการถือครองทองคำของกองทุน Gold ETFs ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมาที่ระดับ 76.129 ล้านออนซ์ แม้ว่าราคาจะไม่ค่อยเคลื่อนไหวนักในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนที่มีการประกาศออกมาได้แก่ ยอดการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ของจีนเพิ่มขึ้น 20.7% ต่อปี แตะ 32.32 ล้านล้านหยวน หรือ 5.18 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ในขณะที่ทางด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน สำหรับทองคำเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ราคาปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สาม ปิดตลาดบวก 8.9 เหรียญ ที่ระดับ 1,714.4 เหรียญ เนื่องจากนักลงทุนต่างไม่มั่นใจเกี่ยวกับวิกฤตทางด้านงบประมาณของสหรัฐที่ยังคงไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาทางสหรัฐ หลังจากที่ทำเนียบขาวและโฆษกสภาพรรครีพับลิกัน นายจอห์น โบห์นเนอร์ ได้มีการเจรจาต่อรองเพิ่มเติม แต่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ก็ยังไม่ได้มีรายละเอียดใดตอบกลับ โดยนายโอบามายังคงยึดมั่นในแนวความคิดที่จะเพิ่มอัตราภาษีผู้มีรายได้สูง ทั้งนี้นายโอบามายังมอบหมายให้นายแฮรี่ รี้ด ผู้นำพรรคเดโมแครตหารือในประเด็นงบประมาณแทน ขณะที่นายจอห์น คาร์นี ไม่ยอมเปิดเผยถึงผลการเจรจาส่วนตัวระหว่างนายโอบามาและนายจอห์น โบห์นเนอร์ แต่พรรครีพลับลิกันยังคงรอว่านายโอบามาจะระบุงบประมาณส่วนใดที่จะทำการตัดลดเพื่อให้บรรลุ Balanced Approach ที่จะนำไปสู่ข้อตกลง การเข้าพบส่วนตัวระหว่างนายโอบามาและนายจอห์น โบห์นเนอร์เมื่อวานนี้ยังไม่มีความคืบหน้า ขณะที่นายโอบามายังยืนกรานที่จะเพิ่มอัตราภาษีผู้มีรายได้สูง ขณะที่ผู้นำพรรครีพลับลิกันมีท่าทีต่อต้านแนวคิดนี้เมื่อ 2 — 3 วันก่อน เป็นไปได้ว่าข้อตกลงอาจจะทำให้มีการเพิ่มรายได้ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และมีการตัดงบประมาณไป 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดตรงกลางระหว่างข้อเสนอของทั้ง 2 พรรค โดยอัตราภาษีผู้มีรายได้สูงอาจเพิ่มเป็น 37% หรือ 38% จากเดิม 35% และจะเพิ่มเป็น 39.6% ในปีหน้า หากรัฐสภายังคงไม่ดำเนินการใดๆ และทั้ง 2 พรรคอาจจะยอมรับการลดค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มรายได้และตัดลดงบประมาณในปีหน้า พร้อมทั้งการปฏิรูปภาษีและโครงการ สวัสดิการต่างๆ นอกจากนี้อีกทางเลือกหนึ่งคือ พรรครีพลับลิกันอาจจะเสนอร่างให้มีการขยายระยะเวลาอัตราภาษีระดับต่ำสำหรับ ทุกคนยกเว้นผู้มีรายได้สูงตามที่พรรคเดโมแครตต้องการเป็นการชั่วคราว และใช้ระดับเพดานหนี้ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า จากนั้นค่อยมาใช้วิธีการตัดลดโครงการสวัสดิการต่างๆ แทน อย่างไรก็ตามนาย บ๊อบ คอร์กเกอร์ สมาชิกระดับอาวุโสของพรรครีพลับลิกันกล่าวว่า พรรครีพลับลิกันต้องทำการอนุมัติการเพิ่มอัตราภาษีผู้มีรายได้สูงเพื่อที่ เจรจาจะดำเนินจากประเด็นภาษีไปประเด็นโครงการสวัสดิการต่างๆแทน เนื่องจากการโต้แย้งประเด็นนี้ จะทำให้พรรคดูเหมือนจะพยายามที่จะปกป้องผู้มีรายได้สูงเพียงอย่างเดียว อีกทั้งเวลาในการแก้ปัญหาเหลือเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น นอกจากนี้การพบปะส่วนตัวระหว่างนายโอบามาและนายจอห์น โบห์นเนอร์ ทำให้มีความหวังในการแก้ปัญหาเป็น 40% แม้ทั้ง 2 พรรคจะปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดในการพบปะครั้งนี้ แต่นายคอร์กเกอร์ก็ยังมีความกังวลว่าพรรครีพลับบลิกกันจะไม่ยอมในประเด็น โครงการสวัสดิการต่างๆด้วย นอกจากนี้ยังมีความกังวลเพิ่มมากขึ้นทางฝั่งยุโรปซึ่งช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างทองคำ หลังจากที่นายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลีได้ประกาศว่าเขาจะลาออกถ้าแผนงบประมาณปี 2013 ได้รับการอนุมัติ ตลาดทองคำโดยภาพรวมเพิกเฉยต่อข่าวที่ว่า นายจอห์น พอลสัน ผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ได้กล่าวต่อกลุ่มลูกค้าของเขาในคืนวันศุกร์ว่า กองทุนพอลสันประสบกับผลกำไรที่ผสมปนเปกันในเดือนพฤศจิกายนจากการที่ราคาทองคำปรับตัวลดลง ซึ่งมีอิทธิพลต่อพอร์ทของนักลงทุนบางพอร์ท แม้ว่าความสนใจของนักลงทุนจะพุ่งตรงมาที่ความคืบหน้าในการเจรจาเรื่อง Fiscal Cliff ของสหรัฐและความไม่แน่นอนทางการเมืองของอิตาลี แต่กุญแจสำคัญในสัปดาห์นี้จะกลับกลายเป็นการประชุมกำหนดนโยบายของคณะกรรมาธิการที่จะมีการประกาศในคืนวันพฤหัสบดี ประมาณเวลาเที่ยงคืนครึ่งตามเวลาประเทศไทย พร้อมกับการแถลงของนายเบน เบอร์นันเก ถึงการอัพเดทมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้มีการคาดการณ์ว่า เฟดจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่จะมีการซื้อพันธบัตรเพิ่มอีก 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนแทนที่มาตรการ Operation Twist ที่จะหมดอายุสิ้นปี จากเดิมที่มีการซื้อหลักทรัพย์ MBS อยู่แล้ว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนก็เป็นตัวสนับสนุนทองคำเช่นกัน ตัวเลขเศรษฐกิจคืนวันศุกร์ - Non-Farm Employment Change ออกมาที่ระดับ 146,000 ราย จากตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 138,000 ราย - Unemployment Rate ออกมาที่ระดับ 7.7% จากตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 7.9% -Prelim UoM Consumer Sentiment ออกมาที่ระดับ 74.5 จากตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 82.7 ตัวเลขเศรษฐกิจคืนนี้ - Trade Balance ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ -41.5B คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ระดับ -42.4B วิเคราะห์ทางเทคนิค Gold — ราคาทองคำปรับตัวลดลงในคืนวันศุกร์ หลังจากที่มีการประกาศอัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7.7% และมาดีดกลับในช่วงท้ายตลาด ในขณะที่ในวันจันทร์ราคาทองคำเริ่มทรงตัวเหนือระดับ 1,700 เหรียญได้ และไปทำจุดสูงสุดที่ระดับประมาณ 1,715 เหรียญ ทองคำยังมีการเคลื่อนไหวในการแกว่งตัวอย่างมาก แต่เริ่มกลับมาแกว่งในทิศทางขาขึ้น โดยมีแนวรับแรกที่ 1,700 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 1,715 เหรียญและ 1,720 เหรียญตามลำดับ ทองคำยังคงรอข่าวในคืนวันพุธ(เช้าวันพฤหัสบดี)กับการแถลงของนายเบอร์นันเกที่จะสิ้นสุดการประชุม FOMC ในเชิงเทคนิคแล้วจะเห็นได้ว่า ราคาทองคำจะมีแรงกดดันในทิศทางการขาย ทำให้ในระยะสั้นกราฟรายวันกับกราฟรายชั่วโมงยังแกว่งตัวอย่างมาก แต่เริ่มกลับมาเป็นทิศขึ้นในระยะสั้นรายชั่วโมง ในขณะที่นักลงทุนระยะกลางกราฟรายวันยังมีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1,715 เหรียญและ 1,720 เหรียญ คาดว่าราคามีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นตาม sentiment การแถลงของนายเบอร์นันเก ในเชิงเทคนิคจะเห็นได้ว่า ราคาทองคำสามารถยืนอยู่เหนือระดับ 1,700 เหรียญได้ ถ้าราคาทองคำสามารถทะลุระดับ 1,720 เหรียญได้ทองคำดูจะเริ่มสดใสขึ้นมาใหม่ ในทางตรงกันข้ามถ้าราคาปรับลดลงหลุดระดับ 1,700 เหรียญอีกครั้ง อาจทำให้ราคาคงจะแกว่งตัวในทิศทาง Sideways ในภาพรวมยังเชื่อว่ายังรอสองข่าวใหญ่ที่น่าจะเป็นผลบวกต่อทองคำ ไม่ว่าจะเป็นการแถลงของนายเบอร์นันเก ซึ่งน่าจะใช้วิธีการเข้าซื้อพันธบัตรอย่าง QE3 ต่อจากการที่มาตรการ Operation Twist จะหมดอายุสิ้นปีนี้ ในขณะที่สัปดาห์หน้าน่าจะสามารถตกลงกันได้ในส่วนของ Fiscal Cliff เพื่อที่จะจบปัญหาก่อนสิ้นปี สรุปได้ว่าราคาทองคำในวันนี้น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,705 — 1,715 เหรียญ Gold Futures Z12 จะมีแนวรับที่ระดับ 24,920 บาท และแนวต้านที่ระดับ 25,100 บาท Gold Futures G13 จะมีแนวรับที่ระดับ 25,080 บาท และแนวต้านที่ระดับ 25,250 บาท Silver Futures Z12 จะมีแนวรับที่ระดับ 990 บาท และแนวต้านที่ระดับ 1,030 บาท คำแนะนำ สำหรับนักลงทุนเก็งกำไรรายวัน (Swing Trade) เก็งกำไรในภาวะการแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ระหว่าง 1,705 — 1,715 เหรียญ นักลงทุนระยะสั้น 7 — 20 วัน (Weekly Trade) ยังคงเป็นการทยอยเข้าถือพอร์ทเพิ่มเมื่อราคาอ่อนตัว ประมาณ 40% นักลงทุนระยะยาวทองคำแท่ง ถือครองสถานะ Portfolio อยู่ที่ 50-60% บทวิเคราะห์ข้างต้น ยึดหลักตาม Technical Analysis บริษัทไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการวิเคราะห์ข้างต้นและโปรดระลึกเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุนด้วยตัวของท่านเอง จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:17:06

ความคิดเห็นที่ 44 http://www.pantip.com/cafe/camera/topic/O13005461/O13005461.html แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 55 13:52:09 จากคุณ : *-==HUTCHISON==-* เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:20:53

ความคิดเห็นที่ 45 คุณฮัทขรา..ทานลำไยมากๆ ระวังฟันผุนะคร้า 555 จากคุณ : อิจฉาเค้าไปทั่ววววววว กิ กิ (จุ๊กกุ๊กจัง) เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:29:03

ความคิดเห็นที่ 46 สวัสดีค่ะคุณใหญ่ คุณฮะ คุณหมูแดง คุณจุ๊กกุ๊กจัง คุณkading คุณฮัทชิสัน คุณพันเกลียว คุณตำลึงริมรั้ว   คุณsiriratana.l คุณมารหุ้นแสวงพ่าย คุณ su_k3430  คุณ.THE FINAL 2,คุณ C_yada, คุณ PeterMc,คุณ พู่เจริญ คุณสุเกียง คุณไผ่หวาน  คุณ, suratanonin คุณนิภาโชติ คุณNat_YFS2011 คุณ Jazzt-G และเพื่อนๆปิ๊งๆๆๆๆทุกๆคนคร่าา วันหยุด พักผ่อนกันเต็มที่แล้ว บุยต่อกันวันนี้นะคะ แต่ขอแว๊บบบมาดูพี่ติ๊กก่อน อิอิ หยุดยาวคนเยอะไม่ไหวค่ะ วันนี้ยังกับเราเหมาโรงดูเลย ^^ จากคุณ : joyly_polly เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 11:53:17

ความคิดเห็นที่ 47 ใกล้เที่ยงแง๊วววว.. ยังหาคนเลี๊ยงม่ะด้ายเยยยยยยยย 555 ทำเองก็ด้ายฟร่ะ.. จากคุณ : อุ๊ยยยย เกรียมไปนิสสสสสสสสส (จุ๊กกุ๊กจัง) เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 12:02:27

ความคิดเห็นที่ 48 ไหม้ไปโหน่ยยยยยยยยยยยยยยยย.. จากคุณ : ดีค่าคุณจอยลี่ (จุ๊กกุ๊กจัง) เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 12:03:25

ความคิดเห็นที่ 49 เหยาะซอสซักหน่อยยยยยยย อาหร่อยจุงเบยยยยยยยยยยย 555 จากคุณ : จุ๊กกุ๊กจัง เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 12:04:25

ความคิดเห็นที่ 50 ดัชนีกลุ่มแบงก์บวก 1.17% มาอยู่ที่ 528.48 จุด เพิ่มขึ้น 6.13 จุด โดยเมื่อเวลา 11.15 น.หุ้นในกลุ่มแบงก์ที่ปรับตัวขึ้น 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้น SCB ราคาอยู่ที่ 175 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท(+2.34%)มูลค่าซื้อขาย 917.31 ล้านบาท หุ้น BBL ราคาอยู่ที่ 188.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท(+1.89%)มูลค่าซื้อขาย 839.69 ล้านบาท หุ้น TCAP ราคาอยู่ที่ 37.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท(+1.35%)มูลค่าซื้อขาย 175.05 ล้านบาท น.ส.ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มแบงก์วันนี้ปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ด้วยวอลุ่มเทรดที่เข้ามาอย่างคึกคัก ทั้งนี้มองว่ากำไรของหุ้นในกลุ่มแบงก์ปีนี้น่าจะโดดเด่น และมีการทำ New High กันทั่วหน้า โดยได้มีการประเมินผลกำไรของหุ้นในกลุ่มแบงก์สำหรับปี 2555 ทั้งกลุ่มจะมีกำไร 1.69 แสนล้านบาท เติบโต 31% yoy และในปีหน้า(2556)กำไรของกลุ่มแบงก์ก็ยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก โดยคาดว่าจะมี 1.93 แสนล้านบาท เติบโต 14% จากปีนี้(2555) สำหรับไตรมาส 4/55 มองว่าหุ้นในกลุ่มแบงก์น่าจะมีการเติบโตที่ดีมากเมื่อเทียบ yoy เนื่องจากปีที่แล้ว(2554)เจอกับภาวะน้ำท่วมแต่ปีนี้ไม่มี ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มแบงก์ที่น่าสนใจลงทุนในปี 2556 ได้แก่ หุ้นธนาคารกสิกรไทย(KBANK)ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 225 บาท/หุ้น เนื่องจาก KBANK มีการบริหารที่ดีที่สุดในกลุ่มแบงก์ และเป็นตัวที่นักลงทุนต่างชาติชอบที่จะเข้าลงทุน อีกทั้งมองว่าผลการดำเนินงานของ KBANK จะมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ มีการขยายตัวของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน K-transformation ใกล้แล้วเสร็จ ก็จะทำให้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยของ KBANK มีการเติบโตที่ดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยของ KBANK มีสัดส่วน 40% แล้ว และรายได้ที่มาจากดอกเบี้ยของ KBANK ก็ยังคงมีการเติบโตดี ซึ่ง K-transformation ทำให้ KBANK มีการกระจายรายได้ที่ดี นอกจากนี้ บมจ.ทุนธนชาต(TCAP) ก็เป็นอีกตัวที่แนะนำ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 46.7 บาท/หุ้น เนื่องจาก ราคาหุ้นยังถูก และในปี 2556 TCAP จะรับรู้กำไรจากการขายบริษัท ธนชาติประกันชีวิตไป ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรจากการขายประมาณ 5,100 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเข้ามาในไตรมาส 1/56 ซึ่งการขายบริษัทประกันนี้ไปทำให้ไปช่วยเพิ่มฐานทุนของ TCAP ได้ประมาณ 2% ทำให้ TCAP สามารถรุกธุรกิจต่อไปได้อีก จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 12:08:35

ความคิดเห็นที่ 51 เที่ยงแง๊วววว จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 12:18:13

ความคิดเห็นที่ 52 เที่ยงแง๊วววว.. จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 12:18:51

ความคิดเห็นที่ 53 เหม็นนนนนนนนนน นิโคตินอ่ะ จากคุณ : แอร๊ยยหม่ำกะคุณหย๊ายหย่ายดีฝ่า (จุ๊กกุ๊กจัง) เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 12:25:53

ความคิดเห็นที่ 54 ช่วยย่อยค่ะ จากคุณ : จุ๊กกุ๊กจัง เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 13:19:24

ความคิดเห็นที่ 55 นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บล. คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบมจ.ดีเอ็นเอ 2002 กล่าวว่า ในการขายหุ้นครั้งนี้จะมีผู้ร่วมรับประกันการจัดจำหน่าย (Co-underwriters) จำนวน 5 รายคือ บล.ฟินันเซีย ไซรัส บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) บล.โนมูระ พัฒนสิน บล.โกลเบล็ก จำกัด และ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ทั้งนี้ หลังจากทางทีมผู้บริหารของบมจ.ดีเอ็นเอ 2002  ทีมที่ปรึกษาทางการเงินจากบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัดและทางทีมงานจาก บล.คันทรี่ กรุ๊ป ได้เดินทางไปให้ข้อมูลนักลงทุนที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงนักลงทุนในกรุงเทพฯ แล้ว ปรากฏว่า ได้รับกระแสตอบรับอย่างท่วมท้น เพราะนักลงทุน มีความเข้าใจในพื้นฐานธุรกิจของบริษัทฯ และมองเห็นศักยภาพในการเติบโตในอนาคต เนื่องจากมีช่องทางการจำหน่ายกว่า 1,432 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นจุดแข็งอย่างมาก ทั้งนี้ บมจ. ดีเอ็นเอ 2002 มีทุนจดทะเบียน 160 ล้านบาท หรือ 640 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 0.25 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วจำนวน 120 ล้านบาท ขณะที่บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2552 บริษัทฯมีรายได้รวม 750.86 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3.35 ล้านบาท ปี 2553 รายได้รวม 952.13 ล้านบาท กำไรสุทธิ 20.29 ล้านบาท ส่วนในปี 2554 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,112.36 ล้านบาท และ กำไรสุทธิอยู่ที่ 24.13 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมกว่า 1,014.93 ล้านบาท กำไรสุทธิ 42.52 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยปัจจุบันบริษัทฯประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ (Home Entertainment) ได้แก่ ภาพยนตร์ เพลง ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ในรูปแบบบลูเรย์ ดีวีดี วีซีดี และซีดี และสินค้าประเภทสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสารรายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน และพ็อกเก็ตบุ๊ก โดยสินค้าประเภทภาพยนตร์และเพลง  ถือเป็นสินค้าหลักของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 85% ของรายได้รวม ด้านนายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ กล่าวว่า ล่าสุด ก.ล.ต.ได้พิจารณาอนุมัติแบบไฟลิ่งของ DNA เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ ได้กำหนดวันจองซื้อหุ้นที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ภายในเดือนธันวาคมนี้ นายสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา กรรมการผู้จัดการ บมจ. ดีเอ็นเอ 2002 (DNA) ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ประเภทภาพยนตร์ เพลง ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ ผ่านช่องทางร้านค้าปลีก เปิดเผยถึง ความคืบหน้าในการนำหุ้นของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ว่า บริษัทฯเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น คิดเป็น 25% ของทุนจดทะเบียนภายหลังเสนอขาย  มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.25 บาท โดยกำหนดราคาเสนอขายในอัตราหุ้นละ 1.90 บาท และจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นในระหว่างวันที่ 12 - 14 ธันวาคม 2555 ไม่สูบแล้วจะเบบี้เฟซ จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 13:29:37

ความคิดเห็นที่ 56 บอกเค้าหรือบอกอาซ้อ กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก จากคุณ : อร๊ายยยยยยยยย อย่าชี้หน้า 555 (จุ๊กกุ๊กจัง) เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 13:38:01

ความคิดเห็นที่ 57 จากคุณ : *-==HUTCHISON==-* เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 13:52:36

ความคิดเห็นที่ 58 จากคุณ : *-==HUTCHISON==-* เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 13:52:56

ความคิดเห็นที่ 59 >>>>$$$$ คhttp://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=38838รึ่งเช้า วันที่ 11 ธันวาคม 2555 ฝรั่ง Net buy 600  M.  !! !! ฿฿฿฿ จากคุณ : *-==HUTCHISON==-* เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 14:01:47

ความคิดเห็นที่ 60 นายยง อารีเจริญเลิศ ประธานกรรมการ บมจ. แพ็คฟู้ด (PPC) แจ้งว่า  ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้บริษัทดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) จำนวน 3,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ในอัตราส่วน 10 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ โดยเสนอขายในราคาหุ้นละ 50 บาท ทั้งนี้ กำหนดให้วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 56 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Record Date) และให้รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นโดยวิธีการปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม) ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 56 และกำหนดระยะเวลาจองซื้อและชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นในวันที่ 18-22 กุมภาพันธ์ 56 และให้นำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาต่อไป สำหรับ เงินที่ได้จากการระดมทุนดังกล่าว จะนำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิตในส่วนของโรงงานเจ้าพระยาห้องเย็น และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทในอนาคต จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 14:15:31

ความคิดเห็นที่ 61 บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ระบุว่า มีนักลงทุนสถาบันและผู้ถือหุ้นเดิมแสดงความจำนงในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทกว่า 2 เท่าของจำนวนเสนอขาย และจะเข้าซื้อขายในตลาดฯ ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค.นี้ ทั้งนี้ บมจ.ปตท.(PTT) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ปตท.สผ. ได้สนับสนุนแผนระดมทุนโดยจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 424,359,789 หุ้น ตามสิทธิการจองซื้อของตนคิดเป็นมูลค่าประมาณ 60,259 ล้านบาท เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นที่ประมาณร้อยละ 65.29 นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTEP กล่าวว่า การเพิ่มทุนครั้งนี้ ปตท.สผ. สามารถระดมทุนได้ทั้งหมดจำนวน 92,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย โดยบริษัทฯ จะนำเงินดังกล่าวไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ใช้เป็นเงินทุนในการสำรวจ พัฒนา และผลิตปิโตรเลียม ซึ่งรวมถึงการขยายกิจการของบริษัทฯ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในการดำเนินการทั่วไป ทั้งนี้ หุ้นสามัญเพิ่มทุนจะสามารถโอนเข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้จองซื้อได้ในวันที่ 17 ธันวาคม 2555 และจะเริ่มเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไป “การตอบรับอย่างท่วมท้นจากผู้ถือหุ้นของปตท.สผ. และความสนใจจากนักลงทุนสถาบันสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนมีต่อศักยภาพของบริษัทฯ ที่จะขยายธุรกิจต่อไปในอนาคตเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในระดับภูมิภาค  ผมขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกรายและนักลงทุนสถาบันที่ได้ร่วมสนับสนุนและทำให้แผนการระดมทุนในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี"นายเทวินทร์  กล่าว สำหรับกรณีที่ผู้ถือหุ้นที่จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ ไม่ได้รับการจัดสรรหุ้น หรือได้รับการจัดสรรหุ้นไม่ครบตามจำนวนหุ้นที่จองซื้อ จะได้รับการคืนเงินส่วนที่ไม่ได้รับการจัดสรร ภายในวันที่ 20 ธันวาคม 2555 (14 วันหลังจากวันปิดการเสนอขายหุ้น) Bank of America Merrill Lynch, Deutsche Bank, Goldman Sachs, JP Morgan และ UBS ทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเบื้องต้นในต่างประเทศสำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ ปตท.สผ. และบล. ฟินันซ่า จำกัด บล. ทิสโก้ จำกัด และบล. ภัทร  ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายสำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ ปตท.สผ. จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 15:07:58

ความคิดเห็นที่ 62 BEAUTY มั่น​ใจ​เทรดวัน​แรกพรุ่งนี้​ได้รับ​ความสน​ใจจากนลท.หลังยอดจองล้น นพ.สุวิน ​ไกรภู​เบศ ประธาน​เจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ​ผู้นำ​ในธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์​เพื่อ​ความงามประ​เภท​เครื่องสำอาง​และบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ ​เปิด​เผยว่า ​การ​เสนอขายหุ้นสามัญ​เพิ่มทุน​ให้กับประชาชนทั่ว​ไป​เป็นครั้ง​แรก(IPO)ของบริษัท ​ในช่วง ระหว่างวันที่ 29-30พ.ย.​และ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา ​ได้รับ​การตอบรับ​เป็นอย่างดี จาก​ทั้งนักลงทุนทั่ว​ไป ​และนักลงทุนสถาบัน ​โดยมียอดจอง​เข้ามามากกว่าหุ้น​ไอพี​โอจำนวน 82.5 ล้านหุ้นที่​เสนอขาย ​ทั้งนี้ มั่น​ใจว่า​การ​เข้าซื้อขาย​เป็นวัน​แรก​ในตลาดหลักทรัพย์​แห่งประ​เทศ​ไทย (ตลท.) ​ในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ จะ​ได้รับ​ความสน​ใจจากนักลงทุน ​เนื่องจากบริษัทมี​การ​เติบ​โตที่ค่อนข้างสม่ำ​เสมอ สามารถสร้างกำ​ไร​และปันผล ​ใน​เกณฑ์ที่​เหมาะสม​ให้กับ​ผู้ถือหุ้นมา​ได้อย่างต่อ​เนื่อง ขณะ​เดียวกันบริษัทยังมี​ความพร้อม​ใน​การที่จะ ขยายธุรกิจ ของร้าน BEAUTY BUFFET, BEUTY COTTAGE ​และ ผลิตภัณฑ์ MADE IN NATURE ออก​ไปอย่างอย่างต่อ​เนื่อง ​เพื่อสร้าง​การ​เติบ​โตของผล​การดำ​เนินงาน ​และนำมา​ซึ่งผลตอบ​แทนที่ดี​ให้กับ​ผู้ถือหุ้นด้วย​เช่นกัน “ธุรกิจของ BEAUTY มี​การพัฒนา​ในทิศทางที่ดีขึ้นมา​เป็นลำดับ จน​ทำ​ให้​ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ต่างๆ ​เป็นที่ยอมรับของ​ผู้บริ​โภคอย่าง​แพร่หลาย ฐานะทาง​การ​เงินอยู่​ใน​เกณฑ์ค่อนข้างดี ​แต่​เรา​ก็มี​แผนที่จะ​ทำ​ให้ ผลิตภัณฑ์สามารถ​เข้า​ถึง​และครอบคลุมกลุ่มลูกค้า​ได้มากขึ้นอีก สร้าง​ความ​แข็ง​แกร่งทางธุรกิจมากขึ้นอีก ​เพื่อก้าวสู่​การ​เป็น​ผู้นำ​ในธุรกิจนี้อย่าง​แท้จริง ​ซึ่งสิ่ง​เหล่านี้ล้วน​เป็น​เจตนาของกลุ่ม​ผู้ถือหุ้น​ใหญ่​ทั้งหมด มาตั้ง​แต่ ​เริ่มดำ​เนินธุรกิจ"นพ.สุวิน กล่าว สำหรับจำนวนหุ้นสามัญที่กลุ่ม​ผู้ถือหุ้น​เดิมของ BEAUTY ถืออยู่จำนวน 217.5 ล้านหุ้น ก่อน​การ​เสนอขาย ​ไอพี​โอ กลุ่ม​ผู้ถือหุ้นมี​ความสมัคร​ใจนำหุ้น​เดิม​ทั้งหมด​เข้าฝาก​ไม่​ให้ สามารถ​เข้า​ทำ​การซื้อขาย​ในตลาดหลักทรัพย์ ​ได้ภาย​ในช่วงระยะ​เวลา 6 ​เดือน - 1 ปีจากวัน​เข้าซื้อขายวัน​แรก ​เพื่อสร้าง​ความ​เชื่อมั่นต่อ​ผู้ลงทุน อนึ่ง ​การระดมทุน​ในครั้งนี้ BEAUTY จะนำ​เงินที่​ได้จาก​การระดมทุน​ไป​ใช้สำหรับ​การขยายสาขาร้าน BEAUTY BUFFET, BEAUTY COTTAGE ​และขยายช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ MADE IN NATURE จำนวน​เงินประมาณ 125 ล้านบาท ลงทุนปรับปรุงระบบ​การดำ​เนินงานภาย​ใน ​เช่น ระบบ​โปร​แกรมคอมพิว​เตอร์ ​การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมพนักงาน ​การขยายคลังสินค้า ​และ​เพื่อนำ​ไป​ใช้​ใน​การรองรับ​การขยายธุรกิจ​ในอนาคต จำนวนประมาณ 125 ล้าน ​และนำ​ไป​ใช้​เป็น​เงินทุนหมุน​เวียน จำนวนประมาณ 391.43 ล้านบาท อิน​โฟ​เควสท์ http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=38842 จากคุณ : *-==HUTCHISON==-* เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 15:56:53

ความคิดเห็นที่ 63 เริ่มปรากฎเค้าลางความหวั่นวิตกว่า อิตาลีอาจเข้าสู่สถานการณ์ความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจถดถอย หลังนายกรัฐมนตรีมาริโอ มอนติ ตัดสินใจที่จะลาออกจากตำแหน่ง และนายซิลวีโอ แบร์ลุสโคนีหวนคืนสู่เส้นทางการเมืองอีกครั้ง หลังจากที่นายมอนติสร้างความประหลาดใจด้วยการประกาศว่า จะลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากพรรค People of Freedom (PdL) ของนายแบร์ลุสโกนี ซึ่งครองเสียงมากที่สุดในรัฐสภา ได้ถอนตัวจากการสนับสนุนรัฐบาลของนายมอนติมาจากการแต่งตั้ง โดยนายมอนติกล่าวว่า เขามั่นใจว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะมีความรับผิดชอบอย่างมาก อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำยืนยันดังกล่าวออกมา แต่ต้นทุนการกู้ยืมของอิตาลีทะยานขึ้นเกือบ 0.4% แตะที่ 362 ขณะที่ตลาดหุ้นอิตาลีร่วงลงครั้งใหญ่ที่สุดของยุโรป ก่อนปิดปรับตัวลง 2.2% โดยหุ้นกลุ่มธนาคารได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ ขณะที่ความวิตกกังวลที่ว่า สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจบั่นทอนวิกฤตยูโรโซนนั้น ได้กระทบตลาดเงินทั่วทั้งภูมิภาค "นักลงทุนวิตกกังวลว่าอิตาลีอาจหวนคืนสู่สถานการณ์เดิมเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว" นายมอริซิโอ มาซิเอโร นักวิเคราะห์การเงินในกรุงมิลานเปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัว นายมาซิเอโรกล่าวว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คณะรัฐบาลของนายมอนติสามารถกอบกู้ความน่าเชื่อถือของอิตาลี แต่ความเป็นไปได้ที่ออกจะคลุมเครือที่ว่า นายแบร์ลุสโคนีอาจขึ้นมามีอิทธิพลในรัฐบาลชุดใหม่นั้น ได้ส่งสัญญาณเตือนถึงความวิตกกังวลระลอกใหม่เกี่ยวกับความไม่น่าเชื่อถือของอิตาลี นักวิเคราะห์การเงินผู้นี้ระบุว่า เมื่อพิจารณาความทรมานแสนสาหัสของอิตาลี เมื่อพิจารณาจากจำนวนหนี้สาธารณะที่พุ่งขึ้น อัตราว่างงานที่ทะยานจนทำสถิติใหม่ และการขาดศักยภาพในการผลิต สถานการณ์จึงจัดว่าหนักหน่วงและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นายมอนติให้คำมั่นสัญญาว่าจะลาออก ในกรณีที่กฎหมายงบประมาณปี 2556 ได้รับการอนุมัติโดยสภาเท่านั้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนช่วงคริสต์มาส ทำให้การเลือกตั้งเลื่อนมาเร็วขึ้นในเดือนก.พ. จากเดิมที่คาดว่า จะจัดขึ้นช่วงเดือนมี.ค.หรือเม.ย. อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคำถามสำคัญค้างคาอยู่ว่า จะมีการจัดตั้งรัฐบาลฉุกเฉินได้ทันเวลาหรือไม่ สำหรับการออกมาตรการที่สำคัญต่างๆ อาทิ การปรับลดต้นทุนทางการเมือง ซึ่งคำตอบอาจจะชี้ให้เห็นว่า อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ทันกาล ขณะเดียวกัน ความสนใจยังพุ่งไปที่นายมอนติว่าเขาจะเข้าสู่หนทางการเมืองเองหรือไม่ หลังหนังสือพิมพ์รายวัน La Repubblica ของอิตาลี รายงานโดยอ้างอิงบทสัมภาษณ์ของนายมอนติว่า เขายังไม่ได้ตัดสินใจ แต่ก็เป็นห่วงสถานการณ์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในอิตาลีส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า การถอยหลังอาจเป็นตัวเลือกอันทรงเกียรติเพียงตัวเลือกเดียว ที่สอดรับกับนโยบายความรับผิดชอบที่ออกโดยคณะรัฐบาลของนายมอนติ ตามที่นายเอลิโอ เวลตริ นักการเมืองและนักเขียนชาวอิตาลีผู้หนึ่งได้ระบุไว้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 16:58:41

ความคิดเห็นที่ 64 ตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดวันนี้แทบจะทรงตัว ก่อนหน้าที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐจะเปิดฉากขึ้น โดยนักลงทุนยังคงรอดูความคืบหน้าของการเจรจาเรื่องงบประมาณของสหรัฐ ดัชนี Stoxx Europe 600 Index อ่อนตัว 0.1% แตะ 279.26 เมื่อเวลา 8.06 น.ตามเวลาลอนดอน ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสเปิดวันนี้ที่ 3,619.00 จุด เพิ่มขึ้น 6.90 จุด ส่วนดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันเปิดวันนี้ที่ 7,529.24 จุด ลดลง 1.68 จุด หุ้นเดียจีโอ อ่อนตัว 1.5% หลังจากที่บริษัทได้ยุติการเจรจา เพื่อซื้อแบรนด์ Cuervo ส่วนหุ้น ThyssenKrupp AG ร่วง 2.4% จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 17:12:32

ความคิดเห็นที่ 65 สหรัฐฯชี้ ในปี 2030 เอเชียขึ้นแท่นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกโดยจีนจะมีการเติบโต และขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วแซงหน้าสหรัฐ และยุโรป ฝ่ายข่าวกรองสหรัฐ เปิดเผยรายงานคาดการณ์แนวโน้มอนาคตโลกในปี 2030 พบว่า ขนาดเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของเอเชีย จะสามารถขยายตัวแซงหน้า สหรัฐอเมริกา และยุโรป ทั้งทวีปรวมกัน ขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งจีนประเทศเดียว ก็จะสามารถแซงหน้าสหรัฐ ขึ้นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ได้ก่อนปี 2030 อีกด้วย "ในอีก 15-20 ปีข้างหน้า การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆ จะเกิดขึ้นในเอเชียมากขึ้น เพราะเหล่าบรรดาบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต่างหันมาจับจ้องการเติบโตของภูมิภาคเอเชีย และจีน ที่มีการเติบโต และขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วมากขึ้น" รายงานระบุ อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า แม้ว่าจีนจะผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกได้ในปี 2030 แต่ในเรื่องของมหาอำนาจโลกในภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การทหาร การมีบทบาทในการนำของโลก จะยังอยู่ในมือของสหรัฐ อยู่เช่นเดิม จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 17:16:28

ความคิดเห็นที่ 66 * จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 17:16:59

ความคิดเห็นที่ 67 ** จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 17:17:20

ความคิดเห็นที่ 68 *** จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 17:17:41

ความคิดเห็นที่ 69 นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.กำลังเตรียมออกมาตรการผ่อนคลายการเคลื่อนย้ายเงินทุนให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติมจากเดิมธปท.เคยออกประกาศให้เคลื่อนย้ายเงินทุนได้ง่ายขึ้นเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าประกาศเพิ่มเติมรอบใหม่นี้ จะสามารถออกมาบังคับใช้ได้ในช่วงปลายเดือน ธ.ค.ปีนี้ หรืออย่างช้าในช่วงต้นเดือน ม.ค.ปีหน้านี้ โดยขณะนี้ฝ่ายกฎหมายกำลังพิจารณารายละเอียดของการประกาศดังกล่าวอยู่” นางจันทวรรณ กล่าว นอกจากนี้ ในปี 2556 ธปท.ยังต้องพิจารณาในส่วนของมาตรการเดิมที่เคยออกไปแล้วในปีนี้ รวมทั้งมาตรการที่จะออกมาล่าสุดนี้ก่อนว่า จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน นักธุรกิจ และผู้มีเงินออกที่มีศักยภาพออกไปลงทุนในต่างประเทศได้มากน้อยเพียงใด หรือยังมีปัญหาอุปสรรคในส่วนใดอยู่อีกบ้าง เพื่อที่ ธปท.จะนำมาพิจารณาผ่อนคลายกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการไหลออกของเงินทุนในระยะต่อไปให้ดียิ่งขึ้น สอดคล้องตามแผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศของ ธปท. ที่ในช่วงปี 2555-2556 จะเพิ่มการผ่อนคลายการไหลออกของเงินทุนในระยะที่ 1 นางจันทวรรณ กล่าวว่าธปท.อยู่ระหว่างประเมินภาพเศรษฐกิจโลก ที่อาจกระทบต่อตลาดการเงินโลก และตลาดการเงินของไทยในช่วงต่อไป โดยปัจจัยต่างประเทศที่ยังต้องติดตามยังคงเป็นเรื่องวิกฤตหนี้สาธารณะและการเงินในยุโรป และการตัดสินใจดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังด้วยการลดภาษีหลายตัวของสหรัฐที่เคยทำมาสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ต่อหรือไม่ ต้องดูว่าประธานาธิบดีบารัก โอบามา และสภานิติบัญญัติจะตกลงกันอย่างไร หรือที่เราเรียกกันว่าหน้าผาการคลัง ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ด้วย” นางจันทวรรณ กล่าว ด้านนางสุชาดา กิระกุล ที่ปรึกษาผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ธปท.อยู่ระหว่างการติดตามผลของมาตรการผ่อนคลายการไหลออกของเงินทุนที่ได้ดำเนินการไป ตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา และได้พยายามทำความเข้าใจกับประชาชนและนักลงทุนให้มีความมั่นใจในการออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพราะอาจจะยังมีนักลงทุนบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจหรือไม่ทราบมาตรการที่ ธปท.ได้ผ่อนคลายไปแล้ว จึงยังไม่ได้ออกไปลงทุนต่างประเทศ เชื่อว่าในช่วงต่อไปนักลงทุนไทยจะออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 17:23:12

ความคิดเห็นที่ 70 ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 1,341.33 จุด เพิ่มขึ้น 6.38 จุด(+0.48%)มูลค่าการซื้อขาย 41,153.34 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,344.82 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,338.30 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 243 หลักทรัพย์ ลดลง 313 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 170 หลักทรัพย์ นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธการลงทุน บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก แม้ว่าตลาดบ้านเราจะเข้าสู่เขต Overbought แล้วในทางเทคนิค แต่การที่ตลาดพักฐานแล้วมีการเปลี่ยนกลุ่มเล่น ทำให้การ Overbought ของตลาดฯไม่น่ากลัวมาก และคิดว่าตลาดฯจะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นไป โดยมองเป้าหมายไว้ที่ 1,350-1,360 จุด นอกจากนี้ ตลาดฯยังได้กองทุน LTF, RMF เข้ามาช่วยหนุนประคองตลาดไว้ไม่ให้ปรับตัวลงแรงหากเกิดแรง take profit ออกมา ส่วนปัจจัยจากต่างประเทศในเรื่องการแก้ปัญหา Fiscal Cliff ในสหรัฐฯ ก็เริ่มมีการมองกันว่าน่าจะผ่านไปได้ และตัวเลขเศรษฐกิจของจีนก็ออกมาดีด้วย แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้(12 ธ.ค.)นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งไซต์เวย์ อัพ โดยมีแนวรับ 1,332 จุด แนวต้าน 1,350-1,360 จุด ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ BBL     มูลค่าการซื้อขาย 2,550.87  ล้านบาท ปิดที่ 190.00 บาท เพิ่มขึ้น  5.00 บาท SCB     มูลค่าการซื้อขาย 2,358.11  ล้านบาท ปิดที่ 175.50 บาท เพิ่มขึ้น  4.50 บาท PTTEP   มูลค่าการซื้อขาย 2,010.47  ล้านบาท ปิดที่ 153.50 บาท เพิ่มขึ้น  0.50 บาท KBANK   มูลค่าการซื้อขาย 1,930.49  ล้านบาท ปิดที่ 196.00 บาท ลดลง   2.00 บาท CPALL   มูลค่าการซื้อขาย 1,802.59  ล้านบาท ปิดที่  42.00 บาท เพิ่มขึ้น  1.00 บาท จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 17:26:47

ความคิดเห็นที่ 71 ^๐^ ^๐^ ^๐^ ปิ๊งๆๆๆกระทู้อารมณ์ดีในดวงใจ @ สินธร # 12/12/12 ซื้อๆขายๆหุ้น ^๐^ ความคิดเห็นนี้ได้แตกไปยังกระทู้ I13053771 จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 06:18:06